วรรณกรรมนำใจ Lite Literature

เถ้าน้ำค้าง ๑



Tao Nam Kang - front re

 

ชลนิล



บทที่ ๑



            สิบกว่าปีก่อน

            พิธีพระราชทานเพลิงศพ วัดพระศรีมหาธาตุ บางเขน

            เสียงแตรเดี่ยวบรรเลงฟังโหยหวน ปืนสลุตถูกยิงดังเป็นชุด ไฟพระราชทานถูกจุด พิธีการดำเนินอย่างขรึม ขลัง ชวนให้อยู่ในความสงบ สำรวม ไว้อาลัยแก่ผู้วายชนม์

            ขั้นตอนพิธีดำเนินไปจนจบ องค์ประธานเสด็จฯ กลับ เหล่านายทหารชั้นผู้ใหญ่ตามไปส่งเสด็จฯ หลังจากนั้นก็กลับเข้ามาแสดงความเสียใจแก่ญาติทหารกล้าผู้เสียชีวิต

            คุณดาริกาเป็นหนึ่งในจำนวนผู้ที่ต้องสูญเสียสามีอันเป็นที่รัก

            ลูกสาวตัวน้อยเกาะมือแม่ดูงานพระราชทานเพลิงศพบิดาตนเองที่ดำเนินไปอย่างไม่เข้าใจ ปากก็ร้องถามหาพ่อ คนเป็นแม่ต้องอธิบายเบา ๆ ซ้ำอีกครั้งว่าไม่มีพ่อต่อไปแล้ว

            พ่อตาย และได้รับไฟพระราชทานเผาศพอย่างสมเกียรติชายชาติทหาร

            เป็นครั้งแรกที่หนูน้อยลานน้ำค้างได้รู้จักกับ “ความตาย”

            หลายคนเข้ามาแสดงความเสียใจกับคุณดาริกา บางคนเข้ามากอดแม่หนูลานน้ำค้างอย่างเมตตา สงสาร ยิ่งเห็นเด็กน้อยตาแป๋วไม่เข้าใจเรื่องความสูญเสียก็ทำให้ผู้ใหญ่อดสะเทือนใจไม่ได้

            “ดาว” เสียงจากชายหนุ่ม ทหารในเครื่องแบบชุดขาวเต็มยศ

            “คุณประณต” คุณดาริกาทัก พร้อมกับบอกลูกสาว “ลาน...ไหว้คุณลุงสิลูก...คุณลุงเป็นเพื่อนคุณพ่อนะคะ”

            เด็กหญิงทำตามอย่างว่าง่าย ชายหนุ่มก้มมองเด็กหญิงด้วยแววตาสะเทือนใจ

            “ผมเสียใจจริง ๆ ที่ช่วยกลางมันไม่ได้” น้ำเสียงบอกถึงความรู้สึกผิด จนยากให้อภัยตัวเอง

            “มันผ่านไปแล้ว คุณประณตอย่าโทษตัวเองเลยค่ะ ทุกคนมีหน้าที่ ดาวเชื่อว่ากลางเขาทำดีที่สุดแล้ว เขาสู้เต็มที่ อย่างที่ไม่มีวันนึกเสียใจแน่นอน”

            ผู้สูญเสียกลับเป็นฝ่ายให้กำลังใจเพื่อนสามีผู้รอดชีวิต

            “ดาว...ต่อไปถ้ามีอะไรให้ช่วยก็บอกผมได้นะ” ผู้พูดมีความหมายจริงตามวาจา “อย่าเห็นผมเป็นคนอื่น...ผมยินดีเต็มใจช่วยเหลือดาวกับหนูลานทุกเรื่อง...อย่าลืม...ลูกของกลางก็เหมือนลูกของผม”

            “ค่ะ” คุณดาริการับคำ เข้าใจถึงน้ำใจลูกผู้ชายที่บุรุษคนนี้มีต่อเพื่อนสนิทเช่นสามีของตน

            เมื่อ “กลางนภา” เพื่อนรักของเขาเสียชีวิต คุณประณตจึงรู้สึกเหมือนเป็นหน้าที่ต้องคอยดูแล ลูกเมียเพื่อนที่อยู่ข้างหลังไม่ให้ลำบาก

            ทว่า คุณดาริกาขอรับเพียงน้ำใจเท่านั้น เธอตั้งใจจะเลี้ยงดูบุตรสาวผู้เป็นสายเลือด และตัวแทนความรักของสามีแต่เพียงผู้เดียว ไม่จำเป็นต้องให้ใครยื่นมือมาช่วยเหลือ



            เย็นย่ำผู้คนในงานทยอยกลับกันเกือบหมด คุณดาริกายืนมองควันไฟที่ลอยเหนือปล่องเมรุเป็นครั้งสุดท้าย อยากยืดเวลาอยู่ใกล้สามีให้นานอีกสักหน่อย อยากจะอยู่เป็นเพื่อนไม่ให้สามีเงียบเหงาเกินไป แต่ก็เป็นห่วงลูกน้อยที่ดูจะเหนื่อย เพลียเต็มทน

            บนเมรุถูกเก็บข้าวของเรียบร้อย ดอกไม้ที่ใช้ประดับ ตกแต่งร่วงพรู บริเวณลานหน้าเมรุโล่งว่างไม่มีใครหลงเหลือ แสงสนธยาอาบไล้ดูเป็นสีน้ำตาลอ่อนชวนหดหู่ใจ

            “กลับบ้านกันเถอะลูก” คุณดาริกาบอกบุตรสาว

            “แล้วพ่อล่ะ” แม่หนูถามถึงด้วยความเคยชิน

            “คุณพ่อไม่อยู่กับเราแล้วจ้ะลูก พรุ่งนี้เราค่อยมาเก็บกระดูกท่านนะ” คุณดาริกาไม่โกหกเด็กว่าพ่อไปสวรรค์ ด้วยต้องการหัดให้ลานน้ำค้างรู้จักยอมรับความจริง

            แม่หนูน้อยพยักหน้าเข้าใจ ลุกขึ้นตามแม่ออกจากศาลา แต่พอมองไปที่ลานหน้าเมรุก็เอ่ยปากเงยหน้าถามแม่อย่างสงสัย

            “แม่จ๋า...คุณลุงทหารพวกนั้นเขามาทำอะไร”

            “ทหารที่ไหนลูก” คุณดาริกามองตามสายตาลูกสาวแล้วถามอย่างสงสัย

            “ก็คุณลุงทหารที่ยืนอยู่หน้าที่เผาศพพ่อไง...แม่ไม่เห็นเหรอ” หนูน้อยถามอย่างแปลกใจ

            คุณดาริกามองทั่วบริเวณหน้าเมรุเผาศพก็ยังไม่เห็นมีใคร นอกจากลานโล่งใต้แสงสลัว เงียบกริบ สายลมชืด ๆ พัดผ่านชวนให้หนาวยะเยือก

            “ไม่มีหรอกลูก” คุณดาริกาบอก รู้สึกน้ำเสียงตนเริ่มแปร่งแปลก

            หนูน้อยลานน้ำค้างทำหน้าเหมือนขัด ๆ ไม่เข้าใจ ดวงตากลมโตมองไปยังบริเวณลานโล่งหน้าเมรุ พร้อมกับพูดย้ำให้มารดาฟังถึงสิ่งที่ตัวเองเห็น

            “มีลุงทหารจริง ๆ นะ...ตั้งสี่คนแน่ะ ยืนตะเบ๊ะให้พ่อด้วยล่ะ แต่ชุดทหารของลุงเขาเก๊าเก่านะแม่”

            คุณดาริกาขนลุกซู่ รีบอุ้มบุตรสาวขึ้นมาแล้วเดินจ้ำอ้าวออกจากบริเวณหน้าเมรุอย่างรวดเร็วที่สุด...ลานน้ำค้างจะเห็นอะไรก็แล้วแต่...เธอไม่สนใจ รู้สึกเพียงความยะเยือก เย็นแปลก ๆ คืบคลานมาใกล้ และแสงสนธยากำลังเลือนหาย ความมืดคลี่ตัวลงมาช้า ๆ




- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -




            ปัจจุบัน

            รูปของพ่อยังติดอยู่บนผนัง ชายหนุ่มหุ่นสมาร์ตในชุดนักบิน ยืนหน้าเครื่องบินรบแห่งกองทัพอากาศ เป็นภาพที่แขวนหลายปีเต็มที ร่องรอยเก่าซีด สีเริ่มจาง ปราศจากฝุ่น สิ่งสกปรกเพราะเจ้าของบ้านหมั่นดูแลเอาใจใส่เป็นประจำ

            ลานน้ำค้างยืนมองพ่อด้วยรอยยิ้ม ร่างโปร่งบางสะพายกระเป๋าคล้ายผู้ชาย ดวงตากลมโตฉายแววความสุข ดวงหน้าเรียว แก้มใสสะอาดตา มีรอยยิ้มสดใส แพรวพราว ไม่ใช่ผู้หญิงสวยจัด ขนาดให้ผู้ชายสะดุดมอง แต่มีประกายของความสุข น่ารัก น่าเข้าใกล้ ชวนให้ใคร ๆ อดยิ้มตามเธอไม่ได้

            “ลานจะไปฝึกงานแล้วนะคะพ่อ” เป็นคำพูดที่หล่อนบอกต่อคนในรูปทุกเช้า ราวกับเจ้าตัวยังมีชีวิตอยู่

            ใบหน้าพ่อมีรอยแช่มชื่น ดวงตาคล้ายกันมองตอบมาด้วยรอยยิ้มไม่ผิดกับบุตรสาว...ถึงพ่อไม่เคยพูดจาตอบคำทักทาย หญิงสาวก็อบอุ่นใจทุกครั้งที่ได้พูดจาเช่นนี้ ในใจรู้สึกเสมือนพ่อยังอยู่ คอยดูแลเธอไม่ห่าง

            “ลืมอะไรหรือเปล่าลาน” เสียงแม่ดังมาจากในครัว

            “ไม่ลืมจ้า” หล่อนตอบรับเสียงใส รีบเดินกึ่งวิ่งเข้าครัว โอบเอวมารดาหลวม ๆ กล่าวคำออดอ้อนที่ไม่ค่อยมีใครเคยได้ยิน...

            “ลานจะลืมข้าวกล่องแสนอร่อยของแม่ได้ยังไงจ๊ะ”

            ผู้เป็นแม่ขยับตัวเล็กน้อย ก่อนหยิบข้าวกล่องที่เตรียมไว้ยัดใส่มือลูกสาว อีกฝ่ายต้องคลายแขนโดยปริยาย

            “เอาข้าวกล่องไปกินอย่างนี้ ไม่อายคนที่ทำงานเขาหรือไงลูก” แม่ถามกึ่งสงสัย

            “ไม่หรอกจ้ะแม่ แหมลานเป็นแค่เด็กฝึกงานเองนะ อีกอย่างช่วงนี้มีงานทำเยอะ ลานขี้เกียจเสียเวลาออกไปกินข้าวด้วย”

            “ขยันเกินไปหรือเปล่าน่ะเรา” แม่มองลูกสาวแปลก ๆ

            “ขยันเฉย ๆ ไม่ได้หรือจ้ะแม่...ทำไมต้องมีเกินไปด้วยน้า...” หล่อนลากเสียงยาวล้อเลียน

            “เอาเถอะ เลิกงานก็รีบกลับแล้วกัน อย่าเถลไถล” คำพูดราวกับลูกสาวเป็นเด็กสามขวบ ไม่ใช่นักศึกษามหาวิทยาลัย

            “ครับพ้ม” เจ้าหล่อนรับคำหนักแน่นแกมล้อเลียน

            “แล้ววันนี้จะไปยังไง” แม่ถาม

            “อ๋อ...เดี๋ยวเจ้าหมูมารับจ้ะแม่” หล่อนพูดถึงเพื่อนสนิทตั้งแต่เยาว์วัย

            “ยังจะเรียกเขาว่าเจ้าหมูอีก เดี๋ยวบูรพาก็อายคนอื่นแย่ ตอนนี้เขาไม่อ้วนเหมือนสมัยเด็ก ๆ แล้ว” แม่ติง

            “ไม่เห็นมันว่าอะไรลานนี่จ๊ะ...ขืนบ่นสิ ลานจะแกล้งเอารูปมันสมัยเด็ก ๆ ไปให้สาว ๆ ที่มหา’ลัยดู...รับรองต้องมีคนเลิกตามกรี๊ดมันเกินครึ่งแน่ ๆ”

            แม่ยิ้มน้อย ๆ นึกถึงเด็กชายตัวอ้วนกลม เพื่อนสนิทของลูกสาวตั้งแต่ชั้นประถม ที่ต่อมาเขายืดตัวสูงขึ้น ผอมลง แต่ความสัมพันธ์ของทั้งสองที่ผ่านมาเกินสิบปียังคงเดิม ไม่เปลี่ยนแปลง

            เสียงมอเตอร์ไซค์คุ้นหูขับมาจอดหน้าบ้าน บอกให้รู้ว่าคนที่พูดถึงมาแล้ว...ไม่มีเสียงกริ่งหน้าประตู หรือเสียงกดแตรเรียก ลานน้ำค้างก็กระตือรือร้นเตรียมตัวไป

            “ลานไปแล้วนะจ๊ะแม่ รับรองจะเป็นเด็กดี ไม่เถลไถล...” พูดจบก็หอมแก้มแม่ฟอดใหญ่ ก่อนจะออกจากบ้านราวกับนกน้อยโผบิน




- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -




            หน้าบ้านมีรถมอเตอร์ไซค์เก่ากลางใหม่จอดรอ เจ้าของเป็นชายหนุ่มสูงคล้ำ รูปร่างเพรียวแข็งแรงแบบนักกีฬา ใบหน้าสดใส เปลือกตาสองชั้น คิ้วเข้มเป็นเส้นสวย นัยน์ตามีแววจริงใจชวนคบหาเข้าใกล้ ช่วยให้ดวงหน้าดูเด่นสะดุดตา น่ามอง

            เขาแต่งกายง่าย ๆ เสื้อเชิ้ต กางเกงยีน ดูเข้ากันกับหญิงสาวที่เพิ่งออกมาจากบ้าน

            “หวัดดีเจ้าหมู” ลานน้ำค้างทักทาย

            ชายหนุ่มผู้มีรูปร่างตรงกันข้ามกับชื่อที่หล่อนเรียกยิ้มให้อย่างไม่ถือสา หยิบหมวกกันน็อคยื่นให้โดยไม่ต่อปากคำ

            “วันนี้รีบทำเวลาหน่อยนะ เดี๋ยวจะไปสาย” หญิงสาวพูดเชิงออกคำสั่งกลาย ๆ

            “จ้า...คุณนาย” บูรพาตอบกลั้วหัวเราะ “เอากี่นาทีดี...สักสิบห้านาทีถึงบริษัทเลยดีมั้ย”

            “เหอะ...ทำให้ได้จริงนะ ถ้าโดนตำรวจจับก่อน อย่าให้ฉันช่วยจ่ายค่าปรับเชียว”

            “เค็ม...” เขาบ่นพลางเสมองเรื่อยเปื่อย “ให้ไปรับ – ส่งตลอด คิดจะช่วยค่าน้ำมันสักนิดก็ไม่มี รู้หรือเปล่าลิตรละกี่บาทแล้ว”

            “นี่...ถ้าบ่นมากก็ไม่ต้องมาเลย ไม่เคยขอร้อง” หญิงสาวเท้าเอว มองตาขวาง

            ชายหนุ่มอมยิ้ม

            “ใช่...ไม่เคยขอร้อง แต่คุณเธอสั่งลูกเดียว...หมู เช้านี้มารับด้วยนะ...หมู เลิกเรียนแล้วฉันรออยู่หน้าคณะนะ รีบมา ห้ามเลท...” เขาแกล้งเลียนเสียงดุ ๆ ของหล่อน ส่งผลให้เจ้าตัวอดยิ้มไม่ได้

            “จะไปหรือยัง” ลานน้ำค้างดูนาฬิกาข้อมือ “พูดมาก เดี๋ยวฉันเข้าออฟฟิศสาย จะโทษนายคนเดียว”

            “จ้า...ความผิดอะไรก็โป๊ะใส่หัวเราคนเดียวนี่นะ” พูดพลางสตาร์ทรถ

            ลานน้ำค้างสวมหมวกกันน็อคซ้อนท้ายอย่างคล่องแคล่ว คุ้นเคย...การเดินทางไปทำงานประจำวันเริ่มขึ้นเช่นเดียวกับวันก่อน ๆ...


  

- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -




            ถนนกรุงเทพฯ คลาคล่ำด้วยรถรา ควันดำ ไอเสียปกคลุม เสียงเครื่องยนต์ที่จอดรอสัญญาณไฟดังไม่ขาดสาย บูรพาขับรถจักรยานยนต์คล่องแคล่ว พาหญิงสาวซอกซอนตามช่องว่างระหว่างรถที่ติดคาอย่างรวดเร็ว คล่องตัว ใช้เวลาไม่นานนักก็มาถึงหน้าอาคารสำนักงาน เป็นตึกสูงใหญ่ หลายชั้น บอกถึงรากฐานความมั่นคง

            ลานน้ำค้างลงจากรถ ขยับกระเป๋าสะพายให้กระชับเข้าที่ แล้วถอดหมวกกันน็อคคืนให้กับเพื่อนหนุ่ม

            “ขอบใจมากนะที่มาส่ง...แล้วอย่าลืมเรื่องที่ตกลงกันไว้ล่ะ” หญิงสาวพูด

            “ตกลงเรื่องอะไร...เรื่องที่จะให้เราจัดขันหมากไปสู่ขอเธอเหรอ” ชายหนุ่มแกล้งโยกโย้

            “จะขอฉันไปบูชาแทนศาลพระภูมิหน้าบ้านหรือไงล่ะ” ลานน้ำค้างขึ้นเสียง “ อย่าบอกนะว่าลืมเรื่องที่เราตกลงกันแล้ว”

            บูรพาอมยิ้ม นัยน์ตาพราวสดใสด้วยรอยยิ้ม เขาหรือจะกล้าลืมเรื่องที่รับปากกับ “คนสำคัญ”

            “ไม่ลืมหรอก เรื่องเซอร์ไพรซ์วันเกิดคุณนายดาริกาใช่มั้ย”

            ลานน้ำค้างเท้าเอวมองเพื่อนหนุ่ม

            “เดี๋ยวจะฟ้องแม่ว่านายแอบเรียกแม่ฉันว่าคุณนาย”

            “ไม่ให้เรียกคุณนาย...เรียกคุณครูดาริกาก็ได้” บูรพาแหย่ หยอกล้อ เขารักแม่ลานน้ำค้างเหมือนแม่ตัวเอง...คำเรียกขานลับหลัง บางครั้งจึงเหมือนลูกชายจอมซนพูดถึงแม่ที่อบอุ่น แต่เจ้าระเบียบ

            “เออ อย่าโยกโย้มาก สรุปว่าเรียบร้อยนะ” หญิงสาวดูนาฬิกา “ฉันต้องรีบไปแล้ว”

            “จ้า...เรียบร้อยครับผม” เขารับคำขัน ๆ

            “ดีมากเจ้าหมู เสร็จงานนี้จะมีรางวัลให้” ลานน้ำค้างยิ้มใส โบกมือให้ก่อนรีบเข้าบริษัท

            บูรพามองจนกระทั่งหญิงสาวลับจากสายตา...ลานน้ำค้างอาจไม่เคยรู้ เขาไม่เคยหวังอยากได้รางวัลใดจากเธอ อาจเพราะภาพของเด็กหญิงผู้กล้าหาญในวัยเยาว์ ยังอยู่ในความทรงจำ ไม่ลืมเลือนไปไหน เขาจึงยังอยู่ใกล้ ๆ ตามใจเธออย่างนี้




- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -




            ในวันนั้น เธอยังเป็นเด็กผู้หญิงผอมบาง ท่าทางคล้ายทอมบอย ดวงตากลมโตที่มักฉายอารมณ์หลากหลาย ตรงไปตรงมา แฝงเรื่องราวชวนให้ค้นหาไม่รู้เบื่อ



            “เฮ้...ไอ้หมูอ้วน ไอ้หมูขี้ขลาด ไอ้หมูใจเสาะ”

            “อะไรวะ แค่นี้ต้องทำเป็นร้องไห้...เป็นลูกผู้ชายจริงหรือเปล่า”

            “จับมันแก้ผ้าเลยพวกเรา...เอ้า...เฮ้...”

            เด็กชายตัวอ้วนกลม เพิ่งสูญเสียแม่ จิตใจอ่อนแอ บอบช้ำ ถูกเด็กเกเรเข้ามากลั่นแกล้ง ก็มัวแต่ขลาดกลัวไม่มีจิตใจอยากต่อสู้

            ตอนนั้น ลานน้ำค้างก็ไม่ได้ตัวโตสักเท่าไร แต่มีหัวใจกล้าหาญกล้ากระโดดเข้ามาช่วยเหลือ



            “หยุดเดี๋ยวนี้นะ!” ใครจะคิดว่าเด็กผู้หญิงตัวผอมบาง จะมีเสียงดังขนาดทำให้เด็กผู้ชายสามสี่คนตกใจจนหยุดชะงักได้...

            เธอเป็นเด็กนักเรียนเพิ่งย้ายมาเข้าใหม่ ความแข็งแรง กล้าหาญเอาจริงของเธอทำให้เด็กผู้ชายหลายคนนึกขยาด และสามารถปลุกหัวใจลูกผู้ชายของเจ้าเด็กอ้วนขึ้นมาได้

            จากวันนั้นทั้งคู่ก็เป็นเพื่อนสนิทไปไหนไปกันจนเหมือนเงาตามตัว บูรพาพยายามเปลี่ยนแปลงตัวเอง ไม่ยอมเป็นไอ้อ้วนจอมแหย ขี้ขลาด ขี้แพ้ให้ใคร ๆ มารังแก ล้อเลียนอีก

            ลานน้ำค้างอาจไม่รู้...เด็กผู้ชายตัวอ้วนกลมคนนั้น พยายามอย่างมากมายเพื่อจะเปลี่ยนแปลงตัวเอง...เพื่อเธอ




- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -




            พอเข้ามาในลิฟต์ ลานน้ำค้างค่อยระบายลมหายใจยาว โล่งอก ยกนาฬิกาดูเวลาอีกครั้ง...ค่อยยิ้มออก หล่อนสามารถมาทำงานก่อนเวลาติดต่อกันตั้งแต่เริ่มฝึกงานโดยไม่เคยเสียประวัติเลย นับว่าต้องขอบคุณบูรพาที่ทำหน้าที่มอเตอร์ไซค์รับจ้างจำเป็น มาส่งทุกเช้าโดยไม่งอแง เกี่ยงงอน

            ชั้นที่หญิงสาวฝึกงานอยู่เกือบถึงชั้นบนสุด เป็นออฟฟิศเลขาฯ ผู้บริหารระดับสูง ลานน้ำค้างฝึกงานเป็นผู้ช่วยเลขาฯ ประธานกรรมการของบริษัท งานไม่หนักหนา แต่ค่อนข้างจุกจิก ต้องอาศัยความละเอียด จดจำ

            ลิฟต์เลื่อนช้า ๆ ไฟสีแดงบอกถึงแต่ละชั้นที่ผ่าน หญิงสาวเพิ่งสังเกตว่าลิฟต์ไม่ได้หยุดรับคนชั้นใดเลย ทั้งที่เวลานี้น่าจะมีคนใช้ลิฟต์ขึ้น – ลงมากที่สุด

            และขณะนี้ ‘อะไรบางอย่าง’ กระตุ้นให้หล่อนเหลียวมองไปรอบ ๆ ตัว...พอเห็นแล้วก็เกิดอาการเสียวสันหลังวาบ ๆ

            ลานน้ำค้างกำลังอยู่ในลิฟต์เพียงคนเดียว!

            ลมเย็น ๆ หนาวยะเยือกอย่างประหลาดแผ่กระจาย ครอบคลุมกล่องสี่เหลี่ยมแคบ ๆ แสงไฟหรี่ ๆ เหมือนจะดับ เสียงก๊อก ๆ แก๊ก ๆ ดังอย่างไร้ต้นสายปลายเหตุ มองไม่เห็นที่มา เส้นทางที่จะขึ้นไปยังชั้นที่ต้องการดูจะยืดยาวจนน่าสะพรึง

            หญิงสาวระบายลมหายใจแผ่ว ๆ รู้แล้วว่าทำไมถึงไม่มีใครขึ้นลิฟต์ แม้จะมองไม่เห็นอะไร แต่สัมผัสใจก็บอกชัดเจน...ลานน้ำค้างไม่ได้อยู่เพียงลำพังแน่นอน!

            กระแสเอื่อย ๆ มีน้ำหนัก เกาะกลุ่มรวมตัวใกล้ ๆ อากาศรอบตัวหนาแน่นขึ้นอย่างบอกไม่ถูก ลานน้ำค้างไม่กล้าเหลียวซ้ายแลขวา ได้แต่ยืนนิ่ง ๆ รอเวลาให้ลิฟต์ถึงที่หมาย

            ติ๊ง...เสียงลิฟต์ดังขึ้น...ถึงจุดหมายแล้ว ลานน้ำค้างใจเต้นตึก ๆ จ้องมองประตู เร่งให้มันเปิดออกเสียที

            ประตูลิฟต์เปิดช้า ไม่ทันใจ หญิงสาวรีบก้าวออกมา ต้นคอสัมผัสลมเย็นชืด ๆ ผ่านผะแผ่ว ส่งผลให้ขนลุกซู่ทั้งร่าง

            ออกมาจากลิฟต์ หัวอกโล่ง ผ่อนคลาย อดเหลียวกลับไปมองด้านหลังไม่ได้...ประตูกำลังปิด แต่ไม่เร็วเกินไปกว่าที่หล่อนจะเห็นเงาราง ๆ วอบแวบในนั้น

            ผ่อนลมหายใจยาว ตั้งสติ ยืดตัวเต็มร่าง สลัดภาพที่เห็นเมื่อครู่ออกไปให้หมด...

               นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ลานน้ำค้างประสบกับเหตุการณ์เช่นนี้!

            เมื่อไม่ใช่ครั้งแรก หล่อนจึงสามารถเรียกสติได้เร็ว ละสายตาจากประตูลิฟต์ที่ปิดสนิท หันกลับ เดินไปยังห้องทำงานด้วยสีหน้าปกติ ขาไม่สั่น อาการตื่นกลัวลดลงอย่างรวดเร็ว

            ไม่รู้เป็นบุญหรือบาปที่ลานน้ำค้างมักเห็นชีวิตหลังความตายเสมอ มันอาจไม่ใช่ภาพน่าเกลียด น่ากลัวชวนสยองขวัญเหมือนในหนัง ละคร แต่กระแสบางอย่างที่มาพร้อมกับภาพเลือน ๆ เหล่านั้น ก็มักก่อให้เกิดความหวาดลึก รำคาญใจ ตะครั่นตะครอ ชวนหดหู่อย่างบอกไม่ถูก

            ลานน้ำค้างไม่ถึงขั้น ‘คนเห็นผี’ ชนิดชัดเจน แบบในหนัง ‘ผี’ เป็นสิ่งที่หล่อนสัมผัสได้ด้วยความรู้สึกข้างใน “รู้” ว่าอยู่ตรงนั้น จุดนั้น แต่จะให้บรรยายรายละเอียดแบบเห็นด้วยสายตาก็ทำไม่ได้

            ผีในลิฟต์วันนี้ออกจะเป็นเรื่องเกินคาดหมายอยู่บ้าง แสดงว่าที่นั่นต้องเพิ่งเกิดเรื่องร้าย...มิน่า ใคร ๆ ถึงเลี่ยงไปใช้ลิฟต์ตัวอื่น ทั้งๆลิฟต์ตัวนี้สะดวก รวดเร็วที่สุด

            หญิงสาวมั่นใจว่าจะได้รับคำตอบของมันในเวลาไม่นาน...



(โปรดติดตามต่อฉบับหน้า)



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP