จุดหมายปลายธรรม Destination@Dharmma
วาทะแย้งกัน (ตอนจบ)
งดงาม
This e-mail address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it
ในคราวที่แล้ว เราได้สนทนาถึงเรื่องวาทะแย้งกันระหว่าง
คำอธิบายของผู้รับอาหารจากญาติธรรมท่านหนึ่ง
ซึ่งกล่าวถึงการให้ทานแก่ผู้อื่น ไม่หมายมั่น ไม่แก่งแย่ง
เทียบกับคำอธิบายของญาติธรรมท่านหนึ่งซึ่งเป็นผู้ให้อาหาร
กล่าวถึงการหวงกัน การยึดติด และกีดกันทานของผู้อื่น
โดยผมมองว่าคำอธิบายของผู้รับอาหารจากญาติธรรมท่านนี้
น่าจะเป็นคำอธิบายที่มีเหตุผลสมควรรับฟังมากกว่า
อย่างไรก็ดี กรณีก็ไม่ได้หมายความว่า วาทะที่สนับสนุนเรื่องทานนั้น
จะต้องเป็นวาทะที่มีเหตุผลสมควรรับฟังมากกว่าเสมอไป
เพราะเราควรต้องพิจารณาพระธรรมคำสอนในเรื่องอื่น ๆ ด้วย
ไม่เช่นนั้นแล้วเราก็อาจจะหลงไปทำทานจนเกินกำลัง หรือจนหมดตัว
โดยที่คนที่มาเรี่ยไรก็จะอ้างได้ว่าควรถือตามวาทะของคนเรี่ยไร
เพราะเป็นเรื่องของการให้ทาน การสละ การไม่ยึดมั่น
แต่ไม่ควรถือตามวาทะของคนที่ไม่ทำทาน
เพราะเป็นเรื่องของการหวงกัน การยึดติด และการสะสม
ในเรื่องนี้ เราพึงต้องเข้าใจว่า เราทุกคนย่อมมีหน้าที่ของตนเอง
โดยใน “สิงคาลกสูตร” (พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค) ได้สอนว่า
กุลบุตรย่อมมีหน้าที่บำรุงมารดาบิดาใน ๕ ประการคือ
๑. ตั้งใจไว้ว่าท่านเลี้ยงเรามา เราจักเลี้ยงท่านตอบ
๒. จักรับทำกิจของท่าน ๓. จักดำรงวงศ์สกุล
๔. จักปฏิบัติตนให้เป็นผู้สมควรรับทรัพย์มรดก
๕. เมื่อท่านละไปแล้ว จักทำบุญให้ซึ่งทักษิณา
บิดามารดาย่อมมีหน้าที่อนุเคราะห์บุตรใน ๕ ประการคือ
๑. ห้ามจากความชั่ว ๒. ให้ตั้งอยู่ในความดี ๓. ให้ศึกษาศิลปวิทยา
๔. หาภรรยาที่สมควรให้ ๕. มอบทรัพย์ให้ในสมัย
กุลบุตรย่อมมีหน้าที่บำรุงอาจารย์ใน ๕ ประการคือ
๑. ด้วยการลุกขึ้นยืนรับ ๒. ด้วยเข้าไปยืนคอยรับใช้ ๓. ด้วยการเชื่อฟัง
๔. ด้วยการปรนนิบัติ ๕. ด้วยการเรียนศิลปวิทยาโดยเคารพ
อาจารย์ย่อมมีหน้าที่อนุเคราะห์ศิษย์ใน ๕ ประการคือ
๑. แนะนำดี ๒. ให้เรียนดี ๓. บอกศิษย์ด้วยดีในศิลปวิทยาทั้งหมด
๔. ยกย่องให้ปรากฏในเพื่อนฝูง ๕. ทำความป้องกันในทิศทั้งหลาย
สามีย่อมมีหน้าที่บำรุงภรรยาใน ๕ ประการคือ
๑. ด้วยยกย่องว่าเป็นภรรยา ๒. ด้วยไม่ดูหมิ่น ๓. ด้วยไม่ประพฤตินอกใจ
๔. ด้วยมอบความเป็นใหญ่ให้ ๕. ด้วยให้เครื่องแต่งตัว
ภรรยาย่อมมีหน้าที่อนุเคราะห์สามีใน ๕ ประการคือ
๑. จัดการงานดี ๒. สงเคราะห์คนข้างเคียงของผัวดี
๓. ไม่ประพฤตินอกใจผัว ๔. รักษาทรัพย์ที่ผัวหามาได้
๕. ขยันไม่เกียจคร้านในกิจการทั้งปวง
กุลบุตรย่อมมีหน้าที่บำรุงมิตรใน ๕ ประการคือ
๑. ด้วยการให้ปัน ๒. ด้วยเจรจาถ้อยคำเป็นที่รัก ๓. ด้วยประพฤติประโยชน์
๔. ด้วยความเป็นผู้มีตนเสมอ ๕. ด้วยไม่แกล้งกล่าวให้คลาดจากความจริง
มิตรย่อมมีหน้าที่อนุเคราะห์กุลบุตรใน ๕ ประการคือ
๑. รักษามิตรผู้ประมาทแล้ว ๒. รักษาทรัพย์ของมิตรผู้ประมาทแล้ว
๓. เมื่อมิตรมีภัยเอาเป็นที่พึ่งพำนักได้ ๔. ไม่ละทิ้งในยามวิบัติ
๕. นับถือตลอดถึงวงศ์ของมิตร
กุลบุตรย่อมมีหน้าที่บำรุงทาสกรรมกรใน ๕ ประการคือ
๑. ด้วยจัดการงานให้ทำตามสมควรแก่กำลัง ๒. ด้วยให้อาหารและรางวัล
๓. ด้วยรักษาในคราวเจ็บไข้ ๔. ด้วยแจกของมีรสแปลกประหลาดให้กิน
๕. ด้วยปล่อยในสมัย
ทาสกรรมกรย่อมมีหน้าที่อนุเคราะห์ต่อนายใน ๕ ประการคือ
๑. ลุกขึ้นทำการงานก่อนนาย ๒. เลิกการงานทีหลังนาย
๓. ถือเอาแต่ของที่นายให้ ๔. ทำการงานให้ดีขึ้น
๕. นำคุณของนายไปสรรเสริญ
กุลบุตรย่อมมีหน้าที่บำรุงสมณพราหมณ์ใน ๕ ประการคือ
๑. ด้วยกายกรรมประกอบด้วยเมตตา ๒. ด้วยวจีกรรมประกอบด้วยเมตตา
๓. ด้วยมโนกรรมประกอบด้วยเมตตา ๔. ด้วยความเป็นผู้ไม่ปิดประตู
๕. ด้วยให้อามิสทานเนือง ๆ
สมณพราหมณ์ย่อมมีหน้าที่อนุเคราะห์ต่อกุลบุตรใน ๖ ประการคือ
๑. ห้ามไม่ให้ทำความชั่ว ๒. ให้ตั้งอยู่ในความดี
๓. อนุเคราะห์ด้วยน้ำใจอันงาม ๔. ให้ได้ฟังสิ่งที่ยังไม่เคยฟัง
๕. ทำสิ่งที่เคยฟังแล้วให้แจ่มแจ้ง ๖. บอกทางสวรรค์ให้
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka2/v.php?B=11&A=3923&Z=4206&pagebreak=0
นอกจากเรื่องหน้าที่ที่เราพึงกระทำแล้ว
พระธรรมคำสอนยังสอนให้จัดสรรใช้จ่ายทรัพย์อย่างเหมาะสม
ใน “อาทิยสูตร” (พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ปัญจก-ฉักกนิบาต)
และ “ปัตตกรรมสูตร” (พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย จตุกกนิบาต) สอนว่า
ประโยชน์ที่จะพึงถือเอาแต่โภคทรัพย์ ๕ ได้แก่ การใช้จ่ายโภคทรัพย์เพื่อ
๑. เลี้ยงตนให้เป็นสุข เลี้ยงมารดาบิดาให้เป็นสุข
เลี้ยงบุตร ภรรยา ทาสกรรมกร คนใช้ ให้เป็นสุข
๒. เลี้ยงมิตรสหายให้เป็นสุข
๓. ป้องกันอันตรายที่เกิดแต่ไฟ น้ำ พระราชา โจร
หรือทายาทผู้ไม่เป็นที่รัก และทำตนให้สวัสดี
๔. ทำพลี ๕ อย่าง คือ (ก) ญาติพลี (บำรุงญาติ) (ข) อติถิพลี (ต้อนรับแขก)
(ค) ปุพพเปตพลี (บำรุงญาติผู้ตายไปแล้วคือทำบุญอุทิศกุศลให้)
(ง) ราชพลี (บำรุงราชการ คือบริจาคทรัพย์ช่วยชาติ) และ
(จ) เทวตาพลี (บำรุงเทวดา คือทำบุญอุทิศให้เทวดา)
๕. เพื่อบำเพ็ญทักษิณามีผลสูงเลิศแด่สมณพราหมณ์
ผู้เว้นจากความมัวเมาประมาท ตั้งอยู่ในขันติและโสรัจจะ
ผู้มั่นคง ฝึกฝนตนให้สงบระงับดับกิเลสโดยส่วนเดียว
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=22&A=1001&Z=1054&pagebreak=0
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka2/v.php?B=21&A=1758&Z=1845&pagebreak=0
นอกจากการจัดสรรใช้จ่ายแล้ว พระธรรมคำสอนได้สอนให้เก็บออมไว้ด้วย
โดยใน “สิงคาลกสูตร” (พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค) สอนว่า
คฤหัสถ์ในตระกูลผู้สามารถพึงแบ่งโภคสมบัติออกเป็น ๔ ส่วน ดังนี้
๑. พึงใช้สอยโภคสมบัติส่วนหนึ่ง
๒. พึงประกอบการงานด้วยสองส่วน
๓. เก็บเอาไว้เผื่อไว้ในยามอันตรายด้วยส่วนหนึ่ง
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=11&A=3923&Z=4206&pagebreak=0
เมื่อพิจารณาถึงพระธรรมคำสอนที่ได้ยกมาข้างต้นแล้ว
ย่อมจะเห็นได้ว่าเราทุกคนย่อมมีหน้าที่ที่ต้องปฏิบัติดูแล
เช่น ดูแลพ่อแม่ บุตร สามีภรรยา ครูอาจารย์ มิตรสหาย
เจ้านายลูกน้อง และพระภิกษุสงฆ์
และมีหน้าที่จัดสรรเก็บทรัพย์ไว้เผื่อใช้ยามอันตรายหรือฉุกเฉินด้วย
การจัดสรรทรัพย์เพื่อแบ่งใช้จ่ายทรัพย์ จึงควรต้องแบ่งอย่างเหมาะสม
ไม่ได้ทุ่มเทไปด้านใดด้านหนึ่งเกินสมควร
เช่น ทุ่มเทนำไปทำบุญเกือบทั้งหมด
โดยไม่เก็บไว้ใช้จ่ายดูแลคนในครอบครัว เพื่อประกอบการงาน
และไม่แบ่งเก็บออมไว้เลย ก็ไม่เหมาะสม
หรือทุ่มเทนำไปใช้เพื่อประกอบการงานเกือบทั้งหมด
โดยไม่แบ่งไว้ใช้จ่ายดูแลคนในครอบครัว ทำบุญ และเก็บออม ก็ไม่เหมาะสม
หรือทุ่มเทนำไปเก็บออมไว้เกือบทั้งหมด โดยไม่แบ่งไว้ประกอบกิจการงาน
ใช้จ่ายดูแลคนในครอบครัว และทำบุญ ก็ไม่เหมาะสม เป็นต้น
ดังนี้แล้ว หากเราได้ไปพบวาทะประเภทที่ว่าให้เราพึงทำทานทั้งหมด
โดยไม่ได้พิจารณาถึงหน้าที่ที่เราต้องทำนุบำรุง หรือต้องดูแลด้วยแล้ว
วาทะเช่นนั้นก็ไม่ใช่วาระที่สมควร และขัดแย้งกับพระธรรมคำสอนนะครับ
< Prev | Next > |
---|