ดังตฤณวิสัชนา Dungtrin's Answer

ควรปฏิบัติอย่างไรเมื่อเกิดความทุกข์จากเสียงรบกวนต่างๆ



ถาม - ดิฉันจะทรมานมากเมื่อได้ยินเสียงที่เกิดขึ้นซ้ำๆ เป็นรอบๆ
เช่น เสียงที่ปัดน้ำฝน เสียงพัดลม เสียงม่านปลิว ฯลฯ
ถึงกับเคยต้องขอลงจากรถแท็กซี่เพราะทนเสียงที่ปัดน้ำฝนไม่ได้
ต่อมาได้ไปนั่งสมาธิในสถานที่หนึ่ง ซึ่งมีการเปิดเสียงระฆังเป็นจังหวะๆ ห่างๆ
ทำให้ดิฉันนั่งสมาธิไม่ได้เลย เกิดความรำคาญขึ้นมาแทนที่จะสงบ
ถ้าหากว่าเป็นแบบนี้ควรจะพิจารณาอย่างไรดีคะ รบกวนช่วยแนะนำด้วยค่ะ



จิตของคุณเป็นแบบที่ว่ามีความขัดเคืองง่าย อันนี้เป็นปฐมเลย
เป็นพวกโทสจริตนะครับ โทสจริตนี่นะ มันจะมีความขัดเคืองง่าย
แปลว่ามีความอ่อนไหวด้วย ตรงนี้บอกไว้นิดหนึ่ง
และประการที่สอง คือมีความยึดมั่นถือมั่นรุนแรง
กล่าวคือถ้าหากว่าจิตใจปักเข้าไปยึดอะไรแล้ว มันจะมีอาการถอนออกมายาก
ยกตัวอย่างเช่น ถ้าคิดมากในเรื่องหนึ่ง
สมมติว่าไปทะเลาะกับแม่ค้ามา เรื่องจ่ายตังค์เกินหรือจ่ายตังค์ขาด หรืออะไรแบบนี้
พอเราคิดขึ้นมา แค่บาทสองบาท มันทนไม่ได้ คนแบบนี้มีเยอะนะ
คือถ้าหากว่าเรายึดมั่นถือมั่นรุนแรง
บาทสองบาทมีความรู้สึกเหมือนกับจะเป็นจะตายได้
มันมีความรู้สึกว่าบาทสองบาทนั้นน่ะมีค่าทางใจ
ยิ่งกว่าสองสามร้อย ยิ่งกว่าสองสามพันที่เราเต็มใจบริจาคเสียอีก



นั่นเพราะอะไร เพราะว่าพอเราปักใจว่าอะไรผิดอะไรถูก
อะไรมันยุติธรรม อะไรมันไม่ยุติธรรม อะไรที่มันสมควร หรืออะไรที่มันไม่สมควรกับเรา
เราจะยอมไม่ได้ ตัวยึดมั่นถือมั่นมากนี่นะ
ดูคำในหัวที่มันออกมานี่ คือยอมไม่ได้ อย่าไปยอม อะไรแบบนี้



ถ้าหากว่าเรารู้ ไม่ว่าใครก็แล้วแต่ไม่ใช่เฉพาะคุณเจ้าของคำถามนะ
ถ้าหากว่ารู้ตัวว่าเป็นพวกโทสจริต มีความขัดเคืองได้ง่าย
แล้วก็เป็นพวกที่ยึดมั่นถือมั่นรุนแรง
มีความปักใจยึดอะไรที่มันเหนียวแน่นถอนยาก
ขอให้บอกตัวเองว่าเราเป็นคนโชคร้ายแน่ๆ
และโชคร้ายนั่นน่ะไม่ได้ลอยมาจากพระพรหมลิขิต
หรือว่าสวรรค์ลิขิตที่ไหน ไม่ใช่นรกสาปที่ไหน
แต่เราเป็นคนก่อร่างสร้างโชคที่มันไม่ค่อยจะดีแบบนี้ขึ้นมา
ด้วยการสะสมกรรมมาเรื่อยๆ มันเหมือนงูกินหางนะ
โทสะง่ายมาจากไหน มาจากการไม่ยอมอะไรง่ายๆ นะ
อาการไม่ยอมอะไรง่ายๆ มาจากไหน
มาจากอาการที่เรายึดมั่นถือมั่นในอารมณ์ที่เจืออยู่ด้วยโทสะรุนแรง

มันเป็นงูกินหางอยู่อย่างนี้


ถามว่าจะแก้อย่างไร เราต้องบอกตัวเองก่อนเลยนะ
ว่าอารมณ์ของคนแบบนี้เป็นอารมณ์ของคนโชคร้าย
มีโอกาสที่จะทนอะไรไม่ค่อยได้ค่อนข้างสูง
แล้วก็เป็นคนที่มีโอกาสจะก่อบาปก่อกรรมได้
โดยที่ไม่จำเป็นจะต้องมีอะไรมากระทบกระทั่งรุนแรง ไม่ต้องมีเรื่องร้ายแรงอะไรมาก
แค่ความคิดร้ายๆ ของเราอย่างเดียว ก็สามารถจุดชนวนให้เกิดบาปเกิดกรรมไปได้ไม่รู้จบแล้ว
นี่พอพิจารณาอย่างนี้นะ มันจะมีแก่ใจ
มันจะมีความรู้สึกว่าเราจะต้องลุกขึ้นมาทำอะไรสักอย่าง เพื่อที่จะให้ผ่านโชคร้ายตรงนี้ไปได้



การที่เราจะเจริญสติหรือการที่เราจะบอกตัวเองด้วยอุบายอย่างไรง่ายๆ นี่นะ
บางทีมันไม่มีกำลังใจ ไม่มีแก่ใจ ที่จะทำให้ต่อเนื่อง ทำให้จริงจัง
หรือเอาชีวิตทั้งชีวิตมาเปลี่ยนเคราะห์ร้ายหรือโชคร้ายตรงนี้ ให้มันผ่านพ้นไป
แต่ถ้าเราพิจารณาตัวเอง เออ ความเป็นคนโชคร้ายตรงนี้ น่าจะเปลี่ยนสักที
แล้วพิธีกรรมที่จะทำ ไม่มีอะไรมากไปกว่าการที่เราบอกตัวเอง
เราบอกตัวเองง่ายๆ เลยว่าเราจะเริ่มออกจากความเป็นผู้โชคร้ายนี้เสียที



วิธีที่จะออกจากความเป็นผู้โชคร้าย พอมีแก่ใจ พอมีกำลังใจแล้วนะ
ก็คือให้พิจารณาว่าอาการที่ใจของเรา เวลาหูมีเสียงมากระทบ
จะเป็นเสียงระฆัง จะเป็นเสียงม่านปลิว จะเป็นเสียงพัดลม จะเป็นที่ปัดน้ำฝน
อะไรก็แล้วแต่ที่มันเคยรบกวนเราได้นะ
ขอให้มองว่าเหล่านั้นแหละคือเครื่องฝึก
เมื่อไรก็ตามที่เรามองคลื่นรบกวนให้เป็นเครื่องฝึก
ใจของเราจะมีปฏิกิริยาเตรียมพร้อมขึ้นมา เมื่อต้องเผชิญหน้ากับพวกมัน
ที่เราไม่มีความพร้อมที่จะเผชิญหน้ากับพวกมัน
ก็เพราะว่าเราไม่ได้ตั้งมุมมองไว้ว่านั่นคือเครื่องฝึก
เราจดจำพวกมันไว้โดยความเป็นเครื่องรบกวน
เครื่องทำให้ชีวิตไม่เป็นสุข เครื่องทำให้ชีวิตมีความไม่สบาย
เมื่อมองอยู่อย่างนี้ เมื่อตั้งจิตมองอยู่อย่างนี้
พอมีอะไรมากระทบหูกระทบตาในทางที่รบกวน จิตมันก็จะทนไม่ได้ทันที
แล้วพอทนไม่ได้นะ อย่าว่าแต่จะไปเจริญสติเลย
เอาแค่ใจเย็นๆ สักครั้งหนึ่ง มันยังยากเลย


แต่ถ้าหากว่าเราเหมารวมให้หมด มานั่งลิสต์เลย แบบที่คุณถามอย่างนี้นี่แหละ
ว่ามีเสียงที่ปัดน้ำฝน มีเสียงพัดลม มีม่านปลิว
แล้วเราจำไว้เลยว่าเหล่านี้คือเครื่องฝึก
พอเราได้ยินเสียงเหล่านี้อีกครั้ง ใจที่มันเคยว้าวุ่นมากๆ มันจะมีอาการตั้งพร้อมรับ
ไม่ใช่พร้อมรับในแบบที่แกล้งทำไม่รู้ไม่ชี้นะ
แต่พร้อมรับในแบบที่จะเกิดความรู้สึกว่า
เออ ตรงที่มันเข้ามา เป็นทุกข์แค่ไหน เป็นทุกข์ได้แค่ไหน
สมมุติเสียงที่ปัดน้ำฝนอย่างนี้ อื๊ดอ๊าดๆๆ
แล้วเรารู้สึก โอ้โห มันนรกชัดๆ เลย เสียงนรก
‘เสียงนรก’ นี่บอกความทุกข์ บอกระดับความทุกข์ว่ามันรุนแรงมาก
หูย เราทนไม่ไหว เราจะต้องลงจากแท็กซี่ห่วยๆ นี้ให้ได้
นี่บอกระดับความทุกข์ที่รุนแรง


ทีนี้ถ้าหากว่าเรามองว่านี่เป็นเครื่องฝึก เรากำลังฝึกอยู่
เราก็จะเห็นว่า เออ เสียงนรกนี่นะ มันก่อระดับความทุกข์ให้เรา มันกระสับกระส่ายมาก
เราจะเห็นเข้าไปที่ความกระสับกระส่าย
ไม่ใช่รู้สึกว่าตัวเรากำลังกระสับกระส่ายทนไม่ไหวอยู่

พอเห็นว่าอาการกระสับกระส่ายมีดีกรีแรงแค่ไหน
หายใจครั้งสองครั้ง ต่อมาเราจะรู้สึกว่าดีกรีตรงนั้นมันลดระดับลง
เราสามารถเบนความสนใจมาอยู่กับลมหายใจได้
และเดี๋ยวๆ หูมันก็จะพานไพล่ไปจับเอาเสียงที่ปัดน้ำฝนอีก อันนี้เป็นธรรมชาติเลย
เพราะว่าจิตที่ยึดมั่นถือมั่นนะ มันจะคอยแวะเวียนไปหาสิ่งที่มันชอบหรือไม่ชอบเสมอนะ
เราก็จะเห็นอีกว่านรกกลับมาอีกแล้ว


อย่างนี้เรียกว่าเป็นการเห็นทุกขเวทนา โดยความเป็นของไม่เที่ยง
เมื่อมีเหตุคือเสียงมากระทบหู มันก็เกิดความทุกข์ขึ้นมา
เมื่อเราเบนความสนใจไปที่อื่น ไปดูลมหายใจ หรือว่าไปดูสภาพแวดล้อมนอกรถบ้าง
แล้วก็เกิดความรู้สึกว่ามันลืมๆ เสียงนรกนั่นไป ความทุกข์มันคล้ายๆ ว่าจะห่างหายไป
แต่เมื่อไหร่หูไปเงี่ยฟังที่ปัดน้ำฝนมาอีก
โดยเฉพาะผู้หญิงนะ คือลองสังเกตนะมันจะมีคำด่าหยาบๆ คายๆ ออกมา
แล้วก็จะมีความรู้สึกว่าหงุดหงิดอยากเกรี้ยวกราด
ความรู้สึกหงุดหงิดอยากเกรี้ยวกราดมันจะแล่นไปตามเสียงด่าในหัว
แล้วก็ที่มันทนไม่ได้ มันไม่ใช่เพราะเสียงที่ปัดน้ำฝนหรอก
แต่เป็นเพราะว่าความหงุดหงิด ไฟในใจของเรา
หรือเสียงคำด่าหยาบๆ ที่มันเกิดขึ้นในหัวของเรานี่แหละ
อะไรก็แล้วแต่ที่มันเป็นความคิด ที่รบกวนจิตใจนี่นะ มันทนยากที่สุดในโลก
อะไรอย่างอื่น แค่เราเบนความสนใจนะ มันเหมือนกับจะหายไป หายไปจากชีวิตเราเลย
แต่ความคิด ถ้ามันรบกวนจิตใจเราแล้ว
ถ้ามันมีคำด่าหยาบๆ คายๆ เกิดขึ้นแล้ว มันจะทนยากมาก


นี่ตัวนี้เราก็ลองดู มันเกิดขึ้นเป็นกระบวนการเลยนะ
ไม่ใช่เกิดขึ้นง่ายๆ เหมือนกับที่เรามาเล่าให้ฟังอยู่ว่า
เออ เราทนเสียงอะไรแบบหนึ่งๆ ไม่ได้ มันไม่ใช่แค่นั้น มันมีอะไรเกินไปกว่านั้น
โดยเฉพาะอย่างยิ่งปฏิกิริยาทางใจ
ทีนี้ที่คุณไม่สามารถที่จะมาจาระไนว่า ปฏิกิริยาทางใจของเราเป็นอย่างไร
ก็เพราะว่าใจของเราไปโทษเสียงภายนอกอย่างเดียว
ไม่ได้สังเกตเสียงภายใน ว่ามันคิดอย่างไร มันมีคำพูดอย่างไรเกิดขึ้นในหัว
ทีนี้พอเรามองว่าระดับความทุกข์ มันผลิตคำหยาบหรือว่าคำด่าใครขึ้นมา
แล้วตรงนั้นน่ะเราทนเสียงรบกวนในหัวของเราไม่ได้เอง
เราก็จะเห็นความทุกข์ทางใจอันเกิดจากความคิด
มันจะเห็นเป็นชั้นๆ นะ ไม่ได้มีความทุกข์จากเสียงภายนอกมากระทบอย่างเดียว
มีเสียงภายในที่มันก่อความทุกข์ ก่อระดับความทุกข์ที่มีดีกรีต่างๆ กันนะ
เมื่อกี้ตอนแรกบอกว่าเสียงนรกใช่ไหม
อันนี้ก็อาจจะมีความคิดนรกเกิดขึ้นในหัวของเรา
ซึ่งพอเรามองเห็นมันบ่อยๆ เข้า เราจะรู้สึกว่าเสียงนี้ไม่ใช่เสียงของเรา
มันไม่ได้เกิดขึ้นจากความตั้งใจจะด่าใคร
หรือว่าไม่ได้เกิดขึ้นจากอาการที่เราอยากจะส่งเสียงหยาบๆ คายๆ ขึ้นมาในหัว
มันออกมาจากความทุกข์ ทุกข์ทางใจเป็นผู้ผลิตมันขึ้นมา


พอเห็นอยู่อย่างนี้บ่อยๆ เข้า เราจะวางใจที่จะดูมันเป็น
คือเริ่มจากวางใจเห็นเสียง
เห็นเสียงนรก สักแต่เป็นเสียงเข้ามากระทบ แล้วก่อให้เกิดปฏิกิริยาทางใจ
พอก่อเกิดปฏิกิริยาทางใจเป็นคำด่าหรือคำหยาบอะไรก็แล้วแต่ในหัว
มันก็จะค่อยๆ เห็นอีก เออ สักแต่เป็นความคิด สักแต่เป็นความคิดแย่ๆ

มันจะมีอยู่ครั้งหนึ่งที่เราจะรู้สึกว่า เออ รู้อยู่เฉยๆ รู้อยู่สบายๆ
ให้จำตรงนั้นไว้ แล้วก็ให้มันเกิดขึ้นอีกเรื่อยๆ

ในที่สุดเราจะเห็นทุกเสียงสักแต่เป็นของเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป กระทบใจชั่วคราวนะ
แล้วใจก็จะมีความสุขความสบายอยู่ได้ไม่ทรมานเลย



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP