วรรณกรรมนำใจ Lite Literature

ระบำเวท ๓๖


cover rabamvej


นวนิยายเรื่องนี้ เขียนขึ้นเพื่อความบันเทิง
หากมีชื่อ-สกุล เรื่องราวใดพ้องกับบุคคลจริง ต้องกราบขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย


ชลนิล




(ต่อจากฉบับที่แล้ว)

               

                ภายในสตูดิโอ ห้องส่งรายการ

                ไลลานั่งบนเก้าอี้ทรงสูง พาดกีตาร์บนตักเตรียมพร้อม ใบหน้าละมุน อ่อนโยนกว่าเคย ดวงตาทอประกายใสเย็นคล้ายลำธารน้อยกลางป่าใหญ่

                ทีเกื้อ เอื้อกานต์ หมาก นั่งอยู่ด้านข้างเวที สายตามองยังร่างที่โดดเด่นกลางแสงไฟ ปลายนิ้วก้อยของหมาก เอื้อกานต์ เกาะเกี่ยวกัน แทนสายใยเชื่อมโยงความรู้สึกเป็นหนึ่งเดียว สติ สมาธิ ของทั้งสองนิ่งสงบ ตั้งมั่นไม่แตกต่าง พร้อมที่จะเชื่อมกำลังไปยังสตรีผู้ทรงอาคมเบื้องหน้า

                กล้องพร้อม ผู้ร่วมรายการพร้อม ใกล้เวลาออกอากาศ

                นับถอยหลัง...ห้า...สี่...สาม...สอง...หนึ่ง...เปิดรายการ

                เสียงกีตาร์จากไลลาบรรเลงแผ่วพลิ้ว อ่อนหวาน ท่วงทำนองคุ้นหูคนฟังเพลงแนวโฟล์กซอง จังหวะดนตรีชักพาผู้ฟังให้เคลิบเคลิ้ม เสียงเพลงอันไพเราะแว่วมาผสานกับเสียงดนตรี

                “How many roadsmust a man walk down

                Before you call him a man?...”

                บทเพลงที่ไลลาเลือกมาขับขานเปิดรายการคือ ‘Blowing in the wind’

                เนื้อหาในบทเพลงลึกซึ้ง กินใจ ท่วงทำนองอันไพเราะ ถ่ายทอดออกมาจากความรู้สึกกรุณา หวังดี

                หมาก เอื้อกานต์ หลับตาลง ใช้จิตแตะสัมผัสกระแสเสียง อาคมสีขาวของไลลา ปลุกกระแสเมตตาในใจตนให้ก่อตัวเป็นพลังสีขาวขนาดใหญ่

                พลังสีขาวในใจหมากแผ่กว้างราวมหาสมุทร พลังสีขาวในใจเอื้อกานต์คล้ายแม่น้ำสายใหญ่ที่เดินทางมาแสนไกล เพื่อรวมลงเป็นหนึ่งเดียวกับมหาสมุทรเมตตาอันกว้างขวาง

                คลื่นสีขาวสองเส้นทางบรรจบ กลมกลืนรวมเป็นหนึ่งเดียว พุ่งเป็นมหากระแสคลื่นอันหลากล้น ผสานเข้าเป็นรอยเดียวกับอาคมสีขาวของไลลาที่ถูกถ่ายทอดขับขานด้วยเสียงดนตรี

                ไลลาหวังให้การรวมอาคมสีขาว และพลังการเยียวยารักษาของหมอหมาก เอื้อกานต์ ได้ผสานอยู่ในสายลม โพยพัดไปทั่วประเทศ ช่วยถอนอาคมที่ควบคุมไวรัส และรักษาอาการเจ็บป่วยแก่ผู้คนโดยไม่เลือกหน้า...

               

                พายุหมุนทั้งใหญ่เล็กกระจายหาย กระเบื้องหลังคาที่ปลิวว่อน แตกกระจาย กลับมาอยู่สภาพเดิม การต่อสู้ยกนี้ถือว่าเสมอ ไม่มีใครได้เปรียบเสียเปรียบใคร

                เฌอคิมซายังไม่ขยับไปไหน เช่นเดียวกับศัตรูคู่แค้น

                ทั้งคู่หลับตาลงในเวลาไล่เลี่ย จากนั้นด้านของเฌอคิมซาปรากฏมังกรขนาดใหญ่ ลำตัวแดงฉานด้วยพระเพลิงแลบแปลบปลาบ กางปีกบินร่อนฉวัดเฉวียน เปล่งประกายความร้อนแรงเจิดจ้า

                ธาตุไฟถูกนำมาใช้แปลงเป็นมังกรพระเพลิง หวังแผดเผาอีกฝ่ายให้มอดไหม้ไม่เหลือซาก

                ตูมินลืมตา ยิ้มเยาะ ฉับพลันที่เบื้องหลังบังเกิดสายลมหมุนอู้ ๆ ดูราวกับสายน้ำวนอันกว้างขวาง ปลามีปีกขนาดยักษ์ผุดขึ้นมาจากวังวนวายุนั้น ร่างมันวาวละเลื่อม แลทะลุได้ ดูออกว่ากอปรสร้างจากสายน้ำอันเย็นยะเยียบ แผ่ความเย็นอันน่าขนลุกออกมา

                ธาตุน้ำถูกนำมาใช้แปลงเป็นมัจฉาเนรมิต หวังให้พลังแห่งวารีดับพระเพลิงจนสิ้น เผด็จศึก ปิดบัญชีขั้นเด็ดขาด

                หนึ่งมังกรไฟ หนึ่งมัจฉาวารีที่มีทั้งปีกและหาง ต่างสะบัดร่างจู่โจมเข้าหากันชนิดไม่มีการรั้งรอ...

                การโรมรันต่อสู้ด้วยธาตุตรงข้ามทั้งสอง...น้ำกับไฟ...เป็นไปอย่างดุเดือด ตื่นตาตื่นใจ สรรพเสียงดังอื้ออึง บรรยากาศกดดัน อึมครึม ประกายไฟแตกสะเก็ดร่วงพรู หยาดละอองน้ำหล่นพราว

                แรงกระพือปีกของสัตว์เนรมิตทั้งสองรุนแรงจนเกิดสายลมควะคว้าง พึ่บพั่บ แรงลมกระทบกันกลายเป็นพลังมหาศาลตีโต้ชนิดไม่ยอมแพ้ สองร่างมหึมาแต่ปราดเปรียว ว่องไว หลบหลีกและจู่โจมทำร้ายในแง่มุมคาดไม่ถึง

                ผู้บัญชาการทั้งสองต่างเงยหน้ามองดูนักรบของตนออกศึกด้วยสีหน้านิ่งสงบ สายตาคมปลาบ ปลายนิ้วชี้สั่ง ส่งสัญญาณ กำกับการต่อสู้อย่างช่ำชอง ไม่มีใครอ่อนด้อยกว่าใคร

                ทรงกลดดูอยู่ห่างๆ เห็นมังกรไฟ มัจฉาวารี ต่อสู้กัน โดยมีแผ่นฟ้ายามอัสดงเป็นฉากหลัง เห็นแล้วชวนให้หลงคิดว่าอยู่ในจินตนาการความฝันที่ยากจะตื่น

                จอมเวททั้งสองยืนเด่นบนยอดหลังคา เงาร่างดำเข้มตัดกับขอบฟ้า ดูแล้วยากตัดสินใครเหนือกว่าใคร ทั้งความสง่างาม บารมีน่าเกรงขาม ล้วนไม่อ่อนด้อยน้อยกว่ากัน

                การต่อสู้อาจยืดเยื้ออีกนาน ถ้าไม่บังเกิดเสียงดนตรีหนึ่งลอยมาแว่วๆ ท่วงทำนองไพเราะ เสียงขับขานอ่อนหวาน แฝงกระแสของการไถ่ถาม เตือนสติ

                How many seas must a white dove sail

                Before she sleeps in the sand?

                How many time must the cannon balls fly

                Before they’re forever banned?”

               

                “นางนวลเจ้า...ต้องบินผ่านอีกกี่ย่านมหาสมุทร

                ถึงจะได้หยุดพัก เปลื้องภาระบนหาดทรายแสนสุขสม

                จะต้องให้ปืนใหญ่ลั่นกระสุนอีกสักกี่ลูก สังเวยชีวิต อีกกี่คน

                ก่อนจะมีคำสั่งให้มัน...หยุดยิงเป็นการถาวร

               

                เสียงของไลลาแทรกเข้ามาในโลกเสมือนจริง แดนแห่งอาคม สิ่งที่ขับขานคือการไถ่ถามคู่อริทั้งสองฝ่าย

                ...ติดตาม...ไล่ล่า...กันมาแสนนาน...

                ไม่เคยคิดจะหยุดพัก บ้างหรือไร?

                จะต้องต่อสู้กันไปอีกนานแค่ไหน

                ถึงจะยอมเข้าใจ...รามือ...สงบศึกกันเสียที

               

                “The answer, my friend, is blowin’ in the wind

                The answer is blowin’ in the wind”

                ทรงกลดนึกอยากถอนใจ...หรือคำตอบนั้น จะปลิวหายไปกับสายลมจริงๆ

                ขณะที่เผลอสติ วูบหนึ่งเขารับรู้ถึงพลังบางอย่างแทรกซึมเข้ามาในแดนแห่งนี้เช่นกัน พลังสีขาวอันสว่างเจิดจ้า กอปรด้วยแรงเมตตาที่เขารู้จัก คุ้นเคย จากคนสองคน...เอื้อกานต์ หมาก...พลังแห่งการเยียวยา รักษา

                คลื่นเสียงเพลง พลังการเยียวยา รักษา กระจายเข้ามายังแดนเวทมนตร์ บังเกิดผลกระทบต่อการหักหาญ ต่อสู้อย่างเกินจะคาดถึง

                มัจฉาวารีขยายขนาดนับสิบเท่า พลังในตนเพิ่มพูนชั่วพริบตา อ้าปากส่งเสียงร้องดัง...อา...อา...อา...สะเทือนลั่น กระพือปีกรุนแรง ร่างทั้งร่างเป็นเหมือนวายุน้ำพุ่งเข้าปะทะมังกรไฟ ตัดสินผลการต่อสู้ภายในชั่วพริบตาเดียว

                พรึ่บ...ซ่า...

                มังกรไฟเลือนหาย หยาดละอองน้ำแผ่กระจาย ครอบคลุมเป็นม่านใส

                ตูมินเหยียดกายยืนสง่า อำนาจบารมีเพิ่มพูนจนน่าตระหนก

                เฌอคิมซามองฝ่ายตรงข้ามแน่วนิ่ง...กับความพ่ายแพ้ที่ปรากฏ มีผลสะเทือนต่อจิตใจอย่างรุนแรง

                ทรงกลดนึกเป็นห่วงอาจารย์ อีกทั้งเกิดความสงสัย อะไรทำให้ตูมินพลิกเกมเป็นฝ่ายชนะรวดเร็วขนาดนี้?

                ...ไลลาและพลังการรักษาจากหมาก เอื้อกานต์!

                ไลลาถอนอาคมที่ควบคุมไวรัส พลังการรักษาของหมาก เอื้อกานต์ ก็ช่วยเยียวยาคนป่วย ทั้งสองสิ่งมากับเสียงเพลง ผสานในสายลม อาศัยคลื่นโทรทัศน์แผ่กระจายทั่วประเทศให้แก่ผู้โดนไวรัสอาคมอย่างไม่เลือกหน้า

                ตูมินย่อมได้รับการถอนอาคมและรักษาเช่นเดียวกัน

                เมื่อพิษสลาย อาคมอำนาจฟื้นคืน ผลการต่อสู้จึงปรากฏทันที!

                ที่เฌอคิมซาสู้เสมอกับตูมินมานานขนาดนี้ เพราะอีกฝ่ายบาดเจ็บ พลังลดหายไปมาก พอตูมินได้รับการรักษา หายจากอาการบาดเจ็บ จึงพลิกเกม เอาชนะคู่ต่อสู้ได้ง่ายๆ

                หลังจากนี้จะเกิดอะไรขึ้น?

                ทรงกลดถอนจิตจากสมาธิ...โลกเสมือนจริงไม่ใช่สนามรบอีกต่อไปแล้ว

               

                ร้านกาแฟยังไม่ใช่สนามรบ

                ทรงกลดลืมตา จิตถอนจากสมาธิ เห็นตูมินและอาจารย์ของตนนั่งนิ่ง ประจันหน้ากัน เปลือกตาปิดสนิท แสดงว่ายังไม่กลับจากโลกเสมือนจริง

                สีหน้าตูมินมีร่องรอยกระหยิ่มของผู้ชนะ รังสีอำมหิตฉายฉาน ทรงกลดเห็นแล้วชวนหวั่นใจ ขณะที่ใบหน้าอาจารย์ของเขามีเหงื่อผุดพราว ซีดเผือด นัยน์ตายังหลับ ลมหายใจผะแผ่ว บอกถึงจิตใจอ่อนล้า ท้อถอย

                คลื่นอาคมที่หักหาญ กระจายรอบร้าน อ่อนกำลังลง ผู้คนด้านนอกใช้ชีวิตตามปกติ ทรงกลดขยับตัวลุกจากเก้าอี้ ก้าวไปยังโต๊ะคู่ต่อสู้ช้าๆ ระบายลมหายใจแผ่ว รวบรวมกำลังสมาธิมั่น ในแต่ละก้าวที่ย่าง จิตค่อยสะสมพลังขึ้นมาทีละน้อย จนเกือบเต็มร้อย สมบูรณ์เท่าที่ผู้ฟื้นอาคมจะมีกำลังได้

                เขาเชื่อว่าเมื่อตูมินลืมตา การตัดสิน สะสางบัญชีสุดท้ายต้องเกิดขึ้น สภาพของเฌอคิมชา อาจารย์เขา เป็นเช่นนี้ ย่อมไม่อาจรับมือ ลูกศิษย์เช่นเขามีหน้าที่ปกป้อง ทุ่มเทความสามารถสุดกำลัง อย่างน้อยต้องเปิดโอกาส หาทางให้อาจารย์หนีจากที่นี่ได้สำเร็จ

                ทรงกลดทรุดนั่งบนเก้าอี้ข้างเฌอคิมซา เตรียมกำลังพรักพร้อม สติสมาธิเต็มเปี่ยมบริบูรณ์

               

                ตูมินลืมตา เห็นชายหนุ่มอีกคนนั่งเคียงข้างศัตรู แผ่เกราะอาคมคุ้มกายด้วยพลังอำนาจไม่ธรรมดา จึงยิ้มไม่ใส่ใจ ยื่นมือหยิบกาน้ำชารินใส่ถ้วยให้ตนเอง ก่อนยกขึ้นจิบช้าๆ ท่วงท่าสบายอารมณ์ แววตาพึงใจในชัยชนะ เหลือบมองคู่ต่อสู้ตรงหน้าที่ยังนั่งนิ่ง ลืมตาขึ้นแล้วแต่ไม่ขยับกาย สีหน้าแววตาครอบคลุมด้วยม่านหมอกความรู้สึกบางๆ ยากอธิบาย

                “ปิดบัญชีตอนนี้เลยดีหรือไม่”

                ตูมินพูดลอยๆ ไม่เจาะจงให้คนหนุ่มหรือคนแก่รับฟัง สำหรับเขา ต่อให้สองศิษย์อาจารย์ร่วมมือกันยามนี้ ก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขาอยู่ดี

                การต่อสู้มันจบลงแล้ว ผลปรากฏชัด ตูมินชนะ...เฌอคิมซาแพ้!

                ตูมินนึกครึ้มใจ ปิดบัญชีแบบไหนถึงจะสาสมใจ?

                เวลากว่าครึ่งศตวรรษที่ปล่อยหน่อเนื้อมูจนะสายเปอร์เซียมีชีวิตรอด คงเพียงพอแล้วกระมัง

                ปิดบัญชีแบบรวบรัดเลยดีกว่า...

                น้ำชาล่วงเข้าลำคอ จิตใจรื่นรมย์ มือเริ่มขยับ พลังอันแหลมคมพุ่งปะทะเกราะอาคมของทรงกลด...

               

                พ่ายแพ้...คำนี้กังวานก้องในหัวเฌอคิมซา

                พ่ายแพ้ทั้งที่ทุ่มเทสติปัญญา ความสามารถทั้งมวล ลงเดิมพัน ต่อสู้...ความพ่ายแพ้ครั้งนี้ย่อมเป็นบาดแผลฝังลึกในใจจนตาย

                ขณะระลึกถึงความตาย พลังปราณอันแหลมคมของตูมินก็พุ่งมาปะทะเกราะอาคมของทรงกลด เกิดแรงสะเทือนไหว ทำให้เฌอคิมซาผงกศีรษะมองดูรอบๆ เห็นการต่อสู้ระหว่างลูกศิษย์ข้างกายกับศัตรูตรงหน้า

                จิตใจเขาชืดชา หมดความคิด เรี่ยวแรงต่อสู้ เห็นทรงกลดพยายามเร่งเร้าพลังในตนต่อต้าน รุกรบฝ่ายตรงข้ามเต็มกำลัง รู้ว่าไม่คาดหวังชัยชนะ แต่กำลังสร้างโอกาสเพื่อให้อาจารย์เช่นเขาหลบหนี

                ฝีมือระดับเฌอคิมซาแม้สู้ไม่ได้ แต่ถ้าแค่หลบหนี...ขอเวลาเพียงอึดใจเดียว รับรองตูมินย่อมตามไม่เจอ ทรงกลดรู้ความสามารถนี้ จึงตั้งใจเข้ามาต่อสู้เพื่อซื้อเวลาให้แก่อาจารย์ของตน

                ...เขาต้องการโอกาสที่ลูกศิษย์ทุ่มเทความสามารถซื้อมาให้เช่นนั้นหรือ?

                เฌอคิมซาตอบไม่ถูก ไม่รู้ใจตนเองยามนี้ต้องการอะไร ทั้งที่รู้ ทรงกลดยอมเสี่ยงตายขนาดนี้ เขาก็ยังไม่อยากขยับตัว หาหนทางหลบหนี

               

                ทรงกลดต่อสู้กับตูมินด้วยกำลังทั้งหมดที่มี ก็ยังรู้สึกถึงความห่างชั้นจนน่าหวั่นใจ หนำซ้ำเขายังอ่านใจฝ่ายตรงข้ามออก ตูมินเจตนาเก็บเขาพร้อมกับอาจารย์ในคราวเดียว

                ชายหนุ่มรู้ว่าจิตใจอาจารย์หดหู่ หมดความคิดต่อสู้ กระทั่งไม่ต้องการหลบหนี พลังของตูมินเพิ่มแรงกดดันขึ้นเรื่อยๆ อีกเพียงแค่ไม่กี่อึดใจ เกราะอาคมคงถูกทำลาย ทั้งเขาและอาจารย์ไม่รอดแน่

                เหลือเส้นทางเดียว...ทรงกลดสะกดใจ ขบริมฝีปากแน่น เส้นทางนี้เขาไม่ต้องการเลือก แต่ไม่มีทางเลี่ยง...

                แววตาตูมินเปล่งประกายอำมหิต พลังกล้าแข็งจู่โจมรุนแรง จิตใจเฌอคิมซายังอ่อนล้า ทรงกลดตัดสินใจเด็ดขาด ไม่ว่าผลจะเป็นเช่นไร เขาต้องเลือกเส้นทางนี้...

                พลังอาคมขั้นสูงสุด มนตราที่ต้องการลืมเลือน ถูกทบทวนนำมาใช้...เพื่อช่วยชีวิตอาจารย์ผู้มีพระคุณ ต่อให้เขาต้องกลายเป็นอสูรอีกครั้งก็ยอม!

                มนตราเกรี้ยวกราด อาคมรุนแรงเข้มข้น ก่อเกิดพลังมหาศาลเข้าปะทะจนตูมินไหวเยือก ใบหน้าทรงกลดเริ่มมีม่านดำครอบคลุมจางๆ พลังมืดขั้นสูงสุดกำลังปรากฏ สติทรงกลดค่อยเลือนราง ปล่อยให้อสูรร้ายย่างกรายควบคุมทีละน้อย

                พลังของทรงกลดยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ ฝืนใช้อาคมขั้นสูงสุด อสูรทรงกลดครั้งนี้จึงไม่สามารถสังหารตูมินได้ อย่างมากทำให้อีกฝ่ายแค่บาดเจ็บ อาจหลีกหนีไปเอง ส่วนตัวเขาจะถูกอสูรครอบงำ และอาจโดนพลังตอบโต้ของตูมินทำร้ายถึงขั้นเสียชีวิต...มันคุ้มค่าหรือไม่

                ทรงกลดไม่มีสิ่งใดให้ห่วงอีกแล้ว

               

                เฌอคิมซารับรู้ถึงอันตรายทั้งหมด ใจเขาหายวาบ ความรู้สึกรักและเป็นห่วงลูกศิษย์คนเดียวบังเกิดขึ้นมาแรงกล้า

                มองดูดวงตาทรงกลด เห็นสีดำครอบงำเกือบมิด

                ไม่จำเป็นต้องเสียเวลาคิดมากความ เฌอคิมซาตวัดมือคว้าท่อนแขนทรงกลดไว้ จ้องเข้าไปยังดวงตาดำมืด ก่อนรวบรวมพลังทั้งมวลส่งเป็นกระแสจิตแรงกล้า เข้าฉุดรั้งสติทรงกลด ตะโกนก้องเรียกให้พ้นจากการครอบงำของอสูรร้าย

                ...หยุดเถอะ...ไม่ต้องแล้ว...ยอมแพ้!

                ...แพ้ก็ได้...ไยต้องยอมสูญเสียขนาดนี้!

                พลังอสูรทรงกลดพุ่งเป็นลำกล้าแข็ง พุ่งใส่ตูมินจนกระอัก ลมหายใจขาดห้วงชั่วขณะ

                ส่วนมือเฌอคิมซาก็กระทบกับพลังรุนแรงจากแขนทรงกลด กระแทกเปรี้ยงออกมา ทำเอาผงะหงาย รู้สึกมีกระแสไฟฟ้าแล่นปลาบในหัว...บางสิ่งที่อุดตัน บังตามานาน ถูกกระชากออกโดยไม่ทันตั้งตัว

                ความพ่ายแพ้สร้างบาดแผลในใจรุนแรงนักหรือ?

                ชัยชนะ...พ่ายแพ้...สำคัญอย่างไร?

                สองคำถามดังก้องออกมาจากสติ ส่วนลึกในใจ ระลึกถึงถ้อยคำทีเกื้อที่เคยคุยกันในสวนสาธารณะ

                ‘ศาสตร์บริสุทธิ์’

                ...ไม่มีสี ไม่ใช่ขาว ไม่ใช่ดำ ไม่ใช่ดี ไม่ใช่ชั่ว มันคืออะไร?

                เคยคิดเท่าไรก็ไม่ได้คำตอบ ไม่ว่าจะใช้สติปัญญาพลิกแพลง ศึกษามองดูในแง่มุมต่างๆ ก็มีข้อติดขัด มีกำแพงหนาที่ไม่อาจพังมันลงไปได้ จนกระทั่งถึงวินาทีนี้

                ‘...ไม่ว่าจะมีข้อสงสัยใดๆ ให้รวมลงมาดูที่ใจตัวเอง’ คำพูดทิ้งท้ายจากทีเกื้อดังก้องขึ้นมาในหัว

                ...ดูที่ใจตัวเอง...

                จิตใจติดข้อง ณ จุดใด กำแพงหนาขวางกั้นอยู่ตรงไหน

                การต่อสู้เอาชนะ...การแก้แค้น...ความยึดถือในผล...ชัยชนะ...พ่ายแพ้

                เฌอคิมซาสงบ ตั้งมั่น กระทำตนเป็นผู้ดู...ดูในมุมของความเป็นจริง

                ขาว-ดำ สลับสับเปลี่ยนเป็นแค่สีสันชั่วคราว ดี-ชั่ว เกิด-ดับ แปรเปลี่ยนทุกขณะจิต แค่สภาวะทางใจไม่นาน พ่ายแพ้-ชัยชนะ หมุนเวียนสับเปลี่ยน ไม่มีใครเป็นเจ้าของตลอดกาล

                ยึดถือพวกมัน...พวกมันก็พันธนาการจิตใจ

                ชัยชนะหรือพ่ายแพ้ แก้แค้นหรืออโหสิ ก็แค่เรื่องชั่วคราว ลวงใจให้ยึดถือ ผูกใจตนเองให้เป็นนักโทษ

                มองเห็นเรื่องราว สิ่งต่างๆ ที่ผ่านเข้ามาในชีวิตเป็นแค่ภาพลวงตา

                เป็นมายาที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป เปลี่ยนแปลงเสมอ ไม่มีความคงทน

                จิตเกิดการ ‘ยอมรับความจริง’ อย่างง่ายดาย ไม่ขัดฝืน

                พอจิตยอมรับความจริงของชีวิตได้ ชัยชนะ-พ่ายแพ้ ความเป็น-ความตาย ก็แค่เศษฝุ่นเศษดินที่ติดปลายรองเท้าเท่านั้น

                สติปัญญาเรียงลำดับเรื่องราวต่างๆ ในหลายสิบปีที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความคับแค้น เจ็บช้ำ ทรมานใจ เรื่องที่ต้องทนทุกข์ ผ่านความบ้าคลั่ง งมงาย หลงติดยึดกับเงาในอดีต หล่อเลี้ยงความอาฆาตแค้นไว้ จนเป็นกรงความทุกข์กักขังใจ

                เมื่อใจเห็นความหลงติดยึด เห็นความโง่งมงายเป็นเหมือนขยะเหม็นเน่า ไม่น่าเก็บเอาไว้อย่างแท้จริง จิตก็สลัดความอาฆาตแค้น ความเป็นความตาย ออกไปจากใจโดยไม่เหลือเยื่อใย

                ทั้งหมดที่ผ่านเข้ามาในหัว ใช้เวลาเพียงชั่วแล่น...ปลาบเดียวที่โดนกระแทกจากพลังของอสูรทรงกลด

                เฌอคิมซาตื่นขึ้นมาในอีกโลกหนึ่ง ซึ่งตนไม่คิดว่ามันจะอยู่ใกล้ขนาดนี้ โลกที่ปลอดโปร่ง โล่งสบาย โลกที่ใจไม่ยอมเกาะเกี่ยวขยะความแค้นมาแขวนไว้ให้เป็นทุกข์อีกต่อไป

               

                ทรงกลดรู้สึกตัว เห็นมือเฌอคิมซาที่เกาะท่อนแขนตนเองค่อยคลายออก เสียงระบายลมหายใจแผ่วเบา บอกถึงความรู้สึกปลอดโปร่ง ไม่เหลือสิ่งค้างคา หันมองตูมิน พบว่าฝ่ายตรงข้ามกำลังจ้องมองเขาด้วยแววตาประหลาด ครุ่นคิด

                ตูมินไม่ได้รับบาดเจ็บมากมาย แค่แปลกใจกับพลังมืดของชายหนุ่ม เหลือบสายตามาทางเฌอคิมซา สบกับแววตาที่แปรเปลี่ยนจากมืดดำ ขุ่นมัว กลายเป็นอ่อนใส ร่มเย็น สว่างอย่างรู้ตื่น ไม่เหลือร่องรอยพันธนาการความแค้นใดมาค้างคาใจอีก

                ริมฝีปากเฌอคิมซาขยับรอยยิ้มอ่อนๆ ก่อนเอื้อมมือหยิบกาแฟที่เย็นชืดตรงหน้ายกขึ้นดื่มอย่างมีความสุข พอวางถ้วยกาแฟก็หยิบปาท่องโก๋เย็นแข็งขึ้นฉีกกินอย่างสบายใจ

                กาแฟ ปาท่องโก๋หมด เฌอคิมซาก็ขยับนั่งตัวตรง พร้อมกับก้มค้อมศีรษะด้วยกิริยาของผู้น้อยพึงกระทำต่อผู้อาวุโส

                “ขอบคุณสำหรับอาหารมื้อนี้ สำหรับเรื่องเก่าที่ผ่านมา เลิกแล้วต่อกัน!”

                ตูมินมองอีกฝ่ายอย่างไม่เข้าใจ พยายามสแกนดูสภาวะจิตฝ่ายตรงข้าม ค้นหาว่ามีเล่ห์เหลี่ยม กลโกงใดเพื่อพลิกสถานการณ์เอาชนะหรือไม่

                ...เฌอคิมซานี่นะ จะขอยกเลิกความแค้นง่ายดาย?

                ...ไม่มี...เฌอคิมซาไม่มีเล่ห์กล ไม่มีอคติคิดร้ายต่อเขาแม้สักน้อย ทุกวาจามาจากใจจริง

                เช่นนั้นเขาควรจัดการกับสองศิษย์อาจารย์คู่นี้อย่างไร จะฆ่าให้สิ้นซากเดี๋ยวนี้ดีหรือไม่?

                ไม่! เขาไม่มั่นใจ หากชายหนุ่มตรงหน้าใช้พลังมืดขั้นสูงสุด ร่วมมือกับเฌอคิมซา เขาคงเอาชนะพวกมันลำบาก ต่อให้ได้ชัย ตัวเองก็อาจได้รับบาดเจ็บสาหัส

                เช่นนั้นควรหาทางออกอย่างไร

                ขณะตูมินลังเล ครุ่นคิด ก็มองเห็นจิตใจเฌอคิมซาเปิดกว้าง ไม่เหลือหลืบมุมซุกซ่อนแผนการร้าย อีกทั้งยังเห็น ‘ความสุข’ ฉายเรืองในใจศัตรูตรงหน้า เป็นความสุขที่เขาไม่รู้จัก...ไม่เคยสัมผัสเลยตลอดชีวิต

                ตูมินถอนใจด้วยความอึดอัด ถ้าฆ่ามันให้ตายในขณะที่มีความสุขประหลาดหล่อเลี้ยงใจแบบนี้ ก็ไม่สาแก่ใจนัก ปล่อยมันไปก่อนเถอะ อย่างน้อยศึกครั้งนี้ก็นับว่าเขาเป็นผู้ชนะอยู่แล้ว

                เพียงแต่น่าแปลก เขาเป็นผู้ชนะแท้ๆ ทำไมจิตใจถึงไม่มีความสุขเช่นนั้นบ้าง?

                หัวใจมันทึบๆ ตันๆ ไม่เห็นปลอดโปร่งโล่งสบาย อธิบายไม่ถูก

                ครุ่นคิดเท่าไรก็ไม่ได้คำตอบ สายตาจ้องมองสองศิษย์อาจารย์ ประเมินน้ำหนักต่างๆ ในใจ จะสู้ต่อก็ไม่มีประโยชน์ เชื่อว่าวันนี้คงยากจัดการเฌอคิมซากับลูกศิษย์...เกิดผลเสียมากกว่าผลดี

                สุดท้ายจึงลุกจากโต๊ะ เดินลับเร้นกายหายไปในหมู่ผู้คนเสียเฉยๆ ...ไม่อาจบอกได้ว่าจะกลับมาเผชิญหน้าพวกมันอีกเมื่อไร แต่อย่างน้อย ก่อนที่จะเจอเฌอคิมซาอีกครั้ง เขาต้องหาคำตอบให้ได้...ความสุขที่เกิดในใจศัตรูเช่นนี้มันคืออะไร

                ถ้าความสงสัยนี้ยังติดค้างอยู่ เขาคงสังหารมันอย่างไม่สนุกสาแก่ใจ

                ตูมินไม่อาจรู้เลยว่า ปัญหานี้จะยังคงติดตามกวนใจเขา...สุดยอดจอมเวท ไปอีกนานแสนนาน...

               

                ทรงกลดถอนใจยาวหลังจากเห็นตูมินจากไป มองใบหน้าอาจารย์ รับรู้ถึงความปลอดโปร่ง ปลดวางภาระในใจหมดสิ้น จึงยิ้มออกมาด้วยความยินดี

                “ไม่น่าเชื่อ ว่าฉันจะหลงงมงาย โง่เง่าอยู่นานเป็นครึ่งศตวรรษอย่างนั้น” เฌอคิมซาบอกความในใจต่ออดีตลูกศิษย์โดยไม่กล่าวถึงจอมมารร้ายที่เพิ่งจากไปแม้สักคำเดียว

                “ผมยินดีด้วยครับ” ทรงกลดรู้ว่าความสุขในใจอาจารย์นั้นไม่แปลกปลอม เพียงตอบไม่ถูก ความสุขเช่นนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร

                “มีงานชิ้นนึงที่ฉันควรทำมาตั้งหลายสิบปีแล้ว ถ้าไม่มัวมาโง่งมงายเสียก่อน”

                “งานอะไรครับ” ทรงกลดถาม

                เฌอคิมซายิ้มละไม ดวงตาทอประกายแทนคำอธิบาย

                ทรงกลดอ่านความหมาย ความต้องการผ่านดวงตาผู้เป็นอาจารย์ออก จึงพยักหน้าเห็นด้วย

                “ถ้าเป็นเรื่องที่อาจารย์กำลังคิดอยู่ ผมก็เห็นด้วยครับ” เขาตอบ

                “งานชิ้นนี้มันหนัก ยาก และต้องใช้เวลามาก ฉันคงทำคนเดียวไม่ไหว...เธออยากไปช่วยฉันมั้ย” เฌอคิมซาออกปากถาม

                ทรงกลดนิ่งคิดครู่หนึ่ง หัวคิ้วขมวดมุ่น เขารู้ว่างานที่ผู้เป็นอาจารย์ต้องการสะสางก่อนตายคืออะไร...มันเป็นงานที่ยาก และต้องใช้เวลานานจริง ๆ เขาพร้อมที่จะช่วยเหลือท่านหรือไม่

                สุดท้ายสีหน้าชายหนุ่มก็คลายลง รอยยิ้มระบายอย่างเต็มใจ ยอมรับ

                “ตกลงครับ ผมยินดีช่วย”

                “ดีมาก...งั้นฉันขออะไรเธออีกอย่างได้มั้ย”

                “อะไรครับ” ทรงกลดสงสัย

                “นับจากวันนี้ ไม่ว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นมา ห้ามใช้อาคมขั้นสูงสุดอีก”

                อาคมขั้นสูงสุดเป็นแนวทางอาคมที่เขาแนะนำลูกศิษย์เอง อีกทั้งครั้งหนึ่งยังนึกยินดีที่ศิษย์ตนฝึกฝนสำเร็จ ตั้งใจใช้พลังเช่นนี้ล้างแค้น แต่ทว่า...วันนี้จิตใจของเขาเปลี่ยนไปแล้ว

                ทรงกลดอึ้ง ไม่กล้ารับปากทันที ตูมินยังมีชีวิตอยู่ ถ้าต้องเผชิญหน้ากันเพื่อช่วยผู้มีพระคุณ เขาจะยอมดูดายได้หรือ

                เฌอคิมซาเข้าใจความรู้สึกของลูกศิษย์

                “ฉันยอมตายอย่างคนธรรมดา ดีกว่าให้อสูรร้ายครอบงำ” คำพูดผู้เป็นอาจารย์บอกชัด...ต่อให้ต้องตาย ก็อย่าให้มนตร์ดำ อสูรร้าย ครอบงำอีก

                “ตกลงครับ” ทรงกลดรับปาก ในเมื่ออาจารย์เป็นผู้แนะนำแนวทางวิชานี้เอง เมื่อท่านสั่งห้ามเด็ดขาด เขาก็ยินยอมเชื่อฟัง กระทำตาม

                เฌอคิมซายิ้มพลางเอื้อมมือตบไหล่ชายหนุ่มหนักๆ

                “ขอบใจมาก ไอ้ลูกชาย!”

                ทรงกลดเบิกตากว้าง งุนงงต่อคำเรียกขานนั้น

                เฌอคิมซามองตอบด้วยแววตาเปี่ยมเมตตา อ่อนโยน

                “ไอ้ลูกชาย...ฉันอยากเรียกเธออย่างนี้มานานแล้ว”

                หัวใจชายหนุ่มเต็มตื้น อบอุ่น ตั้งแต่ชีวิตผกผัน พลิกจากหนุ่มอนาคตไกลมาเป็นมือสังหาร หลายปีที่ผ่านมาเขามีแต่อาจารย์คนนี้เป็นที่พึ่ง ส่วนลึกในใจนับถือชายคนนี้เหมือนบิดามานานแล้ว

                พอได้ยินคำเรียกขานอันอบอุ่น แทนการยอมรับเช่นนี้ ทรงกลดรู้สึกเหมือนตนเองเป็นคนเดินทางที่เหน็ดเหนื่อยมาแสนไกล แล้วกลับมาถึงบ้าน ได้พบพ่อแม่ ญาติพี่น้องรอคอยอยู่พร้อมหน้า

                “ครับ...อาจารย์...พ่อ...” คำลงท้ายบอกถึงจิตใจที่มีความเคารพ นับถือ พร้อมจะร่วมทางกับผู้เป็นอาจารย์และบิดาคนใหม่นี้อย่างเต็มใจ

               

                ไลลากรีดกีตาร์สายสุดท้ายทิ้งเสียงดนตรีกังวานแทนการสั่งลา ดวงจิตครอบคลุม แผ่กว้าง ญาณหยั่งรู้บอกกลับมาว่า เสียงดนตรี บทเพลงที่ผสานยาถอนอาคม กระจายกว้างไกล ทำงานสำเร็จด้วยดี พลังของหมากและเอื้อกานต์ก็ช่วยเยียวยารักษาผู้คนเกือบทั้งหมดให้พ้นขีดอันตราย

                กับคนทั่วไป ไลลาไม่ใส่ใจนัก เธอรู้ว่าการถอนอาคมไวรัสครั้งนี้มีผลกระทบกับการต่อสู้ครั้งสำคัญของชายคนรัก แต่เธอก็ยอมเสี่ยง ด้วยเชื่อมั่นในตัวเขา ในหัวใจนักสู้นั้น

                และสุดท้าย...ฮันเตอร์...หรือเฌอคิมซา ก็ไม่ทำให้เธอผิดหวัง

               

                สิ้นเสียงดนตรีเปิดรายการ กระแสคลื่นแห่งการเยียวยาจากหมาก เอื้อกานต์ ก็สิ้นสุดลง ช่วงเวลาไม่กี่นาทีของหนึ่งบทเพลง ทำให้ความรู้สึกสองหนุ่มสาวผสานเป็นหนึ่งเดียว ถ่ายทอดความปรารถนาดีร่วมกันออกไปกว้างไกล รู้สึกเนิ่นนานราวกับเป็นเวลาที่ยากกำหนด

                เมื่อเพลงจบ กระแสพลังขาดหาย ความรู้สึกภายในของสองคุณหมอบังเกิดความว่างเปล่า กลวงโหวง เหน็ดเหนื่อยอ่อนเพลียเกินระงับ เหนื่อยยิ่งกว่าเคยเหนื่อย เพลียเหมือนใช้พลังชีวิตทั้งมวลจนหมดไม่มีเหลือ

                เอื้อกานต์หันไปยิ้มเซียวๆ กับหมากที่อยู่ข้างกาย

                “เหนื่อยจัง ขอเอื้อพิงไหล่หน่อยนะ”

                “ได้สิ” หมากก้มลงมายิ้มสวย ดวงตาฉายแววอิดโรยไม่แพ้กัน “ผมยอมให้หมอเอื้อพิงไหล่ได้ตลอดชีวิตเลย”

                เอื้อกานต์ยิ้มตอบ เอื้อมมือลูบเคราเขาเบาๆ ปลายนิ้วสัมผัสผิวแก้มสากๆ ขยับจ่อริมฝีปากที่ข้างใบหู แล้วกระซิบเสียงแผ่วเบา

                “เอื้อรักหมอ...” พูดจบค่อยเอนพัก พิงไหล่เขาอย่างวางใจ

                ดวงตาหมากทอประกายยินดี สว่างด้วยรอยยิ้มเบิกบาน...ชั่วครู่มันค่อยหรี่ลงทีละน้อย ด้วยเรี่ยวแรงในกายถูกสูบหายจนสิ้น

                “แต่ผมรักหมอเอื้อมากกว่า...” เขายังพยายามกระซิบตอบหญิงสาว

                เอื้อกานต์จะได้ยินคำพูดบอกรักครั้งที่สองของเขาหรือไม่...หมากตอบไม่ได้ เพราะเขาก็ค่อยๆ เอนศีรษะพิงศีรษะหญิงสาวอย่างแผ่วเบา รู้สึกราวสองร่าง สองหัวใจ รวมเป็นหนึ่งเดียว

                คลื่นความสุขอันอบอุ่น สงบเงียบ กระจายออกไปโดยรอบ ยากที่จะมีใครสำเหนียกรู้สึกได้ นอกจากผู้ที่มีหัวใจรักอันอบอุ่น เฉกเช่นเดียวกัน

               

               

               

ตอนที่ ๓๐

               

                เจ็ดเดือนผ่านไป

                คลินิกคนยากมีผู้ป่วยมาใช้บริการประปราย ส่วนใหญ่เป็นโรคทั่วไปประเภทปวดหัว ปวดท้อง เป็นไข้ พวกที่อาการหนักหรือโรคที่ต้องอาศัยแพทย์เฉพาะทาง ก็รู้ว่าควรไปรักษาที่โรงพยาบาล

                หลายเดือนที่ผ่านมา อาจารย์หมอ เจ้าของคลินิกไม่อยู่ เขียนจดหมายบอกลุงไม้ว่าต้องไปต่างประเทศหลายปี สั่งให้ปิดคลินิกได้เลย

                ลุงไม้นึกเสียดายหยูกยา เครื่องมือแพทย์ที่ยังใช้การได้ดี ถ้าอาจารย์หมอทิ้งไปแบบนี้ ยาจะหมดอายุเสียของเปล่า เครื่องมือแพทย์ก็ไม่ได้ใช้งาน แกจึงขอร้องหมอเอื้อกานต์ให้มาช่วยดูแลคนไข้ คนป่วยที่นี่ ตามแต่คุณหมอจะสะดวก อย่างน้อยมาช่วยจนกว่าจะจ่ายยาในคลังหมดก็ยังดี

                เอื้อกานต์เจียดเวลาวันหยุดช่วงบ่าย สัปดาห์ละวันสองวัน มาช่วยดูแลคนป่วย จ่ายยา นึกแปลกใจกับการไปต่างประเทศโดยไม่บอกกล่าวล่วงหน้าของอาจารย์หมอเหมือนกัน แต่ลองไถ่ถามหลายคนก็ไม่รู้รายละเอียด เหตุผล สุดท้ายจึงยอมช่วยเพราะเห็นแก่ชาวชุมชนที่เคยพึ่งพาอาศัยคลินิกแห่งนี้มานาน

                ทีแรกตั้งใจทำแค่เดือนสองเดือน พอยาหมดสต๊อกก็จะปิดคลินิกตามคำสั่งอาจารย์หมอ แต่พอทำไปทำมาจิตใจมีความสุข เพลิดเพลิน จนล่วงเข้าครึ่งค่อนปี หมอเอื้อกานต์ก็ยังไม่เลิก เห็นการมาที่นี่เหมือนได้พักผ่อน

                “คิดถึงหมอเคราเขียว...เอ๊ย...หมอหมากนะครับ ถ้ายังอยู่เมืองไทย คลินิกคงเปิดได้ทุกวันเหมือนเมื่อก่อน พวกชาวชุมชนบ่นคิดถึงแกกันทั้งนั้น” ลุงไม้บ่นกับเอื้อกานต์

                “หมอหมากเขามีงานที่เหมาะสมกับนิสัย ความสามารถแล้วค่ะ” เอื้อกานต์ตอบ

                “โอ๊ย...ไปอยู่ประเทศก่อตั้งใหม่แบบนั้นลำบากจะตาย มีแต่คนเพี้ยนๆ อย่างหมอเคราเขียวนั่นแหละถึงอยากไป เป็นหมอคนอื่นคงหนีกันหมด” ลุงไม้บ่นแกมนินทาด้วยเห็นว่าคุ้นเคยกัน

                เอื้อกานต์อมยิ้ม นึกอยากบอกตามจริงว่า...หมอหมากก็ไม่เต็มใจอยากไปขนาดนั้นหรอก ติดที่สมัครลงชื่อไว้แล้ว จะมาเปลี่ยนใจยกเลิกทีหลังก็ละอายใจ ขัดแย้งความรู้สึก

                หญิงสาวรู้เรื่องการสมัครไปเป็นแพทย์ของมูลนิธิเดิมที่หมากเคยทำงานด้วยจากพลูในร่างของหมาก ตอนที่มีโอกาสคุยกันเป็นการส่วนตัว หลังฝ่าด่านกับดักไลลาออกมาจากโรงแรมแล้ว...

                ‘ผมมีเรื่องอยากจะขอร้อง...เกี่ยวกับหมาก...’ พลูเริ่มต้นขึ้น

                ‘ค่ะ’ เอื้อกานต์รับคำ แววตาสงสัย

                ‘คือ...ช่วงที่หมากมันรู้สึกอกหักจากหมอเอื้อ มันไปลงชื่อสมัครไปเป็นหมอที่ประเทศตั้งใหม่แถบแอฟริกา’

                พลูเข้าประเด็นทันที

                ‘อกหัก?’ เอื้อกานต์สงสัย ตนเองเคยหักอกหมอหมากตอนไหน

                พลูอมยิ้ม ดวงตาฉายแววระอาในการกระทำของพี่ชาย

                ‘หมอเอื้อไม่รู้หรอกครับ ตอนนั้นหมากมันเพิ่งรู้เรื่องราวความรักระหว่างหมอเอื้อกับคุณทรงกลด แล้วเกิดอาการอยากเป็นพระเอกขึ้นมา มันเลยคิดเองเออเอง สรุปเอาเอง ว่าไม่ควรเข้ามาขวางทางความรักของหมอเอื้อกับคุณทรงกลด’

                ‘บ้าสิ!...คิดได้ยังไง’ หญิงสาวโมโห ลืมตัวขึ้นเสียง โกรธปนหมั่นไส้ พยายามนึกว่าเหตุการณ์นั้นอยู่ในช่วงไหน ‘อ๋อ...นึกได้แล้ว มีอยู่ช่วงนึงที่หมอหมากหายหน้าไปเฉยๆ สองสามวัน พอกลับมาก็ทำท่าเฉยๆ วางตัวห่างเหินแปลกๆ เอื้อเพิ่งรู้นะว่าหมอหมากมีนิสัยเป็นเด็กเอาแต่ใจแบบนี้’ หญิงสาวบ่นอย่างขัดใจ

                พลูปล่อยเสียงหัวเราะดังพรืด พยายามแก้ตัวแทนพี่ชายแบบข้างๆ คูๆ

                ‘ความรักทำให้คนเราเด็กลงไงครับ’

                เอื้อกานต์ส่ายหน้า มองชายหนุ่มที่ใบหน้าเปี่ยมสุขคนนี้แล้วนึกอยากอธิบาย พูดให้เข้าใจ แต่นึกได้ว่าเขาไม่ใช่คนที่เธอต้องมา ‘เคลียร์’ ความรู้สึกด้วย

                ‘แล้วคุณพลูอยากให้เอื้อช่วยอะไรคะ’ เอื้อกานต์ไม่ใช่ผู้หญิงร่ำไร จึงถามจุดประสงค์ฝ่ายตรงข้ามแทนการบ่นถึงพี่ชายของเขา

                พลูยิ้ม อ่านความรู้สึกออก จึงมองเอื้อกานต์ด้วยแววตาอ่อนใสชวนรื่นรมย์ สบายใจ ทำให้เธอเห็นการกระทำแบบเด็กๆ ของหมากดูน่าขัดใจน้อยลงจนไม่จำเป็นต้องเก็บไปคิดซ้ำให้เสียเวลา

                ‘ตอนนี้หมอเอื้อน่าจะรู้ใจตัวเองแล้ว’ พลูเปิดโปงหัวใจเธอโดยหญิงสาวไม่กล้าเอ่ยขัด “ด้วยนิสัยของหมาก ถ้ารู้ว่ามีคนรักอยู่ที่นี่ เขาคงลังเล ว้าวุ่นใจ สุดท้ายอาจขอยกเลิก ไม่ไปไหนแล้วก็ได้”

                พอได้ยินพลูพูดอย่างนั้น เอื้อกานต์ก็รู้สึกยินดีลึกๆ ที่หมากเห็นเธอมีความสำคัญขนาดนี้

                พลูเข้าใจความรู้สึกหญิงสาว คำพูดต่อมาจึงจริงจัง อ่อนโยน ไม่มีร่องรอยหยอกล้อ

                “ประเทศที่หมากจะได้ไปเพิ่งแยกตัวมาตั้งใหม่ ขาดแคลนแทบทุกสิ่ง ถ้าหมากไปที่นั่นจะมีโอกาสช่วยเหลือรักษาผู้คนด้อยโอกาสจำนวนมาก อีกอย่าง สิ่งที่เขาจะทำไม่ใช่แค่ช่วยรักษาคน แต่เขาจะได้ถ่ายทอดความรู้ ความสามารถ เทคนิคฝีมือทางการแพทย์ เป็นวิทยาทานแก่หมอที่นั่นอีกหลายคน ซึ่งหมอเหล่านั้นจะได้นำความรู้ ประสบการณ์ใหม่ๆ ที่ได้รับจากหมาก ไปช่วยชีวิตผู้คนอีกเป็นจำนวนนับไม่ถ้วน”

                คำพูดของพลูพลิกเปลี่ยนความรู้สึกของหญิงสาวที่กำลังยินดีในความรัก ให้กลับเกิดปีติ อิ่มเอมใจจนล้นหัวอก

                ‘ไม่ต้องห่วงค่ะ’ เอื้อกานต์รู้แล้วว่าพลูจะขอร้องเรื่องอะไร ‘ไม่ว่าเรื่องของเอื้อกับหมอหมากจะเป็นอย่างไรต่อไป เอื้อจะไม่ยอมให้หมอหมากพลาดโอกาสได้สร้างประโยชน์ครั้งใหญ่นี้แน่นอน’

                ‘ขออนุโมทนาด้วยครับ’ พลูตอบรับ

                จิตใจเอื้อกานต์เบ่งบาน พองฟูด้วยปีติมหาศาล ขนาดเธอไม่ได้เป็นคนลงมือทำประโยชน์นั้น จิตใจยังได้รับความสว่างขนาดนี้ ฉะนั้นเธอจะไม่ยอมให้หมากพลาดโอกาสสำคัญในการช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ สร้างความสว่างแก่ใจให้เฉิดฉาย อย่างเด็ดขาด

               

(โปรดติดตามต่อฉบับหน้า)

               



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP