สารส่องใจ Enlightenment

ธรรมจักร (ตอนที่ ๒)



พระธรรมเทศนา โดย พระธรรมวิสุทธิมงคล (หลวงตามหาบัว ญาณสมฺปนฺโน)
เทศน์อบรมพระ ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๒๒ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๒๖




ธรรมจักร (ตอนที่ ๑) (คลิก)



นี่เห็นแล้วเห็นพระพุทธเจ้าเต็มองค์ คือเห็นความบริสุทธิ์ของตนเอง
นี่ที่นี่ธรรมมีอยู่ไม่มีปัญหาสำหรับท่านเหล่านี้
เพราะจิตเป็นคู่ควรกับธรรมมีอยู่ทั้งหลายนั้นได้สัมผัสสัมพันธ์กันโดยลำดับลำดา
จนกระทั่งเต็มภูมิแห่งจิตเต็มภูมิแห่งธรรม
ในความว่ามีอยู่และในความว่าประเสริฐแห่งธรรมแห่งจิต
มีสมบูรณ์เต็มที่ในหัวใจแล้วหายสงสัย
นี่ท่านเหล่านี้แลท่านผู้รับทราบท่านผู้ยืนยันในธรรมมีอยู่และในธรรมประเสริฐ
สามัญเราธรรมดาไม่สามารถ จะจิตกี่ดวงก็ตาม
เช่นเดียวกับหม้อที่ถูกคว่ำปากลงไว้นั่นแล ไม่สามารถจะรู้จะเห็น
ถ้าอยากจะรู้จะเห็นธรรมให้หงายปากหม้อขึ้นมาเพื่อรับธรรมทั้งหลาย
หงายความเพียรขึ้นมา



ศรัทธาความเชื่อตามหลักความจริงของพระพุทธเจ้านี้
เป็นความเชื่อที่ไม่ขาดทุนสูญดอก เป็นความเชื่อที่ไม่เสียเวล่ำเวลา
เป็นความเชื่อที่ถูกต้องตามหลักธรรม
และเป็นความเชื่อที่จะหยั่งความอุตส่าห์พยายามทุกด้านทุกทาง
ที่จะให้โหมตัวเข้าเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันเพื่อชำระสิ่งที่เป็นข้าศึก
เพื่อปราบปรามสิ่งที่เป็นข้าศึก อันเป็นตัวจอมปลอมทั้งหลายออกไปจากใจโดยลำดับลำดา
จนกระทั่งไม่มีอะไรเหลือภายในใจ
เป็นความเชื่อที่เกิดขึ้นกับตัวเอง เชื่อพระพุทธเจ้าเชื่ออย่างนี้
ศรัทธาเป็นมาเอง วิริยะเพียรเอง เพราะเกี่ยวโยงกัน
คนเราเมื่อมีศรัทธาถึงใจทำไมความเพียรจะไม่ถึงใจ
สติก็ต้องถึงใจ สมาธิถึงใจ ปัญญาถึงใจ ธรรมถึงใจ
กิเลสกระจายออกไปโดยลำดับลำดาจนไม่มีอะไรเหลือ



นี่แหละธรรม ความเพียรโดยหลักธรรมชาติ
ความเพียรประจักษ์ใจเป็นอย่างไร ไม่ต้องบังคับบัญชาหากหมุนตัวไปเอง
สติก็เหมือนกัน ความรู้อยู่ที่ไหนสติจะกลมกลืนกันไป ปัญญาจะกลมกลืนกันไป
สมาธิมั่นคงทั้งเหตุคือการบำเพ็ญไม่เหลาะแหละ
มั่นคงทั้งผลคือสิ่งที่ปรากฏขึ้นเป็นความร่มเย็นเป็นสุขหนาแน่นมั่นคงภายในจิตใจ
ปัญญามีความรอบตัว รอบทุกอาการของจิตที่แสดงออกมา
รอบทุกอาการของอวัยวะที่แสดงตัวออกไป รอบทั้งภายนอกที่เข้ามาสัมผัสสัมพันธ์
จึงเรียกว่าปัญญารอบตัว นี่เป็นธรรมที่เกิดขึ้นปรากฏขึ้นในใจของผู้บำเพ็ญเองไม่ต้องถามผู้ใดๆ
ทั้งหมด จะเป็นสิ่งที่ประจักษ์ยอมรับตัวเองภายในนั้น นี่ชื่อว่าธรรมแท้ขึ้นภายในจิต



เรายังไม่สามารถมองเห็นธรรมแท้รู้ธรรมแท้ ต้องอาศัยตำรับตำรากางเสียก่อน
เหมือนเป็นแบบแปลนแผนผัง แล้วพยายามตะเกียกตะกายไปตามนั้น
หนักบ้างเบาบ้างต่อสู้กันไปทนกันไป
จนถึงขั้นรู้ประจักษ์ตัวเองแล้วไม่ต้องมีอะไรมาสนับสนุนก็เป็นไปได้เอง
นี่แหละการปฏิบัติธรรม



คำว่าธรรมมีอยู่ มีอยู่อย่างนี้แหละ
ธรรมทั้งหลายนั้นไม่ใช่ดิน ไม่ใช่น้ำ ไม่ใช่ลม ไม่ใช่ไฟ
ไม่ใช่ดินฟ้าอากาศ ไม่ใช่อวกาศ ไม่ใช่วัตถุสิ่งใดทั้งสิ้น
เพราะฉะนั้นตา หู จมูก ลิ้น กาย ซึ่งเป็นวิสัยของสิ่งเหล่านี้
จึงสามารถรับได้เพียงสิ่งเหล่านี้เท่านั้นแต่ไม่สามารถรับธรรมได้
เพราะธรรมไม่ใช่สิ่งเหล่านี้ ไม่ใช่สิ่งที่ตา หู จมูก ลิ้น กาย ของเราสัมผัสสัมพันธ์ได้นี้เป็นธรรม
แต่จะสามารถสัมผัสสัมพันธ์ได้ด้วยใจที่ประกอบด้วยองค์ธรรมที่ถูกต้องดังที่กล่าวมาเหล่านี้
เช่น ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา



นี่แหละเป็นทางที่ไหลมาแห่งธรรม เป็นเครื่องมือที่จะสัมผัสสัมพันธ์ธรรมได้ทุกประเภท
ตั้งแต่ความสงบเย็นใจขึ้นมาโดยลำดับ
ความสงบก็ไม่ต้องไปถามที่ไหน จะปรากฏขึ้นที่ใจของผู้บำเพ็ญนั้นแล
นี่จึงว่าธรรมแท้ๆ เกิดขึ้นจากภาคปฏิบัติ ปริยัติศึกษาเล่าเรียนมาตั้งแต่วันบวช
เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ นี้ได้เรียนแล้ว
ปริยัติอุปัชฌายะมอบให้ทุกรูปทุกนามที่บวชตั้งแต่เณรขึ้นไป
แล้วนำนี่เข้าไปคลี่คลายขยายดูเป็นภาคปฏิบัติเป็นยังไง
เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ อันเป็นเส้น ๆ นี้หรือเป็นคน
ทั้งผมทั้งขนเส้น ๆ นี้หรือเป็นคน นี้หรือเป็นของสวยของงาม
อันเป็นเส้น ๆ นี้หรือ เส้นหญ้ามันก็เหมือนกันไม่เห็นสวยเห็นงาม
ทำไมผมอันนี้มันงามมันสวยนัก อะไรพาให้สวยอะไรพาให้งาม อะไรมาหลอก
ค้นหาความจริงให้เจอ เมื่อค้นหาความจริงสิ่งที่มาหลอกแล้ว มันก็จริงมันก็เจอเท่านั้นเอง



ดูตามความจริงแล้วมันมีอะไรสวยงาม ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง
ดูเข้าไปทั้งภายนอกภายในตลบทบทวนหลายครั้งหลายหน
บังคับบัญชาดูตามความจริง
อย่าให้จิตเถลไถลออกไปสู่ความจอมปลอมซึ่งกิเลสปักเสียบเอาไว้รอบด้าน
อันนี้ง่ายนักเร็วนักนะ เพราะกิเลสเคยคล่องตัวบนหัวใจเรามานาน ธรรมยังคล่องไม่ได้
พอจะเริ่มทำนี้ถูกมันปัดมือตกไปหมดๆ ปัดมือหักมือขาด แขนหักแขนขาด หัวกุดหัวด้วนไป
มันตั้งไม่อยู่น่ะซิ จะตั้งความเพียรก็ถูกมันปัดเสีย ตั้งท่าใดก็ถูกมันปัดเอาล้มไปเสียๆ
ล้มก็ล้มลงหมอนนั่นแหละ ความขี้เกียจขี้คร้านมันก็จมอยู่ในหัวใจนี้เสียก้าวไม่ออก
เพราะกำลังของกิเลส กำลังของสิ่งจอมปลอมมีมาก มันเป็นอัตโนมัติของมันคล่องตัวที่สุด



เพราะฉะนั้นจึงต้องได้พยายามต่อสู้กับมันอย่างหนัก
ด้วยความพากเพียร ความอุตส่าห์พยายาม
เพราะเล็งประจักษ์ใจแล้วว่าธรรมเป็นของประเสริฐต่างหาก
กิเลสไม่ได้ประเสริฐ ธรรมต่างหากประเสริฐ
กิเลสเป็นตัวหลอกลวง เป็นตัวจอมปลอมร้อยเปอร์เซ็นต์ๆ
ธรรมเป็นธรรมที่แท้ที่จริงร้อยเปอร์เซ็นต์ๆ สวนทางกันไป
เราเชื่อพระพุทธเจ้าหรือเชื่อกิเลส เราต้องถามตัวของเราเองด้วยสติปัญญาของเราเอง
จึงชื่อว่าเป็นผู้ซักตัวเองกับกิเลส อยู่กับตัวเองแก้ตัวเองด้วยอำนาจของธรรม
กิเลสเป็นเครื่องผูกเครื่องมัด เราแก้ด้วยอรรถด้วยธรรม
เราจะเชื่อใคร พุทฺธํ ธมฺมํ สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ เราเปล่งวาจามาตั้งแต่ไหนแต่ไร
เฉพาะอย่างยิ่งขณะที่บวชมาจนกระทั่งป่านนี้



พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์นี้หรือองค์หลอกลวงโลกมีไหม
เราถือพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ ถืออย่างไร
พระพุทธเจ้าจริงอย่างไรในภาคปฏิปทาก็ดี ทั้งผลเป็นที่ได้รับเป็นที่พอพระทัยอยู่แล้ว
ธรรมะที่ว่า ธมฺมํ สรณํ คจฺฉามิ นี้ก็เหมือนกัน อยู่ในพระทัยของพระพุทธเจ้าเต็มดวงอยู่แล้ว
สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ พระสงฆ์สาวกล้วนแล้วตั้งแต่เป็นผู้ทรงธรรมอันบริสุทธิ์นี้ทั้งนั้น
ท่านเหล่านี้ไม่ใช่ผู้หลอกลวง ไม่ใช่ผู้ต้มตุ๋นสัตว์โลกทั้งหลายให้ล่มจมไป
มีกิเลสเท่านั้นเป็นธรรมชาติที่หลอกลวงสัตว์โลกทั้งหลายให้ล่มจมไป
ไม่ว่าสัตว์ไม่ว่าบุคคล หญิงชาย ชาติชั้นวรรณะใดก็ตาม ถูกต้มถูกตุ๋นจากกิเลสนี้ทั้งนั้น
ทำไมเราก็เป็นคนหนึ่งซึ่งถูกต้มถูกตุ๋นจากมันมานานแสนนานแล้ว
จึงยอมเชื่อมันอยู่ตลอดเวลา ไม่โผล่หน้าขึ้นมาด้วยสติปัญญามองดูหน้ามันบ้าง
ให้แต่มันมองดูหน้า สับหน้าผากเราอยู่เรื่อยๆ มีอย่างเหรอ
เราเป็นนักปฏิบัติต้องพิจารณาอย่างนั้น
ต้องใช้สติปัญญาพลิกแพลงเปลี่ยนแปลงไปมาให้เป็นหลายสันหลายคม
สมกับกิเลสมีหลายสันหลายคม ไม่อย่างนั้นไม่ทันกันนักปฏิบัติ พลิกขึ้นมาใช้ให้ทัน



นี่เราพูดถึงเรื่องปริยัติ พอได้เรียนแล้วแยกมาเป็นภาคปฏิบัติ
ไม่เพียงแต่ ตโจ เท่านั้นแหละ เมื่อเข้าไปถึงนี้แล้ว
อวัยวะน้อยใหญ่ในสกลกายนี้มันจะตลอดทั่วถึงไปหมด เป็นสภาพเหมือนกัน
ถ้าว่า อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา เต็มหมดทั่วตัวนี้
ถ้าว่าอสุภะอสุภัง ตรงไหนมันสะอาดพอที่จะไว้วางใจได้มีไหม มันไม่มี เต็มหมดตัว
แต่กิเลสมันบอกว่าดีว่าสวยว่างาม มันเอาลมๆ แล้งๆ มาหลอกเราก็เชื่อมัน
มันไม่มีความจริงอะไรเลย เรายังเชื่อมันจนกระทั่งป่านนี้
เอาธรรมพระพุทธเจ้าจับเข้าไปซิ จับเข้าไป
จับเข้าไปตรงไหนไม่หยุดไม่ถอยแล้วก็พังๆ
เมื่อความจอมปลอมนั้นพังแล้วอยู่สบาย
เพราะมีแต่ความจริงล้วนๆ อยู่ด้วยกันสบายไปหมด
แม้ทุกข์จะมีอยู่ในธาตุในขันธ์เจ็บไข้ได้ป่วยก็ตาม มันก็เป็นความจริงอันหนึ่งของมัน
เพราะใจของเราเป็นความจริงแล้วไม่เป็นทุกข์ต่อกัน
ไม่กระทบกระเทือนกัน ไม่ได้หวั่นไหวต่อกันเลย
นี่การพิจารณาให้พิจารณาอย่างนี้



นี่เป็นสนามรบ นี่เป็นสถานที่ทำงานของนักปฏิบัติเพื่อความหลุดพ้น
ไม่หลุดพ้นที่ตรงไหน หลุดพ้นที่ถูกผูกถูกมัดนั่นแหละ
สิ่งเหล่านี้แหละเป็นเครื่องผูกมัดจิตใจของเราอยู่เวลานี้
ให้ได้กระเสือกกระสนกระวนกระวาย ดิ้นอยู่อย่างนั้นภายในจิตใจใครๆ ก็รู้
เพราะมีสิ่งพาให้ดิ้น ไม่ต้องถามกันก็รู้
ให้ธรรมจ่อเข้าไปซิตรงไหน ความสงบจะปรากฏขึ้นมาๆ เรื่อยๆ
จนกระทั่งกิเลสพังลงไปหมดเพราะอำนาจแห่งธรรมปราบปรามมันแล้ว
ไม่มีอะไรดีดไม่มีอะไรดิ้น มีก็แต่เรื่องขันธ์ล้วน ๆ เท่านั้นแหละ


รูปก็มีอยู่ตามสภาพของมัน
ก็รู้อยู่แล้วว่ารูปนี้คือธาตุ ๔ แน่ะ ดิน น้ำ เป็นสำคัญ ที่เด่นเพราะเป็นธาตุที่หยาบ
ก้อนร่างกายของเรานี้มันก็ก้อนดินเหนียวนั่นเอง
ฉาบทาด้วยน้ำชื้นๆ แฉะๆ อยู่ในตัวของเรา
ไม่ผิดอะไรกับขี้ตมขี้โคลนที่เปียกแฉะและข้นๆ อะไรเลยแหละ
ความร้อนเราก็เห็นอยู่แล้ว ไฟตื่นมันอะไร ไฟในร่างกายนี้ก็เป็นอันเดียวกัน
ลมก็ลมหายใจ หายใจเข้าหายใจออกตื่นอะไรลม
ลมนั้นหรือเป็นคน ลมทั่วโลกทั่วดินแดนไม่เห็นเป็นคน
ทำไมลมในจมูกเป็นคนได้ ถ้าไม่ถูกหลอกเอาเสียอย่างเปื่อย
นั่นถามตัวเองบ้างซิ กิเลสอยู่กับตัวเองต้องถามตัวเอง
สติปัญญาซึ่งเป็นเรื่องของอรรถของธรรมอยู่กับตัวเองค้นขึ้นมาใช้
ค้นขึ้นมา ขุดค้นมันทำลายมัน สิ่งจอมปลอมทั้งหลายเหล่านี้



ดูให้เห็นชัดธาตุ ๔ ดิน น้ำ ลม ไฟ มีเท่านั้น มีความวิเศษวิโสอะไรดินน้ำลมไฟ
เหยียบย่ำไปมาก็มีแต่ดินแต่น้ำแต่ลมแต่ไฟทั้งนั้น
อยู่ในตัวของเรานี้ก็ตั้งแต่วันเกิดมาจนกระทั่งเดี๋ยวนี้
มันให้ความวิเศษวิโสอะไรต่อเราบ้างอันดินน้ำลมไฟ
ทำไมจึงไปเสกสรรปั้นยอมันเอานักหนา
เสกสรรเท่าไรยิ่งพันเข้าไปๆ เหมือนลิงทอดแหนี่
เอ้า คลี่คลายออกซิด้วยสติปัญญามีเท่าไร
ธรรมของพระพุทธเจ้าเป็นธรรมะที่เปิดเผย เป็นธรรมะที่เป็นความจริง
องอาจกล้าหาญมาก นำเอามาใช้แก้กิเลสให้หมอบราบไปหมดไม่ให้มันเหลือ
สิ่งจอมปลอมทั้งหลายหมดไปแล้วยังเหลือแต่ความจริงล้วนๆ อยู่แสนสบาย
ไม่มีอะไรมากวนใจแหละ ที่เรียกว่าขันธ์ล้วน ๆ คืออย่างนี้แหละ
มีแต่ขันธ์ รูปขันธ์ก็เป็นขันธ์ล้วนๆ เสีย ไม่มีกิเลสตัวใดเข้าไปแทรก
ถึงจะมีกำลังวังชาก็เป็นกำลังวังชาของธาตุของขันธ์
ไม่ใช่เป็นกำลังวังชาของอำนาจกิเลสราคะตัณหาอะไร



เวทนา ความสุข ความทุกข์ เฉยๆ ที่เป็นอยู่ในร่างกายนี้ก็เห็นกันอย่างชัดๆ อยู่นี้
มันก็มีแต่เกิดๆ ดับๆ ก็รู้กันอยู่จนจำเจ
ทำไมพิจารณาไม่เห็นชัดตามสิ่งที่มีอยู่อย่างจำเจเปิดเผยอยู่ตลอดเวลา
มันน่าจะรู้จะเห็นกันด้วยปัญญาถ้านำมาใช้
สัญญาก็ฟังซิ จำได้เท่าไร เรียนจบพระไตรปิฎกก็จำทั้งนั้นแหละ
กิเลสตัวหนึ่งก็ไม่ถลอกเพราะเป็นสัญญา
จะเอาอะไรมาแก้กิเลส ถ้าเป็นปัญญาแล้วพังเลยกิเลสไม่มีเหลือ
ต้องจำเอามาให้เป็นปัญญาซิ ถ้าเป็นปัญญาแล้วก็ทำลายกิเลสได้
สังขารก็ปรุงอยู่อย่างนั้นยิบๆ แย็บๆ



เมื่อเป็นขันธ์ล้วนๆ แล้วมันมีเท่านั้นแหละ มันไม่กำเริบเสิบสานไปมากกว่านี้
อะไรเกิดขึ้นก็ตามสภาพของตนๆ ไม่มีอะไรมาหนุนมาฉุดมาลากไปให้เป็นอย่างอื่น
กายก็สักแต่ว่ากายอยู่อย่างนั้น เวทนา ความสุข ความทุกข์ ที่เป็นอยู่ในขันธ์
ก็เป็นอยู่ตามธรรมชาติของมัน รู้ตามความจริงไม่ตื่นไม่เต้น ไม่หลงใหล ต่างอันต่างจริง
สัญญาก็จำได้จำไป ลืมได้ลืมไป ก็รู้กันอยู่แล้ว
ความจำกับความหลงลืมเป็นคู่เคียงกันก็รู้กันอยู่แล้ว
สังขารความคิดความปรุง ก็ปรุงไปอย่างนั้น ไม่มีตัวใดที่เข้ามาถือบังเหียน
อวิชฺชาปจฺจยา ไม่มี ตัวอวิชชานั้นแหละตัวถือบังเหียนของขันธ์ทั้งห้านี้
ถูกพังทลายลงไปหมดแล้วก็เป็นขันธ์ล้วนๆ จะมีอะไรเหลืออยู่ รับทราบกันไป
พอถึงกาลอวสานของมัน พอหมดแล้วก็สลายตัวของมันลงไป
ใครจะไปให้ชื่อให้นามมันที่นี่ ก็มีแต่จิตดวงเดียวไปให้ชื่อให้นาม ไปหลงมัน



พอจิตดวงนี้รอบตัวแล้ว มันยังอยู่มันก็รู้กันอยู่อย่างนั้นจะไปตื่นกันอะไร
นี่ภาคปฏิบัติ ให้เห็นว่าธรรมมีอยู่จะเปิดเผยขึ้นที่ใจ
เวลานี้กิเลสปกปิดไว้ไม่ให้เห็นธรรม ธรรมประเสริฐก็กิเลสแทรกเข้าไป
แล้วเหยียบหัวใจเราเสียว่ากิเลสประเสริฐ
ความโลภเกิดขึ้นก็ประเสริฐ ความหลงเกิดขึ้นประเสริฐ ราคะตัณหาเกิดขึ้นประเสริฐ
มีแต่ประเสริฐไปหมดเรื่องของกิเลส
แต่หาตัวประเสริฐอันแท้จริงที่จะมาหนุนใจให้ได้รับความสุขไม่มีเลย
มีแต่ฟืนแต่ไฟวิเศษอะไร ประเสริฐอะไร ดูมันบ้างซิ



มันประกาศกังวานอยู่ในหัวใจ หลอกอยู่ตลอดเวลา
ทำไมไม่เอาธรรมเข้าจับกันบ้างว่าความโลภเคยให้คนเป็นสุขที่ไหน
โลภมากเท่าไรยิ่งเป็นทุกข์มาก เป็นฟืนเป็นไฟไปหมดนั่นแหละ
หมุนตัวเป็นเกลียวยิ่งกว่ากังหัน คนโลภมากเป็นอย่างนั้น
อยู่ไม่เป็นสุขดิ้นรนกระวนกระวาย ความโลภมันเหยียบย่ำทำลายหัวใจ
ได้มาเท่าไรแทนที่ความโลภจะสงบไปใจจะได้รับความสุข
ยิ่งเพิ่มฟืนเพิ่มไฟขึ้นไปมีความสุขที่ตรงไหนนั่น
เอาให้มันเห็นจริง ๆ อย่างนั้นซินักปฏิบัติ
ธรรมเป็นของจริง ให้เห็นทั้งของจริงทั้งของปลอมซิ
ว่าความโลภมันเป็นของวิเศษเป็นความสุขได้อย่างไร อันนี้เป็นเรื่องของกิเลส
สำหรับธรรมท่านไม่ว่าอย่างนั้น ท่านปราบเอาเลย ท่านลบล้างไปเลย
มันสุขที่ตรงไหน คนโลภนั้นละคือคนจะตาย นั่นพูดง่ายๆ ว่างั้น
โลภมากเท่าไรมันจะตายสดๆ ร้อนๆ



ความโกรธก็เหมือนกัน เกิดขึ้นมากๆ นี้ตัวแดงเป็นพริกเผาไปเลย
นั้นหรือคนเป็นสุข ตัวแดงเป็นพริกเผานั้นเหรอ
ผู้ไม่โลภอยู่สงบสบายไม่มีอะไรกวนใจต่างหากเป็นผู้มีความสุข เป็นผู้ทรงความสุข
ผู้ไม่โกรธอยู่ด้วยความสะดวกสบายด้วยจิตที่บริสุทธิ์ต่างหากเป็นผู้มีความสุข
ทรงไว้ซึ่งความสุข ไม่หลงงมงายไม่หลงอะไรทั้งนั้น
ตัวหลงตัวเหล็งนี้ออกไปหมดไม่มีอะไรเหลือ ปราบมันออกหมด
ยังเหลือแต่ความสุขที่บริสุทธิ์ล้วนๆ นั้นคือผู้ประเสริฐ นั้นคือผู้เป็นบรมสุขต่างหาก



ราคะตัณหาเป็นเครื่องเขย่าก่อกวนให้ดิ้นรนกวัดแกว่งเหมือนสุนัขเดือน ๙ เดือน ๑๐
ดิ้นรนกระวนกระวาย นั่นละตัวมันดิ้นที่สุดตัวนี้
เมื่อฆ่าสาเหตุตัวมันดิ้นเสียแล้วอะไรจะมาดิ้น
คนดิ้นตายมีความสุขไหม คนไม่ดิ้นต่างหากมีความสุข
นี้ตัณหาราคะพาดิ้นล้มดิ้นตายอยู่ทั้งวันทั้งคืนยืนเดินนั่งนอน ทุกเพศทุกวัย
มันมีความสุขเหรอมันพาดิ้นอยู่นั่น
ความไม่ดิ้นต่างหาก ความสลัดปัดทิ้งสิ่งที่พาให้ดิ้นทั้งหลายนี้ออกเสียจากใจ
ใจไม่ดีดใจไม่ดิ้น ใจอยู่ด้วยความสงบร่มเย็นต่างหาก
เป็นใจที่ทรงความสุขไว้ เป็นผู้หาความสุขได้
นี่ละปรารถนาสิ่งนี้เจอเพราะเป็นความจริง
ถ้าเป็นความจอมปลอมปรารถนาเท่าไรก็ไม่เจอ
ท่านจึงว่าเป็นทุกข์ ๆ เรื่อย ยมฺปิจฺฉํ น ลภติ ตมฺปิ ทุกฺขํ ทุกฺขํ เรื่อย ไม่มีคำว่า สุขํ สุขํ



ถ้าดำเนินตามทางมรรคที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนแล้ว
ปรมํ สุขํ ปรมํ สุขํ ไม่ต้องถาม นี่ละธรรมจะเปิดเผยขึ้นที่ใจ ความวิเศษจะเปิดเผยขึ้นที่ใจ
จะไม่เปิดที่ตรงไหน ใจเท่านั้นจะเป็นผู้สัมผัสสัมพันธ์ธรรม
ขอให้ปราบกิเลสให้พังทลายไปเถอะ
ความปิดบังมันจะหายไปพร้อมกับตัวกิเลสซึ่งเป็นตัวปิดบังนั้นแล
ความเปิดเผยแห่งธรรมทุกขั้นทุกภูมิจะขึ้นในทันทีทันใด สว่างจ้าไปหมดเลย



ปฏิบัติเอาให้จริงให้จังนักปฏิบัติ อย่าไปเสียดายเรื่องของกิเลส
มันมีแต่เรื่องของกิเลสทั้งนั้นรอบอยู่ในหัวใจของเรา เว้นแต่ไม่พูดเท่านั้นนะ
มันเต็มอยู่ที่จิตใจ เอาธรรมเปิดขึ้นมาซิ ให้ได้เห็นความวิเศษศักดิ์สิทธิ์
ความทุกข์ความลำบากทั้งหลายจะกลายเป็นปุ๋ยขึ้นมา
สนับสนุนจิตใจให้มีความร่มเย็นเป็นสุข
สมาธิไม่เคยปรากฏก็จะปรากฏที่ใจ ปัญญาไม่เคยปรากฏก็จะปรากฏ
วิมุตติหลุดพ้นไม่เคยปรากฏจะสง่างามขึ้นที่ใจนี้
ปรมํ สุขํ ปรมํ สุขํ ไปถามหาที่ไหน รู้อยู่ในใจแล้วถามที่ไหน ให้พากันตั้งอกตั้งใจ



เอาละเทศน์เท่านี้ เหนื่อยมากวันนี้


- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -- - - - - - - - - - - - - - - -


ที่มา http://bit.ly/29QEOHV


แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP