สารส่องใจ Enlightenment

จุดที่รวมแห่งอริยธรรม (ตอนที่ ๒)



พระธรรมเทศนา โดย พระธรรมวิสุทธิมงคล (หลวงตามหาบัว ญาณสมฺปนฺโน)
เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๗ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๐๕



(ต่อจากฉบับที่แล้ว)



คำว่า ไตรลักษณ์ คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตาด้วย ไตรลักษณ์ขั้นหยาบ ขั้นกลาง ขั้นละเอียดด้วย
พึงทราบว่ามีอยู่ในกายในใจของเราทุกท่าน
ไม่ใช่มีแต่พระพุทธเจ้าพระองค์เดียวและพระสาวกของพระองค์เท่านั้น
พึงทราบว่าเราทั้งหลายเวลานี้กำลังเป็นภาชนะที่สมบูรณ์อยู่แล้ว
ที่จะสามารถพิจารณา และรับรองสภาวะที่ได้อธิบายมานี้ ให้เห็นแจ่มแจ้งขึ้นในใจ
ซึ่งเรียกว่า ธรรมในหลักธรรมชาติ
เป็นของมีอยู่ตั้งแต่วันก้าวเข้าสู่ปฏิสนธิวิญญาณมาเป็นลำดับจนถึงวันนี้
องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าท่านพิจารณาเห็นสภาวธรรมทั้งหลาย ไม่ได้ไปค้นหาที่ไหน
ธรรมทั้งหลายมีอยู่แล้วอย่างสมบูรณ์
พระองค์พิจารณาตามหลักธรรมชาติเหล่านี้ให้เห็นชัดแจ่มแจ้ง
ตามหลักแห่งธรรมทั้งหลายที่มีอยู่อย่างสมบูรณ์ทั้งภายนอกและภายใน
จนหายสงสัยข้องพระทัยทุกอาการแล้ว
จึงได้ประกาศพระองค์ว่า เป็นผู้สิ้นแล้วจากสังสารจักร
คือความหมุนเวียนเปลี่ยนแปลง ได้แก่ความเกิด แก่ เจ็บ ตายเหล่านี้



เราซึ่งเป็นพุทธบริษัทของพระองค์เจ้า ขอได้โปรดพิจารณาสภาวธรรมซึ่งมีอยู่ในตัว
และเราอย่าคิดมากไปว่า เราไม่มีศีลจะบำเพ็ญสมาธิให้เป็นไปไม่ได้
เราไม่มีสมาธิจะบำเพ็ญปัญญาให้เป็นไปไม่ได้ดังนี้
พึงทราบว่า ศีล สมาธิ ปัญญา
เป็นธรรมสัมพันธ์เกี่ยวเนื่องอยู่กับหัวใจของผู้ตั้งใจปฏิบัติด้วยกันทุกท่าน
ศีล หมายถึงปกติ ความเป็นปกติของใจในปัจจุบันนั้นปรากฏเป็นศีลขึ้นมาแล้ว
ความสงบของใจในขณะที่กำลังภาวนาอยู่นั้น เรียกว่าจิตเป็นสมาธิขึ้นมาแล้ว
การพิจารณาไตร่ตรองในหลักธรรมชาติ
คือไตรลักษณ์ที่มีอยู่ทั่วสรรพางค์ร่างกายและจิตใจทั้งภายในและภายนอก
จะเป็นเวลาใดก็ตาม พึงทราบว่าปัญญาเริ่มปรากฏขึ้นมาภายในใจของเราแล้ว



เมื่อเราได้พยายามบำเพ็ญในธรรมทั้งสามประเภท
คือ ศีล สมาธิ ปัญญา ให้มีการติดต่อกันเป็นลำดับไป
ศีล สมาธิ ปัญญา จะเป็นธรรมที่มีกำลังกล้า
อาจปรากฏขึ้นภายในใจของเราทั้งสามประเภทพร้อมๆ กัน
เราอย่าเข้าใจว่าเราเป็นหญิงหรือฆราวาส แล้วจะไม่สามารถบำเพ็ญสมณธรรม
คือคุณงามความดี มีมรรค ผล นิพพานที่เราต้องการให้เกิดขึ้นในตัวได้
ถ้าเราคิดเช่นนั้นเป็นความคิดผิด จะเป็นอุปสรรคต่อตนเอง
เพราะองค์แห่งอริยสัจธรรมทั้งสี่ไม่ได้นิยมว่านี้คือผู้หญิง นั้นคือผู้ชาย
นั้นฆราวาส นั้นคือนักบวช พระ เณร เถร ชี
แต่มีอยู่ในสัตว์ สังขารบรรดาที่มีวิญญาณครองทั่วไป
เมื่อผู้ใดมีปัญญาพิจารณาอริยสัจธรรมทั้งสี่นี้
ผู้นั้นแลเป็นผู้กำลังก้าวดำเนินตามเสด็จพระองค์ท่านเป็นลำดับ
อริยสัจธรรมทั้งสี่นี้ คือ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค



คำว่า ทุกข์เป็นชื่อแห่งธรรมชาติอันหนึ่ง
ซึ่งเป็นสิ่งที่ปรากฏอยู่ในกายและในจิตของเรา
ความไม่สงบกายก็ดี ความไม่สงบใจก็ดี
ท่านเรียกว่า อริยสัจ คือของจริงอย่างประเสริฐ ของจริงที่ไม่เอนเอียงไปตามบุคคลผู้ใด
ใครจะตำหนิธรรมชาตินี้ว่าดีก็ตาม ว่าชั่วก็ตาม
ธรรมชาตินี้ก็คือธรรมชาตินี้นั้นเอง
ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปตามความตำหนิติชมของบุคคลหรือสัตว์ใด ๆ ทั้งนั้น
ท่านจึงเรียกว่า ของจริง และมีอยู่เหมือนเงาตามตัว
แต่เงาจะปรากฏในที่แจ้งเท่านั้น เข้าสู่ที่มืดแล้วเงาไม่ปรากฏ
ส่วนอริยสัจธรรมทั้งสี่ มีทุกขสัจเป็นต้น เราจะอยู่ในที่มืดก็ตาม อยู่ในที่แจ้งก็ตาม
จะปรากฏในกายในใจของเราเสมอไป ไม่ว่าเป็นทุกข์ หรือเป็นสุข
ฉะนั้นโปรดกำหนดพิจารณาให้ทั่วถึงตามที่อริยสัจปรากฏอยู่



เรื่องการพิจารณากองทุกข์นี้ เราไม่ได้หมายจะเอาทุกข์มาเป็นสมบัติของเรา
แต่ถ้าเราไม่พิจารณาทุกข์ เราก็ไม่มีอุบายปัญญารู้รอบคอบและหายสงสัยในทุกข์
ก็จะเกิดความลุ่มหลงนำทุกข์มาพัวพันภายในใจว่า
เราทั้งอวัยวะนี้เป็นทุกข์ หรือว่าทุกข์ทั้งหมดนี้เป็นตัวของเราไปเสีย
การที่เราพิจารณาทุกข์ให้เห็นชัดตามเป็นจริงแล้ว
เรากับทุกข์นั้นจะแยกกันออกได้ โดยไม่ต้องคาดหมายให้เป็นกังวล
จะเห็นว่าทุกข์นั้นเป็นส่วนหนึ่งจากเรา
ในขณะเดียวกันเราผู้รู้ในสุขก็ดี ในทุกข์ก็ดี
ก็จะเห็นว่าเป็นสภาพอันหนึ่งจากเวทนาทั้งสามนั้น



การพิจารณาทุกข์โดยอุบายแยบคายและความรอบคอบอย่างนี้
จึงเป็นทางปล่อยวางความกังวลในทุกข์ หรือแยกความเป็นทุกข์นั้นออกจากตัวเราได้
โดยเห็นว่าทุกข์นั้นเป็นของจริงอันหนึ่ง ธรรมชาติที่รู้ทุกข์คือใจนี้ก็เป็นของจริงอันหนึ่ง
ไม่สับสนปนกันโดยถือทุกข์นั้นว่าเป็นเรา และถือเราว่าเป็นทุกข์
แม้ทุกข์จะปรากฏขึ้นทางกายก็เห็นว่าเป็นสภาพอันหนึ่งจากความรู้ ไม่ใช่เรา
ยิ่งพิจารณาเข้าไปภายใน คือทุกข์ทางใจก็จะเห็นเช่นเดียวกัน
การพิจารณาทุกข์ทั้งนี้ เรียกว่าได้ดำเนินมรรคไปในตัวแล้ว
เพราะถ้าไม่ใช้ปัญญาก็ไม่มีเครื่องมือเพื่อดำเนิน
การไตร่ตรองหรือพิจารณาทุกข์ตั้งใจดูทุกข์ กำหนดรู้ทุกข์ ตั้งสติดูทุกข์
ล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องของมรรค คือ ศีล สมาธิ ปัญญาทั้งนั้น



คือการพิจารณาทุกข์ก็เป็นอริยสัจอันหนึ่ง
เมื่อเห็นเรื่องของทุกข์แล้วเป็นเหตุให้คิดต่อไปว่าทุกข์นี้เกิดขึ้นเพราะอะไร
เช่นเราเสียใจในขณะที่ประสบสิ่งที่ไม่น่าปรารถนา
โดยมีใครมาด่าทอให้กระทบกระเทือนเราด้วยกิริยามารยาทอันไม่สมควร เกิดความเสียใจขึ้นมา
เราพยายามพิจารณาหาต้นเหตุแห่งความเสียใจว่า เกิดขึ้นมาเพราะเหตุใด
และจะมีทางแก้ไขความเสียใจด้วยวิธีใด
ดังนี้ก็เรียกว่า เราพยายามจะถอนสมุทัยอยู่ในขณะเดียวกันนั้นแล้ว
เมื่อเราทำการพิจารณาเรื่อง ทุกข์ สมุทัย โดยมรรค คือสติกับปัญญาไปโดยทำนองนี้
ก็เป็นการทำให้แจ้งซึ่งนิโรธโดยลำดับในขณะเดียวกัน



อนึ่ง โปรดทราบว่าทุกข์กับสมุทัยมีหลายขั้น มรรคก็มีหลายขั้น
มีอย่างหยาบ อย่างกลาง อย่างละเอียด
นิโรธก็มีหลายขั้นเช่นเดียวกัน
ทุกข์ส่วนหยาบดับไป นิโรธส่วนหยาบได้เริ่มปรากฏตัวขึ้นมา
ทุกข์ส่วนกลางดับไป นิโรธส่วนกลางได้ปรากฏตัวขึ้นมา
ทุกข์ส่วนละเอียดดับไป นิโรธได้ปรากฏตัวขึ้นมาอย่างเต็มที่
จึงควรทราบไว้อย่างนี้ ไม่ใช่ว่า ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค จะเป็นธรรมขั้นเดียว แยกกันได้อย่างนี้
เราพิจารณาเบื้องต้นก็ต้องเป็นขั้นหยาบ
ต่อมาก็ค่อยเลื่อนฐานะขึ้นไปขั้นกลาง ขั้นละเอียด โดยความรู้อันเดียวเป็นผู้พิจารณา
ความรู้อันเดียวเป็นผู้วิพากษ์วิจารณ์ จนกลายเป็นความแยบคายโดยลำดับ
และกลายเป็นความรู้ความฉลาดอันยอดเยี่ยมขึ้นมาเป็นขั้น ๆ จากดวงใจอันเดียวกัน



พระพุทธเจ้าผู้ดำเนินมาก่อนก็ทรงทำเช่นนี้
รู้สึกว่าพระองค์เป็นมาด้วยความทุกข์ความลำบาก เป็นมาด้วยความอดทน
เป็นมาด้วยความขยันหมั่นเพียรและกล้าเสียสละ แม้ชีวิตก็ไม่ทรงเสียดาย
เพื่อให้ได้อริยสัจซึ่งเป็นธรรมสายเอก
ทรงพยายามเพื่อรู้ชัดในทุกข์ซึ่งเป็นความเดือดร้อนในทุกข์ทั้งมวล
และพยายามรื้อถอนสมุทัยอันเป็นตัวก่อให้เหตุทั้งมวลเกิดขึ้น
ด้วยมรรค คือ ศีล สมาธิ ปัญญา
เพื่อปรากฏผลคือ นิโรธ ความดับทุกข์เป็นขั้น ๆ จนไม่มีอะไรเหลืออยู่ภายในใจ
แม้อริยสัจสี่ซึ่งเป็นธรรมที่เคยเห็นว่าลี้ลับ ก็ปรากฏผลเป็นธรรมเปิดเผยต่อพระทัยขึ้นมาจนได้
เพราะความพยายามเป็นกุญแจดอกสำคัญ



ฉะนั้น บรรดาเราทุกท่านผู้มุ่งต่อแดนพ้นทุกข์ตามพระองค์
โปรดพิจารณาโดยโอปนยิโก น้อมอริยสัจทั้งสี่เข้ามาสู่กายสู่ใจ ให้ตรงตามหลักความจริง
ซึ่งเป็นของมีอยู่เช่นเดียวกับพระพุทธเจ้าไม่มีอะไรบกพร่อง
และไม่มีสิ่งใดแปลกกันแม้แต่น้อย
ปัญญาที่หยั่งทราบในอริยสัจทั้งสี่ก็เกิดจากใจดวงเดียว
เราผู้กำลังฟังเทศน์อยู่ในบัดนี้จึงไม่มีความผิดแปลกอะไรจากครั้งพุทธกาล
และเป็นปัจจุบันกาลอยู่เสมอ ภายในใจของผู้ตั้งไว้ด้วยดีแล้วในคลองแห่งธรรม
และเป็นผู้สามารถจะรับรู้ในสัจธรรมทั้งหลายซึ่งเป็นของมีอยู่ในตัว
เมื่อกำลังปัญญาสามารถแล้ว ย่อมรอบรู้ทั้งภายนอกและภายใน ตลอดดวงจิตไม่มีอันใดเหลือ
คำว่ารอบรู้ภายนอกนั้น หมายถึง รูป เสียง กลิ่น รส เครื่องสัมผัสและปล่อยวางได้
การพิจารณาภายใน คือ ย้อนจิตเข้ามาสู่ภายในกาย จนสามารถรู้เท่ากายทุกส่วน
เพราะอำนาจการพิจารณา จนถอนจากอุปาทานความถือกายเสียได้
ส่วนเวทนาจะเป็นสุขก็ดี ทุกข์ก็ดี เฉยๆ ก็ดี สัญญาความจำได้หมายรู้ก็ดี
สังขาร ความปรุง จะปรุงดี ปรุงชั่ว ปรุงกลางๆ ปรุงอดีต อนาคต
ก็ทราบชัดว่าเป็นเพียงสภาวะอันหนึ่งๆ
วิญญาณ ความรับรู้ก็เป็นเพียงสภาวะอันหนึ่ง
รวมแล้วเรียกว่ากองอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาทั้งนั้น
ปัญญารู้รอบแล้วปล่อยวางเข้าไปเป็นลำดับ
ทีนี้ยังเหลือจิตซึ่งเป็นตัวเหตุอันสำคัญ
และเป็นผู้ให้นามว่า รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณก็ดี
และเป็นผู้หลงในรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณก็ดี
มายึดในรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณก็ดี
ปัญญาขุดค้นตามเข้าไปเป็นระยะ ๆ จนถึงรากฐานแห่งวัฏจักร
คือ ความรู้อวิชชาผู้เป็นจอมแห่งไตรภพอันเป็นเรื่องบรรจุแห่งเรื่องทั้งปวง
ชื่อว่าเรื่องทั้งหมดรวมอยู่ที่นี้ เพราะเหตุนั้นท่านจึงให้นามว่าปมแห่งวัฏจักร



จงพิจารณาจนเห็นว่านี้ก็คือไตรลักษณ์ และเป็นเครื่องมือของไตรจักร เช่นเดียวกับสภาวธรรมอื่นๆ
เมื่อรู้เห็นชัดแล้วความถือมั่นยึดมั่นในความรู้ที่เจือด้วยยาพิษจะหมดไป
เพราะเห็นเป็นอสรพิษอย่างแน่ใจ ต้องสลัดปัดทิ้งทันที
ความรู้ซึ่งเป็นตัวอวิชชาก็ขาดกระเด็นออกจากใจ
เรื่องทั้งหลายที่เต็มอยู่กับความรู้ที่เต็มไปด้วยเรื่องก็ขาดไปพร้อมๆ กัน
เรื่องที่เป็นกิเลสทั้งมวลไม่มีทางเกิดขึ้นจึงยุติลง
ความสัมผัสจากการเห็น การได้ยิน การสูดกลิ่น ลิ้มรสทั้งปวงจึงเป็นเพียงสักว่ากิริยา
ไม่มีเรื่องจะให้เกิดความซึมซาบและยึดมั่นถือมั่น ซึ่งเป็นตัวอุปาทานอีกต่อไป
เพราะความรู้ที่เป็นไปด้วยเรื่องซึ่งเป็นผู้บงการได้หมดสิ้นไปแล้ว เรื่องทั้งหลายจึงไม่มี



พระพุทธเจ้าก็ดี สาวกทั้งหลายก็ดี
ได้ทำลายความรู้ที่เต็มไปด้วยเรื่องนี้ขาดสิ้นไปจากจิตใจแล้ว
แม้ท่านจะทรงขันธ์อยู่ ขันธ์ก็สักว่าขันธ์
คือรูปก็สักว่ารูป เสียง กลิ่น รส เครื่องสัมผัสทั้งหลายก็สักว่าเท่านั้น
รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
ซึ่งเป็นของมีอยู่ประจำขันธ์ ๕ ก็สักแต่ว่าอาการนั้น ๆ เท่านั้น
ไม่มีเรื่องเกี่ยวข้องกับจิตอันจะให้เกิดความกังวล เพราะจิตกลายเป็นจิตที่พ้นจากเรื่องแล้ว คือเป็นจิตที่ไม่มีสมมุติแล้ว ก็จิตที่เป็นสมมุติหมายถึงจิตที่เต็มไปด้วยเรื่องดังกล่าว คือมีอวิชชาเป็นหัวหน้า ความรู้ที่อยู่ใต้อำนาจอวิชชาจัดว่าความรู้ที่เต็มไปด้วยเรื่อง ฉะนั้นเรื่องจะโกรธก็ดี เรื่องจะโลภก็ดี เรื่องจะหลงก็ดี จึงขึ้นอยู่กับความรู้อันนี้ทั้งนั้น เมื่อความรู้อันนี้ได้ดับลงไป เรื่องจะโลภ เรื่องจะหลงจึงไม่มีอีกต่อไป เพราะรากเหง้ามันดับแล้วกิ่งก้านสาขาจะทนอยู่ได้อย่างไร จำต้องดับตามกันไปหมด



ปัญญาที่พิจารณาเป็นไปตามลำดับจนรู้แจ้งเห็นจริงแล้ว คำว่าจิตก็หมดสมมุติไป
จะให้ชื่อให้นามก็สักแต่ว่า ไม่ได้มีความผูกพันมั่นหมายในความรู้ประเภทนั้น
ท่านจึงเป็นผู้หมดเรื่องทางภายใน อยู่ด้วยความไม่มีปัจจัยสืบต่อระหว่างจิตกับอารมณ์
เป็นบรมสุขในอิริยาบถทั้งสี่ คือ ยืน เดิน นั่ง นอนไม่มีเรื่องทั้งนั้น
หลับหรือตื่นก็เป็นสุข เพราะไม่มีสิ่งรบกวนใจ เป็นอยู่ด้วยความหมดเรื่อง
ขันธ์ ๕ จึงกลายเป็นเครื่องมือสำหรับใช้เป็นประโยชน์ของนักปราชญ์โดยสมบูรณ์ก่อน


แต่ยังไม่รู้เท่าทันขันธ์ทั้ง ๕ ต้องเป็นเครื่องมือของมหาโจรผู้ลือนามซึ่งเป็นหัวหน้าบังคับขันธ์ทั้ง ๕
คือกาย จำต้องทำไปด้วยอำนาจของกิเลสตัณหา
เวทนาที่ปรากฏขึ้นมาก็ปรากฏขึ้นมาด้วยอำนาจกิเลสตัณหา
สัญญาจำขึ้นมาก็จำเพราะอำนาจของกิเลสตัณหา
สังขารก็ปรุงเรื่องกิเลสตัณหาทั้งมวล วิญญาณก็รับรู้เพื่อกิเลสตัณหาอาสวะไปเสียทั้งนั้น
เพราะเจ้าอวิชชาเป็นตัวมหาโจร คือเจ้าเรือน เจ้ากิเลสตัณหา
รากเหง้าแห่งกิเลสตัณหาทั้งมวลอยู่ที่นั้นทั้งหมด
พออวิชชาดับไปเท่านั้น ขันธ์ทั้ง ๕ จึงกลายเป็นเครื่องมือของอวิชชาวิมุตติไป
วิชชาวิมุตติได้ผุดขึ้นมาอย่างเต็มที่แล้ว
ขันธ์กลายเป็นบริษัทบริวาร คือเครื่องมือวิชชาวิมุตตินั้นไปเสีย
กิริยาของกายที่จะเคลื่อนไหวก็จะเป็นไปโดยธรรม
เวทนาคือความสุข ความทุกข์ เฉย ๆ ซึ่งเกิดขึ้นทางกายก็เป็นไปโดยธรรม
สัญญา จำได้หมายรู้ก็จำไปโดยธรรม สังขารก็ปรุงโดยธรรม วิญญาณก็รับรู้โดยธรรมทั้งนั้น
ไม่ได้เป็นตามกิเลสตัณหาอาสวะที่เคยเป็นมา



องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคท่านทรงทำปริวรรต ท่านทำอย่างนี้
ท่องเที่ยวในวัฏสงสาร พระพุทธเจ้าก็ท่องเที่ยวมานานไม่มีจบสิ้น
เที่ยวที่ไหนก็เกิดตายที่นั่น ทุกข์ที่นั่น
เมื่อได้ปริวรรต กลับเข้ามาท่องเที่ยวในสกลกายและใจ
คือ จุดที่รวมแห่งอริยธรรม โดยหลักธรรมชาตินี้แล้ว
จึงได้ยกธงชัยว่า
พุทโธอย่างเต็มดวง
ผู้ข้ามห่วงแห่งความหลงแล้วก็นำมาประกาศให้เราทั้งหลายได้ถือเป็นสรณะ
คือ พุทฺธํ ธมฺมํ สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ อยู่จนบัดนี้
ธรรมทั้งนี้เกิดขึ้นมาจากการปริวรรตเข้ามาสู่ภายใน
เรียกว่า โอปนยิโก น้อมเข้ามาสู่ภายใน พิจารณาให้เห็นชัดแจ่มแจ้ง



การข้ามโลกสงสารไม่ข้ามที่ไหน โลกก็คือดวงใจที่เป็นอวิชชานี้ทั้งดวง
สังสาระความท่องเที่ยวก็หมายถึงจิตดวงนี้ วัฏจักร ตัวหมุนก็คือความรู้ที่เต็มไปด้วยเรื่องนี้เอง
เป็นเหตุให้วกเวียนไปมา กรรมทั้งหลายจึงสืบต่อกันไปโดยลำดับ
เพราะธรรมชาติซึ่งเป็นตัวจักรใหญ่พาหมุนอยู่ตลอดเวลา
เมื่อตัวจักรใหญ่ได้ทำลายลงแล้ว ตัวจักรเล็กก็พลอยถูกทำลายไปตามๆ กัน
ผลสุดท้ายไม่มีอะไรเหลืออยู่ เช่นเดียวกับต้นไม้ที่ถูกถอนขึ้นหมดทั้งราก
แม้กิ่งก้านสาขาจะมีมากมายก็จะต้องตายฉิบหายไปตาม ๆ กันหมด
เรื่องอวิชชาดับไปก็เช่นเดียวกัน กิเลสตัณหาประเภทใด ๆ ดับไปหมด ไม่มีอะไรเหลือ



วันนี้แสดงธรรมเทศนาให้ท่านผู้ฟังทั้งหลายทราบในลักษณะแห่งธรรมป่า
หากไม่ถูกจริตจิตใจในหลักธรรมบางประการ
ผู้แสดงยังหวังได้รับอภัยจากบรรดาท่านผู้ฟังทั้งหลายด้วยจิตเมตตา
ถ้าธรรมที่แสดงนี้พอจะเป็นประโยชน์ได้บ้าง
ก็ขอได้โปรดนำไปไตร่ตรองและปฏิบัติตามในโอกาสอันควร
ความสุขความเจริญที่โลกปรารถนามานาน
จะเป็นเครื่องสนองตอบแทนท่านนักปฏิบัติทั้งหลาย ผู้อุตส่าห์พยายามเป็นลำดับ
นับแต่ขั้นแรกจนถึงขั้นสูงสุด คือวิมุตตินิพพานฯ ในอนาคตอันใกล้นี้
ดังนั้นการแสดงธรรมก็เห็นว่าสมควรแก่เวลา จึงขอยุติการแสดงเท่านี้ เอวํ



- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -- - - - - - - - - - - - - - - -


ที่มา http://bit.ly/1T2Qjd2


แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP