สารส่องใจ Enlightenment

ตั้งอยู่ในความเมตตา (ตอนที่ ๒)



พระธรรมเทศนา โดย หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม
วัดแพร่ธรรมาราม อ.เด่นชัย จ.แพร่




ตั้งอยู่ในความเมตตา (ตอนที่ ๑) (คลิก)



ปัญหาต่าง ๆ ที่มันมีเพราะเรามีความเกิด
เมื่อเรามีความเกิดก็ต้องมีความแก่ความเจ็บความตาย

มันก็เป็นกระบวนไปหมด มีปัญหาเยอะแยะมากมาย
ถ้าเรามาทำตามใจของเรา ทำตามอารมณ์ของเรา
ปัญหาต่างๆ มันก็เป็นของมันไปอย่างนี้ มันไม่มีวันจบ

พระพุทธเจ้าท่านให้เราเจริญเมตตา เดินทางสายกลาง
เอาศีล ๕ เป็นที่ตั้ง เอาศีล ๘ ศีลอุโบสถ ศีล ๒๒๗ เป็นที่ตั้ง
เพราะศีลคือความบริสุทธิ์ผุดผ่อง ปราศจากความโลภความโกรธความหลง
ทำให้เรามีทรัพย์สมบัติ มีอริยทรัพย์คือคุณธรรมนำเราเป็นพระอริยเจ้า


ต้องเดินตามอริยมรรค เราจะไปทำตามใจตามอารมณ์ตัวเองไม่ได้
เรานี้มันเป็นคนอารมณ์ร้อน เจ้าอารมณ์ เราเป็นคนอารมณ์ร้อนเหลือเกิน
เผาทั้งตัวเอง เผาทั้งคนอื่น อย่างนี้ไม่ได้ มันต้องหยุดตัวเอง
เหมือนองคุลีมาลวิ่งไล่ตามพระพุทธเจ้า
พระพุทธเจ้าแสดงอิทธิปาฏิหาริย์ให้องคุลีมาลวิ่งตามไม่ทัน
องคุลีมาลก็บอกให้พระพุทธเจ้าหยุด
พระพุทธเจ้าตรัสบอกว่า
“เราหยุดแล้ว ตัวเธอนั้นยังไม่หยุด”
องคุลีมาลตรัสว่าพระพุทธเจ้ายังไม่หยุด
พระพุทธเจ้าตรัสว่าเราหยุดทำบาปทำกรรมเสียแล้ว องคุลีมาลนั่นแหละยังไม่หยุด
องคุลีมาลได้สติ ท่านคิดได้เพราะว่าท่านมีปัญญา
ท่านก็วางดาบไปกราบพระพุทธเจ้า
พระพุทธเจ้าก็เทศน์อบรมสั่งสอนให้เจริญเมตตา


พระพุทธเจ้าท่านก็ตรัสให้องคุลีมาลทราบว่า
อดีตชาติองคุลีมาลเคยเป็นเต่าใหญ่อยู่ที่มหาสมุทร
ช่วยเหลือเรือสำเภาที่กำลังอับปาง ที่มีคนนั่งมา ๙๙๙ คน
เมื่อส่งคนสุดท้ายแล้ว คนที่เต่าช่วยเหลือนั้นก็พากันจับเต่าฆ่ากินเป็นอาหาร
กรรมนั้นน่ะที่มันตามสนองในวาระสุดท้ายที่องคุลีมาลจะได้บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์
จึงได้ฆ่าตัดเอานิ้วมือร้อยเป็นมาลัย
นั่นก็เกิดจากแรงพยาบาทเหมือนกันนะ
เพราะว่าอาจารย์คนที่สอนองคุลีมาลจะได้ดีจะเก่งกว่า
ก็เลยหาวิธีที่จะให้เขาฆ่า ทางเจ้าหน้าที่บ้านก็จับองคุลีมาลประหาร



ความพยาบาทนี้มันรุนแรงนะ ผู้ที่มีโทสจริตมันต้องมาจากกรรมเก่า
เมื่อรู้ตัวเองว่าตัวเองเป็นคนที่มีโทสจริต ต้องปรับปรุงแก้ไข
ถ้าไม่แก้ไขไม่ได้ มันยิ่งกำเริบเสิบสานไปเรื่อย
เราอย่าปล่อยให้เราเสียเวลานานเกิน ต้องหยุดตัวเอง
เราจะเป็นคนตามอารมณ์ตัวเอง ตามความฟุ้งซ่านไม่ได้
มันเดือดร้อนทั้งตัวเอง เดือดร้อนทั้งคนอื่น



เราต้องหยุดมองดูหัวใจของตัวเอง
ดูตัวอย่างพระพุทธเจ้าท่านมีเมตตาขนาดไหน
ท่านมีความเมตตาอย่างไม่มีที่สุดไม่มีประมาณ
เรามีตัวอย่างที่ดีๆ เราก็ต้องเอาตัวอย่าง
ถ้าเรามาสวดมนต์บทแผ่เมตตา เราไม่มาเจริญเมตตาทางจิตทางใจ
เมตตามันจะเกิดขึ้นได้อย่างไร เพราะอันนั้นมันเป็นหนังสือที่เขาพิมพ์มาให้เราสวดแผ่เมตตา
เราเกิดมาตั้งแต่เด็ก ได้ยินผู้ใหญ่บอกว่าให้แผ่เมตตา เจริญเมตตา
เราต้องน้อมมาปฏิบัติเข้าสู่จิตใจของเรา
เพราะทุกคนในโลกนี้ล้วนแต่เป็นญาติพี่น้องกันทั้งหมด ไม่ว่าคนไม่ว่าสัตว์ ทั้งสัตว์ใหญ่เล็ก


ทุกวันนี้เรามองดูคนส่วนใหญ่ไม่พากันเจริญเมตตาเลย
คนฉลาดเอาเปรียบคนที่ด้อยกว่า คนมีกำลังมากก็ทำร้ายคนมีกำลังน้อยกว่า
ที่เราเรียนเราศึกษาส่วนใหญ่ก็เพื่อจะเอาเปรียบคนอื่น
เพื่อให้มันเก่งมันฉลาดจะได้เอาเปรียบคนอื่น เพื่อจะได้อยู่สบายกินสบายนอนสบาย
ไม่คำนึงถึงความยากลำบากของคนอื่น ทำอาชีพจากคนยากคนจน
ชื่อว่ามันขาดความเมตตานะ



ชีวิตนี้สำคัญมาก ต้องเอาชีวิตมาเจริญเมตตา
ดูตัวอย่างพระพุทธเจ้าที่ท่านส่งพระสาวกไปเผยแผ่พระพุทธศาสนา ท่านจงทำอย่างไร?
สาวกตรัสว่า ถ้าเขาว่าให้ก็ดีกว่าเขาตีพระเจ้าค่ะ
เมื่อเขาตีเธอ เธอจะทำอย่างไร
เมื่อเขาตีก็ยังดีกว่าฆ่าพระเจ้าค่ะ
เมื่อเขาฆ่าเธอ เธอจะทำอย่างไร
เมื่อเขาฆ่าก็ยังดีกว่าเราฆ่าเขาพระเจ้าค่ะ
“นั่นแสดงถึงว่าท่านมีคุณธรรม ไม่มีตัวตน มีเมตตาที่แท้จริง”


เด็กๆ ที่เกิดมาได้รับความเมตตาจากคุณพ่อคุณแม่หรือผู้มีพระคุณทั้งหลาย
เป็นผู้รับอย่างเดียว ไม่เคยเป็นผู้ให้
พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่ากตัญญูกตเวทีนี่เป็นคุณธรรมของคนดี
เมื่อท่านให้เรา เราก็ต้องตอบแทนพระคุณของท่าน เราจะเป็นแต่ผู้รับอย่างเดียวไม่ได้



การตอบแทนพระคุณของพ่อแม่ เราจะตอบแทนด้วยวิธีใด
การตอบแทนพระคุณของพ่อแม่ เราต้องเป็นคนดี เป็นคนเสียสละ
ไม่ขี้เกียจขี้คร้าน ไม่ติดสุขติดสบาย ตั้งใจเรียนหนังสือ อ่านหนังสือ ท่องหนังสือ
ไม่เอาโทรศัพท์ คอมพิวเตอร์ โน้ตบุ๊ก ไอแพด ไอโฟน ไปใช้ในทางบันเทิง
ต้องเอาไปใช้ในการเรียนการศึกษา ในหน้าที่การงาน
เพราะว่าทุกวันนี้เทคโนโลยีเขาสร้างมาเพื่อให้มนุษย์ของเราได้พัฒนาตัวเอง
จะได้ไม่ยากลำบากเหมือนคนรุ่นเก่า
มือถือของเรานี้ คอมพิวเตอร์ที่เราใช้เรียนหนังสือ อันนี้เป็นสิ่งที่ดีมากมีประโยชน์มาก
แต่ถ้าเราใช้ไปในทางบันเทิง สิ่งเหล่านี้แหละมันจะทำร้ายเรา
มันจะเป็นนรกหลุมเล็กหลุมใหญ่ ทำให้เราหลงทำให้เราติด
วันหนึ่งก็อยู่กับพวกมือถืออยู่กับคอมพิวเตอร์อยู่กับอินเตอร์เน็ต
อยู่แบบหลงงมงายแต่ไม่ใช่อยู่แบบคนฉลาดมีปัญญานะ



เวลานี้มันเป็นของจำกัด
ถ้าเราเอาเวลานั้นๆ ไปใช้ทางบันเทิง ชื่อว่าเราทำผิด เรามีความผิด
บาปกรรมมันจะมาถึงเราตอนที่เราเข้าห้องสอบ ความรู้ความสามารถของเราไม่มี
เลยร้อนจิตร้อนใจ เครียดไปหมด มันกดดัน กำปากกาจนเหงื่อเต็มมือไปหมด
เพราะอะไร
? เพราะว่าเราทำร้ายตัวเราเอง โดยไม่ทำตัวเป็นคนดีคนกตัญญูกตเวที
นี้เอาเวลาไปใช้ในทางที่ไม่เกิดประโยชน์
คนเรามันต้องขยันมากๆ ขยันจริงๆ ขยันสม่ำเสมอ
มีความสุขในการเสียสละละความเห็นแก่ตัว
ต้องหยุดใจของตัวเองให้ได้ หยุดอารมณ์ให้ได้
อย่าวิ่งตามอารมณ์ อย่าวิ่งตามสิ่งภายนอก
เห็นคุณค่าในประโยชน์ในกาลเวลาในการเรียนการศึกษา


ถ้าจิตใจของเรามันออกข้างนอกเยอะๆ
จิตใจของเรามันจะสกปรก จิตใจของเรามันจะหยาบคาย
มันจะไม่เป็นคนกตัญญูกตเวที มันจะชอบเถียงคุณพ่อคุณแม่ ผิดหรือถูกก็เถียงไว้ก่อน
เวลาพ่อแม่ใช้งานก็เดี๋ยวก่อนเดี๋ยวก่อน
ไปทำอย่างนั้นมันไม่ได้ ไม่ถูก
การเถียงคุณพ่อคุณแม่ก็ถือว่ามันไม่ดีไม่ถูกต้อง มันเป็นบาปเป็นกรรม


กรรมที่เราเถียงพ่อเถียงแม่
เรามีลูกมีหลาน ลูกหลานมันก็เถียงเรามากกว่าเก่าอีก
คนฉลาดเขาไม่เถียงคุณพ่อคุณแม่นะ
เพราะคุณพ่อคุณแม่นี้ถือว่าเป็นผู้ประเสริฐ เป็นผู้มีพระคุณ
ถึงท่านจะไม่รวย ถึงท่านจะเรียนไม่สูงไม่เก่ง แต่ท่านก็เลี้ยงดูเรามาได้ถึงเท่าทุกวันนี้
เราเกิดมาเรามีลมหายใจก็ถือว่าประเสริฐแล้ว ให้เรามาช่วยเหลือพ่อช่วยเหลือแม่
ช่วยเหลือญาติพี่น้องวงศ์ตระกูล ช่วยเหลือประเทศชาติบ้านเมือง
เราต้องมีเมตตาต่อท่าน เพราะท่านก็แก่เฒ่าไปทุกวัน
เราจะไปเถียงคนแก่มันจะถูกเหรอ มันจะดีเหรอ
เพราะคนแก่มันชักลืมหน้าลืมหลัง บางทีกลัวเราไม่ได้ดี ไม่กี่นาทีก็มาพูดเรื่องเก่าอยู่นั่นแหละ
เราต้องเป็นคนดีที่เสียสละ ต้องให้พ่อแม่มีความสุข ต้องให้พ่อแม่วางใจนะ



ถ้าเราเป็นคนดีเป็นคนเสียสละ ทุกอย่างมันดีหมด มันไม่ดีเป็นไปไม่ได้
ชีวิตของเราต้องก้าวไปด้วยความดี อย่าได้ไปท้อแท้อ่อนแอท้อถอยนะ
ความดีเราต้องตั้งไว้ตลอดกาล ที่เราเถียงพ่อเถียงแม่ที่ผ่านๆ มา ให้แล้วๆ ไป
คนเถียงพ่อเถียงแม่เรียกว่าคนไม่ดีคนไม่เก่ง
มันต้องหยุดเถียงพ่อเถียงแม่ มันถึงจะเป็นคนประเสริฐ เป็นคนน่ารัก
เราปฏิบัติอย่างนี้เขาเรียกว่าเป็นคนกตัญญูกตเวที
นิสัยมันชอบเถียงนะ เถียงพ่อเถียงแม่ยังไม่พอยังไปเถียงพระพุทธเจ้าอีก
ว่าพระพุทธเจ้าทำไมบัญญัติอย่างโน้นอย่างนี้ มีเหตุผลอะไร ทำแล้วได้อะไร
คนมันจะเอาเนอะ เขาเรียกว่าคนขี้เกียจ ทำอะไรมันต้องหาเหตุผลอยู่นั่นแหละ
จะทำวัตรสวดมนต์ก็ยังคิดนะว่านั่งสวดมนต์กับนั่งสมาธิ อันไหนมันจะได้บุญมากกว่า
เรามันคิดอย่างนี้นะ เขาเรียกว่าคนขี้เกียจ ทำอะไรมันก็ดีหมดถ้าทำดี



พระพุทธเจ้าท่านให้ผู้ที่เป็นคุณพ่อคุณแม่ปู่ย่าตายายปฏิบัติธรรม ทำหน้าที่ของตนเอง
เราเป็นปูชนียบุคคล เป็นบุคคลตัวอย่างเป็นแบบพิมพ์
ต้องมีศีลเป็นที่ตั้ง มีธรรมเป็นที่ตั้ง รู้จักไหว้พระสวดมนต์นั่งสมาธิ ไปอยู่วัดถือศีลภาวนา
อย่าไปพูดมากบ่นมาก บ่นยิ่งกว่าพระสวดมนต์เก่งๆ เสียอีก
ทำอย่างนั้นไม่ได้ พวกลูกๆ หลานๆ เขารำคาญ
เราต้องเป็นผู้ใหญ่ใจดี รู้จักสรรเสริญลูก รู้จักชมลูกชมหลาน
ว่าเขาดีอย่างนั้นเขาเก่งอย่างนั้น เขามีความสามารถ เขาฉลาด
อย่าไปสาปไปแช่งเอาแต่ว่า เอาแต่ตำหนิ ทำอย่างนั้นไม่ได้ไม่ถูก
แทนที่เด็กมันจะได้สติมีกำลังใจ มันกลับเสียกำลังใจ
เราทำอย่างนั้นปฏิบัติอย่างนั้นมันไม่น่ารักไม่น่าเคารพนับถือนะ
ต้องฝึกท่องพุทโธไว้เยอะๆ อย่าเอาแต่
“พุทโธ่ๆ” ไม่ได้นะ


ไปห่วงลูกห่วงหลานจนทุกข์ ห่วงจนมีความทุกข์
พระพุทธเจ้าท่านให้เราฝึกปล่อยฝึกวางนะ
เราอยากให้เป็นอย่างโน้นอย่างนี้ มันก็ไม่เป็นเหมือนเราคิด
เขาจะดีเขาจะชั่ว เขาจะรวยจะจน ก็เป็นเรื่องของเขา
เราอย่าไปคิดมาก รู้จักปล่อย รู้จักวางเสียบ้าง
เราอย่าไปคิดว่ามันปล่อยไม่ได้วางไม่ได้ พูดอย่างนั้นก็ไม่ถูก
ก็เราไม่ปล่อยไม่วางมันจะวางได้อย่างไร ฝึกปล่อยฝึกวางไว้มากๆ นะ
ฝึกหายใจเข้าสบาย ออกสบายไว้มากๆ นะ ฝึกหายใจเข้าสบายออกสบายไว้
เราพอใจในความแก่ของเรา พอใจในความไปไหนมาไหนไม่คล่องตัว เราก็พอใจ
ถ้าเราไม่พอใจเราก็เป็นทุกข์ แม้แต่ร่างกายของเราเจ็บป่วยเป็นทุกข์เราก็ต้องพอใจนะ
เพราะเราเกิดมาแล้วมันก็ต้องแก่ต้องเจ็บอย่างนี้แหละ
แม้แต่เราจะตายก็ต้องพอใจในความตาย
มันจะตายช้าก็ช่างมัน จะตายเร็วก็ช่างมัน เราต้องพอใจกับสิ่งที่มีสิ่งที่เป็นอยู่
ฝึกภาวนาไว้ให้มันชำนิชำนาญ
ถ้าเราไม่ภาวนาไม่มีใครมาภาวนาให้เรานะ
ตนแลเป็นที่พึ่งของตนนะ เรื่องจิตเรื่องใจ มันเป็นเรื่องของตัวเอง
เราต้องปฏิบัติของเราเอง ทำแทนกันไม่ได้



ทรัพย์ภายนอกมันเป็นสิ่งที่เอาไปด้วยไม่ได้ ไม่ว่าเรารวยเท่าไหร่ก็เอาไปไม่ได้
นอกจากอริยทรัพย์คือศีลธรรม
เราแก่แล้วถือว่าเวลาเราน้อยมากแล้ว
เมื่อเวลามันน้อยอย่างนี้ เราก็ทำหน้าที่ของเราด้วยความตั้งใจ ด้วยความไม่ประมาท
พระพุทธเจ้าท่านกว่าจะเสด็จดับขันธปรินิพพาน
ท่านก็ได้มีเมตตาตรัสโอวาทครั้งสุดท้ายว่า

“สังขารทั้งหลายมีความเสื่อมสิ้นเป็นธรรมดา
ท่านทั้งหลายจงยังความไม่ประมาทให้ถึงพร้อมเถิด”

ถ้าเรายังห่วงลูกห่วงหลาน ห่วงลาภยศสรรเสริญ
แสดงว่าเราตั้งอยู่ในความประมาท


หวังว่าทุกท่านทุกคนจะได้น้อมนำเอาโอวาทจากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ที่องค์พ่อแม่ครูบาอาจารย์เมตตาฝากมาให้พวกเราพากันประพฤติปฏิบัติ
การบรรยายพระธรรมคำสอนวันนี้เห็นสมควรแก่เวลา



พระธรรมคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ที่องค์พ่อแม่ครูอาจารย์เมตตาให้นำมาบรรยาย
เช้าวันอังคารที่ ๒๙ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๕๕



- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -- - - - - - - - - - - - - - - -


คัดจาก “สมบัติของพ่อ เล่มที่ ๒” พระธรรมเทศนา โดย หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP