วรรณกรรมนำใจ Lite Literature

ม่านมนตรา ๔


Literature

โดย ชลนิล

(ต่อจากฉบับที่แล้ว)

มรรคาแว่วเสียงวู่หวิวของสายลมที่เสียดผ่านกอหญ้าและโตรกผา แสงสีวูบวาบผ่านเข้าคลองจักษุ แล้วพลันสายลมกลับกระหึ่มก้อง กระหน่ำหนักเสมือนเสียงกระทืบเท้าของอสูรร้าย

แสงสีแดงจ้าแวบวาบเป็นระยะเหมือนจังหวะไฟกะพริบ ท่ามกลางเสียงอันเลื่อนลั่นของสายลมมีเสียงร่ำร้องปริเวทนาจากชายหญิงนับร้อยนับหมื่นเข้ามาประสาน

นี่มันที่ไหนกัน...อะไรกำลังเกิดขึ้น...?

มรรคาถามตนเองซ้ำซาก

เปรี้ยง...เปรี้ยง...เปรี้ยง

แสงสีเงินยวงแวบผ่านในชั่วเสี้ยววินาที ก่อนเสียงดังเลื่อนลั่นตามมา กองไฟสีส้มแดงลุกโชติช่วงขึ้นท่ามกลางความว่างเปล่าของบรรยากาศ

ชายหนุ่มไม่อาจกำหนดสถานที่ที่ยืนอยู่ได้ ไม่สามารถบอกว่ากำลังเกิดเหตุการณ์ใดขึ้น ภายใต้ความสับสนของแสงสีและเสียงเหล่านี้ เขารู้สึกคล้ายตนเองจะเคยสัมผัสมันมาก่อน แต่นึกอย่างไรก็ตอบไม่ถูก...มันมีอะไรในนั้น...

ไม่สำเร็จ เสียงแหบห้าวของผู้ชายดังชัดเจน

ถ้าเช่นนั้น ขอโอกาสให้ข้าน้อย เสียงหวานปนเศร้าของสตรีกล่าว

อย่างเอ็งรึจะมีหน้าไปรื้อฟื้นสัญญาของมันได้

ข้าน้อยขอโอกาสสักครั้ง จะเริ่ม ทวนสัญญา ตั้งแต่ต้น อาจได้ผลมากกว่ารื้อฟื้นวันที่เขาให้ สัจจะ’ ”

ถ้าเอ็งทำไม่สำเร็จล่ะ

ข้ายอมให้ จ้าว ลงโทษ

ได้ ข้าจะกลับไปหาจ้าว บอกอย่างที่เอ็งบอก หากข้ากลับมาอีกครั้ง แล้วความทรงจำของมันยังไม่คืนมาสักกระผีก ข้าจะบอกจ้าว ให้ลงโทษเอ็งอย่างหนัก

ข้าน้อยยอมรับ เสียงหวานใส เศร้าสร้อย ดั่งคนรู้ชะตาของตนดี

มรรคาพยายามสะบัดตัวดิ้นรนแต่ร่างกายแข็งทื่อราวถูกหล่อหลอมด้วยหิน คำพูดแปลกๆ ผ่านเข้าหู และหายลับเช่นเดียวกับสายลม ความมืดที่ยิ่งกว่ามืดคลี่คลายดังตาข่ายหนา กดดัน ทับประสาททั้งมวล จนไม่เป็นตัวของตัวเอง

เนิ่นนานกว่าความอึดอัดคลายตัว สายลมอุ่นๆ พัดผ่านผิวแก้ม สัมผัสอันนุ่มละไม อ่อนโยน เจือความอ่อนหวานลึกซึ้ง

ท่าน... น้ำเสียงหวานกระซิบริมหู สายลมดูจะเข้มข้นจนเหมือนมีมือคู่หนึ่งกำลังลูบไล้แก้มเขา

ท่านเจ้าขา จำข้าน้อยได้หรือไม่ เสียงเดิมเข้าบิดร้าวใจ

ใคร เสียงในใจถามคืน

ท่านคงยังจำไม่ได้ คำพูดปนทอดถอนใจ เอาเถอะ ข้าน้อยจะชักนำท่านให้ดิ่งสู่ความทรงจำอันเนิ่นนาน ความทรงจำที่ถูกปกปิดด้วยภพชาติ

จิตใจมรรคาอบอุ่นขึ้น ความสงบค่อยรวมตัวทีละน้อย จนลึกเข้าเป็นจุดเล็กที่ยิ่งกว่าเล็ก แสงสว่างเท่ารูเข็มปรากฏอยู่ลิบลับ จิตพุ่งตรงเข้าไปอย่างรวดเร็ว

...สว่าง...แสงสว่างที่นี่ไม่ต่างจากมีดวงอาทิตย์นับร้อยดวงมารวมกัน แต่ไม่มีความร้อนรุ่มใดๆ นอกจากลมเย็นๆ อันสงบราบเรียบ ชั่วครู่จุดสีเขียวๆ สลับกับน้ำตาลแก่ก็กระจัดกระจายแตะแต้มเต็มไปหมด

มรรคากำลังยืนอยู่กลางป่า แมกไม้รกทึบ มีทางเล็กๆ พออาศัยเดิน เสียงนกร้องจิบๆ กับแสงแดดที่ไต่พ้นยอดไม้เข้าขับไล่กระไอน้ำค้างไปเสียสิ้น

มือของเขาประคองถาดเล็กๆ ใบหนึ่ง ในถาดมีโถบรรจุข้าวหอมกรุ่นกลิ่นแปลกจากข้าวทั่วไป

ไม่ไกลนัก มองเห็นจีวรสีกลักเก่าคร่ำคร่าครองในร่างพระภิกษุที่แบกกลดสะพายบาตรเดินมาอย่างอ่อนล้า ใจเขาบอกทันทีว่า ท่านคงอดข้าวมานานทีเดียว ป่าแห่งนี้หาหมู่บ้านยากเย็นนัก...

...เขามารอท่านโดยเฉพาะ...

ใกล้เข้ามาเขาจึงสังเกตพระภิกษุองค์นี้ชัดเจน ท่านยังหนุ่มร่างผอมเกร็งแข็งแรง แม้อ่อนระโหย แต่ใบหน้าฉายแววมุ่งมั่น นัยน์ตาเด็ดเดี่ยว

...นี่แหละนักสู้แท้ นี่แหละศิษย์แห่งตถาคต...

นิมนต์พระคุณเจ้าด้วยขอรับ น้ำเสียงเขาใสกังวานแปลกกว่าเคย

พระคุณเจ้า เหลือบมอง นัยน์ตาฉายแววประหลาดใจ ก่อนจะสงบราบเรียบเดินเข้ามารับบาตรด้วยกิริยาสำรวม

เขาตักข้าวใส่บาตรเพียงสามทัพพี ข้าวก็หมดพอดีไม่เหลือสักเม็ด ดูไม่น่าอิ่ม หากใจเขากลับ รู้ เท่านี้เพียงพอแล้ว

ฝาบาตรปิด เขาคุกเข่าประนมมือ เสียงให้พรเบา แต่ชัดเจนทุกคำ ทุกอักขระ วินาทีนั้นใจเขาเกิดปีติล้น หัวใจพองฟู ซาบซ่าน ดั่งดื่มน้ำอมฤต จนกระทั่งเสียงให้พรจบลง เขาก้มกราบ พอเงยหน้าได้ยินเสียงท่านพูดเบาๆ

ห่างจากที่นี่ออกไป มีที่ที่จะทำทานต่อได้อีกนะ ถ้ามีศรัทธาอยากทำละก็

เขายิ้ม ผู้ทรงศีลเดินต่อไปท่ามกลางป่าเขาอันรกชัฏจนลับสายตา เขาจึงกำหนดใจ วูบเดียวเท่านั้นก็มายืนหน้าปากถ้ำแคบๆ แห่งหนึ่ง รอบถ้ำมีแต่ความแห้งแล้งกันดาร หลงเหลือต้นไม้เขียวๆ เพียงไม่กี่ต้น นอกนั้นพบแต่ไม้แห้ง ไม้ตายซาก โขดหินระเกะระกะกระจัดกระจายไปทั่ว

แสงแดดส่องลอดปากถ้ำมาจับยังร่างหญิงสาวที่นอนขดตัวอยู่ระหว่างซอกหิน ใบหน้าหล่อนเปรอะเปื้อนด้วยเศษดิน ยมยาวเคลียไหล่กระเซอะกระเซิง เสียงหอบหายใจเหนื่อยหนัก ข้อเท้าบวมอักเสบ เขาคุกเข่าเข้าไปดูอาการ

อีนาง เขาเรียก เจ้าเป็นคนบ้านใด ทำไมถึงมานอนอยู่ที่นี่

นัยน์ตาคู่สวยลืมขึ้นและเบิกโพลงอย่างตกใจ รีบกระถดตัวเข้าซุกซอกหินลึกยิ่งขึ้น

อย่า...อย่า...ข้าน้อยกลัวแล้ว

เขามองทีท่าหล่อนด้วยความสมเพช

หิวมั้ย... เขาถาม...พระคุณเจ้าบอกให้เขามาทำทาน

เขายื่นทับทิมลูกขนาดกำปั้นเด็กให้ หล่อนมีท่าทางลังเล นัยน์ตามีแววคลางแคลงใจ เขาจึงบิผลทับทิมออกเผยเม็ดใส กลิ่นหอม ผู้รอคอยความตายค่อยกล้าเอื้อมมือรับอย่างลนลาน

จนกระทั่งทับทิมหมดลูก เขาจึงลุกขึ้น ถอยหลังออกมา เตรียมตัวกลับ การทำบุญและทำทานเสร็จแล้ว...แต่นัยน์ตาหญิงสาวที่จ้องมายังเขาคล้ายมีแรงดึงดูดบางอย่างรั้งขาเขาไว้ แววตาที่สำนึกบุญคุณเปี่ยมล้น กระแสอันอ่อนหวานเศร้าสร้อยร้อยรัดเขาไว้จนยากจะหลุด

เขาชะงักเท้า จ้องตอบหล่อน...นัยน์ตาคู่สวยดูเหมือนจะตอกตรึงเข้าไปในความทรงจำ

ทุกสรรพสิ่งเริ่มหลอมละลายลง เหตุการณ์ต่างๆ ค่อยๆ ดำมืด มรรคาเคว้งคว้าง มึนงง สับสน อันใดคือความจริง สิ่งใดเป็นภาพฝัน เขาไม่อาจแยกแยะได้...

มรรคาลืมตาขึ้นจึงรู้ว่า ขณะนี้สายมากแล้ว เสียงโทรศัพท์ส่วนตัวที่หัวเตียงดังพร้อมๆ กับการตื่นของเขา

มรรคาพูด เขากรอกเสียง รู้สึกมึนๆ หัวพิกล

ผมประสิทธิ์นะครับ...คุณมัคไม่สบายหรือเปล่าครับ

ฮื่อ เขาตอบพลางดูนาฬิกา สายป่านนี้ ถ้าเขายังไม่ไปทำงานก็สมควรให้ลูกน้องคิดว่าไม่สบายอยู่หรอก

เป็นอะไรมากมั้ยครับ

นิดหน่อย บ่ายๆ คงเข้าออฟฟิศได้ ตอนนี้มีปัญหาอะไรหรือเปล่า

ไม่มากหรอกครับ ตอนบ่ายก็ได้ แต่เห็นคุณลักษณาแกว่าคุณมัคมีนัดให้สัมภาษณ์ตอนห้าโมงเช้านะครับ

มรรคาบีบขมับทบทวนความจำ

จริงสิ ผมนัดแก้วกับพวกเพื่อนๆ เขาไว้ เอาอย่างนี้คุณช่วยบอกลักษณาเขาด้วยนะว่าผมจะไปถึงที่นั่นอย่างช้าที่สุดห้าโมงครึ่ง ถ้าน้องผมกับพวกเพื่อนๆ มาก่อน ก็ให้รอหน่อยแล้วกัน

ครับ

มีอะไรอีกมั้ย เขาถาม

นิดหน่อย พอจะรอตอนบ่ายได้ครับ

โอเค พูดจบเขาวางหู

ชายหนุ่มลุกขึ้นยืนสูดลมหายใจลึกๆ อาการมึนหัวคลายลง ขณะมองกระจกแทนที่จะเห็นเงาสะท้อนของตน มรรคากลับพบนัยน์ตาสวยปนเศร้าคู่นั้น...เขาสะบัดหัวแรงๆ ไล่ภาพเหล่านั้นออกไปกระจกสะท้อนเงาดังปกติ ฝันก็คือฝัน... แม้ฝันครั้งนี้จะกระจ่างชัดเหมือนจริงก็ตาม

มรรคาลงมาข้างล่างทันเห็นป้าแฉล้มวางหูโทรศัพท์ ท่าทางติดกังวลเล็กน้อย พอเห็นเขาก็ยิ้มต้อนรับ

วันนี้ตื่นสายจัง ไม่ไปทำงานหรือคะคุณ แม่บ้านใหญ่ทักทาย

ไปสิ แต่คงสายหน่อย

ป้าเตรียมโจ๊กไว้แล้ว คุณจะรับเลยมั้ยคะ ป้าแฉล้มรู้หน้าที่

ยกมาเลยป้า

ครู่เดียวป้าแฉล้มนำโจ๊กควันกรุ่นมาพร้อมกับกาแฟร้อนๆ มรรคามองอาหารบนโต๊ะแล้วส่งสายตานุ่มนวลแทนการขอบคุณ

โจ๊กกับกาแฟ มันจะเข้ากันหรือป้า เขาถามอย่างแปลกใจ

โจ๊กน่ะของป้า กาแฟของคุณแก้วค่ะ เธอว่าต้องให้พี่ชายดื่มให้ได้

มรรคายกกาแฟดื่มโดยไม่อิดเอื้อน คุณแม่บ้านยิ้มพราย ชายหนุ่มไม่เรื่องมากเช่นนี้เอง ทั้งยังตามใจน้องสาวเกือบทุกเรื่อง

ตะกี้คุณสุณีโทร.มาค่ะ คุณแม่บ้านรายงานระหว่างอาหารเช้า

มรรคาพยักหน้ารับทราบ คุณสุณีเป็นน้องสาวพ่อเขา แต่ชายหนุ่มไม่คิดนับญาติกับหล่อน สมัยพ่อแม่เขาตายใหม่ๆ คุณอาคนนี้เคยคิดฮุบสมบัติหลาน โชคดีที่ยังมีคุณลุงเป็นหลัก จึงรอดพ้นมาได้...ต่อมาเหมือนกรรมตามทัน บริษัทของคุณสุณีขาดสภาพคล่องทางการเงิน สุดกำลังที่ลุงเขาจะช่วยได้จึงต้องยอมขายกิจการ สามีคุณสุณีก็ขอหย่าเพื่อไปอยู่กับภรรยาอีกคน คุณสุณีกลัวสามีมาแต่ไหนแต่ไร จึงต้องยอมรับทั้งน้ำตา

หลังจากเจอเรื่องร้ายๆ มาขนาดนี้ ทำให้หล่อนลดความเห็นแก่ตัวลง และเพราะไม่มีลูก คุณสุณีจึงพยายามทุ่มเทเอาใจใส่กับมรรคา หลานชายคนเดียว แต่ชายหนุ่มเป็นคนฝังใจเจ็บ จึงไม่ยอมรับคุณอาคนนี้จนแล้วจนรอด

ไม่ถามหรือคะว่าคุณสุณีมีธุระอะไร ป้าแฉล้มสงสัยอาการนิ่งของเขา

เดี๋ยวป้าก็บอกเองไม่ใช่หรือ มรรคาเหลือบตามอง มีแววขันซ่อนอยู่ลึกๆ

ค่า...คุณนี่จริงๆ ไม่รู้ว่าจะชังหน้าคุณสุณีไปถึงไหน น่าสงสารแกออก

มรรคานิ่ง

คืออย่างนี้ ป้าแฉล้มทนไม่ไหวต้องเล่าออกมาเอง คุณสุณีแกมาชวนป้าไปช่วยทำอาหารวันเกิดคุณท่านค่ะ

ชายหนุ่มยังกินโจ๊กด้วยท่าทางเฉยๆ ผู้แก่วัยมองอย่างเข่นเขี้ยว รู้ละว่าฟังอยู่ทุกคำ แต่ท่าทางไม่รู้ร้อนหนาวอย่างนี้มันน่าหยิกนัก

ที่จริงคนของคุณท่านก็มีเยอะ แต่ปีนี้ครบรอบ ๖๐ ปี ท่านว่าจะจัดแซยิดให้เป็นงานใหญ่ คนทำอาหารฝีมือดีๆ เลยถูกเกณฑ์ไปหมด

เมื่อเห็นชายหนุ่มยังเฉย ป้าแฉล้มจึงถามต่อ

คุณจะให้ป้าไปมั้ยคะ

เขาเงยหน้าจากชามโจ๊ก

ไปสิ คำตอบสั้นเสียจนไม่แน่ใจ แต่คนฟังก็คุ้นเสียแล้ว

แล้วป้าไม่สบายใจเรื่องอะไร เห็นตอนวางหูหน้าตายุ่งๆ เรื่องเล็กน้อยเช่นนี้ มรรคาสังเกตเห็นเสมอเพียงแต่จะพูดหรือไม่

คือ... ป้าแฉล้มลังเล ป้าเผลอไปเล่าเรื่องในบ้านให้คุณสุณีเขาฟัง

ชายหนุ่มไม่ซักต่อ แต่ท่ามองของเขา คุณแม่บ้านก็ยากจะปิดบังสิ่งใด

ป้ากับเจ้าชัยเจอผี หลุดประโยคนี้มาได้เจ้าตัวแทบถอนใจ แต่คิ้วเข้มของอีกฝ่ายเริ่มขมวด นัยน์ตาคมดุฉายแววบางอย่างทำให้คนสูงวัยกว่าต้องสะบัดร้อนสะบัดหนาว

จริงๆ นะคะคุณ วันก่อนเจ้าชัยมันเจอที่หน้าประตูบ้านเป็นผีผู้หญิง เมื่อวานป้าก็เจอที่ห้องคุณ เป็นผีผู้ชาย

ทำไมไม่บอกฉันตั้งแต่เมื่อวาน ป้าแฉล้มหลบตา

ก็กลัวคุณไม่เชื่อ

แล้วทำไมถึงบอกกับคนอื่น คนอื่นที่ว่าคืออาเขานั่นแหละ

แหมมันเผลอไปนี่คะ เรื่องอย่างนี้ใครจะเก็บไว้ได้

แก้วรู้มั้ย คนนี้ต่างหากที่เขาห่วง

ยังหรอกค่ะ ป้ากลัวว่าแกจะเจอเหมือนกัน

ทำไมฉันไม่เจอ คำพูดเรียบสั้น

ป้าแฉล้มห่อตัว

ไม่รู้สิคะ แต่เมื่อคืนเจ้าชัยมันก็เห็นเงาดำวอบๆ แวบๆ ตามระเบียง ตามกันสาดเหมือนกัน

ฝันหรือเปล่า เขาไม่เชื่อ

โธ่คุณ ทีแรกป้าก็ไม่เชื่อ จนได้เจอผีผู้ชายเมื่อวานนี่แหละ

หน้าตามันเป็นยังไง

ใครจะจำได้คะ พอเห็นว่าเป็นผี ป้าก็เป็นลมไปจนเจ้าชัยมาเจอนั่นแหละ

มรรคาเงียบ คุณนายแฉล้มพยายามสังเกตกิริยาท่าทางของเขา แล้วทำใจกล้าพูดเบาๆ

คุณสุณีแกว่าจะหาคนมาช่วยไล่ผีให้ค่ะ

ชายหนุ่มตวัดสายตาคล้ายใบมีดคมกริบ

ไม่ต้องให้เขามายุ่งในบ้านนะป้า

โธ่คุณ... ป้าแฉล้มพยายามออดอีกครั้ง แต่มรรคารีบลุกขึ้น

ฉันจะไปทำงานแล้ว เขาตัดบทและจากไป

ป้าแฉล้มแอบถอนใจหลายเฮือก โดยไม่รู้เลยว่า คนที่หนักใจกว่าคือมรรคา เขาสะกิดใจตั้งแต่วันไปดูที่แล้ว รู้สึกเสมอว่ามี อะไร กำลังติดตามมา ไม่ว่าจะเป็นบนลานจอดรถ กลิ่นแปลกๆ ที่อบอวลในรถและอีกหลายๆ สิ่งที่ไม่สามารถอธิบายเป็นคำพูดได้...เขาคิดว่า มัน ยังไม่ไปไหนไกล แถมยังแสดงตัวให้คนรอบข้างเห็น...มรรคาตัดสินใจไม่ถูกว่าควรทำอย่างไรต่อไป

บ้านของพันเกลียวอยู่ในซอยลึก ผู้คนไม่จอแจ ในบ้านร่มครึ้มด้วยต้นไม้ ลูกค้าที่มาติดต่อมักเป็นกลุ่มเดิมที่คุ้นเคยอยู่แล้วกับพวกได้รับการบอกต่อๆ กันมา

หญิงสาวกำลังยืนรับแสงแดดอยู่หน้าบ้าน ร่างสูงเกินมาตรฐานหญิงไทยกับโครงหน้าสวย ทำให้หล่อนดูราวหุ่นสลักที่ประติมากรมีความภูมิใจยิ่ง

คุณคะ เสียงหญิงชราดังจากเบื้องหลัง

มีอะไรหรือยาย ผู้ถามมิได้หันกลับ

พิธีเมื่อคืนเป็นยังไงบ้างคะ เสียงพูดแฝงความอยากรู้ปนเกรงกลัว

นัยน์ตานิ่งลึกฉายแววประหลาดชั่วแวบ ก่อนจะราบเรียบคล้ายผิวน้ำใส

ใครเป็นคนตั้งชื่อให้ฉันนะยาย พันเกลียวเอ่ยถามแทนการตอบ

ผู้อยู่เบื้องหลังถอนใจ

คุณพ่อของคุณสิคะ

มันมีความหมายอะไร หญิงสาวพึมพำ ทำไมพ่อต้องสอนวิชาเหล่านี้ให้ฉัน...จะให้ฉันเป็นผู้หญิงธรรมดาไม่ได้หรือ

คุณไม่ชอบหรือคะ หญิงชราเอ่ยเบาๆ

พันเกลียวหลับตา ไม่พูดอะไรอีก แสงแดดส่องกระทบผิวดูจะให้ความหนาวเย็นจับกระดูกมากกว่าความอบอุ่น

หล่อนได้เห็นเขาแล้ว ชายปริศนาในอ่างน้ำมนต์ เขาเป็นผู้ชายธรรมดาคนหนึ่ง แต่สิ่งที่คอยติดตามเขามันไม่ธรรมดา

ดวงวิญญาณทรงฤทธิ์สองดวงกำลังครอบงำเขา หนึ่งเป็นชาย หนึ่งเป็นหญิง พันเกลียวไม่ได้สนใจวิญญาณผู้ชายนัก แต่กับวิญญาณสตรี พันเกลียวสัมผัสถึงกระแสบางอย่าง โยงใยหล่อนเข้าไว้กับวิญญาณดวงนี้ ใบหน้าวิญญาณสาวประทับในนิมิตพันเกลียวอย่างเด่นชัด...ผู้หญิงนัยน์ตาโตสวย แฝงความเศร้า หล่อนกำลังมองพันเกลียวอย่างคนคุ้นเคย

...เรารู้จักกัน...เหมือนคำนี้จะย้ำในใจพันเกลียว

ที่ไหน...เมื่อไหร่...พันเกลียวนึกถาม...คำตอบคือรอยยิ้มเศร้าๆ

เมื่อพันเกลียวถอนจิตออกมาจากความสงบ ภาพในอ่างน้ำมนต์หายไป แต่รอยทรงจำถึงผู้หญิงคนนั้นยังแจ่มชัด แวบหนึ่งหล่อนคิดถึงชื่อตน

...พันเกลียว...มันมีความหมายอะไร

พ่อ ต้องรู้แน่ ถึงตั้งชื่อนี้ไว้ให้ อีกทั้งยังสั่งสอนให้หล่อนฝึกหัดนั่งสมาธิ เจริญกสิณ และเล่นอิทธิวิธี...ถ้าพ่อยังอยู่...หล่อนคงได้คำตอบ...

(โปรดติดตามต่อฉบับหน้า)



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP