ดังตฤณวิสัชนา Dungtrin's Answer

ทำอย่างไรให้เลิกเป็นคนโกรธง่าย



ถาม – ดิฉันเป็นคนที่เกิดโทสะง่ายและยึดมั่นถือมั่นแรงมาก
พยายามเจริญสติ ตามรู้ตามดู ก็ทำให้มีสติขึ้นมาได้บ้างเป็นระยะๆ
แต่ใจก็จะวนกลับไปคิดถึงเรื่องที่ทำให้โกรธอยู่เรื่อยๆ กว่าจะรู้ตัวก็ผ่านไปนานมาก
พอทำใจให้ปล่อยวางได้สักพักแล้วเดี๋ยวก็กลับมาเป็นอีก
ถ้าอยากจะแก้นิสัยนี้ให้ได้ ควรจะทำอย่างไรดีคะ


เอาอย่างนี้แล้วกัน ถ้าจะหาเครื่องทุ่นแรง เอาเครื่องช่วยกันจริงๆ
แต่ต้องทำจริงนะ คือถ้าหากว่าตั้งใจจะทำแล้ว แล้วล้มเลิกเสียกลางคัน
เราก็อาจจะกลายเป็นคนที่วกวนไปสู่อารมณ์โกรธอารมณ์โมโหได้มากขึ้นด้วย
อันนี้เป็นคำแนะนำที่ถ้าทำได้ มีวินัยมากพอก็ได้ผลไปเลย
แต่ถ้าทำไม่ได้ คือตั้งใจไว้สูง แล้วเสร็จแล้วไปล้มเลิกกลางคัน
มันก็อาจจะมีผลเหวี่ยงกลับไปเหมือนกัน จากแทนที่จะบวกมาก
มันกลายเป็นเพิ่มอารมณ์ลบได้มากขึ้นไปอีก คือมีความไม่พอใจในตัวเองได้



คำแนะนำก็คือทำความเข้าใจว่าที่เราจะมีอารมณ์เมตตาหรือว่าขี้เกียจจะโกรธนะ
คือมีความสุขมากพอที่จะขี้เกียจโกรธ ไม่รู้จะโกรธ ไม่รู้จะร้อนไปทำไม
ก็คือเราต้องสร้างภาวะความเยือกเย็น ภาวะความสว่าง
ภาวะความสุขที่มันมีความล้นหลามให้ได้ขึ้นมาก่อน
ถ้าหากว่าไม่มีความสุข ไม่มีความเยือกเย็น ที่มันเป็นตัวตั้งอยู่ในจิตของเราแล้ว
บางทีการจะเอาแต่ตามรู้ความโกรธ หรือว่าเอาแต่จะไปเจริญสติในระหว่างวันให้ทัน
มันก็อาจจะยากนิดหนึ่งนะ เพราะว่าอารมณ์โกรธเป็นเพื่อนกับเรามาทั้งชีวิต
นี่คุณก็น่าจะยี่สิบกว่าๆ ก็อยู่มาเป็นสิบๆ ปี
เราก็เป็นเกลอแก้วกับความโกรธมามากกว่าความเมตตา



เอาเป็นว่าอย่างนี้ก็แล้วกัน พอพิจารณาอย่างนี้
ก็ทำอย่างไรให้มันเกิดความสุข เกิดความเมตตาขึ้นมาได้แบบลัดๆ
ก็แนะนำอย่างที่เคยรู้ไปแล้วนั่นแหละว่าสวดอิติปิโส
แต่ว่ามีอะไรพิเศษกำกับเข้าไปนิดหนึ่ง
คือเราต้องตั้งใจว่าตื่นนอนตอนเช้าขึ้นมา ตื่นแต่เช้าตรู่
ถ้าหากว่าเคยตื่น สมมติว่าหกโมงเช้าอย่างนี้ ขอให้ตื่นสักตีห้าครึ่ง
คือเช้ากว่าเวลาตื่นนอนเป็นเวลาครึ่งชั่วโมง ต้องประมาณนั้นนะ
แล้วก็อาศัยเวลาครึ่งชั่วโมงนั้นมานั่งสวดอิติปิโส
ด้วยความหวังว่าเราจะสวดโดยการเอาแก้วเสียงเป็นพุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชา
สวดอิติปิโส ภควา อรหํ สมฺมาสมฺพุทฺโธ

และอย่าสวดแบบเอื่อยๆ นะ สวดต้องเต็มปากเต็มคำ
สวดต้องสามารถปลุกให้ตัวเองตื่นขึ้นมารับรู้ความสุขในรุ่งอรุณให้ได้
บางคนสวดแบบเอื่อยๆ ไป แทนที่มันจะดีนะ
มันกลายเป็นยิ่งกลับซึมเซาเข้าไปอีก เบื่อหน่ายหรือว่าขี้เกียจที่จะเจริญสติเข้าไปใหญ่
ต้องสวดแบบที่จะทำให้เกิดความตื่นตัว ต้องสวดแบบที่จะรู้สึกถึงแก้วเสียง แล้วก็มีความสุข



คือคุณก็สวดอิติปิโสอยู่แล้วนะ
แต่ทีนี้เราตั้งใจอย่างนี้เลยว่าสวดอย่างน้อยที่สุดนะ เช้าหนึ่งนี่ไม่ต่ำกว่าเจ็ดจบ
คือใช้เวลาครึ่งชั่วโมง นี่ถ้าสมมติว่าครึ่งชั่วโมงนั้นเราสวดได้สักยี่สิบสามสิบจบได้ยิ่งดี
แต่ขอให้เป็นการสวดอย่างมีความสุข ขอให้เป็นการสวดอย่างมีความรู้สึกว่า
เออ เช้านี้เราจะตื่นขึ้นมาพร้อมกับความสุขในการที่เราได้สรรเสริญสิ่งศักดิ์สิทธิ์จริงๆ นะ
อาศัยเวลาประมาณครึ่งชั่วโมง มันจะมีกำลังมากพอ
เหมือนกับเป็นสมาธิในระดับเกือบๆ อุปจารสมาธิ
ถ้าทำได้ทุกวันเป็นเวลาอย่างน้อยที่สุดสองเดือนนะ
จะรู้สึกว่าการสวดมนต์ของเรา
การสวดอย่างเปล่งแก้วเสียงเต็มปากเต็มคำอย่างมีความสุข
จะทำให้ทุกเช้ามีทุนเป็นความสุขเป็นความเมตตา
เหมือนกับได้เก็บกักน้ำเย็นไว้อยู่ในแท็งก์ใหญ่ในตัวเรา
ความสุขความเย็นนั้นมันจะมีมากพอ
ที่จะทำให้มีแก่ใจอยู่ในชีวิตประจำวัน อยู่ในระหว่างวันด้วยความรู้สึกเป็นสุข
สุขมากพอที่จะเห็นความโกรธมันเกิดขึ้น เห็นความโกรธมันเป็นความร้อน มันเป็นของแปลกปลอม
ตรงนี้คือคีย์เวิร์ดสำคัญนะ ถ้าหากว่าเราเป็นเกลอแก้วกับความโกรธมานาน
ปกติเวลาโกรธขึ้นมา เราจะรู้สึกว่านี่เป็นเรื่องธรรมดา นี่เป็นตัวเรา
แต่ถ้าหากว่าทุกเช้าเราตื่นขึ้นมามีความสุขมีความเย็นมากๆ
ระหว่างวันพอโกรธขึ้นมาเราจะเห็นเรื่องผิดปกติของจิต
คือเห็นทันทีนะไม่ใช่ต้องเค้นสติให้เห็นนะ
มันเห็นเอง เห็นออกมาจากความเย็น เห็นออกมาจากความสว่างทางใจ
ที่มันกำลังมีความอิ่ม มีความเต็ม มีความใหญ่อยู่


ตรงนี้เราก็จะมองออกทันที อ่านขาดว่าความโกรธมันเป็นหนามแหลมทิ่มแทงจิต
มันเป็นความร้อนที่ทำให้จิตมีความกระวนกระวาย
เป็นความรู้สึกแย่ๆ กับตัวเองที่มันจมอยู่กับภาวะอกุศลอันมืดมน
มันจะอ่านขาด ณ เวลาที่เกิดขึ้นเลย ไม่ใช่จะต้องชะลอเวลาเสียก่อนถึงจะได้เห็น
แล้วถ้าคุณทำได้ทุกเช้า สวดแบบนี้สักอย่างน้อยที่สุดเจ็ดจบ สิบจบ
ตอนแรกๆ จะเบื่อ จะอย่างไรก็แล้วแต่ แต่พอสวดจนติดแล้ว
ด้วยจุดประสงค์ด้วยเจตนาว่าเราจะเอาความสุขจากการสวดสรรเสริญพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ
ตัวนี้มันจะให้ผล คือมันจะก่อให้เกิดผลอันเป็นปัจจุบัน
คือใจเรามันจะพลิกไป เปลี่ยนไปจากกระแสทุกข์เป็นกระแสสุข
มันต้องกินเวลานิดหนึ่งนะ คืออย่างถ้าทุกวันด้วยความสม่ำเสมอสองเดือน
คือแต่ละคนไม่เท่ากันนะ แต่ผมกะว่าของคุณน่าจะประมาณสองเดือน สองเดือนนี่น่าจะเห็นผล
ว่าเราเปลี่ยนจากชีวิตแบบที่มันขัดเคืองง่าย เป็นขัดเคืองยากขึ้น



ขอให้มองก็แล้วกันอย่างนี้นะว่าถ้าเป็นคนที่มีโทสจริตมากๆ
แล้วจะมาใช้วิธีนี้ ต้องใช้เวลากันเป็นเดือนๆ นะ
ของคนที่มีเมตตาเป็นทุนอยู่แล้ว ก็อาจจะอาทิตย์สองอาทิตย์
มันจะเห็นเลย เห็นชัดมากๆ รู้สึกเหมือนกับความสุขนี่มันเอ่ออยู่ในใจตลอดเวลา
ทั้งนี้ทั้งนั้นย้ำอีกครั้งหนึ่ง สวดมนต์ไม่ใช่เพื่อขออะไรทั้งสิ้น
นอกจากเจตนาจะให้เกิดความสุข
เพื่อให้เอาความสุขนั้นเป็นทุนอยู่ในอกอยู่ในใจ
จำตรงนี้ไว้ดีๆ นะครับ



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP