ธรรมะจากพระสูตร Dhamma from Sutta

วิภังคสูตร ว่าด้วยการจำแนกปฏิจจสมุปบาท


กลุ่มไตรปิฎกสิกขา



[๔] พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวัน
อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี กรุงสาวัตถี.
พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสว่า ภิกษุทั้งหลาย เราตถาคตจักแสดง
จักจำแนกปฏิจจสมุปบาทแก่พวกเธอ
พวกเธอจงฟังปฏิจจสมุปบาทนั้น จงใส่ใจให้ดีเถิด เราตถาคตจักกล่าว
ภิกษุเหล่านั้นทูลรับพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า “อย่างนั้นพระเจ้าข้า” แล้ว.


[๕] พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสว่า ภิกษุทั้งหลาย ก็ปฏิจจสมุปบาทเป็นไฉน.
ภิกษุทั้งหลาย เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย จึงมีสังขาร
เพราะสังขารเป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ
เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย จึงมีนามรูป
เพราะนามรูปเป็นปัจจัย จึงมีสฬายตนะ
เพราะสฬายตนะเป็นปัจจัย จึงมีผัสสะ
เพราะผัสสะเป็นปัจจัย จึงมีเวทนา
เพราะเวทนาเป็นปัจจัย จึงมีตัณหา
เพราะตัณหาเป็นปัจจัย จึงมีอุปาทาน
เพราะอุปาทานเป็นปัจจัย จึงมีภพ
เพราะภพเป็นปัจจัย จึงมีชาติ
เพราะชาติเป็นปัจจัย จึงมีชราและมรณะ
โสกปริเทวทุกขโทมนัสและอุปายาส
ความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมมีด้วยประการอย่างนี้.


[๖] ภิกษุทั้งหลาย ก็ชราและมรณะเป็นไฉน.
ความแก่ ภาวะของความแก่ ฟันหลุด ผมหงอก หนังย่น
ความเสื่อมแห่งอายุ ความหง่อมแห่งอินทรีย์
ในหมู่สัตว์นั้น ๆ ของเหล่าสัตว์นั้น ๆ นี้เรียกว่าชรา.
ก็มรณะเป็นไฉน. การเคลื่อนที่ การย้ายที่ ความทำลาย ความอันตรธาน
ความตาย ความมรณะ การถึงแก่กรรม ความแตกแห่งขันธ์
ความทอดทิ้งซาก (ศพ) ความขาดแห่งอินทรีย์คือชีวิต
จากหมู่สัตว์นั้น ๆ ของเหล่าสัตว์นั้น ๆ นี้เรียกว่ามรณะ.
ชราและมรณะ ดังพรรณนามาฉะนี้ เรียกว่า ชราและมรณะ.


[๗] ก็ชาติเป็นไฉน. ความเกิด ความก่อเกิด ความหยั่งลง.
ความบังเกิด. ความเกิดจำเพาะ. ความปรากฏแห่งขันธ์
ความได้อายตนะครบในหมู่สัตว์นั้น ๆ ของเหล่าสัตว์นั้น ๆ นี้เรียกว่าชาติ.
(หมายเหตุ . คือเป็นชลาพุชะหรืออัณฑชปฏิสนธิ
. คือเป็นสังเสทชปฏิสนธิ . คือเป็นอุปปาติกปฏิสนธิ.)


[๘] ก็ภพเป็นไฉน. ภพ ๓ เหล่านี้คือ
กามภพ รูปภพ อรูปภพ นี้เรียกว่าภพ.


[๙] ก็อุปาทานเป็นไฉน. อุปาทาน ๔ เหล่านี้คือ กามุปาทาน
ทิฏฐุปาทาน สีลพัตตุปาทาน อัตตวาทุปาทาน นี้เรียกว่าอุปาทาน.


[๑๐] ก็ตัณหาเป็นไฉน. ตัณหา ๖ หมวดเหล่านี้คือ
รูปตัณหา สัททตัณหา คันธตัณหา รสตัณหา
โผฏฐัพพตัณหา ธัมมตัณหา นี้เรียกว่าตัณหา.


[๑๑] ก็เวทนาเป็นไฉน. เวทนา ๖ หมวดเหล่านี้คือ จักขุสัมผัสสชาเวทนา
โสตสัมผัสสชาเวทนา ฆานสัมผัสสชาเวทนา ชิวหาสัมผัสสชาเวทนา
กายสัมผัสสชาเวทนา มโนสัมผัสสชาเวทนา นี้เรียกว่าเวทนา.


[๑๒] ก็ผัสสะเป็นไฉน. ผัสสะ ๖ หมวดเหล่านี้คือ จักขุสัมผัส โสตสัมผัส
ฆานสัมผัส ชิวหาสัมผัส กายสัมผัส มโนสัมผัส นี้เรียกว่าผัสสะ.


[๑๓] ก็สฬายตนะเป็นไฉน. อายตนะคือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
นี้เรียกว่าสฬายตนะ.


[๑๔] ก็นามรูปเป็นไฉน. เวทนา สัญญา
เจตนา ผัสสะ มนสิการ นี้เรียกว่านาม
มหาภูตรูป ๔ และรูปที่อาศัยมหาภูตรูป ๔ นี้เรียกว่ารูป
นามและรูปดังพรรณนาฉะนี้ เรียกว่านามรูป.


[๑๕] ก็วิญญาณเป็นไฉน. วิญญาณ ๖ หมวดเหล่านี้คือ
จักขุวิญญาณ โสตวิญญาณ ฆานวิญญาณ ชิวหาวิญญาณ
กายวิญญาณ มโนวิญญาณ นี้เรียกว่าวิญญาณ.


[๑๖] ก็สังขารเป็นไฉน. สังขาร ๓ เหล่านี้คือ กายสังขาร
วจีสังขาร จิตตสังขาร นี้เรียกว่าสังขาร.


[๑๗] ก็อวิชชาเป็นไฉน. ความไม่รู้ในทุกข์
ความไม่รู้ในเหตุเกิดแห่งทุกข์ ความไม่รู้ในความดับทุกข์
ความไม่รู้ในปฏิปทาที่จะให้ถึงความดับทุกข์ นี้เรียกว่าอวิชชา
ภิกษุทั้งหลาย เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย จึงมีสังขาร
เพราะสังขารเป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ
เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย จึงมีนามรูป
เพราะนามรูปเป็นปัจจัย จึงมีสฬายตนะ
เพราะสฬายตนะเป็นปัจจัย จึงมีผัสสะ
เพราะผัสสะเป็นปัจจัย จึงมีเวทนา
เพราะเวทนาเป็นปัจจัย จึงมีตัณหา
เพราะตัณหาเป็นปัจจัย จึงมีอุปาทาน
เพราะอุปาทานเป็นปัจจัย จึงมีภพ
เพราะภพเป็นปัจจัย จึงมีชาติ
เพราะชาติเป็นปัจจัย จึงมีชราและมรณะ
โสกปริเทวทุกขโทมนัสและอุปายาส ดังพรรณนามาฉะนี้.
ความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมมีด้วยประการอย่างนี้.


[๑๘] ก็เพราะอวิชชานั่นแหละดับด้วยการสำรอกโดยไม่เหลือ สังขารจึงดับ
เพราะสังขารดับ วิญญาณจึงดับ
เพราะวิญญาณดับ นามรูปจึงดับ
เพราะนามรูปดับ สฬายตนะจึงดับ
เพราะสฬายตนะดับ ผัสสะจึงดับ
เพราะผัสสะดับ เวทนาจึงดับ
เพราะเวทนาดับ ตัณหาจึงดับ
เพราะตัณหาดับ อุปาทานจึงดับ
เพราะอุปาทานดับ ภพจึงดับ
เพราะภพดับ ชาติจึงดับ
เพราะชาติดับ ชราและมรณะโสกปริเทวทุกขโทมนัสและอุปายาสจึงดับ
ความดับแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมมีด้วยประการอย่างนี้.


วิภังคสูตร จบ



(วิภังคสูตร พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค
พระไตรปิฎกและอรรถกถาแปล ฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย เล่มที่ ๒๖)



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP