ดังตฤณวิสัชนา Dungtrin's Answer

การแผ่เมตตาให้คนที่ทำให้เราเป็นทุกข์ จะช่วยบรรเทากรรมที่มีต่อกันได้หรือไม่



ถาม – ถ้าเราแผ่เมตตาและอุทิศส่วนกุศลให้กับคนที่ยังมีชีวิตอยู่ โดยที่เขาไม่ได้รับทราบด้วย แบบนี้เขาจะได้รับบุญกุศลไหมคะ และการทำเช่นนี้จะช่วยบรรเทากรรมที่มีต่อกันได้หรือไม่คะ



ตอบแยกเป็นข้อๆ นะ ตรงที่ว่าถ้าเขายังมีชีวิตอยู่
เขาจะได้รับไหม หากว่าไม่ทราบว่าเราแผ่เมตตาให้
ก็คงไม่ได้หรอกครับ แต่ว่าเขาจะได้กระแสบวก กระแสที่เป็นกระแสด้านดีจากเรา
เพราะว่าจิตนี่นะ มันไม่สามารถที่จะรู้ความหมายของเจตนาจากกันและกันได้
แต่สามารถสัมผัสถึงความรู้สึกด้านดีหรือว่าด้านร้ายที่ออกมาจากกันได้
ยกตัวอย่างง่ายๆ เลยนะ สมมติว่าตอนเช้าก่อนไปทำงาน
เรานึกแผ่เมตตาอุทิศส่วนกุศลให้กับคนที่ทำงาน
ซึ่งกำลังมีเรื่องมีราวหรือว่าเกลียดชังหรือว่าพยาบาทกันมาเนิ่นนาน
ตอนสวดมนต์เราสวดอยู่คนเดียว เขาไม่ได้รับรู้ด้วย
แล้วก็ช่วงแรกๆ ก่อนสวดมนต์ เราก็อาจจะยังนึกโกรธนึกเกลียด
หรือว่านึกกินแหนงแคลงใจอะไรกันอยู่
แต่พอสวดมนต์ไปแล้วรู้สึกมีความสุข ความสุขนั้นน่ะจะทำให้เรามีแก่ใจที่จะอภัย
แล้วก็เผื่อแผ่ความสุขไปถึงทุกคน รวมทั้งคนที่เราเกลียด



เพราะอะไรถึงมีเหตุผลมากพอที่เราจะแผ่เมตตาให้คนที่เราเกลียด
เพราะว่าเราสามารถสำรวจเข้ามาในจิตใจของเรา
แล้วรู้สึกว่าเขาเป็นจุดดำจุดด่างกลางใจของเรา
ใจของเราเองที่มันไม่ดี ใจของเราเองที่มันไม่สะอาด ใจของเราเองที่มีจุดบอด
พอเห็นอย่างนั้นก็เกิดความรู้สึกว่าอยากจะกำจัดจุดบอดทิ้ง
อยากจะทำให้จุดมืดกลายเป็นจุดสว่าง
อยากทำให้ความสว่างที่ยังกระพร่องกระแพร่ง มีความแหว่งวิ่น
ได้เกิดความเจิดจ้า แล้วก็เต็มดวงขึ้นมา
นี่เป็นเหตุผลที่ทำไมคนเราถึงมีแก่ใจที่จะให้อภัยเป็นทาน
แล้วก็แผ่เมตตาหรือกระทั่งอุทิศส่วนกุศลให้แก่กันและกันได้


ถ้าหากว่าเราแผ่เมตตาอยู่คนเดียว อุทิศส่วนกุศลให้เขาอยู่คนเดียวก็จริงนะ
แล้วความสว่าง ความรู้สึกดี มันเกิดขึ้นกับเราเต็มที่
ผลคือพอเจอหน้ากันนะ จุดดำที่เคยมีต่อกันเนี่ย
นึกออกไหมเวลาคนเราเกลียดกันเนี่ยนะ ต่างฝ่ายต่างจะรู้สึกถึงจุดดำที่มีต่อกัน
มันเหมือนขั้วแห่งความมืด ที่ขั้วเราก็มี ขั้วเขาก็มี
พอเราแผ่เมตตาให้แล้วจุดดำนั้นหายไปจากใจจริงๆ อย่างน้อยชั่วขณะหนึ่ง
อย่างน้อยชั่วขณะเช้านั้นน่ะที่เพิ่งแผ่เมตตาให้เขา อุทิศส่วนกุศลให้เขา
เจอหน้ากันเขาก็จะรู้สึกว่าจุดดำที่มันยังอยู่ในเขาน่ะมีอยู่
แต่จุดดำที่อยู่ในเราเนี่ยมันเหมือนหายไป เขาจะรู้สึกแปลกใจ



มนุษย์เราไม่มีความสามารถที่จะแปลได้ออกนะ
ว่านั่นเป็นเพราะว่าเมื่อเช้าก่อนมาที่ทำงาน เราได้สวดมนต์แล้วก็แผ่เมตตาให้เขา
มันไม่สามารถทราบมาได้ถึงขนาดนั้น
แต่ว่าสามารถรู้สึกได้ว่ากระแสที่ออกมาจากเรา ที่ควรจะมืดเหมือนกับเขา มันต่างไป
มันเหลือแต่ขั้วของเขา ขั้วของเรามันสว่างขึ้นมา
แบบนี้พอรู้สึกไปวันหนึ่งเนี่ย อาจจะแค่แปลกใจวันเดียว
แต่ถ้ารู้สึกอย่างนี้ทุกวัน ในที่สุดจุดดำที่อยู่ในขั้วเขามันจะค่อยๆ หรี่ลงๆ
และถ้าไม่มีเรื่องไม่มีราวไม่มีเหตุการณ์แย่ๆ ระหว่างกันมาซ้ำเติมเข้าไปอีก
ในที่สุดจุดดำตรงนั้นมันจะหายไปจริงๆ



นี่คือเรียกว่าสิ่งที่เราจะได้จากการแผ่เมตตา
หรือกระทั่งคิดอุทิศส่วนกุศลให้เขา มันได้กันตรงนี้
การอุทิศส่วนกุศลมันก็คือการแผ่เมตตาอย่างหนึ่ง
เพียงแต่ว่าเจตนาอยากจะอุทิศส่วนบุญที่เราได้ทำ ให้เขาได้รับบ้าง
แต่ที่เขาจะได้รับจริงๆ มันเป็นไปไม่ได้หรอก
นอกเสียจากว่าเราจะพูดถึงการทำบุญของเราให้เขาฟัง
แล้วเขาเกิดความยินดีราวกับว่าอยากจะทำร่วมกับเราไปเดี๋ยวนั้นเลย
ถ้ามีโอกาสเขาอยากจะทำอย่างนั้นบ้าง
นี่เรียกว่าได้ส่วนบุญ คือมันเข้าไปอยู่ในเจตนาของเขา
เราสามารถที่จะเอาบุญของเรา
ผลักเข้าไปอยู่ในมโนภาพของเขา ผลักเข้าไปอยู่ในจิตวิญญาณของเขา
แล้วก็เกิดเป็นภาพความต้องการที่จะทำบุญ หรือว่าทำดีอะไรแบบที่เราทำมาเช่นกันนะครับ



สรุปก็คือ ตอบโจทย์น่ะนะว่าเขาจะได้รับหรือแปล่า
ไม่ได้รับหรอก แต่ที่จะบรรเทากรรม มันมีส่วน
แต่หมายความว่าเราจะต้องไปเจอหน้าเจอตาเขาด้วยนะ
ไม่ใช่ว่าอยู่เฉยๆ อยู่คนละซีกโลก เราอุทิศส่วนกุศลให้เขา
แล้วเขาจะได้รับส่วนบุญส่วนกุศลของเรา ไม่ใช่นะ
เรื่องของจิตสิ่งที่จะได้กันจริงๆ เป็นเรื่องของกระแสความรู้สึกที่กระทบกัน
ประเภทที่ว่าอยู่คนละซีกโลกแล้วเราไปถวายสังฆทานมา
แล้วเขาจะได้รับผลที่เราไปถวายสังฆทานมาด้วยกับเราเนี่ย มันเป็นไปไม่ได้เลยนะครับ



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP