วรรณกรรมนำใจ Lite Literature

เถ้าน้ำค้าง ๘



Tao Nam Kang - front re



ชลนิล



(ต่อจากฉบับที่แล้ว)



บทที่ ๕



            เลียบเมืองรีบไปโรงพยาบาลพร้อมกับมารดาตั้งแต่เช้ามืด เพื่อเป็นกำลังใจให้ปันปันก่อนผ่าตัด เจ้าตัวน้อยมีสีหน้าสดใสกว่าเมื่อวาน ตั้งใจตื่นมารอแม่กับพี่ชายอยู่แล้ว เสียงแจ้ว ๆ บอกถึงกำลังใจ ความกล้าหาญ พร้อมเผชิญการผ่าตัดอย่างเข้มแข็ง

            “พี่ปอนต้องไปขับเครื่องบินกี่โมง...” เด็กหญิงเห็นพี่ชายแต่งฟอร์มนักบิน ก็รู้ว่าเขาต้องไปทำงานต่อ ไม่มีเวลา อยู่ที่โรงพยาบาลทั้งวัน

            “อีกเดี๋ยวพี่ต้องไปแล้ว...” เขาตอบแล้วรีบพูดต่อ “แต่ปันปันไม่ต้องห่วงนะ เสร็จงานแล้วพี่จะรีบกลับ ไม่แน่นะ พอปันปันผ่าตัดเสร็จ ฟื้นขึ้นมาอาจเจอพี่มานั่งรออยู่แล้วก็ได้”

            ปันปันเกี่ยวกระตุกนิ้วก้อยเขาเบา ๆ

            “พี่ปอนรอให้ปันปันเข้าห้องผ่าตัดก่อนไม่ได้เหรอ” เด็กหญิงออดอ้อน

            “เอ...พี่ไม่แน่ใจ” เลียบเมืองลังเล หันไปถามมารดา “หมอเขาจะพาปันปันไปตอนกี่โมงครับแม่”

            “น่าจะเจ็ดแปดโมงนะ” คุณหญิงตอบลูกชาย ก่อนก้มลงบอกลูกสาว “แต่ปันปันไม่ต้องกลัวนะ แม่จะอยู่กับลูกทั้งวันเลย”

            เด็กหญิงยิ้มแป้นยินดี พอนึกถึงบางเรื่องได้ก็หน้าม่อยลง

            “แม่อยู่ได้ แต่พี่ปอนอยู่ไม่ได้ใช่มั้ยละ” คำบ่นกึ่งพ้อ

            “มีอะไรหรือเปล่าลูก” แม่ถาม

           ปันปันส่ายหน้าไม่ตอบ ถอนใจเฮือกใหญ่ ในใจคิดถึง “พี่ลาน” พี่สาวคนเมื่อวานจะมาทันหรือเปล่า เธออยาก ให้พี่สาวคนนี้ได้พบกับพี่ชายตนเอง...เรื่องพวกนี้เธอจะบอกแม่กับพี่ปอนได้อย่างไร




- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -




            รถเข็นกำลังพาปันปันไปสู่ห้องผ่าตัด เด็กหญิงนั่งตัวเกร็ง อึดอัด ขุ่นใจ ล้อรถหมุนแกร้ก ๆ ชวนรำคาญหู อยากอาละวาด

            พี่ปอนไปทำงานแล้ว ส่วนแม่ไม่ได้ตามมาส่งถึงห้องผ่าตัด หนำซ้ำคนที่ตั้งใจรอคอยก็ยังไม่มา ใจดวงน้อยจึงเคว้งคว้าง ว้าเหว่

            อีกไม่ไกลจะถึงห้องผ่าตัด ปันปันอดเหลียวมองด้านหลังไม่ได้ หวังจะได้พบพี่ลาน พี่สาวใจดีที่ตนเองกำลังรอคอย พอไม่เห็นก็ใจหาย ก้มหน้า ถอนใจ ไม่สนใจจะถูกพาไปไหน จนรถเข็นจอดหน้าประตูแล้วมีเสียงเรียกดังขึ้น

            “ปันปัน” เสียงของพี่ลาน

            ปันปันเงยหน้าพบคนที่รอคอย รอยยิ้มเบิกกว้างยินดี ลานน้ำค้างยืนรอ หน้าห้องผ่าตัด ท่าทางเหน็ดเหนื่อย ถึงอย่างนั้นหล่อนก็ยังคุกเข่า ส่งรอยยิ้มสว่างสดใสให้เด็กน้อย

            “ขอโทษนะจ๊ะที่พี่มาช้าไปหน่อย” หญิงสาวไม่ได้บอกว่า หล่อนแทบวิ่งมา เพื่อให้ทันก่อนปันปันเข้าห้องผ่าตัด

            “ไม่เป็นไรค่ะ ปันปันดีใจที่พี่ลานมาหา”

            “สู้ สู้นะจ๊ะ” ลานน้ำค้างให้กำลังใจ “ปันปันคนเก่งของพี่”

            “ค่ะ...ปันปันไม่กลัวหรอก” เด็กหญิงยิ้มตาหยี ทั้งที่เมื่อครู่ยังขุ่นใจอยู่เลย “น่าเสียดายที่พี่ลานไม่ได้เจอพี่ปอน”

            “ใครเอ่ย?” ลานน้ำค้างสงสัย

            “พี่ชายของปันปันเอง...หล่อมากเลยนะ ปันปันอยากให้พี่ลานรู้จัก”

            หญิงสาวกลั้นยิ้ม นึกขันเด็กน้อยที่จู่ ๆ เอาพี่ชายมาเสนอ

            “พอปันปันผ่าตัดเสร็จ ค่อยแนะนำให้พี่รู้จักก็ได้”

            ลานน้ำค้างพูดแค่นี้ พยาบาลที่เข็นรถก็แสดงท่าว่าต้องรีบพาเด็กหญิงเข้าห้องเตรียมผ่าตัดแล้ว หญิงสาวขยับ ตัวออกห่าง ปันปันทำท่าเหมือนต้องการคำยืนยันแต่ก็ไม่ทัน รถเข็นถูกพาเข้าห้องเรียบร้อยแล้ว

            หญิงสาวลุกขึ้นยืน ยิ้มอย่างโล่งอก หล่อนเกือบมาไม่ทัน เพราะไม่ได้ให้บูรพามาส่ง ต้องขึ้นรถเมล์เอง ถึงโรงพยาบาลก็รีบเสียแทบแย่ กลัวไม่ทันปันปันเข้าห้องผ่าตัด

            มาถึงจวนเจียนเต็มที พยาบาลกำลังเข็นรถปันปันเข้าห้อง จึงมีโอกาสพูดจาให้กำลังใจ ถือว่าทำตามสัญญา เรียบร้อย เตรียมตัวไปฝึกงาน ไม่รู้จะได้มาเยี่ยมอีกเมื่อไหร่?

            เดินจากหน้าห้องมาได้สองสามก้าวก็เย็นสันหลังวูบ คล้ายมีใครยืนอยู่เบื้องหลัง

            หันกลับไปดูด้วยความสงสัย พบชายวัยกลางคนยืนหันหลังอยู่หน้าประตูห้องผ่าตัด หญิงสาวขนลุกซู่เป็นหย่อม สัมผัสภายในส่งสัญญาณประหลาด ชวนให้นึกอยากเบือนหน้า แล้วรีบหนีจากบริเวณนั้นโดยไม่ต้องการรับรู้อะไร

            ช้าไปแล้ว...ชายผู้นั้นคงรับรู้ถึงสายตาที่จ้องมอง เขาจึงค่อยหมุนตัวมาเผชิญหน้ากับหญิงสาวที่ยืนนิ่ง ทำอะไร ไม่ถูก

             ลานน้ำค้างเห็นใบหน้าเขาชัด...ชัดเจนเกินไปด้วยซ้ำ ชายกลางคนนี้มีใบหน้าคลับคล้าย คุ้นเคย บนใบหน้าปรากฏริ้วรอยความทุกข์ ความหม่นซึมครอบคลุม สร้างความหดหู่ เศร้า กระแสเหล่านั้นเชื่อมโยงถึงใจ ชวนให้เกิดเมตตาสงสาร

            หญิงสาวแผ่ความรู้สึกเมตตา ปรารถนาดีออกไปโดยอัตโนมัติ กระแสใจอ่อนโยน อบอุ่นถ่ายทอดสู่ฝ่ายตรงข้ามด้วยความเต็มใจ ใบหน้าเขามีรอยยิ้มจาง ๆ ราวกับรับรู้ได้ ก่อนจะเบือนกลับ เดินผ่านประตูห้องผ่าตัดอย่างง่ายดาย

            ลานน้ำค้างเดินไปยังจุดที่ร่างเขายืนอยู่ ความกลัวไม่หลงเหลือในใจ เพียงนึกสงสัย...ทำไมตนเองมองเห็นผู้อยู่ต่างภพชัดเจนขนาดนี้ และเหตุใดเขาถึงเข้าห้องผ่าตัดด้วย...

            หรือชายคนนี้เกี่ยวข้องกับปันปัน!!

            ความคิดวาบผ่านสมอง ก่อความสงสัยรุนแรง อยากรู้ อยากเดินตามเข้าไปข้างในห้องด้วย แต่สติเตือนว่า ทำไม่ได้...ไม่มีประโยชน์

            เสียงโทรศัพท์มือถือดัง เรียกสติกลับมา

            “สวัสดีค่ะ” ลานน้ำค้างรับสายโดยไม่ทันดูชื่อในเครื่อง

            “พี่มุกเองจ้า...” เสียงมุกดา เลขาคุณหญิงฯ ดังมาตามสาย “น้องลานใกล้มาถึงที่ทำงานหรือยัง”

            “ยังค่ะ” ลานน้ำค้างดูนาฬิกา เห็นว่ายังไม่สายนัก

            “ดีจัง” พี่มุกทำเสียงโล่งอก “วันนี้คุณหญิงไม่เข้าออฟฟิศทั้งวัน แต่สั่งงานกับพี่ไว้เยอะเลย แล้วสิบโมงนี้มีประชุม พี่ต้องเตรียมเอกสารหลายอย่าง...พวกขนมของว่างไม่พอ พี่วานน้องลานช่วยไปซื้อขนมที่ร้านประจำมาเพิ่มให้หน่อยได้มั้ยจ๊ะ”

            “ได้ค่ะพี่มุก”

            “ขอบใจมากนะจ๊ะ มาเร็ว ๆ นะ” พี่มุกทิ้งท้ายก่อนวางหู

            ลานน้ำค้างเก็บโทรศัพท์ มองประตูห้องผ่าตัดอีกครั้ง ลังเลชั่วครู่ก่อนตัดใจได้...ไม่น่ามีอะไรหรอก เธอคงคิด มากไปเอง...

            ถึงบอกตัวเองอย่างนั้น จิตใจยังโหวง ๆ พิกลบอกไม่ถูก




- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -




            โดมตื่นเช้ากว่าปกติ ทั้งที่ธรรมดายังเป็นเวลานอนของเขา อาจเพราะได้นอนเร็วกว่าเคย ประกอบกับแปลกที่ เกรงใจเจ้าของบ้าน ทำให้ตื่นขึ้นมาเอง

            เด็กหนุ่มลุกขึ้นอย่างเสียด ๆ อาการร้าว ยอกหนักกว่าเมื่อวาน ขยับตัวลำบาก ดูสภาพแล้ว ยังต้องพักฟื้น อีกวันสองวัน ถึงจะมีแรงออกไปทำงาน หาที่พักใหม่ได้

            ดึงขาลงจากเตียง พยายามลุกขึ้นออกไปนอกห้อง ไม่อยากให้เจ้าของบ้านตำหนิ โดยเฉพาะคุณลุงที่พูดจา โผงผาง พ่อของบูรพา

            พอคิดถึง เสียงลุงคงเดชก็ดังมาทีเดียว

            “ไปดูคนเจ็บหน่อยสิไอ้บู ไม่ใช่นอนตายไปแล้วเหรอ”

            “โธ่...พ่อ ปล่อยให้น้องเขานอนไปก่อนเถอะ คนเจ็บต้องให้พักผ่อนมาก ๆ ”

            “แล้วยังไงล่ะ วันนี้จะให้ใครดู แล้วข้าวปลาหาให้กินหรือยัง ดูท่าจะออกไปไหนไม่ไหวหรอก...พ่อต้องรีบเข้าบริษัทแต่เช้าด้วย” ถึงพูดอย่างนั้น ในน้ำเสียงยังแสดงความมีน้ำใจ

            “วันนี้ผมมีเรียนสาย ไม่ต้องรีบ อยู่ดูแลน้องเขาก่อนได้”

            “อ้าว แล้วไม่ต้องไปส่งหนูลานฝึกงานหรือไง”

            “ไม่ต้อง ลานบอกเองว่าให้ผมอยู่ดูน้อง”

            “แหม...เชื่อฟังกันดีนะ อย่างนี้เขาก็ข่มเราได้ตลอดสิวะ”

            “ไม่เกี่ยวกันเลยพ่อ...รีบไปบริษัทเถอะ ออกจากบ้านช้ารถจะติดนะ”

            “เออ...รู้แล้ว ลูกอะไรวะ พูดแทงใจดำหน่อยก็ไล่พ่อ”

            เสียงบ่นปนกลั้วหัวเราะค่อยจางลง สักพักใหญ่มีเสียงติดเครื่องรถยนต์ แล้วเคลื่อนออกจากบ้าน จากนั้นความเงียบสงบค่อยคืบคลานเข้ามา...

            โดมนั่งฟังสองพ่อลูกคุยกันด้วยความรู้สึกหลากหลาย...ความอบอุ่น ผูกพันในน้ำเสียงระหว่างสองพ่อลูกทำให้ใจแปลบแกมอิจฉา...ยิ่งพูดถึงลานน้ำค้างก็คล้ายหัวใจถูกกระตุก เจ็บปวดโดยไม่ทราบสาเหตุ แล้วมันก็ชา...ชาอย่างบอกไม่ถูก ชืดชา อ้างว้างไม่ต่างจากการอยู่คนเดียวในโลกโดยไร้คนเหลียวแล...




- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -




           โดมฝืนออกมาจากห้อง เห็นบูรพาเตรียมอาหารเช้าไว้ให้ พร้อมกับยา...

            “เป็นยังไงบ้าง ไหวมั้ย” บูรพาทักทาย

            “ครับ” คำตอบสั้น

            “กินอะไรก่อนสิ จะได้มีแรง” ฝ่ายเจ้าของบ้านมีน้ำใจ

            “ครับ” คำตอบเดิม เจ้าตัวนั่งลงที่โต๊ะอาหารไม่อิดเอื้อน

            “นี่ยาก่อนอาหาร กินเลยนะ เจ้าลานมันย้ำให้พี่คอยเตือนเราน่ะ”

            “ครับ” โดมรับยามากินโดยไม่ปฏิเสธ

            บูรพามองเด็กหนุ่มตรงหน้าด้วยแววตาขำขัน พอจะเข้าใจความอึดอัด ไม่คุ้นเคยของหนุ่มหน้าสวย คนนี้ได้

            “อีกเดี๋ยวพี่จะไปเรียนแล้ว อยากได้อะไรเพิ่มมั้ย”

            “ไม่ครับ”

            ชายหนุ่มพยักหน้าเข้าใจ รอยยิ้มในดวงตาเพิ่มมากขึ้น ทั้งสองรับประทานอาหารเช้าเงียบ ๆ จนเสร็จ บูรพาเป็นคนรวบรวมจานไปล้างโดยไม่สนใจท่าทางกระดากของฝ่ายตรงข้าม

            ก่อนออกจากบ้าน บูรพาบอกกับโดม

            “ทำตัวตามสบายนะ ข้าวเที่ยงพี่เตรียมไว้ให้แล้ว อย่าลืมกินยาหลังอาหารด้วยล่ะ”

            โดมกำลังจะตอบคำเดิม บูรพารีบตัดหน้าพูดก่อนด้วยสีหน้ายิ้ม ๆ

           “ครับ!”

            เด็กหนุ่มยืนเก้อ บูรพาหัวเราะเบา ๆ

            “หัดพูดอย่างอื่นบ้างก็ได้นะเรา ที่บ้านพี่มีแต่คนง่าย ๆ ไม่ค่อยมีพิธีรีตองหรอก”

           คราวนี้โดมไม่ตอบอะไร บูรพาก็ไม่ชวนคุยต่อ ...



            เกือบเที่ยง โดมกลายเป็นคนเฝ้าบ้านให้บูรพาโดยปริยาย ความที่ยังไม่แข็งแรง จึงได้แต่นั่ง ๆ นอน ๆ รับประทานอาหารกลางวัน กินยา

            เที่ยงกว่าเด็กหนุ่มเปิดโทรศัพท์มือถือ ตั้งใจโทรไปลางานที่ร้านอาหาร แต่ยังไม่ทันกดหมายเลข ก็มีเสียงเรียกเข้าจากทางร้านมาก่อน

            “สวัสดีครับพี่” โดมรับสาย

            “หายไปไหนวะโดม ทำไมไม่มาทำงาน” ฝ่ายตรงข้ามไม่มีน้ำเสียงโทสะเท่าที่คิด

            “ขอโทษครับพี่ พอดีผมมีเรื่องนิดหน่อย” โดมอธิบายเรื่องราวสั้น ๆ คืนที่เขาถูกทำร้ายไม่สามารถโทรศัพท์ติดต่อใครได้ ส่วนเมื่อคืน เขาตั้งใจโทรไปบอกอยู่เหมือนกัน บังเอิญมีโทรศัพท์ของใคร ‘บางคน’ เข้ามาก่อน หลังจากวางสายกับคนนั้น เขาก็ปิดโทรศัพท์ ไม่อยากคุยกับใคร และไม่ให้อีกฝ่ายโทรมาเซ้าซี้ ร่ำไร

            ฟังเรื่องจบ เจ้าของร้านก็ถอนใจมาตามสาย

            “แล้วอาการเป็นยังไงบ้างล่ะ จะพักสักกี่วัน”

            “สักสองสามวันก็พอพี่ รอให้เดินคล่องกว่านี้ก่อน” โดมตอบ

            “รู้มั้ย ที่เอ็งไม่มาทำงานเมื่อคืนน่ะ พลาดโอกาสดี ๆ แค่ไหน”

            “โอกาสอะไรครับ”

             “ทางค่ายเพลงที่เอ็งส่งตัวอย่างเดโมไปน่ะ เขาโทรมาบอกว่าอยากฟังเอ็งเล่นสดที่ร้าน พี่ก็คิดว่าเอ็งจะมาทำงาน เลยบอกให้เขามาฟังได้เลย ที่ไหนได้ พอเขามาเอ็งก็ดันไม่อยู่ซะนี่ โทรตามก็ปิดมือถืออีก”

            โดมฟังแล้วใจแฟบ เสียดายโอกาสอย่างแรง เขาตระเวนส่งเดโมเพลงที่ร้อง – แต่งเองไปตามค่ายเพลง เป็นเวลาหลายเดือนแล้ว ตอนนั้นยังไม่มีเบอร์มือถือแน่นอน จึงให้เบอร์ทางร้านไปก่อน คาดว่าคงได้รับการติดต่อทันใจ แต่ก็เงียบหายนานจนลืม พอโอกาสมาถึง เขากลับยังไม่พร้อม...

            “แล้ว...เขาว่ายังไงบ้าง...” โดมเสียงอ่อย

            “ไม่ว่ายังไง บอกแค่ว่า ถ้าเอ็งยังสนใจ ก็ให้นัดวันไปออดิชั่นที่บริษัทเขาเลย”

            คำพูดของอีกฝ่ายทำให้โดมใจพองโต แทบอยากกระโดดกอดคนพูด แล้วร้องไชโยดัง ๆ ทั้งที่ยังไม่รู้ว่าไป ออดิชั่นแล้วจะผ่านการพิจารณาหรือไม่

            “ขอบคุณจริง ๆ ครับ ถ้าผมหายดีแล้วจะรีบนัดวันไปออดิชั่นเลย”

            “เออ...ดี แล้วยังไงอย่าลืมมาเล่นที่ร้านนี้ก่อนล่ะ”

            “ครับพี่...ผมไม่ลืมแน่นอน”

            วางหูโทรศัพท์ หัวใจยังเต้นแรงแทบกระโดดออกมานอกอก ใบหน้าร้อนซ่านด้วยความยินดี รอยยิ้มที่นาน ๆ จะมีสักครั้งก็ผลิบานเต็มที่

            ใครจะไปคาดคิด ช่วงเวลาที่ชีวิตย่ำแย่ที่สุด เขากลับได้รับโอกาสที่พยายามไขว่คว้า...โอกาสที่เขากล้าเอาอนาคตตัวเองเข้าแลก



           ลานน้ำค้างเยี่ยมหน้าไปในห้องพักแพทย์อย่างคุ้นเคย พบคนที่ตั้งใจอยากเจอโดยไม่เสียเวลา

            “สวัสดีค่ะพี่น่าน”

            หมอน่านเงยหน้าจากหนังสือที่อ่าน เห็นหญิงสาวหน้าใส ใบหน้าเปื้อนยิ้ม ดวงตากลมโตพราวระยับอย่างมีชีวิตชีวา ชวนให้อดยิ้มตอบไม่ได้

            “เข้ามาสิ มีธุระอะไร มาหาพี่ถึงนี่ได้”

            หญิงสาวเข้าห้องพักแพทย์โดยไม่เกรงใจ แถมยังลากเก้าอี้มานั่งยิ้มแป้นต่อหน้าคุณหมอ

            “วันนี้พี่หมอน่านดูหล่อเป็นพิเศษนะคะ” ได้ยินอย่างนี้อีกฝ่ายก็พอเข้าใจ

            “มีเรื่องอะไรจะให้พี่ช่วยก็บอกมา ไม่ต้องมาแกล้งชม แกล้งเรียกเต็มยศหรอก”

            “แหม เก่งจัง สมกับเป็นคุณหมอ”

            หมอน่านนั่งมองผู้เป็นเหมือนน้องสาวโดยไม่เอ่ยปาก ความที่คุ้นเคยกันมานาน พอจะรู้ว่านี่คือวิธีอ้อมค้อม... ยิ่งลานน้ำค้างพูดอ้อมค้อมมากเท่าไหร่ เรื่องที่จะให้ช่วยก็ลำบากมากเท่านั้น

            ลานน้ำค้างยิ้มแหย ๆ เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายรู้ทัน จึงรีบเข้าเรื่องทันที

            “วันนี้มีเด็กผู้หญิงมาผ่าตัดมั้ยคะ”

            “ไม่รู้สิ แต่คนไข้ของพี่ไม่มีนี่” หมอน่านตอบง่าย

            “คือ...” ลานน้ำค้างทำท่าเจื่อน ๆ “ลานอยากให้พี่น่านช่วยเช็คให้หน่อยค่ะ ว่ามีเด็กผู้หญิงชื่อปันปัน มาผ่าตัด หรือเปล่า แกป่วยเป็นอะไรก็ไม่รู้ แต่ลานอยากรู้ว่าผลผ่าตัดเป็นยังไง ตอนนี้พักอยู่ห้องไหน”

            คุณหมอส่ายหน้า...นึกว่าจะให้ช่วยเรื่องที่ลำบากกว่านี้ เห็นท่าทางอ้อมค้อมจนน่าหมั่นไส้

            “แล้วเราเป็นอะไรกับเขา ถึงอยากรู้เรื่องเสียขนาดนี้”

            “แค่รู้จักกันเฉย ๆ ” หญิงสาวตอบเสียงอ่อย “...แต่ลานเป็นห่วงแกนี่”

               ที่จริง เธออาจไม่ห่วงปันปันมากขนาดนี้ ถ้าไม่ได้พบดวงวิญญาณชายกลางคนที่ตามเข้าไปในห้องผ่าตัด

            “ชื่ออะไรนะ...ปันปัน?” หมอน่านย้อนถาม

            “ค่ะ แกบอกลานอย่างนั้น ไม่รู้ว่าเป็นชื่อจริงหรือชื่อเล่น”

            หมอน่านส่ายหน้าอย่างระอา

            “งั้น...เดี๋ยวพี่จะถามให้ว่า วันนี้มีเด็กผู้หญิงมาผ่าตัดหรือเปล่า แล้วค่อยเช็ครายละเอียดกันอีกที”

            พูดจบ คุณหมอก็ต่อโทรศัพท์ถึงนางพยาบาล สอบถามข้อมูลที่ต้องการอยู่พักใหญ่ พอได้คำตอบครบก็วางหู...ลานน้ำค้างฟังรู้เรื่องบ้าง ไม่รู้เรื่องบ้าง สรุปว่าพอเข้าใจหลายส่วน

            “วันนี้มีเด็กผู้หญิงมาผ่าตัดโรคหัวใจแค่คนเดียว” หมอน่านบอก “ผลการผ่าตัดเรียบร้อยดี...แต่แกไม่ได้ชื่อปันปัน”

            หญิงสาวฟังแล้วโล่งอก โล่งใจ

            “แกชื่อจริงว่าอะไรคะ พักอยู่ห้องไหน ลานจะได้ไปเยี่ยม”

            หมอน่านบอกชื่อและนามสกุล ... ลานน้ำค้างสะดุดหู จนต้องถามย้ำว่าใครเป็นเจ้าของไข้ พอคุณหมอตอบกลับมา หญิงสาวก็สะดุ้งโหยง นึกโอดครวญในใจ...

            ...จุดไต้ตำตอเสียแล้วเรา...



(โปรดติดตามต่อฉบับหน้า)



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP