ธรรมะจากพระสูตร Dhamma from Sutta

ปริวีมังสนสูตร ว่าด้วยการพิจารณาเพื่อความสิ้นทุกข์โดยชอบ


กลุ่มไตรปิฎกสิกขา



[๑๘๘] ข้าพเจ้าสดับมาแล้วอย่างนี้ :-
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวัน
อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี กรุงสาวัตถี. ณ ที่นั้นแล
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายว่า ภิกษุทั้งหลาย
ภิกษุเหล่านั้นทูลรับพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า พระพุทธเจ้าข้า
พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสว่า ภิกษุทั้งหลาย ด้วยเหตุเท่าไรหนอแล
ภิกษุเมื่อพิจารณา พึงพิจารณาเพื่อความสิ้นทุกข์โดยชอบ โดยประการทั้งปวง
ภิกษุเหล่านั้นทูลว่า พระพุทธเจ้าข้า ธรรมทั้งหลายของพวกข้าพระองค์
มีพระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นที่ตั้ง มีพระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นผู้นำ
มีพระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นที่พึ่ง ได้โปรดเถิดพระพุทธเจ้าข้า
ขอเนื้อความแห่งภาษิตนี้จงแจ่มแจ้งกับพระผู้มีพระภาคเจ้าเถิด
ภิกษุทั้งหลายได้ฟังจากพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว จักทรงจำไว้.
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ภิกษุทั้งหลาย
ถ้าเช่นนั้น เธอทั้งหลายจงฟัง จงใส่ใจให้ดี เราจักกล่าว.
ภิกษุเหล่านั้นทูลรับพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว.


[๑๘๙] พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสว่า ภิกษุทั้งหลาย
ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เมื่อพิจารณา ย่อมพิจารณาว่า
ทุกข์คือชราและมรณะมีประการต่าง ๆ มากมาย เกิดขึ้นในโลก
ทุกข์นี้มีอะไรเป็นเหตุ มีอะไรเป็นสมุทัย
มีอะไรเป็นกำเนิด อะไรเป็นแดนเกิด
เมื่ออะไรมี ชราและมรณะจึงมี เมื่ออะไรไม่มี ชราและมรณะจึงไม่มี
ภิกษุนั้นพิจารณาอยู่ ย่อมรู้ประจักษ์ว่า
ทุกข์คือชราและมรณะมีประการต่าง ๆ มากมายเกิดขึ้นในโลก
ทุกข์นี้แลมีชาติเป็นเหตุ มีชาติเป็นสมุทัย มีชาติเป็นกำเนิด มีชาติเป็นแดนเกิด
เมื่อชาติมี ชราและมรณะจึงมี เมื่อชาติไม่มี ชราและมรณะจึงไม่มี
ภิกษุนั้นย่อมรู้ประจักษ์ชราและมรณะ
ย่อมรู้ประจักษ์เหตุเกิดแห่งชราและมรณะ
ย่อมรู้ประจักษ์ความดับแห่งชราและมรณะ
ย่อมรู้ประจักษ์ปฏิปทาอันสมควรที่ให้ถึงความดับแห่งชราและมรณะ
และย่อมเป็นผู้ปฏิบัติอย่างนั้น เป็นผู้ประพฤติธรรมอันสมควร
ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุนี้เราเรียกว่า เป็นผู้ปฏิบัติเพื่อความสิ้นทุกข์โดยชอบ
โดยประการทั้งปวง เพื่อความดับแห่งชราและมรณะ.


[๑๙๐] อีกประการหนึ่ง ภิกษุเมื่อพิจารณา ย่อมพิจารณาว่า
ก็ชาตินี้ มีอะไรเป็นเหตุ มีอะไรเป็นสมุทัย มีอะไรเป็นกำเนิด
มีอะไรเป็นแดนเกิด เมื่ออะไรมี ชาติจึงมี เมื่ออะไรไม่มี ชาติจึงไม่มี
ภิกษุนั้นพิจารณาอยู่ ย่อมรู้ประจักษ์ว่า ชาติมีภพเป็นเหตุ มีภพเป็นสมุทัย
มีภพเป็นกำเนิด มีภพเป็นแดนเกิด เมื่อภพมี ชาติจึงมี
เมื่อภพไม่มี ชาติจึงไม่มี ภิกษุนั้นย่อมรู้ประจักษ์ชาติ
ย่อมรู้ประจักษ์เหตุเกิดแห่งชาติ ย่อมรู้ประจักษ์ความดับแห่งชาติ
ย่อมรู้ประจักษ์ปฏิปทาอันสมควรที่ให้ถึงความดับแห่งชาติ
และย่อมเป็นผู้ปฏิบัติอย่างนั้น เป็นผู้ประพฤติธรรมอันสมควร
ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุนี้เราเรียกว่า เป็นผู้ปฏิบัติเพื่อความสิ้นทุกข์โดยชอบ
โดยประการทั้งปวง เพื่อความดับแห่งชาติ.


[๑๙๑] อีกประการหนึ่ง ภิกษุเมื่อพิจารณา ย่อมพิจารณาว่า
ก็ภพนี้มีอะไรเป็นเหตุ มีอะไรเป็นสมุทัย มีอะไรเป็นกำเนิด
มีอะไรเป็นแดนเกิด เมื่ออะไรมี ภพจึงมี เมื่ออะไรไม่มี ภพจึงไม่มี
ภิกษุนั้นพิจารณาอยู่ ย่อมรู้ประจักษ์ว่า ภพมีอุปาทานเป็นเหตุ มีอุปาทานเป็นสมุทัย
มีอุปาทานเป็นกำเนิด มีอุปาทานเป็นแดนเกิด เมื่ออุปาทานมี ภพจึงมี
เมื่ออุปาทานไม่มี ภพจึงไม่มี ภิกษุนั้นย่อมรู้ประจักษ์ภพ
ย่อมรู้ประจักษ์เหตุเกิดแห่งภพ ย่อมรู้ประจักษ์ความดับแห่งภพ
ย่อมรู้ประจักษ์ปฏิปทาอันสมควรที่ให้ถึงความดับแห่งภพ
และย่อมเป็นผู้ปฏิบัติอย่างนั้น เป็นผู้ประพฤติธรรมอันสมควร
ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุนี้เราเรียกว่า เป็นผู้ปฏิบัติเพื่อความสิ้นทุกข์โดยชอบ
โดยประการทั้งปวง เพื่อความดับแห่งภพ.


อีกประการหนึ่ง ภิกษุเมื่อพิจารณา ย่อมพิจารณาว่า
ก็อุปาทานนี้มีอะไรเป็นเหตุ มีอะไรเป็นสมุทัย มีอะไรเป็นกำเนิด
มีอะไรเป็นแดนเกิด เมื่ออะไรมี อุปาทานจึงมี เมื่ออะไรไม่มี อุปาทานจึงไม่มี
ภิกษุนั้นพิจารณาอยู่ ย่อมรู้ประจักษ์ว่า อุปาทานมีตัณหาเป็นเหตุ มีตัณหาเป็นสมุทัย
มีตัณหาเป็นกำเนิด มีตัณหาเป็นแดนเกิด เมื่อตัณหามี อุปาทานจึงมี
เมื่อตัณหาไม่มี อุปาทานจึงไม่มี ภิกษุนั้นย่อมรู้ประจักษ์อุปาทาน
ย่อมรู้ประจักษ์เหตุเกิดแห่งอุปาทาน ย่อมรู้ประจักษ์ความดับแห่งอุปาทาน
ย่อมรู้ประจักษ์ปฏิปทาอันสมควรที่ให้ถึงความดับแห่งอุปาทาน
และย่อมเป็นผู้ปฏิบัติอย่างนั้น เป็นผู้ประพฤติธรรมอันสมควร
ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุนี้เราเรียกว่า เป็นผู้ปฏิบัติเพื่อความสิ้นทุกข์โดยชอบ
โดยประการทั้งปวง เพื่อความดับแห่งอุปาทาน.


อีกประการหนึ่ง ภิกษุเมื่อพิจารณา ย่อมพิจารณาว่า
ก็ตัณหานี้มีอะไรเป็นเหตุ มีอะไรเป็นสมุทัย มีอะไรเป็นกำเนิด
มีอะไรเป็นแดนเกิด เมื่ออะไรมี ตัณหาจึงมี เมื่ออะไรไม่มี ตัณหาจึงไม่มี
ภิกษุนั้นพิจารณาอยู่ ย่อมรู้ประจักษ์ว่า ตัณหามีเวทนาเป็นเหตุ มีเวทนาเป็นสมุทัย
มีเวทนาเป็นกำเนิด มีเวทนาเป็นแดนเกิด เมื่อเวทนามี ตัณหาจึงมี
เมื่อเวทนาไม่มี ตัณหาจึงไม่มี ภิกษุนั้นย่อมรู้ประจักษ์ตัณหา
ย่อมรู้ประจักษ์เหตุเกิดแห่งตัณหา ย่อมรู้ประจักษ์ความดับแห่งตัณหา
ย่อมรู้ประจักษ์ปฏิปทาอันสมควรที่ให้ถึงความดับแห่งตัณหา
และย่อมเป็นผู้ปฏิบัติอย่างนั้น เป็นผู้ประพฤติธรรมอันสมควร
ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุนี้เราเรียกว่า เป็นผู้ปฏิบัติเพื่อความสิ้นทุกข์โดยชอบ
โดยประการทั้งปวง เพื่อความดับแห่งตัณหา.


อีกประการหนึ่ง ภิกษุเมื่อพิจารณา ย่อมพิจารณาว่า
ก็เวทนานี้มีอะไรเป็นเหตุ มีอะไรเป็นสมุทัย มีอะไรเป็นกำเนิด
มีอะไรเป็นแดนเกิด เมื่ออะไรมี เวทนาจึงมี เมื่ออะไรไม่มี เวทนาจึงไม่มี
ภิกษุนั้นพิจารณาอยู่ ย่อมรู้ประจักษ์ว่า เวทนามีผัสสะเป็นเหตุ มีผัสสะเป็นสมุทัย
มีผัสสะเป็นกำเนิด มีผัสสะเป็นแดนเกิด เมื่อผัสสะมี เวทนาจึงมี
เมื่อผัสสะไม่มี เวทนาจึงไม่มี ภิกษุนั้นย่อมรู้ประจักษ์เวทนา
ย่อมรู้ประจักษ์เหตุเกิดแห่งเวทนา ย่อมรู้ประจักษ์ความดับแห่งเวทนา
ย่อมรู้ประจักษ์ปฏิปทาอันสมควรที่ให้ถึงความดับแห่งเวทนา
และย่อมเป็นผู้ปฏิบัติอย่างนั้น เป็นผู้ประพฤติธรรมอันสมควร
ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุนี้เราเรียกว่า เป็นผู้ปฏิบัติเพื่อความสิ้นทุกข์โดยชอบ
โดยประการทั้งปวง เพื่อความดับแห่งเวทนา.


อีกประการหนึ่ง ภิกษุเมื่อพิจารณา ย่อมพิจารณาว่า
ก็ผัสสะนี้มีอะไรเป็นเหตุ มีอะไรเป็นสมุทัย มีอะไรเป็นกำเนิด
มีอะไรเป็นแดนเกิด เมื่ออะไรมี ผัสสะจึงมี เมื่ออะไรไม่มี ผัสสะจึงไม่มี
ภิกษุนั้นพิจารณาอยู่ ย่อมรู้ประจักษ์ว่า ผัสสะมีสฬายตนะเป็นเหตุ มีสฬายตนะเป็นสมุทัย
มีสฬายตนะเป็นกำเนิด มีสฬายตนะเป็นแดนเกิด เมื่อสฬายตนะมี ผัสสะจึงมี
เมื่อสฬายตนะไม่มี ผัสสะจึงไม่มี ภิกษุนั้นย่อมรู้ประจักษ์ผัสสะ
ย่อมรู้ประจักษ์เหตุเกิดแห่งผัสสะ ย่อมรู้ประจักษ์ความดับแห่งผัสสะ
ย่อมรู้ประจักษ์ปฏิปทาอันสมควรที่ให้ถึงความดับแห่งผัสสะ
และย่อมเป็นผู้ปฏิบัติอย่างนั้น เป็นผู้ประพฤติธรรมอันสมควร
ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุนี้เราเรียกว่า เป็นผู้ปฏิบัติเพื่อความสิ้นทุกข์โดยชอบ
โดยประการทั้งปวง เพื่อความดับแห่งผัสสะ.


อีกประการหนึ่ง ภิกษุเมื่อพิจารณา ย่อมพิจารณาว่า
ก็สฬายตนะนี้มีอะไรเป็นเหตุ มีอะไรเป็นสมุทัย มีอะไรเป็นกำเนิด
มีอะไรเป็นแดนเกิด เมื่ออะไรมี สฬายตนะจึงมี เมื่ออะไรไม่มี สฬายตนะจึงไม่มี
ภิกษุนั้นพิจารณาอยู่ ย่อมรู้ประจักษ์ว่า สฬายตนะมีนามรูปเป็นเหตุ มีนามรูปเป็นสมุทัย
มีนามรูปเป็นกำเนิด มีนามรูปเป็นแดนเกิด เมื่อนามรูปมี สฬายตนะจึงมี
เมื่อนามรูปไม่มี สฬายตนะจึงไม่มี ภิกษุนั้นย่อมรู้ประจักษ์สฬายตนะ
ย่อมรู้ประจักษ์เหตุเกิดแห่งสฬายตนะ ย่อมรู้ประจักษ์ความดับแห่งสฬายตนะ
ย่อมรู้ประจักษ์ปฏิปทาอันสมควรที่ให้ถึงความดับแห่งสฬายตนะ
และย่อมเป็นผู้ปฏิบัติอย่างนั้น เป็นผู้ประพฤติธรรมอันสมควร
ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุนี้เราเรียกว่า เป็นผู้ปฏิบัติเพื่อความสิ้นทุกข์โดยชอบ
โดยประการทั้งปวง เพื่อความดับแห่งสฬายตนะ.


อีกประการหนึ่ง ภิกษุเมื่อพิจารณา ย่อมพิจารณาว่า
ก็นามรูปนี้มีอะไรเป็นเหตุ มีอะไรเป็นสมุทัย มีอะไรเป็นกำเนิด
มีอะไรเป็นแดนเกิด เมื่ออะไรมี นามรูปจึงมี เมื่ออะไรไม่มี นามรูปจึงไม่มี
ภิกษุนั้นพิจารณาอยู่ ย่อมรู้ประจักษ์ว่า นามรูปมีวิญญาณเป็นเหตุ มีวิญญาณเป็นสมุทัย
มีวิญญาณเป็นกำเนิด มีวิญญาณเป็นแดนเกิด เมื่อวิญญาณมี นามรูปจึงมี
เมื่อวิญญาณไม่มี นามรูปจึงไม่มี ภิกษุนั้นย่อมรู้ประจักษ์นามรูป
ย่อมรู้ประจักษ์เหตุเกิดแห่งนามรูป ย่อมรู้ประจักษ์ความดับแห่งนามรูป
ย่อมรู้ประจักษ์ปฏิปทาอันสมควรที่ให้ถึงความดับแห่งนามรูป
และย่อมเป็นผู้ปฏิบัติอย่างนั้น เป็นผู้ประพฤติธรรมอันสมควร
ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุนี้เราเรียกว่า เป็นผู้ปฏิบัติเพื่อความสิ้นทุกข์โดยชอบ
โดยประการทั้งปวง เพื่อความดับแห่งนามรูป.


อีกประการหนึ่ง ภิกษุเมื่อพิจารณา ย่อมพิจารณาว่า
ก็วิญญาณนี้มีอะไรเป็นเหตุ มีอะไรเป็นสมุทัย มีอะไรเป็นกำเนิด
มีอะไรเป็นแดนเกิด เมื่ออะไรมี วิญญาณจึงมี เมื่ออะไรไม่มี วิญญาณจึงไม่มี
ภิกษุนั้นพิจารณาอยู่ ย่อมรู้ประจักษ์ว่า วิญญาณมีสังขารเป็นเหตุ มีสังขารเป็นสมุทัย
มีสังขารเป็นกำเนิด มีสังขารเป็นแดนเกิด เมื่อสังขารมี วิญญาณจึงมี
เมื่อสังขารไม่มี วิญญาณจึงไม่มี ภิกษุนั้นย่อมรู้ประจักษ์วิญญาณ
ย่อมรู้ประจักษ์เหตุเกิดแห่งวิญญาณ ย่อมรู้ประจักษ์ความดับแห่งวิญญาณ
ย่อมรู้ประจักษ์ปฏิปทาอันสมควรที่ให้ถึงความดับแห่งวิญญาณ
และย่อมเป็นผู้ปฏิบัติอย่างนั้น เป็นผู้ประพฤติธรรมอันสมควร
ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุนี้เราเรียกว่า เป็นผู้ปฏิบัติเพื่อความสิ้นทุกข์โดยชอบ
โดยประการทั้งปวง เพื่อความดับแห่งวิญญาณ.


อีกประการหนึ่ง ภิกษุเมื่อพิจารณา ย่อมพิจารณาว่า
ก็สังขารนี้มีอะไรเป็นเหตุ มีอะไรเป็นสมุทัย มีอะไรเป็นกำเนิด
มีอะไรเป็นแดนเกิด เมื่ออะไรมี สังขารจึงมี เมื่ออะไรไม่มี สังขารจึงไม่มี
ภิกษุนั้นพิจารณาอยู่ ย่อมรู้ประจักษ์ว่า สังขารมีอวิชชาเป็นเหตุ มีอวิชชาเป็นสมุทัย
มีอวิชชาเป็นกำเนิด มีอวิชชาเป็นแดนเกิด เมื่ออวิชชามี สังขารจึงมี
เมื่ออวิชชาไม่มี สังขารจึงไม่มี ภิกษุนั้นย่อมรู้ประจักษ์สังขาร
ย่อมรู้ประจักษ์เหตุเกิดแห่งสังขาร ย่อมรู้ประจักษ์ความดับแห่งสังขาร
ย่อมรู้ประจักษ์ปฏิปทาอันสมควรที่ให้ถึงความดับแห่งสังขาร
และย่อมเป็นผู้ปฏิบัติอย่างนั้น เป็นผู้ประพฤติธรรมอันสมควร
ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุนี้เราเรียกว่า เป็นผู้ปฏิบัติเพื่อความสิ้นทุกข์โดยชอบ
โดยประการทั้งปวง เพื่อความดับแห่งสังขาร.


ภิกษุทั้งหลาย บุคคลตกอยู่ในอวิชชา
ถ้าสังขารที่เป็นบุญปรุงแต่ง วิญญาณก็เข้าถึงบุญ
ถ้าสังขารที่เป็นบาปปรุงแต่ง วิญญาณก็เข้าถึงบาป
ถ้าสังขารที่เป็นอเนญชาปรุงแต่ง วิญญาณก็เข้าถึงอเนญชา.


[๑๙๒] ภิกษุทั้งหลาย ในกาลใด ภิกษุละอวิชชาได้แล้ว วิชชาเกิดขึ้นแล้ว
ในกาลนั้น ภิกษุนั้นก็ไม่ทำกรรมเป็นบุญ ไม่ทำกรรมเป็นบาป
ไม่ทำกรรมเป็นอเนญชา เพราะสำรอกอวิชชาเสีย เพราะมีวิชชาเกิดขึ้น
เมื่อไม่ทำ เมื่อไม่คิด ก็ไม่ถือมั่นอะไร ๆ ในโลก เมื่อไม่ถือมั่น ก็ไม่สะดุ้งกลัว
เมื่อไม่สะดุ้งกลัว ก็ปรินิพพานเฉพาะตน ย่อมรู้ชัดว่า ชาติสิ้นแล้ว
พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำ ทำเสร็จแล้ว
กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี
ภิกษุนั้นถ้าเสวยสุขเวทนา ก็รู้ชัดว่าสุขเวทนานั้นไม่เที่ยง
อันตนไม่ยึดถือแล้วด้วยตัณหา อันตนไม่เพลิดเพลินแล้วด้วยตัณหา
ถ้าเสวยทุกขเวทนา ก็รู้ชัดว่า ทุกขเวทนานั้นไม่เที่ยง
อันตนไม่ยึดถือแล้วด้วยตัณหา อันตนไม่เพลิดเพลินแล้วด้วยตัณหา
ถ้าเสวยอทุกขมสุขเวทนา ก็รู้ชัดว่า อทุกขมสุขเวทนานั้นไม่เที่ยง
อันตนไม่ยึดถือแล้วด้วยตัณหา อันตนไม่เพลิดเพลินแล้วด้วยตัณหา
ภิกษุนั้นถ้าเสวยสุขเวทนา ก็วางใจเฉยเสวยไป
ถ้าเสวยทุกขเวทนา ก็วางใจเฉยเสวยไป
ถ้าเสวยอทุกขมสุขเวทนา ก็วางใจเฉยเสวยไป
ภิกษุนั้นเมื่อเสวยเวทนาที่ปรากฏทางกาย ก็รู้ชัดว่า เราเสวยเวทนาที่ปรากฏทางกาย
เมื่อเสวยเวทนาที่ปรากฏทางชีวิต ก็รู้ชัดว่า เราเสวยเวทนาที่ปรากฏทางชีวิต
รู้ชัดว่า เวทนาทั้งปวงอันตัณหาไม่เพลิดเพลินแล้ว จักเป็นของเย็น
สรีรธาตุจักเหลืออยู่ในโลกนี้เท่านั้น เบื้องหน้าตั้งแต่สิ้นชีวิต เพราะความแตกแห่งกาย.


[๑๙๓] ภิกษุทั้งหลาย บุรุษยกหม้อที่ยังร้อนออกจากเตาเผาหม้อวางไว้ที่พื้นดินอันเรียบ
ไออุ่นที่หม้อนั้นพึงหายไป กระเบื้องหม้อยังเหลืออยู่ที่พื้นดินนั้นนั่นแหละ แม้ฉันใด
ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุเมื่อเสวยเวทนาที่ปรากฏทางกาย
ก็รู้ชัดว่า เราเสวยเวทนาที่ปรากฏทางกาย
เมื่อเสวยเวทนาที่ปรากฏทางชีวิต ก็รู้ชัดว่า เราเสวยเวทนาที่ปรากฏทางชีวิต
รู้ชัดว่า เวทนาทั้งปวงอันตัณหาไม่เพลิดเพลินแล้ว จักเป็นของเย็น
สรีรธาตุจักเหลืออยู่ในโลกนี้เท่านั้น เบื้องหน้าตั้งแต่สิ้นชีวิต
เพราะความแตกแห่งกาย ฉันนั้นเหมือนกัน.


[๑๙๔] ภิกษุทั้งหลาย พวกเธอจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน
ภิกษุผู้ขีณาสพพึงทำกรรมเป็นบุญบ้าง ทำกรรมเป็นบาปบ้าง
ทำกรรมเป็นอเนญชาบ้างหรือหนอ.
ภิกษุทั้งหลายทูลว่า ไม่เป็นอย่างนั้น พระเจ้าข้า.
พ. ก็อีกอย่างหนึ่ง เมื่อสังขารไม่มีโดยประการทั้งปวง
เพราะสังขารดับ วิญญาณพึงปรากฏหรือหนอ.
ภิ. ไม่เป็นอย่างนั้น พระเจ้าข้า.
พ. อีกอย่างหนึ่งเมื่อวิญญาณไม่มีโดยประการทั้งปวง
เพราะวิญญาณดับ นามรูปพึงปรากฏหรือหนอ.
ภิ. ไม่เป็นอย่างนั้น พระเจ้าข้า.
พ. ก็อีกอย่างหนึ่ง เมื่อนามรูปไม่มีโดยประการทั้งปวง
เพราะนามรูปดับ สฬายตนะพึงปรากฏหรือหนอ.
ภิ. ไม่เป็นอย่างนั้น พระเจ้าข้า.
พ. ก็อีกอย่างหนึ่ง เมื่อสฬายตนะไม่มีโดยประการทั้งปวง
เพราะสฬายตนะดับ ผัสสะพึงปรากฏหรือหนอ.
ภิ. ไม่เป็นอย่างนั้น พระเจ้าข้า.
พ. ก็อีกอย่างหนึ่ง เมื่อผัสสะไม่มีโดยประการทั้งปวง
เพราะผัสสะดับ เวทนาพึงปรากฏหรือหนอ.
ภิ. ไม่เป็นอย่างนั้น พระเจ้าข้า.
พ. ก็อีกอย่างหนึ่ง เมื่อเวทนาไม่มีโดยประการทั้งปวง
เพราะเวทนาดับ ตัณหาพึงปรากฏหรือหนอ.
ภิ. ไม่เป็นอย่างนั้น พระเจ้าข้า.
พ. ก็อีกอย่างหนึ่ง เมื่อตัณหาไม่มีโดยประการทั้งปวง
เพราะตัณหาดับ อุปาทานพึงปรากฏหรือหนอ.
ภิ. ไม่เป็นอย่างนั้น พระเจ้าข้า.
พ. ก็อีกอย่างหนึ่ง เมื่ออุปาทานไม่มีโดยประการทั้งปวง
เพราะอุปาทานดับ ภพจึงปรากฏหรือหนอ.
ภิ. ไม่เป็นอย่างนั้น พระเจ้าข้า.
พ. ก็อีกอย่างหนึ่ง เมื่อภพไม่มีโดยประการทั้งปวง
เพราะภพดับ ชาติพึงปรากฏหรือหนอ.
ภิ. ไม่เป็นอย่างนั้น พระเจ้าข้า.
พ. ก็อีกอย่างหนึ่ง เมื่อชาติไม่มีโดยประการทั้งปวง
เพราะชาติดับ ชราและมรณะพึงปรากฏหรือหนอ.
ภิ. ไม่เป็นอย่างนั้น พระเจ้าข้า.


[๑๙๕] ดีละ ๆ ภิกษุทั้งหลาย พวกเธอจงสำคัญ จงเชื่อซึ่งข้อนั้นไว้อย่างนั้นเถิด
พวกเธอจงน้อมใจไปสู่ข้อนั้นอย่างนั้นเถิด
จงหมดความเคลือบแคลงสงสัยในข้อนั้นเถิด นั่นเป็นที่สุดทุกข์.


ปริวีมังสนสูตร จบ



(ปริวีมังสนสูตร พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค
พระไตรปิฎกและอรรถกถาแปล ฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย เล่มที่ ๒๖)



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP