จากใจ บ.ก.ใกล้ตัว Lite Talk

ฉบับที่ ๘ สื่อปรุงแต่งจิตวิญญาณ


dlite_27


วิธีใช้ชีวิตของเราเปลี่ยนแปลงไปตามเทคโนโลยีต่างๆ

และจิตวิญญาณของเราก็ถูกปรุงแต่งด้วยสิ่งที่มากับเทคโนโลยีเหล่านั้น

เทคโนโลยีในการสร้างสื่อบันเทิงทุกวันนี้
ทำให้เราได้เสพภาพและเสียงที่ไม่มีคนยุคไหนเคยพบเคยเห็น
ทุกคนระทึกและถึงใจ
กับสิ่งที่อยู่ในโรงหนังใหญ่ตามห้างหรือโรงหนังส่วนตัวที่บ้าน
ไม่มีใครปฏิเสธว่าภาพยนตร์ช่วยให้ชีวิตเรามีรสชาติน่าตื่นเต้น

แต่สิ่งหนึ่งที่ผู้สร้างหนังพบกันก็คือ
การใส่ฉากดุเด็ดเผ็ดมันเข้ามาเร้าอารมณ์คนดูนั้น
บรรยากาศมันไม่เหมาะกับความคิดสร้างสรรค์ในทางสว่าง
ยกตัวอย่างเช่นบรรยากาศบู๊ล้างผลาญสำราญใจ
ไม่เป็นไปด้วยกันกับการพูดคุยตัดสินดีชั่วหรือถูกผิด
เคยมีพระเอกหรือนางเอกที่พูดให้คติตบท้ายหนังระทึกขวัญ
ปรากฏว่าถูกโห่จากนักวิจารณ์กระหึ่ม
และนักวิจารณ์ก็มักพูดชี้นำไปในทำนองเดียวกัน
นั่นคือสมัยนี้อย่าไปล็อกไว้ว่าธรรมะต้องชนะอธรรม
คนจะเอือม และไม่เข้ากับบรรยากาศ special effect ใหม่ๆ

กล่าวโดยรวบรัดคือถ้าคุณเป็นผู้ใหญ่พอ
ได้รับการอัดฉีดคติธรรม จริยธรรม และมโนสำนึกมานาน
จนหนังยุคใหม่มีอิทธิพลครอบงำคุณได้ยาก ก็ถือว่ารอดตัว
แต่ถ้าคุณเพิ่งลืมตาดูโลกได้สิบกว่าปี
แนวโน้มคือคุณจะถูกครอบงำด้วยความคิดทำนอง
"ธรรมะไม่จำเป็นต้องชนะอธรรมเสมอไป
ถ้าให้เร้าใจก็ปล่อยอธรรมชนะธรรมะบ้าง
หรือสร้างพระเอกนางเอกที่ร้ายกาจกว่าผู้ร้ายเสียบ้าง
ความรุนแรงระทึกขวัญนั่นแหละความชอบธรรมขั้นสูงสุด"

พอเกิดเด็กบ้าอาละวาด ไล่ยิงเพื่อน ไล่ยิงครู
ทั่วโลกก็ตกตะลึง อึ้ง งง และตั้งคำถามว่านี่เกิดอะไรขึ้น
มันเกิดขึ้นได้อย่างไร และยิ่งเกิดบ่อยขึ้นทุกที
ทำไมเด็กเกิดใหม่สมัยนี้ก้าวร้าวนัก
เอะอะอะไรนิดอะไรหน่อยก็แทงกัน ยิงกัน
ราวกับชีวิตเป็นของฟื้นคืนได้แบบเล่นๆ

ถ้าตั้งคำถามว่าปัญหาน่าตกใจมาจากอะไร
ลองคิดง่ายๆว่าทุกวันนี้คนอยู่กับอะไรมากที่สุด
เสพรับอะไรเข้าสมอง เข้าหัวใจกันยิ่งกว่าอย่างอื่น?
คำตอบไม่น่าจะต้องคาดเดาเลยครับ
ภาพยนตร์ ละคร เพลง ฯลฯ สื่อบันเทิงทั้งนั้น
ฉะนั้น แนวโน้มของโลกจะเป็นอย่างไรต่อไป
ก็ดูจากสิ่งที่ "ปรุงแต่งจิตวิญญาณ" ชาวโลกเหล่านี้แหละ

ถ้าเปรียบเป็นสัตว์ที่เราให้เข้ามาอยู่ในสมอง
สื่อบันเทิงก็ไม่ใช่สัตว์เลี้ยงน่ารักน่าเอ็นดูอย่างเดียว
แต่มันเหมือนปีศาจที่เข้ามาสิงสู่จิตใจเรา
หรือกระทั่งมีอำนาจพอจะบังคับให้เราทำเรื่องชั่วๆโดยไม่รู้สึกตัว
เช่น ถ้าละครและภาพยนตร์ทุกเรื่อง
ส่อแสดงว่าพระเอกข่มขืนนางเอกคือเรื่องน่าลุ้น น่าติดตาม
ผู้ชายก็จะคิดว่าข่มขืนแฟนไม่เป็นไร
หรือต่อให้ไม่ใช่แฟนก็ไม่เป็นไรอยู่ดี
เพราะตนอยู่ข้างเดียวกับพระเอกละครหรือพระเอกหนัง

วันนี้เรามาพูดคุยกับผู้กำกับ
ซึ่งนับได้ว่าเป็นคนมีฝีมือที่สุดคนหนึ่งของวงการหนังไทย
ทั้งเขียนบทและกำกับหนังได้ทุกแนว
ไม่ว่าจะเป็นตลก (เช่น หลวงพี่เท่ง) บู๊ (เช่น เสือภูเขา)
สยองขวัญ (เช่น ผีเลี้ยงลูกคน) รักวัยรุ่น (เช่น กิ๊ก)
นอกจากงานเบื้องหลังแล้ว
ยังทำงานเบื้องหน้าเป็นดาราอีก (เช่น บุปผาราตรี, เมล์นรกหมวยยกล้อ)
แต่ละเรื่องที่เขาเขียนบทหรือกำกับ
ก็อยู่ในความจดจำของคอหนังไทยมาตลอดเวลาอันยาวนาน

เขาคือ ซ้ง ธรธร สิริพันธ์วราภรณ์
แค่เอ่ยถึงผลงานข้างต้น
ก็คงไม่ต้องพิสูจน์กันอีก
ว่าเขาคือตัวจริงเสียงจริงในวงการบันเทิงหรือเปล่า
แต่สิ่งที่เราจะคุยกับเขาในวันนี้
คือ "ตัวจริง" ของเขาอยากทำอะไรมากกว่า

ดังตฤณ
กันยายน ๕๒





ทีมงาน - ที่คุณซ้งเคยเขียนบทหรือกำกับมา หนังเรื่องไหนที่ทำรายได้สูงสุด?

ซ้ง - หลวงพี่เท่งครับ ผมเขียนบทเรื่องนี้ ตัวกรุงเทพฯและปริมณฑลเลขปิดที่ ๑๔๑ ล้าน แต่รวมโรงฉายต่างจังหวัดกับ วีซีดี ดีวีดี และทีวี ก็ประมาณ ๒๐๐ ล้าน

ทีมงาน - มาเขียนบทหลวงพี่เท่งได้อย่างไร?

ซ้ง - พี่โน้ต เชิญยิ้ม ชวนมาครับ โจทย์คือแกอยากทำหนังตลกเกี่ยวกับพระ

ทีมงาน - ไอเดียดั้งเดิมคือไม่สนใจอะไรมากไปกว่าพระและตลก?

ซ้ง - สนใจสาระด้วย! คือถ้าให้พูดจริงๆ ตอนนั้นผมยังไม่สนใจพุทธศาสนา แต่ฟังพระพยอม ก็เอามุขของท่านมาโขลกให้เข้ากับตัวหนัง เพื่อให้เกิดความตัดกันระหว่างความบันเทิงกับสาระ ทางเราได้ติดต่อขออนุญาตอย่างเป็นเรื่องเป็นราวกับคนทำหนังสือของพระพยอมนะ ครับ ไม่ใช่อยู่ดีๆเอามาเฉยๆ

ทีมงาน - จากความสำเร็จของหลวงพี่เท่ง เลยกลายเป็นจุดเชื่อมโยงที่เหนี่ยวนำให้อยากทำงานบันเทิงเจือสาระหรือเปล่า?

ซ้ง - ยังครับ ยังไม่ใช่ เพราะหลังจากเรื่องหลวงพี่เท่งก็ทำหนังตามปกติ ไม่ได้คิดมุ่งหมายใดๆเป็นพิเศษ

ทีมงาน - ออกแนวโลกๆเต็มพิกัดอยู่?

ซ้ง - ครับ! อย่างเรื่องกิ๊กไง เรื่องนี้ประสบความสำเร็จสูงมากในหมู่วัยรุ่น โดยเฉพาะต่างประเทศ เรื่องกิ๊กลากจูงหนังทำนองเดียวกันให้ตามมาอีกเยอะ มันเป็นเรื่องของการเล่นกับจินตนาการคนดู คือคุณจะไม่เห็นฉากโป๊สักฉาก แต่มุขทะลึ่งทะเล้นจะชวนให้คึกคักได้ยิ่งกว่าหนังโป๊ธรรมดาเสียอีก

ทีมงาน - น่าจะจริง แค่โปสเตอร์ก็ชวนให้คิดเลยเถิดถึงไหนต่อไหนแล้ว ถือเป็นพรสวรรค์ของคุณซ้งในเรื่องชักชวนให้จินตนาการตามจริงๆ ทุกอย่างเกิดขึ้นเพราะไอเดียของคุณซ้งคนเดียว?

ซ้ง - มันเป็นความถนัดของผม แต่ผมเป็นคนทำงานตามโจทย์ คือออกแนว creative production ไม่ใช่ creative policy นายทุนจะเห็นความสามารถของเราตรงที่ทำได้ทั้งแสดง ทั้งเขียนบท ทั้งกำกับ พอใครมีโจทย์อะไรแล้วคิดไม่ออก ก็จะเล็งมาที่เรา จะเป็นบู๊ระทึก ตลกเฮฮา ผีหลอน หรือวัยรุ่นกุ๊กกิ๊กก็ตาม

ทีมงาน - ปกติคนในวงการจะประสบความสำเร็จแนวใดแนวหนึ่ง หรืออย่างมากก็สองแนว แต่ทำไมคุณซ้งถึงมีความสามารถหลากหลายขนาดนี้?

ซ้ง - เพราะโอกาสครับ ผมมองเป็นเรื่องของพรแสวง เมื่อมีโอกาสทำหลายแนว ได้ร่วมงานกับมืออาชีพหลายคน มันก็กลายเป็นความสามารถไป พื้นฐานของเราสนุกเฮฮา เข้ากับคนง่าย แล้วก็ไม่ปิดตัวเอง

ทีมงาน - คนจำคุณซ้งได้ไหม?

ซ้ง - หลังๆออกทีวีบ่อยเลยจำได้บ้างครับ แต่สังเกตจากคนทัก เขาจะทักว่านี่ไงผู้กำกับ หรือถ้ามองเป็นดารา ก็จะออกทำนองนี่ไง ผู้กำกับที่มาเล่นหนัง

ทีมงาน - คนจำคุณซ้งจากบทบาทใดมากที่สุด?

ซ้ง - เขียนบทและกำกับเรื่องกิ๊กครับ เพราะเหมือนเรากลายเป็นแม่พิมพ์หนังประเภทนี้ในไทยไปเลย คนอื่นคิดมุขกันไม่ออก พอเราเข้าไปก็บอกเลยว่าต้องทำอย่างนั้น อย่าทำอย่างนี้ แล้วหนังก็เสร็จและประสบความสำเร็จ

ทีมงาน - มีจังหวะที่ตั้งคำถามกับตัวเองขึ้นมาเองไหม ก่อนสนใจธรรมะ ว่าหนังแต่ละเรื่องของเรามีคุณค่าแค่ไหน หรืออยากให้ประโยชน์อะไรกับคนดูบ้าง?

ซ้ง - ทุกงานที่ทำ สิ่งหนึ่งคืออยากใส่สาระ แต่ไม่ใช่ชัดๆตรงๆ อย่างกิ๊กนี่ถ้าใครสังเกตตั้งแต่ภาคแรก จะเห็นว่าผมพยายามบอก พฤติกรรมแบบนี้ไม่ดีนะ แต่เรารู้สึกผิวๆ เพราะคนมาดูเรื่องนี้เอาขำ เอาทะลึ่ง ไม่ใช่เอาคติหรือแง่คิด

ทีมงาน - ซึ่งในมุมมองของนายทุนหรือคนทำหนัง ก็ต้องบอกว่าพอใจแค่นั้นอยู่แล้ว?

ซ้ง - คนในวงการเนี่ยนะครับ จะคิดว่าทำให้ขำได้ถือว่าได้บุญแล้ว เราไม่ได้ปล้นจี้ ไม่ได้ทำให้คนเดือดร้อน

ทีมงาน - แล้วถึงทุกวันนี้ รู้สึกต่างไปไหมกับนิยามของคำว่า "บุญ"

ซ้ง - มองย้อนหลังไปทั้งหมด ก็เห็นเหมือนกันครับ รู้สึกว่าบางจุดเราทำให้คนคิดผิด คิดพลาดได้ ผมเริ่มจากที่คุณใหม่ วีรณัฐ โรจนประภา (เจ้าของบ้านอารีย์) แนะนำให้ผมลองศึกษาวิธีเขียน วิธีคิดของนักเขียนธรรมะต่างๆ ที่สอดแทรกความสนุกเข้าไปด้วย

ทีมงาน - แล้วค้นหามาศึกษาหรือวิจัยอย่างไร?

ซ้ง - คือจริงๆแล้วที่บ้านผมนี่ เมียเก็บหนังสือธรรมะไว้เยอะมาก แต่ไม่เคยได้อ่านเลย กระทั่งถูกกระตุ้นให้สนใจถึงได้อ่าน จากนั้นเลยกลายเป็นจุดเปลี่ยน คือต่อไปนี้ผมไม่อยากให้คนได้แค่หัวเราะ อยากใช้ศักยภาพของตัวเองไปอีกทาง

ทีมงาน - ลองยกตัวอย่างได้ไหม ถ้ากลับไปแก้หนังดังของคุณซ้งได้ จะแก้เรื่องไหน แก้ยังไง?

ซ้ง - อย่างเพื่อนกันเฉพาะวันพระ ผมยังให้รายละเอียดไม่ค่อยชัดเจน เช่น ฆ่าตัวตายแล้วทำไมเป็นวิญญาณแบบนั้น เรายังทำให้คนดูรู้สึกว่ามีตัวมีตนเป็นอันเดิม ไม่ได้แจงรายละเอียดเกี่ยวกับความต่างของภพภูมิ แล้วก็ไม่จาระไนให้ละเอียดว่าทำไมไปอยู่ในภูมิหนึ่งๆด้วยกรรมแบบไหน

ทีมงาน - แล้วมีเรื่องไหนอีก?

ซ้ง - อย่างเรื่องผีเลี้ยงลูกคน จะเหมาะกับการใส่ธรรมะเข้าไปหลายแง่หลายมุม ตอนทำเราแค่คิดสไตล์ให้คล้ายแม่นาคพระโขนง นางเอก (อั้ม พัชราภา) เป็นห่วงหลานที่พี่ชายฝากฝังไว้ พอมีเหตุให้นางเอกตาย ก็ยังไม่หมดห่วงหลาน ไม่ยอมไปเกิด วนเวียนอยู่ที่บ้าน แต่พอคนอื่นกลัว มิจฉาชีพยังตามรังควาน รุกรานหลานเธอ เธอก็เลยต้องอาละวาด เราแสดงแค่ความจริงที่ว่าถ้าสัมภเวสียังติดห่วง ติดกังวล จะไม่ยอมไปเกิด แต่ถ้าเป็นตอนนี้มีโอกาสอีกที จะเอาเรื่องกรรมวิบากมาใช้ ตายแล้วไม่ใช่ชีวิตคุณจบ เป็นเปรตแล้วมีสิทธิ์ลงนรกลึกเข้าไปอีก ถ้าถอดห่วงหรือล้างความอาฆาตไม่ได้

ทีมงาน - แล้วมีผลงานเด่นๆชิ้นไหนไหม ที่คุณซ้งพยายามสอดแทรกธรรมะเข้าไปแล้ว?

ซ้ง - มีครับ อย่างเรื่องกิ๊ก ๓ คือก่อนค่ายหนังจะขอให้เราไปช่วยดูเรื่องนี้ เราตกลงกับเขาว่าขอสอดแทรกธรรมะเข้าไปด้วยได้ไหม เขาบอกว่าเอาเลย อยากแทรกอะไรลงไปเชิญทำได้เต็มที่ ขออย่างเดียวแก๊กทะลึ่งแปลกใหม่ต้องมี ถ้าดีกว่าเดิมไม่ได้ก็ต้องให้เท่าๆกันกับภาคหนึ่งและสองนะ ผมก็คิดของผม พยายามเอาโลกๆมาตั้งโจทย์ แล้วพาธรรมะมาตามตอบ ซึ่งผมก็เอามุขมาจากหนังสือมีชีวิตที่คิดไม่ถึง

ทีมงาน - ผลตอบรับ?

ซ้ง - ไม่เวิร์ก (หัวเราะ) คนจะบอกว่ามันอยู่ไม่ถูกที่ถูกทาง รู้นะว่าพยายามให้สาระ แต่ใจมันไม่อยู่ในอารมณ์อยากรับ มันไม่อยู่ในความรู้สึกอยากจะรู้เรื่อง แล้วก็ไม่เข้าใจว่าใส่เข้ามาทำไม เขาตั้งใจมาดูอีกอย่าง ไม่ใช่อย่างนี้

ทีมงาน - สรุปคือกรรมวิบากเอาไปใส่ผิดกลุ่มไม่ได้ ถ้าให้เวิร์กต้องแนวธรรมะให้รู้ๆไปเลย?

ซ้ง - อย่างที่บอกแล้วครับ ถ้าหนังผี หนังตายแล้วเกิดใหม่ อาจจะเข้ากันกว่านี้

ทีมงาน ที่คนไม่เชื่อว่านรกสวรรค์หรือผีมีจริงก็เพราะมาเจอเรื่องแต่งเสียมาก

ซ้ง - ผมถึงคิดจะศึกษาให้ดีเสียก่อนไงครับ ก่อนจะสร้างอะไรสื่อให้คนดูรับรู้

ทีมงาน สรุปคือความพยายามที่ผ่านมายังไม่เป็นผล

ซ้ง - ครับ ต้องยอมรับครับ

ทีมงาน - มองแบบพุทธก็ต้องกล่าวว่า ทำแล้วสำเร็จหรือล้มเหลว ไม่สำคัญเท่าคุณค่าของการได้พยายามทำ เพราะความพยายามทำคือเส้นทางกรรมที่เราสร้างไว้ให้ตัวเองเดิน อยากให้บอกว่าตอนนี้เส้นทางกรรมอันเกิดจากความพยายามของคุณซ้ง พาคุณซ้งมาถึงไหนแล้ว?

ซ้ง - ชีวิตผมกำลังอยู่ในช่วงที่มีความสุข แล้วก็แน่ใจว่าเป็นความสว่าง ช่วงที่ผ่านมาผมรับงานบุญ งานธรรมะ งานไม่คิดเงิน นับเป็นแบงก์ไม่ได้ แต่นับเป็นความสุขได้ ทำงานเอาเงินไม่เคยให้ความสุขเท่างานเสียเงินอย่างนี้เลย

ทีมงาน - ถ้าทำหนังต่อจากนี้ จะไม่เอามันอย่างเดียว ต้องมีความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องด้วย?

ซ้ง - ใช่! ถ้าเราสอดแทรกความรู้ที่เป็นของจริงเข้าไป คนคงเป็นสัมมาทิฏฐิกันมากขึ้น ไม่ใช่แทนที่มีโอกาสทำเรื่องให้เขาเชื่อความจริง กลับยิ่งทำให้เขาไม่เชื่อ เห็นนรกสวรรค์และภูตผีปีศาจเป็นของหลอกหนักเข้าไปอีก

ทีมงาน - ถ้ามีทุนหลักสิบล้าน อยากทำเรื่องอะไร ในฐานะที่อิ่มตัวแล้ว เขียนได้ กำกับได้ รู้จักดาราเยอะแยะ?

ซ้ง - อยากได้ธรรมะที่ถูกต้องที่มากับความสนุก ตอนนี้ก็กำลังคุยถึงความเป็นไปได้ในการทำหนัง "เสียดายคนตายไม่ได้อ่าน" เรื่องนี้จะช่วยกันกับคุณดังตฤณ

ทีมงาน - มีการพูดคุยกับผู้ให้ทุนแล้ว?

ซ้ง - ค่ายใหญ่รับแล้วระดับหนึ่ง กำลังลงรายละเอียดกันว่าจะให้เกิดขึ้นได้อย่างไร เพราะเจ้าของค่ายก็เป็นแฟน "เสียดายคนตายไม่ได้อ่าน" ของคุณดังตฤณอยู่

ทีมงาน - ทำไมถึงคิดทำเรื่องนี้?

ซ้ง - เพราะมั่นใจว่าโยงกับความสนุกแบบหนังได้ ผมเองเป็นคนสนุก เป็นคนในวงการบันเทิง ก็สามารถเริ่มทำความเข้าใจพุทธศาสนาได้จากกรรมวิบากตามแนวทางที่ถูกต้องของพระพุทธเจ้า เรายอมรับได้ เราก็ทำให้คนดูยอมรับได้เช่นกัน คือก้าวแรกผมได้เสียดายคนตายไม่ได้อ่าน ที่อ่านแล้วอิน อ่านแล้วเชื่อ ก็รู้สึกว่าชาวบ้านน่าจะรับได้เหมือนกับเรา ประสบการณ์ที่เคยบอกเล่าให้คนดูมาหลากหลายแนว น่าจะทำให้เป็นรูปธรรมได้จริงวัยรุ่นเห็นเป็นขนมหวาน ไม่ใช่ยาขม!

ทีมงาน - หมายความว่าจะรวมทุกรสไว้ในเรื่องเดียว?

ซ้ง - ตอนนี้ก็มีทั้งหวานโรแมนติกในช่วงเริ่ม ถัดมาก็ฉายภาพความรู้เป็นจริงเป็นจังเกี่ยวกับเหตุผลของการเกิดหรือไม่เกิดเป็นมนุษย์ แล้วก็เข้าสู่ช่วงระทึกขวัญ นอกจากนั้นก็คงมีแทรกตลกเฮฮาตามแนวตลาดบ้าง ไว้รอดูแล้วกันครับว่าผมจะใช้ความสามารถที่มีได้แค่ไหน!

--> คลิกที่นี่ เพื่อชมผลงานที่ผ่านมาของคุณซ้งทาง Youtube

 

song

 

 




คอลัมน์ "สารส่องใจ"
พบกับธรรมะดีๆ จาก "ท่านเจ้าคุณนรรัตนราชมานิต"
ในตอน "อย่าเลี้ยงความไม่สบายใจ"
ใครที่กำลังไม่สบายใจโปรดอ่านด่วน
รับรองว่าเห็นผลเป็นความเบาใจในทันตาค่ะ ^_^

ใครตกงานเชิญทางนี้
ที่คอลัมน์ "โหรา (ไม่) คาใจ"
"คุณ Aims Astro" มีกำลังใจหอบใหญ่มาฝาก
ในตอน "แก้ดวงยังไงให้ได้งานทำสักที"
คนไม่ตกงานก็อ่านได้นะคะ ^_^

"บทความรัก" ---<--<@
เอาใจคนโสดจอมสับสน o_O?
ที่ใจหนึ่งก็อยากโสด แต่อีกใจก็อยากมีรัก
"คุณ mayrin" จะมีคำแนะนำดีๆ ให้กับคนเหล่านี้อย่างไรบ้าง
ติดตามได้ในตอน "อยากอยู่เป็นโสดแต่ก็ยังอยากมีความรัก" ค่ะ

ใครที่ชอบทานแอปเปิ้ล
"คุณหมอพิมพการัง" จะพา "เข้าครัว"
แนะวิธีล้าง ปอก ลอก หั่น
ในตอน "เปลือกแอปเปิ้ล"
ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ เรื่องเปลือกๆ ก็สอนธรรมะได้นะคะ

คอลัมน์ "การ์ตูนธรรมะ" ฉบับนี้
เป็นเรื่องของ "นางวิสาขา" ตอนจบแล้วค่ะ
ใครที่พลาดความเดิมในตอนก่อนหน้า
สามารถอ่านย้อนหลังได้ ที่ฉบับ ๕ และฉบับ ๖ ค่ะ



ข่าวสารและกิจกรรมที่น่าสนใจ

พุทธมามกมูลนิธิ ในพระสังฆราชูปถัมภ์
ร่วมกับ วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม
ขอเชิญพุทธศาสนิกชนผู้สนใจธรรมปฏิบัติ
ร่วมฟังธรรม โดย "หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช"
ในวันที่อาทิตย์ที่ ๑๓ กันยายน ๒๕๕๒ เวลา ๑๔.๐๐ น.
ที่วัดเบญจมบพิตรฯ ณ ศาลาธรรมชินราชปัญจบพิธ ดาดฟ้าชั้น ๕ ค่ะ (-/\-)
แผนที่ : http://www.watbencha.com/map/map.html

ขอเชิญร่วมฟังธรรม โดย "พระราชญาณวิสุทธิโสภณ(หลวงปู่ท่อน ญาณธโร)"
จากวัดศรีอภัยวัน จ.เลย
วันศุกร์ที่ ๑๑ กันยายน ๒๕๕๒ เวลา ๑๘.๐๐-๒๐.๐๐ น.
ณ ศาลาปันมี บ้านอารีย์
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ๐๒-๒๗๙-๗๘๓๘ ค่ะ (-/\-)



ประชาสัมพันธ์โครงการ "สองวัน...ฉันทำได้"

ตอน "นานวันฉันหมดไฟ...ต้องเติมพลังใจให้
'ฉันทำได้' ^^v"


กำลังจะเข้าโค้งสุดท้ายกันแล้วนะคะกับโครงการ "สองวัน...ฉันทำได้"
คงจะยังไม่ลืมกันนะคะว่า โครงการนี้ได้ถูกจุดประกายขึ้น

จากบทสัมภาษณ์ของ คุณดังตฤณ ในรายการ "ตาสว่าง"

ที่แนะนำให้เราทุกคนลองตั้งต้นทำอะไรดีๆแต่น้อยๆก่อน

เริ่มจากสองวันแล้วค่อยพัฒนาขึ้นไปเรื่อยๆ
เมื่อเวลาสองวันนั้นผ่านไป ก็จะรู้สึกว่าเราสามารถทำได้ ทำสำเร็จ
และมีกำลังใจที่จะทำสิ่งดีงามนั้นต่อๆไปค่ะ


และในรายการเดียวกันนั้นเอง คุณดังตฤณก็ยังได้กล่าวไว้ในตอนหนึ่งว่า


" ... ถ้าหากว่าตั้งใจแล้วนะครับ
ขอให้ทำให้ได้ ๒ วันพอ
แล้วพอแข็งแรง ปีไหนก็ได้ เลือกเอา
วันเข้าพรรษา ทำให้ได้ครบ ๓ เดือน ... "

" ... ถ้า ๓ เดือนทำสำเร็จ แล้วจิตใจเข้มแข็งขึ้น
เราก็มองตรงนั้นแหละ
ว่านั่นคือความศักดิ์สิทธิ์ ...
"


นั่นก็คือ ให้เราหมั่นซ้อมร่างกายและจิตใจของเราทีละน้อยๆ ครั้งละสองวันๆ
เพื่อให้วันหนึ่งเรามีพลังพอที่จะตั้งใจอธิษฐานสิ่งใดสิ่งหนึ่ง
และใช้ช่วงเทศกาลเข้าพรรษาได้อย่างคุ้มค่าและมีประโยชน์สูงสุดค่ะ

แต่ก็เป็นที่แน่นอนว่า
เมื่อเรามีกำลังใจในการประกอบความเพียรได้ เราก็สามารถหมดกำลังใจได้เช่นกัน
วันนี้จึงอยากขอเสนอเทคนิคที่จะช่วยให้เรารักษาคงระดับกำลังใจของเราไว้

เพื่อให้เราสามารถพัฒนาและสานต่อเจตนารมณ์เดิมที่ได้ตั้งไว้ในวันแรกของการอธิษฐานค่ะ



๑. เริ่มทำตามแผนโดยไม่มีข้อแม้

ก่อนอื่นเราต้องตั้งกฎให้กับตัวเองกันนะคะว่า
ไม่ว่าเราจะขี้เกียจ ขยัน เบื่อหน่ายหรือรู้สึกอย่างไรต่อสิ่งที่ได้อธิษฐานไป
เราก็จะเริ่มทำในเวลาหรือข้อกำหนดที่เราได้ตั้งไว้
ความขยัน ความขี้เกียจ ความเบื่อหน่ายต่างๆนั้น สามารถผ่านเข้ามาในจิตในใจเราได้
แต่ไม่สามารถทำให้เราหยุดการเดินสู่จุดหมายของเราได้ ถ้าเราตั้งใจมั่นคงค่ะ

๒. ปรับความคิดลบเป็นบวก 

มีบางครั้งที่เราอาจเผลอคิดไปว่า
สิ่งที่เรากำลังทำนั้นเป็นสิ่งที่ยากลำบาก และเราไม่มีวันที่จะทำสำเร็จแน่ๆ
ซึ่งแน่นอนว่าความคิดที่ล่องลอยออกมาทำนองนี้จะบั่นทอนกำลังใจของเราใช่ไหมคะ

ในเมื่อบางความคิดสามารถลดทอนกำลังใจเราได้
บางความคิดก็สามารถทำในสิ่งตรงข้ามได้เช่นกันค่ะ
เมื่อเรารู้เช่นนี้แล้ว เราก็ควรที่จะหมั่นคิดบวกเพื่อเสริมกำลังใจของตน

เช่น ถ้าตั้งใจว่าจะตื่นนอนตอนเช้า
แทนที่จะคิดว่าเช้าเกินไป ไม่ไหวหรอก ต้องเพลียทั้งวันแน่ๆ
ก็ควรที่จะคิดถึงความสดชื่นของธรรมชาติในยามเช้า
หรือการงานที่จะทำสำเร็จเมื่อมีเวลามากขึ้น
หรือแม้กระทั่งความมีปีติดีใจเมื่อได้ตื่นดังที่ต้องการ เป็นต้นค่ะ

๓. จูงจิตจูงใจด้วยการให้รางวัลกับตัวเอง

แม้จะไม่ใช่หลักการตายตัว แต่ก็เป็นเทคนิคที่สามารถเอาไปใช้ได้อย่างหนึ่งค่ะ
ลองตั้งรางวัลให้กับตัวเองว่าก็ได้นะคะ เมื่อเราได้ทำอะไรสำเร็จ

อาจจะบอกกับตัวเองว่า ถ้าในสองวันนี้ฉันทำสำเร็จ

ก็จะให้รางวัลกับตนเองโดยการไปทานอาหารในร้านที่ชอบ เป็นต้น
รางวัลเหล่านั้นก็จะสามารถเป็นแรงจูงใจให้แก่เราได้ในยามที่เราขาดกำลังใจค่ะ


๔. คิดถึงประโยชน์ที่จะได้รับเมื่อทำสำเร็จ

มีหลายต่อหลายครั้งที่เรามักจะลืมจุดมุ่งหมายของเรา
ว่าสิ่งที่เราเพียรอดทนพยายามทำอยู่นั้นเป็นไปเพื่อสิ่งใดกัน
การหมั่นระลึกคิดถึงประโยชน์ที่จะได้รับในอนาคตเมื่อเราสามารถทำได้สำเร็จแล้ว
ก็สามารถเป็นแรงใจให้เราอดทน ยืนหยัดต่อสู้กับตนเองต่อไปได้ค่ะ

๕. ประเมินผลตัวเองเป็นระยะๆ

แม้เราจะมีเป้าหมายที่ชัดเจน แต่ในเส้นทางที่ต้องใช้เวลาเดินทางนานนั้น
บางคราวเราก็อาจจะเคว้งคว้างเพราะไม่รู้ว่าเรากำลังอยู่ที่ใด จุดใดในเส้นทางนั้น
การหยุดพัก สังเกตและประเมินตนเองบ้างเป็นระยะๆ ก็จะทำให้เรารู้ตัวว่า
ขณะนี้เรากำลังทำสิ่งใด มีสิ่งใดที่ทำไปแล้ว และมีสิ่งใดที่ยังไม่ได้กระทำ
การมองเห็นภาพที่ชัดเจนของตัวเองนั้นๆ
ก็จะทำให้เรามั่นใจว่ามาถูกทาง และเป็นกำลังใจให้เราเดินทางต่อไปได้ด้วยอีกทางหนึ่งค่ะ

๖. อ่านปฏิปทาของบุคคลในดวงใจ

ในยามใดที่เรารู้สึกท้อแท้สิ้นหวัง หมดเรี่ยวแรงและกำลังใจ

แทบคิดว่าตัวเองคือผู้เดียวเท่านั้นที่ต้องอดทนลำบาก พยายามมากมาย
ในยามนั้น ลองพลิกหนังสือประวัติของผู้ที่เราเคารพนับถือกันนะคะ

ไม่ว่าจะเป็นครูบาอาจารย์ของเรา หรือผู้ที่เคยดิ้นรนต่อสู้ชีวิตจนประสบความสำเร็จ
ลองหยิบหนังสือเหล่านั้นขึ้นมาเปิดดู ปฏิปทาของท่านเหล่านั้นจะคอยเป็นกำลังใจให้แก่เรา

ทำให้เรารู้ว่า ไม่มีใครแม้สักคนเดียวหรอก ที่จะฝ่าฟันอุปสรรคไปได้โดยไม่อดทน
เราก็จะกลับมีแรงขึ้นมาปฏิบัติตามสิ่งที่เราได้อธิษฐานไว้ต่อไปค่ะ


๗. หากลุ่มกัลยาณมิตร

คนเราทุกคนสามารถที่จะรู้สึกโดดเดี่ยวอ้างว้าง
เมื่อต้องเผชิญหน้าต่อสู้กับสิ่งต่างๆรอบตัวอันวุ่นวายใช่ไหมคะ

การได้ร่วมกระทำสิ่งที่ดีงามต่างๆร่วมกับผู้อื่น

มีการร่วมแบ่งปันและแบ่งรับความสุข หรือความอบอุ่นใจที่ได้มาให้กันและกัน

ก็จะสามารถช่วยให้เรายืนหยัดในยามท้อแท้สิ้นหวังบนเส้นทางเดินของตนเองไว้ได้ค่ะ

และที่สำคัญต้องอย่าลืมเตือนตนเองไว้นะคะว่า

ถ้าหากเรายังไม่พบกัลยาณมิตรที่พากันไปในทางที่ดีขึ้นได้

เราก็ต้องพร้อมเสมอที่จะเดินคนเดียวในทางที่สว่างค่ะ

กำลังใจเป็นสิ่งสำคัญเสมอ ที่จะทำให้เรามุ่งมั่นยืนหยัดต่อไปในเส้นทางสู่ความสำเร็จ
การหมั่นรดน้ำพรวนดินต้นไม้แห่งกำลังใจของเราแต่ละคนนั้น เป็นสิ่งที่ทุกคนไม่ควรละเลย
เพื่อให้ในวันหนึ่งข้างหน้า เราจะได้ลิ้มรสผลไม้แห่งความสำเร็จอันสุกงอมหอมหวานกันค่ะ


เหลือเวลาโครงการ "สองวัน...ฉันทำได้" อีกไม่นานนะคะ
หากท่านใดที่ยังไม่ได้ลองสัมผัสความสว่างและอบอุ่นใน เว็บบอร์ด ของเรา
ลองคลิ๊กเข้าไปชม รับไออุ่น และร่วมอนุโมทนากันได้ทุกเมื่อค่ะ





ป.ล. เก็บตกมาฝากสำหรับท่านที่อาจจะยังไม่ได้อ่านบทความน่ารักๆเรื่อง
"มหัศจรรย์ สองวันฉันทำได้" โดย คุณหมอพิมพการัง

ที่บรรยายบรรยากาศโครงการสองวันฯ ลงใน นิตยสารกุลสตรี ปักษ์แรก ๑ กันยายน ๒๕๕๒
ขอเชิญอ่านและร่วมปลื้มใจกันได้นะคะ ที่นี่ ค่ะ



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP