วรรณกรรมนำใจ Lite Literature

ม่านมนตรา ๖


Literature

โดย ชลนิล

(ต่อจากฉบับที่แล้ว)

กลิ่นหอมรวยรินกระจายมาจากกระเป๋าจนเขาเองรู้สึก สมองและจิตใจซาบซ่าน ร่างที่พยายามแทรกเข้ามาในรถหยุดชะงักคล้ายปะทะอำนาจที่สูงกว่า สีหน้ามันแสดงความขัดเคือง ก่อนละลายหายกลายเป็นอากาศธาตุ

มรรคาระบายลมหายใจแผ่วๆ เขายอมรับว่ากลัวอยู่บ้าง แต่เมื่อได้สติ ความกลัวย่อมลดน้อยลง

คนกลัวผียังสวดมนต์ต่ออีกนาน ถ้าเขาไม่ทันขึ้นก่อน

คุณสวดสลับบทกันอย่างนี้ ผีที่ไหนมันจะกลัวหือม์ คุณประสิทธิ์

ประสิทธิ์ค่อยๆ ลืมตา เห็นใบหน้าเจ้านายสดใส ถึงไม่มีรอยยิ้มแต่แววตาแฝงอารมณ์ขัน เขาจึงรวบรวมความกล้าเหลือบมองนอกหน้าต่าง

...ว่างเปล่า...นอกจากเงาดำๆ ของต้นไม้ข้างทางก็ไม่มีสิ่งผิดปกติ

เฮ้อ... นักสวดมนต์ถอนใจเฮือกใหญ่ โอ้ย พ่อแก้ว แม่แก้ว ตั้งแต่ผมเกิดมา ก็เพิ่งเจอผีจริงๆ คราวนี้แหละ น่ากลัวจริงๆ

ดี...จะได้เอาไปเล่าให้ลูกหลานฟัง มรรคาสัพยอกเพื่อให้ผู้ร่วมทางผ่อนคลายลง

คุณมัคไม่กลัวเลยหรือครับ ประสิทธิ์ค่อยกล้าถาม

กลัวสิ มรรคาตอบ แต่เห็นคุณกลัวมากขนาดนั้น ผมเลยเลิกกลัว

บรรยากาศสดใส มรรคาเหยียบคันเร่งลงไปอีก เขาอยากถึงบ้านให้เร็วขึ้น ประสบการณ์ที่เกิดทำให้นึกถึงเรื่องแปลกๆ หลายอย่าง รวมถึงผีที่ป้าแฉล้มและเจ้าชัยเจอที่บ้าน มันจะเกี่ยวข้องกันหรือไม่...เขายังสงสัย

ขณะครุ่นคิด กลิ่นดอกไม้ประหลาดหอมแรงขึ้น หอมจนเกือบฉุนจัด มรรคาล้วงมือลงในกระเป๋าอีกครั้ง แต่ต้องชะงัก สิ่งบางอย่างกระทบใจ...เหมือนการเตือนภัย


รถกำลังขึ้นเนิน แสงไฟกราดสูงกระทบบางสิ่ง ชายหนุ่มพยายามสังเกต แต่ไม่เห็นชัดเจน จนรถอยู่บนเนิน กวาดตาลงมา ภาพที่เห็นทำให้เขาตัวชา

เหวอ...ช่วยด้วย เสียงร้องของประสิทธิ์ดังลั่นรถ

ถนนเบื้องหน้ามีร่างสูงใหญ่ราวกับยักษ์ปักหลั่นสีดำมะเมื่อม ยืนจังก้าขวางทางเป็นจุดๆ มองแต่ไกลคล้ายภูเขาขนาดย่อมถูกทิ้งเต็มถนน

ปิศาจยักษ์ใหญ่มีใบหน้าเดียวกับตัวที่ลอยตามรถ พวกมันกำลังแสยะยิ้ม มือเท่าใบลานกวัดแกว่งราวจะกวาดรถทั้งคันให้ลอยละลิ่วเป็นเศษใบไม้แห้ง

ทำยังไงดี คุณมัค ทำยังไงดี ประสิทธิ์ละล่ำละลัก

มือที่จับพวงมาลัยเปียกชุ่มและเย็นชื้น เขาจะทำอย่างไร...จอดรถดูท่าทีของมัน หรือตะลุยไปข้างหน้า

ครืน... เสียงฟ้าร้องมาพร้อมพยับฝน ลมแรงพัดอู้ๆ

วู้ วู้ วู้... เสียงร้องของพวกมันดั่งกำลังฉลองชัย ลมประหลาดหมุนวนแทบจะดูดรถให้ลอยไป มรรคากัดฟัน ตัดสินใจ ลุยเป็นลุย

ฝนเม็ดใหญ่ๆ ตกกระทบหน้ารถ มรรคาหักพวงมาลัยหลบปิศาจตัวแรก มือของมันเฉี่ยวท้ายรถเกิดอาการสะบัด ประสิทธิ์ซุกตัวประนมมือสวดมนต์อย่างไม่คิดชีวิต

นะโม...ตัสสะ...พ่อแก้ว แม่แก้วช่วยลูกด้วยเถิด

มรรคาเกิดอาการฮึกเหิม...สู้เป็นสู้...เอาไงเอากัน นัยน์ตาเขาฉายประกายกล้า ขับรถลอดหว่างขาปิศาจตัวที่สองมาเฉียดฉิว เสียงร้องวู้ วู้ดังไล่พร้อมเสียงฝีเท้าดังตึกๆๆ ถนนสะเทือนรถยากจะทรงตัว ปิศาจด้านหลังกำลังไล่กวดเข้ามาติดๆ ส่วนข้างหน้ายังมีปิศาจตั้งด่านเป็นชั้นๆ ชายหนุ่มเกร็งพวงมาลัยแน่น กลิ่นหอมไร้ที่มาเหมือนจะช่วยกระตุ้นประสาทเขา

รักษาเนื้อ รักษาตัวให้ดีนะคะพี่มัค...ระวังตัวให้มาก

คำพูดของปีกแก้วดังขึ้นในความทรงจำ มรรคาเม้มริมฝีปาก...เขาต้องรอดให้ได้ ฉับพลันความคิดหนึ่งจุดประกายขึ้นมา...

...ปิศาจ ภูตผี ไม่มีกายหยาบเช่นมนุษย์...สิ่งที่เห็นเป็นเงาลวงตา...

เขาไม่รู้ว่าเอาความคิดนี้มาจากไหน แต่ไม่ว่าจะจริงหรือไม่ เขาก็อยากเสี่ยง...

ร่างดำทะมึนของเหล่าปิศาจ ได้ปรับขบวนเกาะตัวเป็นกลุ่มใหญ่ ยืนเรียงหน้ากระดานดุจกำแพงมหึมา สกัดกั้นทางหนีเขาจนหมด เสียงกรีดร้องดังเสียดประสาท มรรคาสูดลมหายใจ ลึก...ยาว...

ด้วยอำนาจแห่งคุณพระรัตนตรัย ชายหนุ่มนึกในใจ ช่วยคุ้มครองลูกด้วย

นัยน์ตาเขาจ้องกำแพงอมนุษย์ตาเขม็ง มือจับพวงมาลัยมั่น เขาเหยียบคันเร่งปานกลาง ไม่เร็ว ไม่ช้า

รถทั้งคันพุ่งเข้าชนกำแพงปิศาจทันที...

มรรคารู้สึกเสมือนตนเองติดอยู่ในบ่วงสีดำสนิท ความเร็วของรถถูกหน่วงเหนี่ยวให้ช้าลง เบื้องหน้ามีแต่ความมืดมิด แสงไฟหน้ารถหายไปเมื่อใดไม่อาจทราบได้ ชายหนุ่มมั่นใจว่าเขากำลังลืมตา มือกำพวงมาลัย ขาแตะคันเร่ง แต่ทำไมตัวเขาถึงเบาหวิวไม่ผิดขนนก ไม่มี่น้ำหนักใดๆ เกาะเกี่ยว ไม่มีแม้ที่วางเท้า

ท่ามกลางความมืด กลิ่นดอกไม้ยังติดจมูก จุดสว่างเล็กๆ ก่อตัวช้าๆ และมันค่อยๆ กลายเป็นใบหน้าสตรีผู้หนึ่ง

...ใบหน้าซีดเซียว นัยน์ตาดำขลับ ฉายแววสำนึกบุญคุณ...ผู้หญิงที่เขาเคยพบในความฝัน


ที่แห่งนั้นยังเป็นถ้ำเดิม แต่เวลาเปลี่ยนไป อาการบวมอักเสบที่เท้าหญิงสาวทุเลาจนเกือบปกติ เขาไม่ได้ กลับ ยัง ที่จากมา แต่กลับอยู่ดูแลหญิงสาวในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง

...หากจะช่วย...ต้องช่วยให้ถึงที่สุด...

กองไฟถูกก่อขึ้นในยามค่ำ หญิงสาวกำลังเล่าเรื่องของตนเองให้เขาฟัง

ข้าน้อยหนีเขามา หล่อนเริ่มต้น

ทำไม เขาถาม

เขาจะจับข้าน้อยบูชา จ้าว’ ” ยามเอ่ยชื่อนี้ ไหล่ของหล่อนห่อลง นัยน์ตาแฝงความพรั่นพรึง

เพราะอะไร

เพราะ... สีหน้าหญิงสาวยังไม่คลายจากความหวาดกลัว ข้าน้อยลบหลู่จ้าว

สิ้นเสียง ถ้ำตกอยู่ในความเงียบ แสงจากกองไฟจับเสี้ยวใบหน้าหญิงสาวเป็นสีส้มอมเหลือง หล่อนจ้องเขาอย่างชั่งใจ หากเล่าเรื่องต่อไป เหมือนจะดึงให้ชายแปลกหน้าเข้าสู่ห้วงอำนาจของจ้าวไปด้วย

เล่าต่อสิ เสียงเขานุ่มท่าทางราวกับรู้ความในใจหล่อน ไม่ต้องกลัวอะไรหรอก เขาย้ำ

หล่อนจ้องตาเขา เหมือนใจสัมผัสกระแสอันอบอุ่นของสายลมบนยอดเขา ดูๆ ไปแล้วเขาช่างทำตัวสบายๆ แสงไฟส่องจับเพียงบางส่วนของร่างเขา แต่ทว่าหล่อนกลับเห็นเขาชัดเจน เหมือนเขามีแสงสว่างอ่อนๆ แผ่มาจากตัว กลิ่นหอมจางๆ โชยชายมา นัยน์ตาเขาแลเร้นลึก แฝงด้วยอำนาจและความอ่อนโยน

ทั้งหมดนี้ทำให้หล่อนกล้าขึ้น...

ข้าน้อยมาจากอีกฟากหนึ่งของภูเขาโน้น หล่อนชี้มือไปทางภูเขาที่แลลิบๆ ใต้แสงจันทร์ ที่นั่นพ่อแม่ข้าน้อย จะให้ข้าน้อยเป็นเมียพ่อหมอ

ใครคือพ่อหมอ เขาถาม

พ่อหมอเป็นตัวแทนของจ้าว เป็นผู้นำคำสั่งของจ้าวมาบอกต่อหัวหน้าบ้าน เป็นผู้รักษาชาวบ้านยามเจ็บป่วย เป็นผู้ทำพิธีกรรมทุกอย่าง

เจ้าไม่อยากเป็นเมียพ่อหมอหรือ

ไม่...ข้าไม่ชอบพ่อหมอ พ่อหมอมีเมียเยอะแยะ ถ้าข้าจะเป็นเมียใคร ข้าขอเป็นเมียคนเดียว ท้ายคำเป็นเสียงอุบอิบ ตัวคนเล่าก้มหน้างุด ลอบมองชายผู้มีคุณ เห็นเขายังมีรอยยิ้มขันๆ อยู่เช่นเดิม เจ้าตัวค่อยใจชื้น

พอข้าไม่ยอม พ่อหมอก็เอาจ้าวมาอ้าง บอกกับพ่อแม่ว่า เป็นคำสั่งจ้าว ข้าน้อยจะขัดขืนไม่ได้

แล้วเจ้าทำอย่างไร เขาหยุดยิ้ม ถามด้วยท่าทางจริงจังขึ้น

ข้าน้อยบอกว่าไม่เชื่อ ต้องไม่ใช่คำสั่งของจ้าวแน่นอน จ้าวไม่เคยสั่งให้ใครเป็นคู่ใคร พ่อหมอก็ตะคอกใส่ข้าน้อยว่า...

เอ็งไม่เชื่อจ้าว อัปรีย์จะกินหัวเอ็ง

ข้าน้อยขาดสติโกรธจัด จึงชี้หน้าพ่อหมอแล้วตะโกนตอบไป”...

ข้าไม่เชื่อ จ้าวไม่มีสิทธิ์สั่งให้ใครเป็นคู่ใครทั้งนั้น จ้าวไม่มีสิทธิ์บังคับใจใคร แต่ถ้าจ้าวทำอย่างนั้นจริง ข้าก็ไม่นับถือจ้าวอีกแล้ว ไม่ยอมเชื่อฟังจ้าวอีกต่อไป...

เอ็งต้องถอนคำพูดเดี๋ยวนี้นะ พ่อหมอชี้หน้าข้าตะคอกเร่าๆ

ไม่...ข้าไม่ถอน จ้าวก็เป็นแค่ต้นไทรเก่าๆ ไม่มีอะไรสักอย่าง มีแต่พ่อหมอนั่นแหละกุจ้าวขึ้นมาอ้าง เพื่อประโยชน์ของตัวเอง ต่อไปนี้ข้าไม่เชื่อจ้าวอีกแล้วๆ ข้าน้อยตะโกนพร่ำซ้ำไปซ้ำมาเหมือนคนบ้า...จนกระทั่ง...

...เงียบ...

มีเพียงเสียงจักจั่นเรไร ร้องระงมอยู่นอกถ้ำ กับเสียงสายลมพัดผ่านโตรกหิน และมีความสงบ โบกโบยอยู่รอบๆ ตัว

จนกระทั่ง ทุกคนจับข้าไปขัง... หญิงสาวเอ่ยปากต่อ พ่อหมอบอกว่าจ้าวโกรธข้ามาก

เขาเห็นน้ำใสๆ หล่อรื้นในดวงตา รอยหวั่นหวาดยังเกาะกุมจิตใจหล่อน

ที่สุด จ้าวก็สั่งพ่อหมอให้ลงโทษข้าด้วยการ... หญิงสาวชะงักเสียง

ด้วยการฆ่า... เขาต่อให้ หล่อนห่อไหล่พยักหน้าอย่างขลาดกลัว

แล้วเจ้ารอดมาได้อย่างไร เขาถาม

แม่แอบปล่อยข้า... หล่อนตอบ แล้วข้าก็หนี หลงป่ามาถึงนี่ เจอเสือจนต้องหลบขึ้นต้นไม้ อดข้าวเป็นวันๆ กว่าเสือมันจะไป พอข้าลงจากต้นไม้ก็หน้ามืดพลัดตกลงมา จากนั้นก็ตะเกียกตะกายมาซ่อนในถ้ำ จนเจอท่าน

หญิงสาวจบเรื่องของตน เขาถามเบาๆ

เจ้าจะทำอย่างไรต่อไป

ข้าไม่รู้ หล่อนส่ายหน้า นัยน์ตาเคว้งคว้างเหมือนเด็กหลงทาง

กลับหมู่บ้านเจ้าเถอะ เขาพูด หญิงสาวเบิกตาโพลง ตกใจ ร่างสั่นระริก ข้าจะไปด้วย เขาพูด

แต่จ้าว หล่อนยังหวั่นเกรงสิ่งที่มองไม่เห็น

เจ้าเชื่อใจข้าหรือไม่ เขาถาม หญิงสาวแลลึกเข้าไปในดวงตาทรงอำนาจที่ฉายแววอ่อนโยนคู่นั้น

ข้าจะไป... หล่อนเชื่อมั่นเขา

ดี เขาพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มๆ ก่อนถามเบาๆ เจ้าชื่ออะไร

กะพ้อ...ข้าชื่อกะพ้อ

ทันทีที่เสียงนี้กระทบหู ภาพต่างๆ ค่อยๆ เลือนหายดุจดั่งมายา ผ้ารัตติกาลคลี่ลงมาปกคลุมราวกับม่านละคร

มรรคารู้สึกคล้ายตนเองกำลังนอนบนปุยเมฆอันบางเบา สีดำดั่งหมึกกระจายตัวออกกลายเป็นปุยขาวๆ ลอยเกลื่อนรอบตัว ใจกลางสีขาวอันพร่าพราย เขามองเห็นกลีบดอกไม้สีแดงสดลอยอ้อยอิ่ง กลิ่นหอมที่คุ้นเคยตลบอบอวล ชายหนุ่มกำซาบกลิ่นนั้นไว้ลึกๆ ความทรงจำแจ่มชัด มันคือกลิ่นที่เขาสัมผัสตั้งแต่ศาลเจ้าพ่อ ในดงไม้ ตามมาถึงในรถ เป็นกลิ่นที่เขาคิดว่ามีต้นตอมาจากกระเป๋าเสื้อของเขาเอง

กลิ่นดอกไม้...ดอกไม้ที่มีกลีบสีแดง...


เมื่อความทรงจำถูกเรียก สติเขาพร้อมบริบูรณ์ คำถามหนึ่งก้องในใจ...

นี่เราอยู่ที่ไหน เขาพยายามขยับตัว ลืมตา แต่มันช่างแสนยากเย็น

ฟื้นแล้ว ฟื้นแล้ว เสียงคุ้นหูพร้อมกับแสงสว่างบาดตา

ใบหน้าแรกที่เห็นคือปีกแก้ว ต่อมาเป็นพยาบาล และหมอ...

โรงพยาบาล เขาพึมพำเบาๆ ลำคอแห้งผากแทบไม่มีเสียง จำได้ว่ากำลังขับรถเผชิญหน้ากับฝูงอสุรกายแล้วตัดสินใจพุ่งรถชนพวกมัน

พี่มัค เป็นยังไงบ้างคะ น้ำเสียงห่วงใย เขายิ้มให้อย่างเพลียๆ พยายามยันตัวขึ้นนั่ง

อย่าเพิ่งเลยครับคุณมรรคาหมอกดตัวเขาไว้ ชายหนุ่มเพิ่งรู้ว่าแขนเขาติดสายน้ำเกลือ

มรรคาต้องใช้เวลาครู่ใหญ่ เพื่อให้หมอตรวจเช็กอีกครั้งจนแน่ใจว่าร่างกายและสมองปกติ จึงปล่อยให้เขาอยู่ในห้องสองคนกับปีกแก้ว

ดีใจจังเลย ตอนได้ข่าวว่าพี่มัคเกิดอุบัติเหตุ แก้วใจเสียแทบแย่

เขายิ้มและกำลังจะถามว่าโรงพยาบาลนี้อยู่ที่ไหน...แต่ก็มีสิ่งที่มาสะกิดใจเขาก่อน...

เสื้อตัวที่พี่ใส่มาอยู่ที่ไหนจ๊ะ มีใครเอาไปหรือยัง เขาถามเพราะตนเองใส่ชุดคนป่วย

อยู่ใต้เตียงนี่คะ ไม่มีใครเอาไปหรอกค่ะ ปีกแก้วตอบงงๆ

ช่วยหยิบให้พี่ที เขาพูดสั้นๆ สาวน้อยก้มลงหยิบให้

มรรคารับเสื้อมาดู ไม่มีร่องรอยว่าผ่านการซักล้าง เขาขมวดคิ้ว ค่อยๆ พลิกกระเป๋าเสื้อและเปิดมันออกมา

พอปีกแก้วเข้าใจเจตนาพี่ชาย หล่อนชะงักไปชั่วครู่ ท่าทางเหมือนเด็กถูกจับผิดได้ จึงพยายามชะเง้อดูว่าพี่ชายจะพบอะไรในกระเป๋าหรือไม่


ในแวบแรก มรรคาคล้ายจะเห็นกลีบดอกไม้สีแดงสดกลีบเล็กๆ ซ่อนอยู่ในกระเป๋า แต่พอล้วงมือเข้าไปหยิบ สัมผัสจากปลายนิ้วกลับว่างเปล่า

...ในกระเป๋าไม่มีอะไร...

ชายหนุ่มขมวดคิ้ว พลิกกระเป๋าเสื้อออกมาดูก็ยังไม่พบสิ่งใด

หาอะไรคะพี่มัค ปีกแก้วถาม ท่าทางเหมือนเด็กซนที่รู้ว่าผู้ใหญ่จับผิดตนไม่ได้

ไม่รู้สิ มรรคาวางเสื้อ พี่อาจคิดมากไป ไม่ก็ตาฝาด

หิวมั้ยคะ พี่มัคสลบไปตั้งวันกับคืนนึง เด็กสาวเปลี่ยนเรื่อง

หือ...วันกับคืนเชียว

ค่ะ ทีแรกคุณหมอบอกว่า ถ้าวันนี้พี่มัคยังไม่ฟื้น ก็คงต้องส่งเข้าโรงพยาบาลในกรุงเทพฯ แน่

ชายหนุ่มขยับตัวอย่างเพลียๆ

แล้วเรื่องราวเป็นมายังไง ทำไมแก้วถึงมาอยู่ที่นี่ได้ เขาถามแล้วชะงัก คิดถึงเรื่องสำคัญอีกเรื่องได้

จริงสิ ประสิทธิ์เป็นอะไรมากมั้ย

ปีกแก้วยิ้มใส ตาระยับ

โอ๊ย...ปลอดภัยดีค่ะ ไม่มีร่องรอยขีดข่วนสักนิด ก็เขานั่นแหละเป็นคนเล่าเหตุการณ์ระทึกขวัญจนป้าแล่มของเรานอนไม่หลับ

จากนั้นสาวน้อยก็เล่าเรื่องราวต่างๆ ด้วยท่าทางสนุกสนานตื่นเต้น


หลังเกิดอุบัติเหตุ ประสิทธิ์รู้สึกตัวเป็นคนแรก พบว่ารถชนเข้ากับต้นไม้ข้างทาง เขาไม่ได้รับบาดเจ็บ แต่มรรคากลับไม่ได้สติ โชคดีที่มีรถตำรวจผ่านมาช่วย จึงพามรรคาส่งโรงพยาบาลได้

ปีกแก้วรับโทรศัพท์จากประสิทธิ์ในเวลาใกล้รุ่ง จึงยกขบวนกันมาโรงพยาบาลทั้งบ้าน ทุกคนพบประสิทธิ์ในสภาพดูแทบไม่ได้ ถึงไม่มีร่องรอยบาดเจ็บ แต่เสื้อผ้ายับยู่ยี่ ใบหน้าอิดโรย อ่อนเพลีย

เขาเล่าว่า หมอเพิ่งนำมรรคาเข้าเช็กสมอง สภาพร่างกายของชายหนุ่มปกติดี ไม่มีบาดแผล ทั้งๆที่รถยุบเข้ามาเกือบถึงเครื่องยนต์

ป้าแฉล้มเร่งเร้าให้ประสิทธิ์บอกเล่าเรื่องราวทั้งหมด พอได้ฟังไป แกก็ขนลุกเป็นระยะ แถมด้วยเสียงวุ้ยว้ายไม่ขาดสายจนจบเรื่อง

ผลเช็กสมองของมรรคาปกติดี ปีกแก้วจึงให้ชัยพาป้าแฉล้มและประสิทธิ์กลับกรุงเทพฯ โดยตกลงกันว่าหล่อนจะเฝ้ามรรคาก่อน วันต่อมาค่อยให้ป้าแฉล้มมาเปลี่ยนเวร

ปีกแก้วเฝ้าดูอาการของชายหนุ่มเพียงแค่วันกับคืนหนึ่ง เขาก็ฟื้นขึ้นมาแล้ว

สรุปว่าเรื่องที่พี่มัคเจอผีเจ้าพ่อนี่จริงมั้ยคะ ปีกแก้วย้ำถามเพื่อความแน่ใจ

มรรคานิ่ง...นี่คือการตอบรับของเขา

น่ากลัวจังเลย หล่อนห่อไหล่ แต่โชคดีนะคะที่พี่มัครอดมาได้อย่างปลอดภัย ดูๆ ไปตอนนี้ยังกับคนเพิ่งตื่นนอนเท่านั้นเอง เด็กสาวตั้งข้อสังเกต

พี่ไม่ได้เป็นอะไรนี่ ชายหนุ่มพูดแล้วค่อยๆ ยันตัวขึ้นมา ปีกแก้วหยิบหมอนมาหนุนหลังให้ เอาเข็มน้ำเกลือนี่ออกพี่ก็กลับบ้านได้แล้ว

อย่าเพิ่งรีบเลยค่ะ อย่างน้อยก็กินอะไรก่อน เดี๋ยวแก้วจะหยิบมาให้

ลับร่างเด็กสาว มรรคามองเข็มน้ำเกลือที่ข้อมืออย่างระอา แล้วเอนหลังพิงหมอนมองรอบๆ ห้อง ที่นี่มีเตียงเดียว ปกติคงเปิดเครื่องปรับอากาศ แต่ยังเช้าอยู่ ปีกแก้วจึงเปิดหน้าต่างรับอากาศบริสุทธิ์จากภายนอกแทน

สายลมนอกหน้าต่างพัดเข้ามาพร้อมกับกลิ่นแมกไม้และต้นหญ้า ชายหนุ่มคิดถึงกลิ่นดอกไม้ที่ติดจมูก...เวลานี้มันหายไปอย่างไร้ร่องรอย...มันเป็นกลิ่นที่ทำให้เขารู้สึกเหมือนมีอีกคนอยู่ในร่าง และบางครั้งคล้ายจะเรียกร้องความทรงจำบางอย่างคืนมา

...ความทรงจำ...

ใช่...ความทรงจำของเขากับผู้หญิงคนหนึ่ง สวย...เศร้า...แววตาละห้อยหา

กะพ้อ...ข้าชื่อกะพ้อ

หล่อนมองเขาดังว่าจะตัดพ้ออยู่ในที

เหตุการณ์ทั้งหลายแจ่มชัดยิ่งกว่าความฝัน จริงจังไม่ผิดกับได้สัมผัส ที่สำคัญมันต่อเนื่องจากความฝันครั้งก่อนราวเป็นเนื้อเดียวกัน


ข้าวมาแล้วค่า ปีกแก้วยกถาดอาหารเข้ามา

โอ้ยแย่จริง แก้วลืมไขเตียงให้พี่มัค เด็กสาวบ่นกับตัวเอง

ไขเตียงเสร็จแล้ว เจ้าตัวพูดต่อแจ้วๆ

หมอบอกว่า ถึงพี่มัคจะไม่มีอาการอะไรน่าเป็นห่วง แต่ควรกินอาหารอ่อนก่อนนะคะ เดี๋ยวหมอจะมาดูอาการอีกที เด็กสาวพูดพลางป้อนข้าว มรรคารับช้อนมาตักกินเอง โดยมีน้องสาวนั่งมองตาแป๋ว

มื้อเช้าผ่านไปอย่างเรียบร้อย หมอเข้ามาดูอาการอีกครั้ง เห็นว่าปกติดีก็ให้พยาบาลถอดสายน้ำเกลือออก

ผมออกจากโรงพยาบาลได้แล้วใช่มั้ยครับหมอ มรรคาถาม

ไม่รอดูอาการอีกสักหน่อยหรือครับ หมอท้วง

หมอว่าผมมีอาการผิดปกติอะไรมั้ย เขาย้อน

ตกลง ตกลง หมอถอนใจ โบกมือ เจอคนไข้เอาแต่ใจจนชินแล้ว คุณพร้อมเมื่อไหร่...เชิญเลยครับ

รอชัยกับป้าแล่มอีกสักหน่อยก็ได้ค่ะพี่มัค เดี๋ยวคงมากันแล้ว ปีกแก้วชะลอเวลา มรรคาพยักหน้า

เจ้าชัยและป้าแฉล้มมาถึงก่อนเที่ยงเล็กน้อย มรรคาเปลี่ยนเสื้อผ้าเตรียมพร้อมออกจากโรงพยาบาล พอแม่บ้านใหญ่เห็นชายหนุ่มก็อุทานด้วยความดีใจ

ต๊ายคุณมัค ฟื้นตั้งแต่เมื่อไหร่คะ ป้าเป็นห่วงแทบแย่

ตั้งแต่เช้าแล้วค่ะป้า ปีกแก้วตอบแทน

แล้วเรื่องราวเป็นจริงอย่างที่เขาเล่าหรือเปล่าคะ ป้าแฉล้มยังสงสัยไม่หาย

มรรคากับปีกแก้วมองหน้ากัน เท่านี้อีกฝ่ายก็พอเดาได้

ไม่ได้แล้ว อย่างนี้ต้องรีบไปขอขมาท่านซะ แล้วทำบุญให้ท่านด้วย คุณนายแฉล้มมีสีหน้าหวั่นๆ

แววตามรรคาเข้มข้นขึ้น...เขาไม่จำเป็นต้องขอขมา

จ้ะป้า...ให้พี่มัคเขากลับบ้านก่อนนะ แล้วเราค่อยคิดกันอีกที ปีกแก้วรีบเปลี่ยนหัวเรื่อง

อะไรนะคะ คนเตรียมตัวเฝ้าไข้ร้องอุทาน พ่อคุณจะรีบไปไหน เพิ่งฟื้นแท้ๆ อยู่โรงพยาบาลให้หมอเขาดูอาการอีกหน่อยไม่ดีหรือคุณ

ไม่ดีหรอกจ้ะป้า ที่นี่หาพยาบาลสวยๆ ไม่เจอสักคน เด็กสาวพูดเป็นเรื่องเล่น

แหมคุณแก้วนี่ พูดอะไรเป็นเล่นไปหมด พี่ชายเจอเรื่องอย่างนี้ทั้งที ป้าเองห่วงแทบแย่ เมื่อคืนก็นอนไม่หลับได้แต่สวดมนต์ให้คุณท่านกับคุณผู้หญิงคุ้มครอง จะรีบออกมาแต่เช้า ไอ้ชัยมันก็มัวแต่ชักช้า กว่าจะมาได้ก็สาย แถมเจอรถติดอีก มาถึงนี่ได้แทบแย่

ใบหน้าของมรรคาละมุนลง นัยน์ตาดุฉายแววอ่อนโยน เขาโอบไหล่ผู้เปรียบเสมือนญาติสนิท

ฉันต้องขอบคุณป้ามากนะจ๊ะ...และทุกคนด้วย เอาเถอะเรืองอื่นค่อยว่ากันทีหลัง ขอโทษที่ทำให้เดือดร้อน ต่อไปฉันจะระวังตัวให้มากกว่านี้

ปีกแก้วยิ้มและเข้าไปกอดเอวพี่ชาย ซุกแก้มกับอกอุ่น มรรคายกมืออีกข้างยีเส้นผมน้องสาวเบาๆ

กลับบ้านกันเถอะ

คราวนี้ ไม่มีใครคัดค้าน

(โปรดติดตามต่อฉบับหน้า)



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP