วรรณกรรมนำใจ Lite Literature

ระบำเวท ๓๗ (จบ)


cover rabamvej


นวนิยายเรื่องนี้ เขียนขึ้นเพื่อความบันเทิง
หากมีชื่อ-สกุล เรื่องราวใดพ้องกับบุคคลจริง ต้องกราบขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย


ชลนิล




(ต่อจากฉบับที่แล้ว)



               ตะวันบ่ายคล้อย ใกล้เย็นย่ำ คนไข้ซาลง

            เอื้อกานต์หยิบจดหมายซองหนาจากกระเป๋าขึ้นมาเปิดอ่าน เนื้อความในนั้นเรียกรอยยิ้มอบอุ่นขึ้นมาบนใบหน้า รู้สึกหัวใจอิ่มเต็ม ยินดีเมื่อนึกถึงชายคนที่เขียนจดหมายฉบับนี้

            มันเป็นจดหมายฉบับแรกที่เขาส่งมาให้หลังจากหายหน้าไปครึ่งค่อนปี เนื้อความข้างในบอกว่าหายไปไหน และกำลังทำงานสำคัญชิ้นใดอยู่

            หญิงสาวรู้สึกหัวใจอบอุ่นเมื่อนึกถึงชายคนนี้...ทรงกลด...

            ...ก๊อก...ก๊อก..ก๊อก...

            เสียงเคาะประตูดังขึ้น พร้อมกับลุงไม้เปิดประตู เยี่ยมหน้าเข้ามา

            “คนไข้น่าจะหมดแล้ว ผมปิดคลินิกเลยนะครับ คุณหมอจะได้กลับบ้านแต่วัน”

            เวลานี้คลินิกคนยากเกือบจะเป็นของลุงไม้กลายๆ แกสามารถเลือกเวลาเปิด-ปิดเองเพื่ออำนวยความสะดวกแก่คุณหมอคนเดียวอย่างเต็มที่

            เอื้อกานต์พับจดหมายวางบนโต๊ะ ขยับจะตอบรับ แต่แล้วกระแสสังหรณ์บางอย่างก็ผ่านแวบเข้ามาในความรู้สึก จึงรีบออกปาก

            “เดี๋ยวก็ได้จ้ะลุง...หมอไม่มีธุระไปไหน”

            “อ้าว...เห็นว่าอาทิตย์หน้า น้องชายคุณหมอจะแต่งงาน คุณหมอไม่ยุ่งหรือครับ”

            ทีเกื้อจัดการคดีทางเหนือเรียบร้อย ก็ใกล้เวลา จวนเจียนฤกษ์แต่งงานพอดี กลับมากรุงเทพฯ แทบทุกวัน ทั้งเขาและสัตตบงกชก็ต้องวิ่งวุ่นเรื่องงานแต่งงาน

            “ให้เจ้าบ่าวเจ้าสาวเขาวุ่นวายแจกการ์ด เตรียมงาน กันสองคนเถอะจ้ะ แค่บังคับให้หมอเป็นเพื่อนเจ้าสาวก็เบื่อจะแย่อยู่แล้ว” เอื้อกานต์บ่น พาลถึงน้องชายกับว่าที่น้องสะใภ้

            จำได้ ตอนสัตตบงกชมาขอให้เป็นเพื่อนเจ้าสาว เอื้อกานต์รีบปฏิเสธลั่น

            ‘โอย...ไม่เอาหรอก หนูดีไปชวนเพื่อนดารา นางแบบ พิธีกรดีกว่า พี่เห็นมีสวยๆ โสดๆ ตั้งหลายคน’

            สัตตบงกชขยับปากจะอธิบาย ว่าที่เจ้าบ่าวรีบพูดแทรกก่อน

            ‘งั้นก็เลือกเอานะเอื้อ ถ้าไม่เป็นเพื่อนเจ้าสาว ก็ต้องเป็นเพื่อนเจ้าบ่าว หรือไม่ก็เป็นญาติผู้ใหญ่ฝ่ายเจ้าบ่าวซะเลย เลือกเอา...จะรับหน้าที่ไหน’

            ที่พูดมาแต่ละอย่างชวนให้อยากเขกกะโหลกคนนำเสนอทั้งนั้น เอื้อกานต์จึงต้องรับหน้าที่เพื่อนเจ้าสาวอย่างจำใจ แล้วสำทับว่า อย่าให้เธอไปช่วยงานด้านอื่นเชียว สองว่าที่บ่าวสาวรับคำ เพราะรู้นิสัยกันดี พอถึงเวลานั้น มีหรือเอื้อกานต์จะยอมอยู่เฉย ไม่ช่วยงานน้องชายคนเดียว

            คุณหมอสาวอมยิ้มเมื่อนึกถึงเรื่องที่เถียงกัน แต่ขณะนั้นสังหรณ์ในใจก็เร่งเร้า ถี่เร็ว เป็นสัญญาณบอก...เหตุการณ์ผิดปกติกำลังจะเกิดขึ้น

            “คนไข้ซาแล้ว ออกไปสูดอากาศข้างนอกดีกว่านะลุง” คุณหมอยิ้มหวาน ลุกจากโต๊ะ พอจะคาดเดาได้ว่า เหตุผิดปกติน่าจะเป็นเรื่องคนป่วยฉุกเฉินมากที่สุด

            ตะวันยามเย็นสาดแสงอาบบริเวณริมถนน รถราพอเคลื่อนตัวสะดวกเนื่องจากเป็นวันหยุด บรรยากาศชวนผ่อนคลาย เอื้อกานต์ออกมายืนหน้าคลินิกไม่ถึงนาทีก็ได้ยินเสียงเรียกจากลุงไม้

            “งานเข้าแล้วคุณหมอ!”

            เอื้อกานต์หันไปทางชุมชน ซอยข้างคลินิก เห็นคนหนุ่มสองคนหามเปลคนป่วย เร่งฝีเท้าตรงมายังคลินิกอย่างรวดเร็ว โดยมีคนในครอบครัวคนป่วยตามกันมาเป็นพรวน

            ผู้ป่วยเป็นสตรีวัยกลางคนร่างท้วม นอนบิดตัวเร่าๆ อยู่บนเปล เหงื่อแตกโชกเต็มใบหน้า ขบริมฝีปากข่มความเจ็บปวด มีเสียงครางโอยๆ ลอดมาเบาๆ

            “พาเข้าไปข้างในเลย” เอื้อกานต์สั่งสองหนุ่มที่หามเปล และบอกพวกที่ติดตาม “ครอบครัวรอข้างนอกนะ”

            วางคนป่วยลงบนเตียงตรวจเรียบร้อย คุณหมอสาวมองอาการปราดเดียวก็รู้สาเหตุ อาการของโรค ถึงอย่างนั้นก็ยังต้องตรวจสอบเพื่อความแน่ใจ

            มือของเอื้อกานต์กดบริเวณท้องของคนป่วย ผลคือฝ่ายนั้นร้องลั่นโดยไม่จำเป็นต้องถามว่าเจ็บหรือไม่

            คุณหมอสาวหันไปบอกลุงไม้

            “ไส้ติ่งค่ะ โทร. เรียกรถพยาบาลเลยลุง”

            “ครับ” ลุงไม้รับคำ รีบปฏิบัติตามอย่างรวดเร็วคุ้นเคย

            “ไม่เป็นไรนะ” เอื้อกานต์ใช้ปลายนิ้วสัมผัสบริเวณท้องด้านไส้ติ่งคนไข้เบาๆ “ทนเจ็บหน่อย รอรถพยาบาล เดี๋ยวไปถึงที่นั่นจะมีหมอผ่าตัดให้”

            คำพูดอ่อนโยนชวนให้คนฟังจิตใจผ่อนคลาย

            “แล้วป้าแกจะทนไหวเหรอหมอ เดี๋ยวไส้ติ่งแตกกลางทางเอา” ชายหนุ่มที่ช่วยหามเปลกระซิบถาม

            “ไม่หรอกค่ะ สมัยนี้เรื่องไส้ติ่งไม่น่ากลัวเหมือนสมัยก่อนแล้ว” หญิงสาวตอบเสียงปกติ เพื่อให้คนป่วยได้ยินด้วย

            จากนั้นถ่ายทอดพลังสีขาวบางๆ จากปลายนิ้วเข้าสู่บริเวณท้องของคนป่วยชั่วขณะ ก่อนจะถอนออกมา

            สีหน้าคนป่วยผ่อนคลายลง อาการเจ็บปวดทรมานลดลงกว่าครึ่ง พอจะมีแรงพูดจาได้

            “ขอบคุณค่ะหมอ ได้ยินอย่างนี้ อาการดีขึ้นเยอะ ไม่เจ็บเท่าไหร่แล้ว”

            “เออ...จริงด้วย สีหน้าดีขึ้นแล้วนี่” หนุ่มหามเปลช่วยสนับสนุน

            เอื้อกานต์ยิ้มก่อนขยับตัวห่างออกมา อาการเจ็บปวดที่ลดลงนั้นไม่ใช่เพราะกำลังใจคนไข้ดีขึ้น แต่เพราะพลังของเธอช่วยระงับความเจ็บปวดให้ชั่วคราว

            พลังของเอื้อกานต์ไม่ได้สูญหาย หมดไปอย่างที่ไลลาคาดคะเนไว้ หนำซ้ำมันยังกลับเพิ่มพูนขึ้น ใช้งานคล่องตัว สัมผัสแม่นยำ โดยเฉพาะการวินิจฉัยโรคต่างๆ

            ส่วนหมากที่ไลลาคะเนว่าอย่างเบาจะสูญเสียความสามารถพิเศษ อย่างหนักอาจเสียชีวิตในหนึ่งเดือน ถ้าใช้พลังการเยียวยา ช่วยคนจากไวรัสอาคมครั้งนั้น

            ปรากฏว่าทั้งหมากและเอื้อกานต์ไม่ได้รับผลกระทบทางร้ายแต่อย่างใด นอกจากอ่อนเพลีย หมดแรงจนสลบไป พอฟื้น ร่างกายก็เป็นปกติ ไม่จำเป็นต้องเข้าโรงพยาบาลพักฟื้นรักษาตัวด้วยซ้ำ

            ไลลาบอกว่า เธออาจคาดคะเนผิด หรือไม่...พลังของหมากเมื่อรวมกับเอื้อกานต์ เชื่อมด้วยหัวใจรัก มันจึงเกิดปรากฏการณ์พิเศษที่แม่มดผู้รอบรู้อย่างเธอก็ไม่สามารถอธิบายได้

            สิ่งนี้เองทำให้เอื้อกานต์ได้คิด...พลูบอกแต่แรกแล้วว่าหมากมีโอกาสจะได้สร้างประโยชน์ใหญ่...ด้วยเหตุนี้ความสามารถของเขาจึงไม่สูญหายไป หนำซ้ำอาจกล้าแข็งกว่าเดิมเหมือนอย่างเธอก็ได้

            ดังนั้นเอื้อกานต์จึงตั้งใจให้เขาไปสร้างประโยชน์โดยไม่คิดรั้งเขาไว้กับตัวเอง



               หลังเหตุการณ์วันปล่อยไวรัสอาคมผ่านพ้น โรงพยาบาลทั่วประเทศวุ่นวายอยู่วันสองวัน ก่อนเหตุการณ์จะคลี่คลาย ผู้ป่วยเกือบทั้งหมดได้รับการรักษาเป็นปกติ นับเป็นการแพร่ระบาดของโรคภัยที่เกิดขึ้นเร็ว และหายไปอย่างรวดเร็ว สร้างความฉงนแก่วงการแพทย์ทั่วประเทศไปจนถึงทั่วโลก

            ทรงกลด ฮันเตอร์ คิม หายสาบสูญไร้ร่องรอย ไลลาเดินทางกลับประเทศโดยไม่บอกข้อมูลเกี่ยวกับสองศิษย์อาจารย์แก่ใคร

            เอื้อกานต์มีโอกาสพูดคุยกับหมากเกี่ยวกับเรื่องที่รับปากพลูเอาไว้

            “หมอมีเรื่องกังวลใจอะไรหรือเปล่าคะ” หญิงสาวเอ่ยปากเปิดประเด็น อีกทั้งเห็นสีหน้ากังวล อึดอัดใจของเขามาวันสองวัน รู้ว่าถึงเวลาต้องพูดคุยกันแล้ว

            “ถ้าบอกว่าไม่มี หมอเอื้อคงว่าผมโกหก” หมากรู้ว่าหญิงสาวมีสัมผัสพิเศษ อ่านความรู้สึกของเขาออก

            “งั้นเอื้อขออะไรหมอสักอย่างได้มั้ยคะ” หญิงสาวรวบรัดเข้าเรื่องชนิดไม่มีเกริ่นอ้อมค้อม

            “เรื่องอะไรครับ” หมากขมวดคิ้ว สงสัย

            “ไปทำงานที่ประเทศตั้งใหม่นั้นเถอะ ไม่ต้องห่วงเอื้อ...อยู่ที่นั่นหมอจะสร้างประโยชน์ได้มากมาย”

            หมากสะดุ้ง ดวงตาทอประกายสงสัย ขยับปากจะซักถาม แล้วชะงัก นึกได้...

            “ไอ้พลูแอบบอกหมอเอื้อตอนยืมร่างผมใช่มั้ย”

            คนเป็นฝาแฝด ถึงจะต่างภพ มีหรือไม่รู้ใจกัน อีกทั้งพลูก็ยังได้บอกก่อนจากกันว่าตนเองได้อาศัยร่างพี่ชาย ช่วยเหลือทุกคนออกจากกับดักของไลลาอย่างไร

            เอื้อกานต์ยิ้มรับ พูดต่อด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล ชักจูงใจ

            “ตอนแรก เอื้อรู้จักหมอจากวารสารการแพทย์ฉบับหนึ่ง เห็นชื่อ ดอกเตอร์ M ศัลยแพทย์ชาวไทยที่ไปสร้างชื่อเสียงในอเมริกา เอื้อยังรู้สึกชื่นชมเลยว่าหมอที่เก่งขนาดนี้กลับไม่ติดยึดในชื่อเสียง ไม่คิดกอบโกยหารายได้ หนำซ้ำยังออกไปทำประโยชน์ในประเทศด้อยพัฒนา แถบที่มีสงครามน่ากลัว แล้วนึกสงสัยว่า...M...นี่เป็นชื่อย่อมาจากอะไร มั่นใจว่าต้องไม่ใช่มาจากชื่อหมาก หรือ ‘มริศ’ ชื่อจริงของหมอแน่ๆ”

            หมากอมยิ้ม เป็นครั้งแรกที่เอื้อกานต์เรียกขานชื่อจริงของเขา

            “ตอนหลังเอื้อถึงได้รู้ว่าดอกเตอร์ M ย่อมาจากคำว่า Miracle...มหัศจรรย์ คุณหมอผ่าตัดผู้มีมืออันมหัศจรรย์”

            หมากไม่ตอบรับหรือปฏิเสธคำเรียกขานนั้น

            “สำหรับเอื้อ...พอได้รู้จักหมอแล้ว เห็นว่า Miracle ของหมอไม่ได้อยู่ที่มือทั้งสองข้าง แต่อยู่ที่หัวใจของหมอต่างหาก หัวใจของหมอที่คิดถึงคนอื่นมากกว่าตัวเอง มีความสุขในการเป็นผู้ให้มากกว่าผู้รับ...มันน่ามหัศจรรย์มาก...และเอื้อ...รักในหัวใจที่มหัศจรรย์ดวงนี้”

            หมากพูดอะไรไม่ออก เขาไม่เคยได้ยินคำบอกรักที่สะเทือนเข้าไปถึงกลางใจขนาดนี้มาก่อน เป็นคำบอกรักที่ทำให้เขารู้สึกว่า...ตนเองคงอยู่บนโลกนี้ไม่ได้...ถ้าผู้หญิงคนนี้ไม่ยอมมอบความรักให้เขา...

            ชายหนุ่มข่มกลั้นความสะท้านสะเทือนลงในอก ก้มหน้าลงมองหญิงสาว แววตาอ่อนหวาน

            “หมอเอื้อเล่นเอาความรักมามัดหัวใจจนผมดิ้นไม่หลุดอย่างนี้ ต้องรับผิดชอบด้วยนะ” เขาก้มหน้าลงมาอีก จนใบหน้าเกือบชิดกัน “ผมต้องไปอยู่ที่โน่นถึงสองปี...ถ้าคิดถึงหมอเอื้อจนทนไม่ไหว จะให้ทำยังไงดีล่ะ”

            ระยะใกล้ชิดขนาดนี้ หัวใจเอื้อกานต์เต้นแรงจนเกินระงับ ต้องพยายามหาเรื่องอื่นมาพูดเลี่ยง

            “คุณพลูยังบอกอีกว่า...ถ้าหมอไปที่โน่น นอกจากมีโอกาสช่วยเหลือคนมากมายแล้ว ยังได้ถ่ายทอดเทคนิคการผ่าตัด ถ่ายทอดความรู้ด้านการแพทย์ที่หมอมีอยู่ ให้กับหมอที่นั่นอีกหลายคน ซึ่งพวกเขาจะสร้างประโยชน์ใหญ่ กว้างขวาง ให้แก่ผู้คนอีกจำนวนไม่รู้ตั้งเท่าไหร่”

            “ช่างหัวไอ้พลูมันเถอะ...มันรู้ดีมากกว่าตัวผมเองอีก ถ้ารู้อนาคตชัดขนาดนั้น ทำไมไม่มาเข้าฝันบอกหวยผมซะเลยล่ะ”

            เอื้อกานต์หัวเราะเบาๆ สายตาหมากยังจ้องเขม็ง ไม่ยอมเปลี่ยนจากเรื่องเดิม

            “หมอเอื้อบอกผมก่อน ถ้าผมไปอยู่โน่นแล้วคิดถึงหมอมากๆ จะให้ทำยังไง”

            หญิงสาวนิ่ง ไม่ยอมตอบ

            “ให้ทำยังไง...” หมากเร่งเร้า ไม่ยอมแพ้ ดวงตาหวาน ใบหน้าก้มลงเกือบชิดใบหน้าหญิงสาว

            เอื้อกานต์ขยับตัว มองตอบด้วยประกายตาความรักอันนุ่มนวล

            “ถ้าอย่างนั้น...หมอก็จำช่วงเวลานี้ไว้นาน ๆ นะ...”

            จบคำพูด หญิงสาวเงยหน้า จูบที่ริมฝีปากเขาแผ่วเบา ดวงตาหมากทอประกายสว่างสดใส มือโอบร่างหญิงสาวกระชับแน่น ไม่ยอมให้ขยับหนี และไม่ยอมให้ถอนริมฝีปากออกอย่างง่ายดาย

            ช่วงเวลาของการจุมพิตเนิ่นนาน เพียงพอต่อการจดจำ...ยามต้องจากไกล...



               คนป่วยไส้ติ่งถูกส่งขึ้นรถพยาบาลเรียบร้อย ส่วนคนในครอบครัวนั่งรถตามไปต่างหาก เอื้อกานต์บอกให้ลุงไม้ปิดคลินิก ส่วนตนเองเข้าไปเก็บของใส่กระเป๋า เตรียมตัวกลับเหมือนกัน

            พบจดหมายจากทรงกลดยังวางอยู่บนโต๊ะ หัวใจบังเกิดความอบอุ่น ปรารถนาดียามระลึกถึง หยิบจดหมายใส่กระเป๋าเป็นเสมือนของติดตัวที่มักเปิดอ่านยามว่าง ทั้งที่ตนเองจดจำเนื้อหาข้อความในนั้นได้เกือบหมดแล้ว

            ขึ้นรถ วางกระเป๋าบนเบาะข้างตัว จากนั้นขับสู่ถนนใหญ่ เดินทางกลับคอนโดฯ เจอรถติดเป็นระยะ เนื่องจากเป็นเวลาใกล้ค่ำ หลายคนอยู่ระหว่างเดินทางกลับบ้าน

            เอื้อกานต์มองถนน รถรา ตึกราม แสงไฟในกรุงเทพฯ ยามค่ำ นึกเปรียบเทียบกับเมืองหลวงอีกประเทศที่ทรงกลดเล่าให้ฟังในจดหมาย

            “ตอนนี้พี่อยู่ที่ ‘ซานซา’ เมืองหลวงของประเทศมูเจน!”

            ทรงกลดขึ้นต้นจดหมายด้วยเรื่องราวชวนแปลกใจ ชื่อประเทศไม่คุ้นหู ไม่เคยผ่านตา จากนั้นเขาค่อยอธิบายให้เข้าใจง่าย เล่าถึงประเทศมูเจนและเรื่องราวชีวิตของอดีตเจ้าชายเฌอคิมซา อาจารย์ของเขา

            จนคิดว่าเอื้อกานต์น่าจะเข้าใจที่มาที่ไปในเรื่องราวอดีตจนถึงปัจจุบันแล้ว ทรงกลดค่อยเล่าต่อ...

            “จำตอนที่เราถูกไลลาขังในโรงแรมได้มั้ย เอื้อเคยขอให้พี่เล่าเรื่องราวหลายปีที่จากกัน ตอนนั้นพี่รู้สึกว่า การที่ได้บอกเล่าเรื่องของตัวเองให้เอื้อรู้ มันอาจสามารถชดเชยวันเวลาที่สูญเสียไปได้

            “ครั้งนี้ก็เช่นกัน...พี่หายตัวไปโดยไม่บอกกล่าวอีกแล้ว อาจทำให้เอื้อเป็นห่วง กังวลใจ จึงตั้งใจว่าถ้ามีเวลาเมื่อไหร่ จะเขียนจดหมายมาเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้เอื้อรู้ ถือว่าเป็นการชดเชยความผิดที่พี่จากไปโดยไม่ลา .แต่กว่าพี่จะมีเวลาเขียนจดหมายเป็นเรื่องเป็นราว ก็ผ่านไปครึ่งปี...ครึ่งปีที่ผ่านมามีเรื่องราวเกิดขึ้นมากมาย”

            เอื้อกานต์อมยิ้ม จำได้ว่าตอนได้รับจดหมายฉบับหนาเตอะนี้ยังนึกแปลกใจแกมยินดี ส่วนคนที่โวยวายทันทีที่เห็นจดหมายคือทีเกื้อ

            ‘อะไรกันนี่...สมัยนี้ยังมีคนเขียนจดหมายหากันอยู่เหรอ’ พูดจบทีเกื้อถือก็วิสาสะหยิบจดหมายไปอ่านหน้าตาเฉย อ่านไปยังมีหน้ามาบ่นถึงเจ้าของจดหมายอีก

            “เอ...ประเทศมูเจนนี่มันโลว์เทคขนาดไม่มีอินเตอร์เน็ตเลยหรือ...กว่าพี่กลดจะเขียนจดหมายส่งมาฉบับนึงก็ครึ่งค่อนปี ถ้ามีอีเมล ป่านนี้ส่งมาได้เป็นร้อยฉบับแล้ว”

            พูดจบก็หลิ่วตาแซวพี่สาว

            “ขนาดประเทศตั้งใหม่ที่หมอเคราเขียวไปทำงาน ยังไม่โลว์ขนาดนี้เลย เห็นส่งไลน์บ้าง โผล่หน้ามาคุยบ้างแทบทุกวัน ไม่เบื่อกันหรือไง’

            เอื้อกานต์คว้าจดหมายคืนพร้อมดุส่ง

            ‘อย่ามายุ่งเรื่องของคนอื่น ไปจัดการเรื่องตัวเองโน้น...งานแต่งงานไปถึงไหนแล้ว ถ้าไม่เรียบร้อย เดี๋ยวว่าที่แม่ยายจะวิ่งแจ้นไปฟ้องคุณหญิงหรอก’

            พอเอ่ยถึงเรื่องงานแต่งงาน ว่าที่แม่ยาย และมารดาเลี้ยงของตน ทีเกื้อก็หุบปากสนิท หน้ามุ่ย เดินหนีบ่นพึมพำประมาณว่า...ถ้ารู้ว่าแต่งงานมันวุ่นวายขนาดนี้...น่าจะพาหนีกันซะให้สิ้นเรื่อง!

            เอื้อกานต์หัวเราะขัน ถึงได้ยินคำบ่นอย่างนั้น แต่ก็รู้ว่าเจ้าบ่าวมือใหม่ตื่นเต้นยินดีแค่ไหนกับงานแต่งงานของตัวเอง กว่าจะมาถึงวันนี้ ความรักของทีเกื้อกับสัตตบงกชต้องผ่านอุปสรรค เรื่องราววัดใจกัน ไม่ใช่น้อย

            หญิงสาวเก็บจดหมายไว้ หยิบมาอ่านซ้ำยามมีเวลาว่าง รู้สึกเป็นสุข อิ่มใจกับเรื่องที่ทรงกลดกระทำ และปณิธานของเฌอคิมซา อาจารย์ของเขา

            “หลังจากอาจารย์ของพี่หมดภาระความแค้นทางใจ ท่านก็นึกถึงประเทศมูเจน แผ่นดินของบรรพบุรุษ บ้านเกิดเมืองนอนซึ่งปัจจุบันกลายเป็นประเทศล้าหลัง ด้อยพัฒนา หลังจากนายทุนต่างชาติกอบโกยทรัพยากรไปจนหมด

            “อาจารย์มีความตั้งใจ อยากฟื้นฟูประเทศมูเจนขึ้นมาใหม่ แต่ไม่ได้หมายความว่าท่านต้องการเป็นใหญ่ คืนฐานันดรหน่อเนื้อมูจนะ ขึ้นเป็นองค์เจ้ามูจนะองค์ต่อไปหรอกนะ

            “ท่านทราบว่าหน่อเนื้อมูจนะหมดสิ้นจากหัวใจชาวมูเจนไปนานกว่าครึ่งศตวรรษแล้ว สิ่งที่ท่านต้องการกระทำ คือกลับมาพลิกฟื้นมูเจนให้มีชีวิตอีกครั้งหนึ่ง ไม่จำเป็นต้องพัฒนาให้เป็นประเทศมหาอำนาจอะไร

            “ท่านต้องการแค่อยากให้ดัชนีความสุขของประชาชนในประเทศเพิ่มขึ้น ชาวมูเจนได้กินอิ่ม นอนหลับ รู้สึกปลอดภัยในบ้านเกิดเมืองนอนของตนเท่านั้นเอง

            “ฟังดูแล้วเหมือนเพ้อฝัน แค่กำลังไม่กี่คนจะพลิกฟื้นประเทศที่แทบไม่มีอะไรเหลือได้อย่างไร แต่ถ้าเอื้อได้ฟังแผนการ ขั้นตอนของท่านแล้ว จะต้องยอมรับ เชื่อว่ามันทำได้ สามารถเกิดขึ้นได้จริง

            “เริ่มจากเงินทุนของเรา...เป็นครั้งแรกที่อาจารย์เปิดเผยมหาสมบัติของท่านทั้งหมดให้พี่รู้ มูลค่าโดยรวมของมันสามารถสร้างประเทศเล็กๆ ให้กินดีอยู่ดีได้ทั้งประเทศทีเดียว

            “เหล่านี้มาจากสมบัติเก่าที่องค์เจ้ามูจนะองค์ก่อนลอบนำมาเก็บไว้ที่ธนาคารสวิสหลายแห่งเป็นจำนวนมาก ต่อมาอาจารย์ได้นำทรัพย์สินเหล่านี้ไปลงทุนอย่างชาญฉลาด ปลอดภัย ไม่กระโตกกระตากให้โลกรู้ หลายสิบปีที่ผ่านมามันจึงเพิ่มพูนจากเดิมหลายเท่าตัว

            “ด้วยเงินทุนที่สามารถสร้างประเทศขนาดนี้ รวมกับแผนการเป็นขั้นตอนระดับอัจฉริยะ พี่จึงเชื่อว่าความหวังของอาจารย์คงสำเร็จได้ เพียงแต่มันต้องใช้เวลานาน...ไม่ใช่แค่ปีสองปี

            “อาจารย์ท่านอายุมากแล้ว อาจไม่มีโอกาสเห็นความสำเร็จขั้นสุดท้าย พี่จึงต้องเป็นทายาท สานต่องานของท่านจนถึงปลายทาง

            จากนั้นเขาก็เล่าถึงการดำเนินงานขั้นต้น หกเดือนแรก ว่าทำอะไรไปบ้าง

            “อาจารย์อาศัยชื่อเสียงของไลลาก่อตั้งองค์กรการกุศลที่ไม่แสวงหารายได้ขึ้นแห่งหนึ่ง เข้ามาประเทศมูเจน เพื่อส่งเสริมสนับสนุนศิลปวัฒนธรรมของประเทศนี้ อาจารย์บอกว่าควรให้คนมูเจนได้รู้จักรากเหง้าของตัวเองก่อน ถึงจะสามารถพัฒนาต่อไปได้อย่างถูกทาง

            “ส่วนไลลาตามมาทีหลัง ในฐานะเจ้าขององค์กรอิสระ เข้ามาต่อยอดดูแล ให้ความช่วยเหลือในเรื่องของเด็กและสตรี เน้นเกี่ยวกับเรื่องสุขภาพ การศึกษา และการรักษาพยาบาล

            “พวกเราทำงานเงียบๆ แบบไม่เป็นข่าว ไม่ทำตัวเป็นจุดสนใจของพวกนักธุรกิจเจ้าถิ่น ไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องการเมือง ผลงานช่วงหกเดือนแรกเป็นไปด้วยดี

            “ตอนนี้องค์กรของเรามีชาวมูเจนที่มีความรู้ ความสามารถ และใจรัก เข้ามาทำงานหลายคน จนเป็นรูปร่างน่าพอใจ ส่อเค้าไปในทิศทางที่ดีขึ้นเรื่อยๆ”

            เอื้อกานต์อ่านแล้วปลื้มใจในสิ่งที่พวกเขากระทำ

            “พี่ อาจารย์ และไลลา เป็นเหมือนครอบครัวเดียวกัน แต่ไม่ได้อยู่บ้านเดียวกัน ไลลายังเกรงๆ ในคำสาปแม่มดอยู่บ้าง จึงมักทำตัวโดดเดี่ยว ไม่สมาคมกับพวกเราบ่อยนัก แต่ถึงอย่างนั้น เธอก็บอกว่าคำสาปแม่มดอ่อนกำลังลงเรื่อยๆ จนเธอรู้สึกได้

            “บางที หมอหมากอาจพูดถูก...การถอนคำสาปแม่มด ไม่ใช่ต้องฆ่าคนชั่วให้หมดโลก แต่ควรเป็นการเดินไปบนเส้นทางขัดเกลาความชั่วช้าในใจตนให้หมดสิ้นต่างหาก .ถ้าไม่มีความชั่วร้ายเป็นยางยึดในใจแล้ว คำสาป มนตร์ดำใดๆ ก็ไม่สามารถเกาะเกี่ยวใจที่มีแต่คุณความดีเป็นเกราะคุ้มกันได้

            จดหมายทรงกลดเขียนมายืดยาว เล่าเรื่องราวของมูเจนในแง่ต่างๆ บอกเล่าถึงการทำงานของพวกเขา และชาวมูเจนรุ่นใหม่ ก่อนปิดท้ายว่า...

            “อาจารย์ของพี่ไม่หวังจะได้เห็นประเทศมูเจนพลิกฟื้นขึ้นมาทันใจ แต่ท่านตั้งความหวังไว้ก่อนตายว่า...อย่างน้อยขอให้สามารถปลุกสำนึกชาวมูเจน ให้รักแผ่นดิน รู้จักรากเหง้าของตัวเอง หวงแหนสมบัติของชาติไว้

            “เมื่อถึงตอนนั้น ท่านจะนำสมบัติคู่บัลลังก์อันล้ำค่าทั้งสามชิ้น มามอบให้เป็นสมบัติแก่ชาวมูเจนทุกคนได้ชื่นชม เป็นศูนย์รวมศรัทธาตราบชั่วลูกชั่วหลาน

            เอื้อกานต์รู้สึกอิ่มใจทุกครั้งที่ได้อ่านมาถึงท่อนสุดท้าย ทรงกลดอาจไม่ขยันส่งข่าว ติดต่อ พูดคุยแทบทุกวันอย่างหมาก แต่จดหมายฉบับแรกในรอบครึ่งปีของเขาก็ทำให้เธอรู้สึกโล่งใจ ระยะห่างนับพันๆ ไมล์คล้ายจะหดสั้นลง

            ทีเกื้ออ่านจดหมายของทรงกลดเช่นกัน แต่เจ้าน้องชายกลับสนใจอีกเรื่อง

            “โอ้โห...เขียนจดหมายมาปึกเบ้อเริ่ม เล่าเรื่องมูเจนทุกอย่าง แต่ไหงไม่พูดถึงสาวๆ มูเจนบ้างเนี่ย หรือว่าผู้หญิงที่นั่นไม่มีน้ำยา ผ่านไปตั้งหกเดือน ยังมัดใจพี่กลดไม่ได้สักคน”

            เอื้อกานต์อยากเขกกะโหลกทีเกื้อ แต่เข้าใจความหมาย สิ่งที่เขาอยากพูด...ทรงกลดอาจมีเยื่อใยต่อเธออยู่ จึงไม่อาจมองใครใหม่ได้

            สิ่งที่เธอควรทำ...คือช่วยปลดพันธนาการหัวใจนี้ แต่เอื้อกานต์ก็รู้ วิธีดีที่สุดที่จะช่วยเหลือเขา คือไม่ต้องทำอะไรเลย ใช้ชีวิตปกติอย่างที่เป็น ผู้ชายที่ฉลาด รอบรู้ และผ่านความทุกข์มาขนาดนั้น เรื่องราวความรักย่อมไม่ใช่ปัญหาใหญ่ในชีวิต

            ทรงกลดรู้ว่าเธอรักหมอหมาก...เขาจึงต้องใช้เวลาปรับหัวใจตัวเองสักพัก ถึงจะยอมรับความจริงนี้ได้

            การไปอยู่มูเจนอาจเป็นเส้นทางใหม่ให้ทรงกลดมีโอกาสทำใจ เพื่อพบเจอใครบางคน...บางคนที่เหมาะสมและเข้าใจหัวใจของเขา

            เอื้อกานต์เคยรักทรงกลดมากมาย ตอนที่รู้ข่าวว่าเขาเสียชีวิต ก็ยังคิด...ชีวิตนี้ไม่อาจรักใครได้อีกแล้ว จนกระทั่งหมอหมากเข้ามาถูกจังหวะและเวลา

            เธออาจสับสนเล็กน้อยเมื่อรู้ว่าทรงกลดยังไม่ตาย แต่สุดท้าย หัวใจก็มีคำตอบ...ความรักมันเปลี่ยนแปลงได้

            ทรงกลดเป็นเงาในอดีต ที่เธอมีให้แค่ความระลึกถึงและปรารถนาดี แต่หมากเป็นคนในปัจจุบัน ที่หัวใจยืนยันชัดเจน จนยากบิดเบือน

            สักวัน เมื่อทรงกลดปลดล็อคใจสำเร็จ เอื้อกานต์เชื่อว่าต้องมีผู้หญิงสักคนสามารถสร้างน้ำหนักขึ้นมาในหัวใจของเขาได้...วันนั้น...อาจไม่เนิ่นนานอย่างที่ใครคาดคิด



               ถึงคอนโดฯ

            จอดรถเรียบร้อย หยิบกระเป๋าลงมา รู้สึกโหวงๆ พิกล บริเวณลานจอดค่อนข้างโล่ง มองไม่เห็นรถน้องชาย เข้าใจว่าคงตระเวนแจกการ์ดและรับประทานอาหารค่ำกับคนรัก

            จู่ๆ ความเหงาก็จู่โจมหัวใจ เมื่อนึกขึ้นได้...หลังแต่งงาน ทีเกื้อคงไม่ค่อยแวะมาที่นี่ น้องชายที่เคยอยู่ร่วมกันมาตั้งแต่เกิด ผ่านประสบการณ์ร้อนหนาว สุขทุกข์มากมาย จะได้อยู่ด้วยกันอีกแค่สัปดาห์เดียวแล้ว

            คิดไปใจหายวูบ นึกอยากร้องไห้ขึ้นมาเฉยๆ

            เอื้อกานต์เดินจากลานจอดรถไปขึ้นลิฟต์ด้วยความรู้สึกวังเวง แปลกประหลาด...ที่ผ่านมาต่อให้ห่างจากทีเกื้อนานแค่ไหนก็ยังรู้สึก...สุดท้ายเขาต้องกลับบ้าน...ที่นี่คือบ้านของเขา

            แต่ครั้งนี้มันไม่ใช่ น้องชายเธอกำลังสร้างครอบครัวใหม่ มีชีวิตของตัวเอง ความคิดนี้ทำให้เอื้อกานต์รู้สึกเหมือนถูกทอดทิ้ง ปล่อยให้โดดเดี่ยว สูญเสียสิ่งสำคัญในชีวิตไป

            ทั้งที่ยินดีกับการแต่งงานของเขาแท้ๆ พอใกล้ถึงวันต้องแยกย้าย ใจมันกลับโหวง วิบวับ บอกไม่ถูก เพิ่งเห็นชัดว่าความผูกพันระหว่างเธอกับทีเกื้อมีมากมายแค่ไหน

            เข้ามาในลิฟต์ว่าง ไม่มีคน จึงถอยไปยืนพิงผนัง ระบายลมหายใจยาว สายตามองตัวเลขที่เลื่อนขึ้นทีละชั้น

            เอื้อกานต์พยายามบอกต่อตนเอง...นี่อาจเป็นอาการใจหายของคนเป็นพ่อแม่ที่ลูกคนเดียวกำลังจะแต่งงานก็ได้ ทีเกื้อเป็นทั้งน้องชาย ทั้งเพื่อน บางครั้งก็เหมือนลูกชายหัวรั้นที่ขยันสร้างปัญหาให้เธอช่วยตามแก้อยู่เรื่อย

            หลังจากวันแต่งงาน เขาคงห่างออกไป ต่อให้มีปัญหาใด คงปรึกษากันเองในครอบครัว

            คิดแล้วรู้สึกแย่ คล้ายตัวเองหมดความสำคัญเสียเฉยๆ พยายามสลัดความรู้สึกด้านลบเหล่านี้ออกไป ไม่ยอมให้ความหดหู่ ฟุ้งซ่าน มาทำร้ายจิตใจ

            ลิฟต์เปิด อาการทางใจยังไม่ดีขึ้น จิตใจมันบังคับ ควบคุมไม่ได้อย่างนี้นี่เอง จึงต้องยอมปล่อยมัน อยากจะมึนซึม ทุกข์ใจก็เรื่องของแก...ช่วยไม่ได้!

            ก้าวออกจากลิฟต์ เดินเนือยๆ ก้มหน้าด้วยจิตใจห่อเหี่ยว เพียงสามสี่ก้าวที่เดินออกมา สัมผัสในใจกระทบความรู้สึกบางอย่าง จึงเงยหน้าขึ้นแล้วตาค้าง ขาชะงัก ก้าวไม่ออกราวกับมีรากยึด

            ที่หน้าประตูห้อง มีชายหนุ่มคนหนึ่งกำลังนั่งรอเธออยู่บนเป้เดินทางใบใหญ่ สายตาสองคู่กระทบกัน ความรู้สึกเศร้าซึม หดหู่ ใจหาย ฟุ้งซ่าน ล้วนมลายเกลี้ยง เปลี่ยนเป็นโปร่งโล่ง สดใส เบิกบาน ขึ้นมาในพริบตา

            น้ำตารื้นอย่างช่วยไม่ได้ อยากจะเดินไปหาเขา แต่ขามันไม่ยอมขยับ ทำอะไรไม่ถูก ชายหนุ่มลุกขึ้น ส่งรอยยิ้มกว้าง สว่างสดใส ใบหน้ามีหนวดเคราที่เริ่มยาว ดวงตากระจ่างทอประกายยินดี

            เขาเป็นฝ่ายก้าวมาหา แค่สองสามก้าวก็มาถึงตัว คว้าร่างเธอเข้าไปกอดในอ้อมแขนแนบแน่น สัมผัสจังหวะหัวใจที่เต้นแรง กระแสใจต่อใจเชื่อมโยง เอื้อกานต์รู้สึกราวกับมีแสงสว่างฉายกราดเข้ามาขับไล่ความเหน็บหนาวเดียวดายในใจไปเสียสิ้น

            จิตใจซึมซับความอบอุ่น กระไอแห่งความรักจากอ้อมกอดกันและกันครอบคลุมเนิ่นนาน จนกระทั่งชายหนุ่มส่งเสียงเบาๆ ที่ข้างหู

            “คิดถึงจัง”

            เอื้อกานต์ค่อยได้สติ ยันร่างออกจากอ้อมแขนเขา เงยหน้าขึ้นถาม

            “มาได้ยังไงคะ ไหนหมอบอกว่าต้องอยู่ที่นั่นตั้งสองปี”

            “คิดถึง” หมากย้ำอีกครั้ง “ลงจากเครื่องก็มานี่เลย อยากเจอหมอเอื้อเป็นคนแรก”

            หญิงสาวนึกขัน ห้องของเขาอยู่สูงขึ้นไปแค่สองชั้น ไม่ยักคิดจะเอาข้าวของไปเก็บก่อนค่อยลงมาหาเธอก็ยังทัน

            “แล้วทำไมถึงมาได้คะ” หญิงสาวถาม

            “ผมขอลาเขามา บอกว่ามีเรื่องสำคัญ...” หมากหยุดพูดนิดนึง เอื้อกานต์รอฟังอย่างตั้งใจ “จำเป็นต้องมาเป็นเพื่อนเจ้าบ่าว!”

            พอได้ยินเหตุผลนี้ หญิงสาวเกือบปล่อยเสียงหัวเราะ

            “เอ๊ะ...” ความสงสัยเกิดทันที “เพื่อนเจ้าบ่าว?”

            หมากพยักหน้ารับ แกล้งตีสีหน้าเคร่งเครียด จริงจัง

            “ท่านสารวัตรแอบเมลไปสั่งผม บอกว่า...ต้องมาเป็นเพื่อนเจ้าบ่าวให้ได้!”

            เท่านี้เอื้อกานต์ก็เข้าใจ ทำไมสองบ่าวสาวถึงเจาะจง คะยั้นคะยอ ให้เธอเป็นเพื่อนเจ้าสาว

            “แล้วหมอก็มา...?” หญิงสาวไม่อยากเชื่อ เขาจะยอมทิ้งงาน เดินทางข้ามทวีปมาเพราะเรื่องนี้

            “ไม่มาได้ยังไงล่ะ” หมากทำหน้ามุ่ย “ท่านสารวัตรเล่นขู่ว่า...ถ้าผมไม่มาเป็นเพื่อนเจ้าบ่าว พวกเขาจะพากันไปฮันนีมูนที่ประเทศมูเจน แล้วจะลากหมอเอื้อไปเที่ยวด้วย แถมยังบอกเสร็จสรรพว่า มีใครอยู่ที่ประเทศนั้น”

            เอื้อกานต์ไม่รู้จะหัวเราะขำขัน หรือแกล้งทำเป็นโกรธดี ใจหนึ่งอยากฟาดกบาลน้องชาย ที่เจ้ากี้เจ้าการไม่เข้าเรื่อง อีกใจก็นึกขอบคุณ ที่เขาทำให้รู้ว่า...ใครสามารถดึงเอาความเหน็บหนาว หดหู่ ออกไปจากใจเธอได้

            สุดท้าย เอื้อกานต์แค่ยิ้มน้อยๆ ด้วยไม่อยากสูญเสียวันเวลามีค่าที่ได้อยู่ร่วมกัน ไปกับเรื่องง้องอน ไร้สาระ

            “เข้ามาในบ้านเอื้อมั้ยคะ หรือจะเอาของขึ้นไปเก็บที่ห้องก่อน” หญิงสาวเอ่ยปากถามขณะยืนอยู่หน้าประตู

            หมากยิ้มกริ่ม แววตาบอกชัด ถ้าเขาจะเอาของขึ้นไปเก็บก่อน เรื่องอะไรต้องมารอเฝ้าเธออยู่ที่หน้าประตู

            ประตูห้องเปิด กลิ่นดอกไม้หอมอบอวลอย่างประหลาดลอยมากระทบ สองคุณหมอมองหน้ากันประหลาดใจ

            ยิ่งพอเข้ามาในห้อง กลิ่นหอมยิ่งรวยริน กรุ่นกำจาย อบอวลชวนกำซาบ ราวกับทั้งห้องปูด้วยกลีบดอกไม้ บรรยากาศสดชื่น เย็นสบาย ทั้งที่ภายในยังไม่ได้เปิดประตู หน้าต่าง หรือเครื่องปรับอากาศ

            หมาก เอื้อกานต์ มองรอบห้อง ใช้จิตแตะสัมผัสละอองกลิ่นความหอมประหลาดนั้น ใจได้คำตอบ รู้ที่มาของมันอย่างชัดเจน

            “คุณพลู...ใช่มั้ยคะ” คุณหมอสาวเอ่ยถาม ท่ามกลางกลิ่นหอมนั้นยังมีกระแสคลื่นอันคุ้นเคยแทรกอยู่จางๆ

            หมากพยักหน้า ก้มลงมายิ้มให้

            “พลูมันคงมาอวยพร...และเป็นพยาน เพราะรู้ว่าผมมานั่งรอหมอเอื้อด้วยเรื่องอะไร”

            “อะไรคะ” เอื้อกานต์เอ่ยอย่างสงสัย

            ชายหนุ่มยังไม่ตอบข้อสงสัย สายตากวาดไปรอบห้อง เห็นรูปทีเกื้อ เอื้อกานต์ ในวัยเด็ก ถ่ายกับคุณแม่และคุณตา ใส่กรอบตั้งอยู่บนชั้นโชว์

            “นั่นรูปคุณตากับคุณแม่ของหมอใช่มั้ยครับ” หมากถาม

            “ใช่ค่ะ” หญิงสาวตอบ ไม่แน่ใจว่าเขามีเจตนาอะไร

            “สารวัตรเขาบอกผมว่า ก่อนถึงวันแต่งงานจะพาว่าที่เจ้าสาวไปไหว้คุณตากับคุณแม่ที่ต่างจังหวัด”

            หมากบอก เอื้อกานต์จำได้ ทีเกื้อนัดกับเธอว่าจะไปไหว้กระดูกคุณตาคุณแม่ด้วยกันวันมะรืน

            “หมอเอื้อก็จะไปด้วยใช่มั้ย” หมากถามต่อ

            “ใช่ค่ะ นานๆ จะได้ไปกราบท่านสักที เกื้อมันอยากพาหนูดีไปไหว้กระดูกคุณตากับคุณแม่ก่อนวันแต่งงาน”

            เอื้อกานต์อธิบาย เห็นดวงตาหมากมองมามีแววอ่อนหวาน ซ่อนนัยบางอย่าง

            “ขอผมไปด้วยคนได้มั้ย” น้ำเสียงเขาแฝงคำขอร้องที่ใครก็ยากจะปฏิเสธ

            หญิงสาวเข้าใจทันที หมากคงรู้แล้วว่า ถ้าเธอกับทีเกื้อพาใครไปไหว้กระดูกคุณตากับคุณแม่ แสดงว่าคนคนนั้นมีความสำคัญต่อพี่น้องฝาแฝดอย่างยิ่ง

            “ก็...ไปสิคะ” เอื้อกานต์ตอบ รู้สึกขัดเขินเกินกว่าที่จะพูดเต็มปาก

            หมากยิ้มเต็มหน้า ดวงตาเป็นประกายสว่างสดใส

            “ขอบคุณมากครับ” น้ำเสียงเขาแฝงความยินดี ตื่นเต้นจนปิดไม่มิด “ก่อนจะไปกราบท่าน...ผมมีของบางอย่างจะให้หมอเอื้อ”

            “คะ?” เอื้อกานต์เงยหน้าสบตา พบแววหวานและกระแสอบอุ่นแผ่ออกมาจากใจเขา

            “ขอมือให้ผมได้มั้ย” หมากแบมือข้างหนึ่งออกมา

            หญิงสาวแอบอมยิ้มในใจ พอจะรู้ว่าเขาต้องการให้สิ่งใด จึงยื่นมือให้เขากุมกระชับไว้

            แทนที่ชายหนุ่มจะหยิบแหวนออกมาสวม เพื่อขอหมั้น หรือขอแต่งงานตามธรรมเนียมทั่วไป หมากกลับยกมืออีกข้างขึ้นมาประกบ เกาะกุมมือของเธอ

            เอื้อกานต์สบตา อ่านความรู้สึก แล้วได้รู้ชัด สิ่งที่หมากตั้งใจมอบให้ มีคุณค่ามากกว่าแหวนแต่งงานหรือสิ่งของมีค่าทั้งหลาย

            จุดสว่างเฉิดฉายจากกลางอกหมาก ไหลเป็นกระแสลำธารสีขาวสว่างไสวไปตามแขนทั้งสองข้าง แล้วลงมารวมยังสองมือที่ประกบ ก่อรัศมีสีขาวพร่าง สว่างโชน ฉายเรืองเป็นแฉกๆ ก่อนซึมลึกลงสู่มือหญิงสาวที่ถูกเกาะกุมไว้

            เอื้อกานต์รู้สึกถึงพลังสีขาวเข้มข้นของหมาก ไหลเข้ามาผสมผสานกลมกลืนกับพลังของตนที่ตั้งมั่นอยู่กลางอก คละเคล้าแสงสว่างจนกลายเป็นเนื้อเดียวกัน จากนั้นก็หมุนเวียนกลับคืนไปยังหมาก แล้วไหลย้อนมาหาเอื้อกานต์ สลับไปมาอยู่สองสามรอบ จนความรู้สึกสองหนุ่มสาวราวกับอยู่ในร่างเดียวกัน

            สุดท้าย พลังอันสว่างไสวก็ถูกเกลี่ยแยกเป็นสอง ไหลคืนให้แก่คนทั้งคู่อย่างทัดเทียม

            หมากเผยรอยยิ้มอบอุ่น มือยังเกาะกุมมือไม่คลาย

            “ผมรักหมอเอื้อ” คำบอกรักอ่อนโยน นุ่มนวล “วันนี้ ผมยังไม่มีแหวนมาขอแต่งงานอย่างคนทั่วไป แต่สิ่งที่ผมมอบให้ มันจะมีค่าสำหรับเราสองคน...มือแห่งการเยียวยา...ที่เราสองคนจะมีเหมือนกัน ผมจะเป็นครึ่งหนึ่งของหมอเอื้อ แล้วหมอเอื้อก็จะเป็นอีกครึ่งหนึ่งของผม...เราสองคนจะเป็นอีกส่วนของกันและกันตลอดไป”

            หัวอกเอื้อกานต์อัดแน่น เต็มตื้นจนพูดอะไรไม่ออก คาดไม่ถึง เขาจะมอบสิ่งมีค่าขนาดนี้มาให้

            ลำแสงอ่อนนวลขาวอมชมพูกระจายอยู่รอบห้อง กลิ่นดอกไม้ยังหอมอบอวล กำจายซาบซ่าน ดังจะเป็นการแสดงความยินดีจากพลู พยานรักผู้เดียวซึ่งไม่อาจปรากฏตัวให้เห็น

            “หมอเอื้อเคยบอกว่ารักผมที่หัวใจ...ผมเองก็รักหัวใจที่มหัศจรรย์ของหมอเอื้อเหมือนกัน”

            สองร่างแนบชิด มือเกาะกุมมือ สายตาประสาน ปราศจากวาจาใดจะเอ่ย...คำกล่าวสาบานรัก นั่นล้วนไม่จำเป็นเลย เมื่อต่างฝ่ายต่างรักษาหัวใจของกันและกันไว้ไม่คลาย

            กลิ่นหอมของดอกไม้ยังไม่จางไปง่ายดาย ความสว่างเฉิดฉายจากหัวใจมหัศจรรย์สองดวงยังคงอยู่

            ความรักอาจเชื่อมเส้นทางชีวิตสองคนเอาไว้ แต่ศรัทธา ความดีงาม จิตใจที่เอื้อเฟื้อ กว้างขวางเสมอกัน และสติปัญญาที่เห็นถูก ดำเนินบนรอยทางอันสว่างไสว จะยิ่งผนึกสองดวงใจเอาไว้นานแสนนาน ราวกับว่าทั้งคู่มีหัวใจเป็นหนึ่งเดียวกัน



จบบริบูรณ์



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP