วรรณกรรมนำใจ Lite Literature

เถ้าน้ำค้าง ๒


Tao Nam Kang - front re

ชลนิล

 



(ต่อจากฉบับที่แล้ว)

 

 

            “น้องลาน วันนี้มาแต่เช้าเชียว เป็นยังไงบ้าง” มุกดา หรือพี่มุก เลขาคุณหญิงรัดเกล้า ประธานกรรมการบริษัท เอ่ยทักเสียงแปร่ง ๆ เมื่อเข้ามาเห็นลานน้ำค้างมาถึงที่โต๊ะทำงานก่อน

            “สบายดีค่ะ” ลานน้ำค้างตอบเสียงใส “กินอิ่ม นอนหลับ แข็งแรงสุด ๆ”

            “เอ๋...” พี่มุกทำหน้าเหรอ มองหญิงสาวแปลก ๆ

            “คุณหญิงยังไม่เข้ามานะคะ แต่ลานเตรียมแฟ้มเสนอให้ท่านเซ็นแล้ว พี่มุกช่วยมาตรวจเช็คอีกทีสิคะ” ลานน้ำค้างแกล้งพูดเรื่องงาน ดูปฏิกิริยาฝ่ายตรงข้าม

            “จ้ะ...จ้ะ เดี๋ยวพี่จะช่วยเช็คให้” มุกดาพูดพลางมองสาวน้อยผู้ช่วยเหมือนสงสัย อยากรู้ อยากเห็นเป็นพิเศษ

            “มีอะไรหรือคะพี่มุก” ลานน้ำค้างแกล้งทำหน้าซื่อ “เมื่อเช้าลานอาบน้ำ ล้างหน้าแล้วนะ รับรองไม่มีขี้ตาสักเม็ด”

            มุกดาหัวเราะคิก ตีต้นแขนหญิงสาวหน้าซื่อเบา ๆ อย่างหมั่นไส้

            “บ้าจริง เธอนี่ พี่ไม่ได้มองเราอย่างนั้นซะหน่อย” พี่มุกทำท่าอึดอัดได้ไม่เกินสามวินาที ก็เอ่ยปากถามหญิงสาวตรง ๆ “ตะกี้ลานขึ้นลิฟต์ตัวไหนมาจ๊ะ”

            ลานน้ำค้างอมยิ้มในใจ...ว่าแล้ว...เดี๋ยวก็ได้รู้เรื่องจริง ๆ

            “ตัวที่ขึ้นมาทุกวันไงคะ มีอะไรหรือเปล่า”

            ด้วยสีหน้าที่ทำเป็นไม่รู้เรื่องรู้ราวเช่นนั้น ทำให้ฝ่ายตรงข้ามอดไม่ได้ ต้องเผยความลับออกมาเอง

            “ตายแล้ว...ขึ้นมาได้ยังไง แล้วไม่เจออะไรเลยเหรอ”

            “จะให้เจออะไรล่ะคะ จิ้งจก ตุ๊กแกไม่มีสักตัว” แกล้งตอบเล่นลิ้นไปอย่างนั้นเอง ใจจริงอยากรู้แทบตายแล้ว

            “นี่แสดงว่ายังไม่รู้อะไร เมื่อคืนวันศุกร์ ลุงธง ยามประจำตึกเราหัวใจวายตายในลิฟต์ พวกมาทำงานโอทีเสาร์ อาทิตย์เขารู้กันหมดแล้ว”

            ฟังแล้วลานน้ำค้างค่อยเข้าใจ “ลุงธง” เป็นยามที่หล่อนค่อนข้างคุ้นเคย พูดจากันเป็นประจำ มีขนม กับข้าวจากแม่มาฝากไม่ค่อยขาด...สงสัยเมื่อเช้านี้ แกคงเข้ามาทักทาย

            “แล้วยังไงคะพี่มุก มีคนเจอผีของคุณลุงด้วยเหรอ” ลานน้ำค้างหวังว่าจะได้รับคำยืนยัน

            “ก็ไม่มีใครแน่ใจเท่าไหร่ แต่ที่แน่ ๆ คือลิฟต์นั้นเขาปิด ไม่ให้ใช้ แต่ยามข้างล่างเขาเห็นลานขึ้นมา พี่เลยสงสัยว่าลานขึ้นมาได้ยังไง...แล้วเจออะไรแปลก ๆ บ้างหรือเปล่า?”

            คราวนี้ลานน้ำค้างเริ่มมีอาการขนลุกเล็ก ๆ แอบนึกถึงลุงธงไม่ได้...สงสัยแกคงอยากจะบอกลา หรือไม่ก็ทักทายหล่อนกระมัง...แต่...ที่จริง ไม่ต้องลำบากขนาดนั้นก็ได้นะลุง!




- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -




            หน้าลิฟต์...

            ลานน้ำค้างยืนมองมันเนิ่นนาน ไม่รู้จะทำอย่างไรดี ขณะนี้เป็นเวลาพักกลางวัน พนักงานออฟฟิศต่างลงไปรับประทานอาหาร ประตูลิฟต์ปิดสนิท ไม่มีสัญญาณไฟว่ามีคนใช้งาน เป็นโอกาสสะดวกที่หล่อนจะรีบจัดการกับสิ่งที่ควรกระทำโดยด่วน

            แรก ๆ ที่ยืนหน้าลิฟต์ยังคิดไม่ออกว่าจะทำอย่างไร สัมผัสพิเศษไม่อาจสำเหนียกถึงผู้ต่างภพ จึงยืนมองลิฟต์เฉย ๆ ใจผ่อนคลาย แล้วค่อย ๆ มีความตั้งมั่นขึ้นมา กระแสบางอย่างลอยอ้อยอิ่ง กระทบใจ

            หญิงสาวคลี่ยิ้ม ยินดี ยกมือพนม สำรวมจิต ระลึกถึงลุงธง ยามประจำตึกที่เคร่งครัดต่อหน้าที่ จิตใจดี เอื้อเฟื้อต่อเธอ เด็กที่มาฝึกงานอย่างเสมอต้นเสมอปลาย

            “สัพเพ สัตตา สัตว์ทั้งหลายที่เป็นเพื่อนทุกข์ เกิดแก่เจ็บตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น”

            บทสวดแผ่เมตตาธรรมดา ท่วงทำนองคุ้นปากหลุดมาแผ่ว ๆ คำสวดช่วยโน้มน้าวจิตใจให้อ่อนโยน บังเกิดเมตตา ระลึกถึงบุญ กุศลต่าง ๆ ที่เคยทำ จิตใจเริ่มมีความอบอุ่น หนักแน่นขึ้น จนกระทั่งเกิดความอิ่มเต็ม จึงได้ตั้งใจอุทิศบุญ กุศลเหล่านั้นให้แก่ผู้วายชนม์

            “ขออุทิศบุญ กุศลทั้งหมดที่เคยทำ ไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ก็ตาม ให้กับลุงธงทั้งสิ้น ขอความอบอุ่น เย็นใจ เป็นสุข จงบังเกิดแก่ลุงธงด้วยเถิด”

            จิตใจอิ่ม เต็มตื้นด้วยความสุข ก่อให้เกิดความอบอุ่นควบแน่นในใจ เกิดเป็นความตั้งมั่น แล้วแผ่ซ่านออกไปด้วยใจอันเบา อ่อนโยน รู้สึกถึงรัศมีแห่งบุญที่กระจาย ครอบคลุมไปทั่วทุกทิศ ไม่เฉพาะแต่ลิฟต์ตรงหน้าเท่านั้น

            เปิดเปลือกตามองลิฟต์ตรงหน้า มั่นใจว่าผู้ที่เอ่ยถึงได้อนุโมทนาต่อบุญ กุศลครั้งนี้แล้ว...รอยยิ้มผลิบานบนใบหน้า ไม่รู้สึกสักนิดว่าสูญเสียสิ่งใดไป ยิ่งแผ่เมตตา อุทิศบุญกุศลออกไป จิตใจยิ่งเป็นสุข มีความอิ่มเต็ม อบอุ่นยิ่งกว่าเดิม

            ตั้งแต่แรกที่รู้ว่าตนเองมีสัมผัสพิเศษ สามารถรู้สึกถึงความมีอยู่ของโลกหลังความตาย ลานน้ำค้างก็สนใจที่จะทำบุญทำทาน สร้างกุศล เพื่อพร้อมที่จะแผ่เมตตา อุทิศบุญกุศลให้แก่สิ่งที่ตนเห็น สัมผัสอยู่เสมอ

            จิตใจที่รักในบุญค่อยแผ่ขยายออกมาเรื่อย ๆ โดยไม่จำเพาะเจาะจงว่าต้องทำบุญอย่างนั้นแบบนั้น บางที แค่เผื่อแผ่ลูกชิ้นปิ้งให้สุนัขข้างถนนกิน หล่อนก็รู้สึกพอใจ เป็นสุขแล้ว

            คุณดาริกาไม่เคยขัดนิสัยนี้ของลูกสาว เธอไม่รู้ชัด ว่าลานน้ำค้างมีสัมผัสพิเศษอย่างไร แบบไหน เพราะเจ้าตัวไม่ค่อยชอบพูดเรื่องนี้กับมารดามากนัก แต่สิ่งใดที่เป็นเรื่องดี เป็นประโยชน์กับลูกสาวคนเดียว เธอย่อมสนับสนุนอยู่แล้ว

            ลานน้ำค้างจึงทำบุญ อุทิศบุญกุศลให้แก่เหล่าดวงวิญญาณ เพื่อนร่วมวัฏสงสารจนกลายเป็นเรื่องปกติ ส่วนครั้งนี้หล่อนรู้ว่านอกจากลุงธงจะมาทักทาย บอกลาแล้ว

            เหตุผล...ที่ทำให้หล่อนสามารถขึ้นลิฟต์ได้คนเดียวก็เพราะแกต้องการขอบุญกุศล

            เฉกเช่น...ผู้หิวโหยย่อมรู้จักแหล่งอาหาร ดวงจิตที่เคว้งคว้างย่อมหากุศลเกาะเกี่ยว พึ่งพิง !!

            หญิงสาวนึกสงสัย ตอนลุงธงมีชีวิตอยู่ก็ไม่ใช่คนเลวร้าย เป็นคนดี ไม่เบียดเบียนใคร แต่ทำไมพอตายถึงไม่ได้ไปสู่สุคติ ขึ้นสวรรค์อย่างที่คนเราเชื่อกัน กลับมาวนเวียนอยู่ในลิฟต์ บริเวณที่เสียชีวิต

            ทำให้อดคิดไม่ได้...การที่คนเราจะไป สู่สุคติ” นั้น มันต้องมีอะไรมากกว่าการเป็นคนดี ทำบุญทำทานตามปกติ ในสายตาคนทั่วไปหรือไม่...?

            ความสงสัยนี้ ก่อให้เกิดปัญหาที่ไม่เคยเกิดมาก่อนนั่นคือ...การไปสู่สุคติอย่างแท้จริงนั้น ต้องดำรงตน หรือดำเนินตนไปตามเส้นทางอย่างไร ถึงจะไม่ประมาท พลาดพลั้ง จนพลาดจากเป้าหมายที่ต้องการ

            แวบหนึ่งในใจระลึกถึงคำสอนของพระพุทธเจ้า...

            การไม่ทำบาปทั้งปวง การยังกุศลให้ถึงพร้อม และการขัดเกลาจิตใจให้บริสุทธิ์ ปราศจากกิเลส เป็นเส้นทางที่มนุษย์เราพึงดำเนิน



            จิตใจมีความสุขหล่อเลี้ยง ใบหน้าจึงมีรอยยิ้ม พร้อมหันกลับออฟฟิศ เตรียมตัวไปทำงาน แต่รอยยิ้มชะงักค้าง เมื่อเห็นชายหนุ่มคนหนึ่งยืนอยู่เบื้องหลัง ห่างไปไม่กี่ก้าว เขากำลังยืนมองหล่อนอย่างพิศวง

            “เอ่อ...” ลานน้ำค้างพูดไม่ออก เป็นอาการที่ยากจะเกิดกับผู้หญิงอย่างหล่อน แต่เชื่อเถอะ ถ้าผู้หญิงคนไหน ได้มาเห็นชายแปลกหน้าคนนี้ก็ต้องตกอยู่ในอาการไม่ต่างจากหล่อนแทบทุกคน

            เขาเป็นผู้ชายร่างสูง ผิวขาวจัด ผมหยักศก ดวงตามีเสน่ห์ชนิดที่สาว ๆ เห็นแล้วใจสะท้าน จมูกโด่งเป็นสันรับกับริมฝีปากสีแดงสด เหมือนคนอยู่เมืองหนาวประจำ แต่งตัวด้วยเสื้อผ้าแบรนด์เนมหัวจดเท้า แต่ดูไม่เหมือนหนุ่มสำอาง หนำซ้ำเสื้อผ้า การแต่งตัวของเขา ยิ่งขับเสน่ห์ในตัวให้ชัดเจน เป็นผู้ชายเท่ห์ ที่มีคาแรกเตอร์ไม่ซ้ำกับใคร

            หนุ่มหล่อจัด บาดใจขนาดนี้ ไม่ใช่พนักงานในบริษัทแน่ ๆ น่าแปลกที่ลานน้ำค้างรู้สึกคุ้นกับหน้าตาของเขา

            “เอ่อ...มาหาใครหรือคะ” ลานน้ำค้างกลืนน้ำลายเหนียว ๆ ก่อนเอ่ยปากถามอย่างลำบาก

            “ลิฟต์เป็นอะไรไปหรือครับ ตะกี้ผมเห็นคุณยกมือไหว้”

            ฟังแล้วสะอึก แสดงว่าเขาเห็น “พิธีกรรม” ส่วนตัวของหล่อนเสียแล้ว

            ลานน้ำค้างนึกอยากเขกหัวตัวเอง ทำได้เพียงยิ้มแหย ๆ คิดหาคำตอบที่ฟังดูเข้าท่า ไม่อยากให้ผู้ชายคนนี้มองหล่อนเป็นสาวเพี้ยน

            “ลิฟต์ปิดค่ะ...ไม่ได้ใช้งาน” หญิงสาวตอบกระมิดกระเมี้ยนผิดนิสัยส่วนตัว ใจหนึ่งเขินอายการกระทำของตน อีกใจคือกำลังสงสัยว่าเคยเห็นผู้ชายคนนี้ที่ไหนมาก่อน

            “นั่นสิ...” เขาพูดยิ้ม ๆ ลานน้ำค้างใจสั่น แล้วภาพหนึ่งแวบในสมอง

            จำได้แล้ว...ลานน้ำค้างเคยเห็นผู้ชายคนนี้ในรูป...รูปที่ตั้งอยู่บนโต๊ะทำงานคุณหญิงรัดเกล้าประธานบริษัท!

            “ลิฟต์ปิดแล้ว คุณมาทำอะไรตรงนี้ล่ะ” เขาเห็นหล่อนยังเงียบ จึงเอ่ยปากถามต่อ

            หญิงสาวยังไม่ตอบ ไม่ใช่ว่าพูดไม่ออก แต่กำลังอึ้ง...อึ้งจนทำอะไรไม่ถูก

            บนโต๊ะคุณหญิงรัดเกล้ามีรูปถ่ายตั้งไว้สองใบ รูปแรกเป็นเด็กผู้หญิงอายุไม่เกินหนึ่งขวบ ส่วนอีกรูปเป็นภาพของชายหนุ่มคนนี้อยู่ในชุดนักบินพร้อมรบ ยืนหน้าเครื่องบินที่มีสมรรถนะสูงที่สุดในกองทัพอากาศไทย

            เขาชื่อ “เลียบเมือง” บุตรชายหัวแก้วหัวแหวนของคุณหญิง

            “เอ่อ...คุณเลียบเมืองมาพบคุณหญิงหรือคะ” ลานน้ำค้างเริ่มตั้งสติได้ จึงถามขณะหัวใจยังระรัว

            คราวนี้ชายหนุ่มกลับเป็นฝ่ายแปลกใจ มองหล่อนราวกับต้องการเค้นความคิดว่าเคยพบกันที่ไหนมาก่อน

            “เปล่าครับ แม่ใช้ให้ผมขึ้นมาเอาของน่ะ เห็นบอกว่ามีผู้ช่วยเลขาอยู่ น่าจะหยิบให้ได้...ใช่คุณหรือเปล่า”

            “ค่ะ คุณต้องการอะไร เดี๋ยวดิฉันจะหาให้” หญิงสาวรีบพูดตัดบท

            ชายหนุ่มบอกความต้องการ...พลางเดินตามหล่อนเข้าไปในห้องทำงานมารดา เห็นรูปตัวเอง กับรูปน้องสาววางอยู่บนโต๊ะจึงค่อยเข้าใจ...แม่เล่นเอารูปลูก ๆ มาวางโชว์แบบนี้ พวกเลขาจะรู้จักชื่อเขาคงไม่แปลก...

            ลานน้ำค้างรีบหาของตามคำสั่ง ใจคาดหวังเร่งให้เขาจากไปไว ๆ ยิ่งอยู่ใกล้กันแบบนี้ หัวใจหล่อนมันเต้นเร็วผิดจังหวะ แทบกระโดดออกมาจากอก...เป็นอาการที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนเลยในชีวิต

            บอกไปไม่มีใครเชื่อ...เลียบเมืองเป็นผู้ชายในฝันของลานน้ำค้าง!

            หล่อนนึกชอบเขาตั้งแต่เห็นแค่รูปบนโต๊ะ ได้ฟังเรื่องราวจากปากคุณหญิง ที่ชื่นชมลูกชายนักหนา นักบินรบแห่งกองทัพอากาศไทย ลูกชายที่รักแม่ เชื่อฟังแม่ขนาดยอมลาออกจากกองทัพมาทำงานเป็นนักบินพลเรือนเพื่อให้แม่สบายใจ

            มันอาจเป็นความเพ้อฝันลม ๆ แล้ง ๆ ของผู้หญิงคนหนึ่ง ที่วาดเจ้าชายเอาไว้ โดยไม่เคยคาดหมายต้องการพบตัวจริง ไม่ต้องการใกล้ชิด เพียงแค่มองเขาห่าง ๆ เหมือนมองดวงดาวแสนสวยโดยไม่หวังครอบครอง เป็นเจ้าของ

            จู่ ๆ กลับมาพบกัน ในสถานการณ์พิลึกแบบนี้ เขาอาจมองหล่อนเป็นยายบ้าคนหนึ่งก็ได้

            พอหาของที่ต้องการได้ ลานน้ำค้างก็นำมายื่นให้ด้วยท่าทางปกติ เก็บความรู้สึกตื่นเต้น ไม่เผลอหลุดออกมาให้เขาคิดว่าหล่อนเพี้ยนเต็มขั้น

            “ขอบใจนะ” เขาพูดพลางยิ้มสวย บาดใจ แต่แทนที่จะรีบกลับลงไป ยังย้อนมาถามถึงข้อข้องใจตอนแรก “จริงสิ ตะกี้คุณยืนไหว้ลิฟต์ทำไม?”

            หญิงสาวอึกอักชั่วครู่ แอบคิดว่าเขาคงลืมไปแล้ว ที่ไหนได้ยังอุตส่าห์ถามซ้ำอีก...จะตอบยังไงดีล่ะถึงจะฟังดูไม่แปลกประหลาดนัก

            “ดิฉันยกมือไหว้ แผ่เมตตา อุทิศบุญกุศลให้ลุงธง ยามที่ตายไปค่ะ” เฮ้อ...สุดท้ายก็ต้องตอบตรง ๆ

            เขาเลิกคิ้วมองหล่อนอย่างแปลกใจ ก่อนรอยยิ้มสวยจะส่องประกายในดวงตา ไม่มีคำพูดใดตามมา นอกจากพยักหน้าแสดงอาการว่าเข้าใจ แล้วจึงหันหลังกลับไป

            ลานน้ำค้างถอนหายใจเฮือกใหญ่ เข่าอ่อนขึ้นมาเฉย ๆ เหตุการณ์เมื่อครู่ช่างเหมือนความฝัน...บอกใครคงยากจะเชื่อ...สาวมั่น มีอารมณ์ขันที่สามารถเผชิญหน้าได้ทุกสถานการณ์ กลับมาเขินอายทำตัวไม่ถูก ต่อผู้ชายแปลกหน้าคนหนึ่ง ซึ่ง...ชวนให้ใจละลาย




- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -




            ตอนบ่าย คุณหญิงรัดเกล้าไม่อยู่ ออกไปข้างนอกกับลูกชายคนเดียว มุกดากับลานน้ำค้างจึงมีเวลาว่างพอจะมานั่งคุยตามประสาหญิงสาว

            “คุณเลียบเมืองนี่หล่อจริง ๆ นะน้องลาน” มุกดาพูดคำนี้ไม่ต่ำกว่าสามครั้ง นับแต่กลับจากรับประทานอาหารกลางวัน

            “แล้วยังไงคะ” ลานน้ำค้างถามเนือย ๆ

            “เสียดายจริง ๆ ที่ลานไม่ได้เจอ” มุกดาสวนกับชายหนุ่มที่ล็อบบี้ชั้นล่าง พร้อมกับคุณหญิงรัดเกล้า โดยไม่ทราบว่าเขาขึ้นมาที่ออฟฟิศก่อนหน้านั้นแล้ว

            “อ๋อ...” ลานน้ำค้างไม่รู้จะพูดอย่างไร ขืนบอกว่าได้พบเขาแล้ว ไม่แคล้วต้องอธิบายกันยาว เพราะมุกดารู้ว่า เลียบเมืองเป็น ‘ผู้ชายในฝัน’ ของหล่อน

            ชายในฝันของลานน้ำค้างย่อมหมายถึงอยู่ “ในฝัน” จริง ๆ ไม่เคยสนใจอยากพบตัวจริง เหมือนคนหลงใหล คลั่งไคล้ดารา นักร้องดัง โดยรู้ว่าไม่มีทางพบคนเช่นนั้นในชีวิตจริง

            “แหม...ก็ผู้ชายในฝันของน้องลานไม่ใช่หรือจ๊ะ” พี่มุกดาทำตาพราวระยับ ล้อเลียน

            ลานน้ำค้างยิ้มไม่ออก พยายามมองหัวใจตัวเองให้ชัด ๆ เหตุใดจึงมองเขาเป็นชายในฝัน...นอกจากรูปร่างหน้าตาที่สะดุดใจสาว ๆ แล้ว อาจจะเป็นเพราะรูปของเขาบนโต๊ะคุณหญิงรัดเกล้า ทำให้หล่อนคิดถึงบิดาตนเอง รูปของบิดาที่หล่อนกล่าวทักทาย พูดคุยด้วยทุกเช้า

            “ค่ะ...ในฝันจริง ๆ แหละ” หญิงสาวรู้สึกโล่งหัวอก ที่ได้คำตอบอันน่าพอใจแก่ตัวเอง “ทั้งหล่อ รวย เก่ง ไฮโซสุด ๆ ...ปล่อยให้เขาอยู่ในฝันดีแล้วค่ะพี่มุก”

            มุกดายิ้มล้อเลียน เห็นจริงตามคำพูดหญิงสาวรุ่นน้อง...

            ลานน้ำค้างวางใจสบายกว่าเดิม เมื่อมีคำตอบแก่ตนเอง มันก็แค่ความรู้สึกหลงใหลได้ปลื้มเป็นพัก ๆ ของหญิงสาวคนหนึ่ง ซึ่งมีพ่อเป็นฮีโร่ในดวงใจ แล้วได้พบผู้ชายที่คล้ายพ่อตัวเองก็เท่านั้น...

            หล่อนยอมรับความจริงง่าย มีความตรงไปตรงมาชัดเจน หลงใหลก็รู้ว่าหลงใหล สิ่งไหนเป็นไปไม่ได้ ก็ยอมรับความจริงตามนั้น เพียงแต่วันนี้พบเขากะทันหันไปหน่อย ทำให้ประหม่า ขาดความเป็นตัวของตัวเองเท่านั้น

            “เฮ้อ...จะหาผู้ชายเพอร์เฟกต์อย่างนี้ได้สักกี่คนน้า...รูปหล่อ ความรู้ดี ชาติตระกูลดี มีฐานะ สมบูรณ์แบบไปหมด” พี่มุกยังรำพันถึงเขาไม่หยุด

            “เขาอาจเป็นเกย์ก็ได้ค่ะพี่...” ลานน้ำค้างแกล้งเบรกทั้งคู่สนทนาและใจตัวเอง “มีอย่างที่ไหน คนอะไรจะสมบูรณ์แบบขนาดนั้น ไม่มีจริงในโลกหรอก”

            “แน่ะ...ทำพูดดี ทุกทีเห็นเออออกับพี่ตลอด ไหงวันนี้มาขัดคอกันล่ะจ๊ะ” พี่มุกสงสัย

            “ไม่มีอะไรนี่คะ...เออจริงสิ...บ่ายนี้คุณหญิงสั่งงานอะไรเราเพิ่มเติมมั้ยคะ” หญิงสาวรีบดึงเรื่องงานมาเปลี่ยนการสนทนา

            “จริงสิ...พี่เกือบลืมไปเลย” มุกดารีบพูดต่อ “คุณหญิงท่านจะทำบุญบริษัท ให้เรานัดประชุมฝ่ายที่เกี่ยวข้องด้วย”

            “เอ๊...ก็เพิ่งทำไปไม่นานนี่เองนะคะ” ลานน้ำค้างสงสัย

            มุกดายิ้มแหย ๆ พูดเสียงกระซิบกระซาบ

            “บอกว่าทำบุญบริษัทน่ะ ฟังดูดีแล้วล่ะ...หรือจะให้คุณหญิงท่านบอกว่า ทำบุญให้ลุงธงแกล่ะ...นี่ขนาดปิดลิฟต์เจ้าปัญหาแล้วนะ แต่คนที่ขึ้นลิฟต์ตัวอื่นก็เจอดีกันทั่วหน้า มีทั้งกลิ่นแปลก ๆ ลมแปลก ๆ บางทีลิฟต์ก็หยุดในชั้นที่ไม่มีคนเรียก เล่นเอาพนักงานเราขวัญกระเจิง แทบไม่เป็นอันทำงานทำการแล้ว...!”







บทบทที่



            บูรพายืนคุมนักศึกษารุ่นน้องที่กำลังซ้อมฟุตบอลอยู่กลางสนาม ส่งเสียงตะโกนร้องโหวก ๆ ดังลั่น วิ่งไป วิ่งมาคอยดูแล ตะโกนร้องเตือนกึ่งสอนจนเหงื่อตก เสียงแหบ เหนื่อยไม่น้อยกว่านักกีฬา

            ชายหนุ่มเป็นนักกีฬาทีมฟุตบอลมหาวิทยาลัยตั้งแต่ปีหนึ่ง พาทีมได้แชมป์มาหลายสนาม จนถึงปีสุดท้าย เห็นว่าการเรียนหนัก และมีวิทยานิพนธ์หิน ๆ ที่ต้องผ่านให้ได้ จึงขอออกจากทีม มาช่วยเป็นโค้ชจำเป็นบ้างเป็นครั้งคราว

            เขาเรียนคนละคณะกับลานน้ำค้าง จึงไม่ต้องไปฝึกงานอย่างเดียวกัน แต่ก็ใช่ว่าจะมีเวลาว่างมากนักหนา เพราะมีงานพิเศษทำนอกเวลาเรียนอยู่เหมือนกัน

            นักกีฬายังเล่นฟุตบอลอยู่กลางสนาม โค้ชจำเป็นกลับมานั่งดื่มน้ำ เช็ดเหงื่อ พลางดูนาฬิกาข้อมืออย่างกระสับกระส่าย

            “เฮ้ย...นัดใครหรือวะ ดูเวลาอยู่ได้” เพื่อนสนิทร่วมทีมเดินมาทักทาย

            “เออ...มึงมาก็ดีแล้ว ช่วยดูน้องมันซ้อมแทนกูหน่อย” บูรพารีบพูดทันที

            “อะไรวะ กูแค่แวะมาดูเฉย ๆ เดี๋ยวต้องไปหอสมุด ค้นข้อมูลมาทำหัวข้อวิทธยานิพนธ์แล้ว”

            “ช่วยหน่อยเถอะวะ กูมีนัดต้องรีบไป”

            “นัดกับแม่มึงล่ะสิ” เพื่อนคนนี้สนิทสนมกันมากพอที่จะรู้ว่าบูรพาคอยรับ – ส่งใคร ตลอดเวลาที่เรียนมหาวิทยาลัย

            “เออ...ไม่อยากให้เขาโทรมาตาม” บูรพาไม่รู้สึกขัดเขิน หากใครจะมองความสัมพันธ์ระหว่างเขากับลานน้ำค้างเป็นอย่างไร มีใจตัวเองเท่านั้นที่รู้ว่า ความจริงมีอยู่แค่ไหน

            เพื่อนคนนั้นยังไม่ทันรับปาก บูรพาก็คว้ากระเป๋าเป้ขึ้นสะพาย แล้วยืนตะโกนบอกรุ่นน้องที่ข้างสนามให้รู้ว่าเขามีธุระต้องรีบไป ยกหน้าที่โค้ชให้เพื่อนอีกคนดูแล
  
            “ไปล่ะ ขอบใจเว้ย” บูรพาบอกสั้น ๆ โดยคนฟังไม่ทันปฏิเสธ ตัวคนพูดก็จ้ำอ้าว ๆ ไปยังรถมอเตอร์ไซค์ที่จอดอยู่ข้างสนามแล้ว

            ไม่ทันจะล้วงกุญแจรถออกมาจากระเป๋า เสียงโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้น ถึงไม่หยิบมาดูก็รู้ว่าคนโทรเป็นใคร...วันนี้เป็นวันเกิดคุณดาริกา แม่ของลานน้ำค้าง ทั้งเขาและเธอนัดแนะ ตระเตรียมงานเลี้ยงเอาไว้ ซึ่งตอนนี้มันก็ใกล้เวลาที่เขาต้องไปรับหญิงสาวแล้ว

            “ว่าไงลาน...ขอโทษทีนะ อาจไปช้าหน่อย ตอนนี้กำลังจะออกจากสนามแล้วล่ะ” บูรพารีบพูดออกตัว ทั้งที่ตอนนี้ยังไม่น่าจะเลยเวลานัด

            “หมู...” เสียงหญิงสาวฟังดูแปลกกว่าเคย

            “มีอะไรลาน” เพียงนิดเดียวของกระแสความรู้สึก บูรพาก็สามารถสัมผัสได้

            “แม่...” หญิงสาวพูดเสียงขาด ๆ อย่างพยายามตั้งสติ “แม่ไม่สบาย...อยู่โรงพยาบาล”

            “อะไรนะ...อยู่โรงพยาบาลไหน แล้วเธออยู่ที่ไหน...” บูรพาถามเสียงรัวเร็ว

            ลานน้ำค้างบอกชื่อสถานที่เสียงแผ่วเบา...

            “รออยู่ที่นั่นนะ เราจะไปหาเดี๋ยวนี้แหละ” เขาตกใจไม่แพ้หญิงสาว

            วันเกิดคุณดาริกา...น่าจะเป็นวันที่มีความสุข มีรอยยิ้มกับงานเลี้ยงที่พวกเขาทั้งสองจัดเตรียมไว้ให้ ไม่น่าเชื่อว่าจะเกิดเหตุฉุกเฉินเช่นนี้



(โปรดติดตามต่อฉบับหน้า)



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP