วรรณกรรมนำใจ Lite Literature

ระบำเวท ๓๕


cover rabamvej
               
               

 

นวนิยายเรื่องนี้ เขียนขึ้นเพื่อความบันเทิง
หากมีชื่อ-สกุล เรื่องราวใดพ้องกับบุคคลจริง ต้องกราบขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย


                ชลนิล


               

               
(ต่อจากฉบับที่แล้ว)
               
               
               
                ทีเกื้อ เอื้อกานต์ ออกจากห้องคนป่วยด้วยใบหน้าซีด อิดโรย พลังพิเศษถูกนำมาใช้เต็มกำลัง กว่าจะถอดถอน ละลายอาคมที่ควบคุมไวรัสให้เจือจาง ไร้พิษสงจนไม่เหลือซาก ไม่อาจย้อนคืนต้นตอได้สำเร็จ
               
                “เป็นยังไงบ้างคะพี่เอื้อ” สัตตบงกชซึ่งยืนรออยู่หน้าประตูรีบเอ่ยถาม
               
                “พวกคนป่วยอาการทรงตัว ดีขึ้นแล้ว ไม่ดิ้นรนทุรนทุราย แต่ยังไงก็ต้องส่งให้ทางโรงพยาบาลรักษาต่ออยู่ดี”
               
                “รถพยาบาลใกล้จะมาถึงแล้วค่ะ ช้าไปหน่อย ตะกี้หนูดีเพิ่งโทร. เช็ค บอกว่าติดอยู่สี่แยกใกล้ๆ นี่เอง แต่อาจพาคนป่วยไปทีเดียวไม่หมด เพราะมีคนป่วยแบบเดียวกันอีกหลายที่เลย”
               
                “ได้แค่ไหนก็แค่นั้นก่อน” เอื้อกานต์เข้าใจสถานการณ์
               
                ทีเกื้อยิ้มให้คนรัก ก่อนเบนสายตาไปที่จอโทรทัศน์ซึ่งขณะนี้มีภาพข่าวรายงานสดจากทั่วประเทศ
               
                “ขณะนี้ได้เกิดโรคระบาดจากไวรัสไม่ทราบชื่อ ทำให้ประชาชนทุกจังหวัด ทั่วประเทศ ติดเชื้อ และเกิดอาการป่วยเฉียบพลันจำนวนมาก ขอให้ประชาชนทุกท่านอย่าเพิ่งตื่นกลัว ขอให้รับฟังข่าวและปฏิบัติตัวตามดังนี้...”
               
                ผู้ประกาศข่าวบรรยายถึงวิธีการปฏิบัติตัวของผู้ที่ยังไม่ติดเชื้อแก่ผู้ชมทั่วไป และแนะนำวิธีช่วยเหลือผู้ติดเชื้ออย่างปลอดภัย
               
                ไม่น่าเชื่อ ไวรัสอาคมถูกแพร่กระจายไม่นานนัก กลับเป็นข่าวใหญ่ สร้างความตื่นตระหนกแก่ผู้คนทั่วประเทศได้อย่างรวดเร็ว
               
                นายตำรวจหนุ่มดูภาพข่าวสถานการณ์สดจากโรงพยาบาลต่างๆ เห็นสภาพคนเจ็บทั้งหลายแล้วอดนึกไม่ได้ว่ามันเป็นความโกลาหลเข้าข่ายวันโลกาวินาศจริงๆ ทุกอย่างเกิดขึ้นรวดเร็วจนทั้งหมอ พยาบาล เจ้าหน้าที่มูลนิธิ ล้วนเตรียมตัวทำงานกันไม่ทัน
               
                “เราจะทำยังไงต่อไปดี...” ชายหนุ่มถามเมื่อเห็นพี่สาวมายืนดูทีวีอยู่ข้างๆ “แค่ช่วยคนยี่สิบสามสิบคนเราก็แทบยืนกันไม่ไหวแล้ว”
               
                เอื้อกานต์จ้องมองทีวี นัยน์ตาไม่ได้จับอยู่กับภาพที่มองเห็น เธอแลลึก คิดหาวิธีการแก้ไข ช่วยถอนไวรัสอาคมแก่คนทั้งประเทศในคราวเดียว
               
                “หนูดี...จากตอนนี้ถึงเช้า มีรายการไหนที่ถ่ายทอดสดทั่วประเทศบ้าง” คุณหมอหันไปถามพิธีกรสาว
               
                “ขอเวลาหนูดีคิดเดี๋ยวนึงค่ะ” หญิงสาวถูกจู่โจมแทบตั้งตัวไม่ทัน ต้องหยุดคิดครู่ใหญ่
               
                “พอจะมีค่ะ...น่าจะเป็นพวกรายการข่าวรับวันใหม่ ข่าวรับอรุณ ทำนองนี้”
               
                “แล้วในพวกนี้ มีรายการไหนพอจะให้พวกเราไปออกอากาศได้มั้ย” เอื้อกานต์ถาม
               
                “หา...” สัตตบงกชได้ยินแทบตาเหลือก
               
                ทีเกื้อเข้าใจเจตนาพี่สาวทันที...ไลลาพยายามเล่นคอนเสิร์ตที่เป็นรายการสด ออกอากาศทั่วประเทศ เพื่ออาศัยคลื่นโทรทัศน์ส่งไวรัสอาคมออกไปทั่วประเทศ
               
                หากจะถอน หรือสลายไวรัสอาคม ก็จำเป็นต้องอาศัยวิธีการเดียวกัน ใช้สัญญาณคลื่นโทรทัศน์เหล่านี้เป็นตัวช่วยถ่ายทอดยาแก้พิษ
               
                ปัญหาอยู่ที่ว่า...ต่อให้สัตตบงกชหารายการสดที่ยอมให้ร่วมออกอากาศได้แล้ว ไลลาจะยอมช่วยเหลือถอนอาคมให้หรือไม่เท่านั้นเอง
               
               
               
                เวลาล่วงเข้าวันใหม่
               
                ร้านกาแฟโต้รุ่ง ซ่อนตัวอยู่ย่านตึกแถว ชุมชนคนค้าขาย มีลูกค้าเพียงรายเดียวจับจองที่นั่งอยู่ที่โต๊ะด้านนอก
               
                กาแฟชงแบบโบราณถูกวางเคียงคู่ปาท่องโก๋ร้อนๆ มีถ้วยน้ำชาพร้อมกาน้ำแบบเติมวางให้ลูกค้า
               
                ลูกค้ารายเดียวกำลังรินชาใส่ถ้วยด้วยท่วงท่าเนิบช้า คลับคล้ายคนชรา ทว่ารูปร่าง ใบหน้า ท่าทาง การแต่งตัวของชายผู้นี้ ดูไม่น่ามีอายุเกินห้าสิบต้นๆ เลย
               
                เขายกชาขึ้นจิบ ทอดสายตามองไปรอบๆ อย่างไม่มีจุดหมาย ก่อนระบายลมหายใจเบา ๆ มองเห็นลูกค้าอีกรายเดินเข้ามาในร้าน เข้ามานั่งร่วมโต๊ะเดียวกันแบบไม่ต้องเชื้อเชิญ
               
                ผู้มาใหม่มีรูปร่างสูงใหญ่ ใบหน้ามีริ้วรอยชราพาดผ่าน เส้นผมหงอกขาวแซมจนเห็นชัด นัยน์ตาโตลึกจ้องมองผู้มาก่อนด้วยแววตาราบเรียบ สงบจนน่าขนลุก
               
                “ตามมาเร็วกว่าที่คิดนะ” ผู้มาก่อนทักทาย
               
                “ก็ไล่ตามกันมาตลอดชีวิตแล้ว ระยะทางแค่นี้จะชักช้าได้ยังไง” อีกฝ่ายตอบ
               
                น้ำชาถูกรินใส่ถ้วยผู้มาก่อน จากนั้นเจ้าตัวก็รินใส่ถ้วยตรงหน้าผู้ที่เพิ่งมาถึง ดวงตาสองคู่สบกัน เสมือนพยัคฆ์ร้ายสองตัวเตรียมพร้อม ไม่มีใครประมาทใคร
               
               
               
               
               
               
               
                บทที่ ๒๙
               
               
               
                ถ้วยน้ำชา กาแฟ จานปาท่องโก๋ ตั้งอยู่ตรงหน้าสองผู้ทรงเวทโดยไม่มีใครคิดจะเอื้อมมือหยิบ
               
                ควันบางๆ ลอยจากถ้วยชา กาแฟ กลิ่นหอมของปาท่องโก๋ทอดร้อนๆ ลอยแตะจมูก บรรยากาศรอบร้านกาแฟค่อนข้างซบเซา ผู้คนไม่พลุกพล่าน หนาตาเช่นทุกวัน
               
                ตูมินคาดเดาแม่นยำ เฌอคิมซาติดตามรอยมาถูกต้องอย่างที่คิด น่าเสียดาย ต่อให้คาดการณ์ไม่ผิดพลาด เขาก็ยังประมาท พลาดในเรื่องสำคัญเรื่องหนึ่ง
               
                ...ไวรัสอาคมของไลลา
               
                ทั้งที่รู้ไลลาเพิ่งปล่อยไวรัสอาคม และมันจะกระจายอยู่ทั่วประเทศอย่างน้อยยี่สิบสี่ชั่วโมง ก่อนสลายตัว จางลง เขายังพลาด ปล่อยให้จิตมีโทสะกล้าจนไวรัสจู่โจมทำร้าย
               
                พลาดพลั้งครั้งแรกยังพอรับได้ พลาดครั้งที่สองมันน่าเจ็บใจ
               
                พอโดนไวรัสอาคมจู่โจม แทรกซึม ตูมินก็เร่งถอนพิษอย่างรวดเร็ว หักหาญ เขารู้ว่าไวรัสอาคมร้ายกาจ แต่เชื่อมั่นในตนว่าสามารถขับสลายมันให้หมดได้ไม่ยากเย็น
               
                ระหว่างทางที่หลบเร้น ก็รีบรีดพิษด้วยความใจร้อน ทุ่มเทพลังบีบคั้นมันจนผิดพลาด พิษไวรัสอาคมกระจาย แผ่ซ่าน ซึมลึกถึงกระดูก
               
                ผิดพลาดครั้งนี้ แทนที่พิษจะถูกขับสลายจนหมด กลายเป็นพิษแทรกซึมลึกกว่าเดิม จะตั้งสมาธิ ใช้พลังรีดพิษซ้ำก็ไม่ทันแล้ว สัมผัสบอกชัด เฌอคิมซาใกล้มาถึง
               
                จำต้องสะกดกลั้น ใจเย็นนั่งจิบน้ำชา สั่งกาแฟรอคอยอีกฝ่าย แล้วค่อยๆ สลายพิษทีละน้อย ไม่ยอมให้พลาดพลั้งอีก
               
                เฌอคิมซาเองก็คาดเดาแม่นยำ ตูมินต้องเลือกมาหลบที่ร้านกาแฟแห่งนี้...ร้านที่เขามักนั่งจิบกาแฟผ่อนคลาย มันเป็นเสมือนโลกส่วนตัวที่ตูมินล่วงรู้ไม่ยากเย็น
               
                ที่ที่อันตรายที่สุด คือที่ที่ปลอดภัยที่สุด
               
                สถานที่เขามาเป็นประจำ จึงเป็นตัวเลือกหลบเร้น ตูมินจงใจพักรอเพราะรู้...ถึงอย่างไรอีกฝ่ายย่อมตามเจอ แต่ขอให้มาถึงช้าสักนิด เพื่อสลายพิษไวรัสอาคมออกจากร่างให้มากสุด
               
                เฌอคิมซาไม่ได้เร่งรุดมารวดเร็วอย่างอีกฝ่ายออกปากประชดประชัน เขาจงใจชะลอเวลาทั้งที่รู้จุดหมาย เจตนาไม่ใช่เพื่อให้อีกฝ่ายมีเวลาขับพิษ แต่เพื่อใช้เวลานั้นฟื้นฟูกำลัง รวบรวมอาคม กำลังเวท ให้พร้อมที่สุด จะได้ปะทะกับตูมินในขั้นแตกหักโดยฝีมือไม่ต่างชั้นกันมากนัก
               
                เวลานี้ฝ่ายหนึ่งขับสลายพิษจากร่างไม่ถึงครึ่ง อีกฝ่ายกลับฟื้นฟูกำลังเกือบเต็มร้อย ระยะห่างแห่งความสามารถ อาคม ร่นเข้ามา จนไม่อาจตอบได้ว่าชั่วโมงนี้ ฝีมือใครเหนือกว่าใคร
               
                ผู้มาใหม่เป็นฝ่ายเอื้อมมือหยิบถ้วยชาที่ตูมินรินให้ ยกขึ้นจิบโดยไม่เกรงอีกฝ่ายจะเล่นลูกไม้ แพร่พิษ
               
                “เราเจอกันครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่?” ตูมินเอ่ยปากถาม เมื่อเห็นอีกฝ่ายวางถ้วยชาลง
               
                “จะให้บอกจำนวนปี เดือน วัน อย่างละเอียดชัดเจนเลยมั้ย” เฌอคิมซาย้อน
               
                “สนุกหรือไม่ ที่มีชีวิตอยู่กับความคั่งแค้นมาตลอดห้าสิบกว่าปี” ตูมินถามด้วยรอยยิ้มหยัน
               
                “แล้วมีความสุขไหม ที่เกิดมาพร้อมกับความคาดหวัง และภาระหน้าที่ที่เลือกไม่ได้” เฌอคิมซาย้อนคืน ประกายตาวาววับ ภาพอดีตที่มองเห็นจากความทรงจำอีกฝ่ายยังกระจ่างชัด
               
                “ถึงจะเป็นความคาดหวังตั้งแต่เกิด กับภาระหน้าที่ที่เลือกไม่ได้...เราก็สามารถสะสางมันสำเร็จตั้งแต่เมื่อห้าสิบปีก่อน”
               
                ตูมินเหยียดริมฝีปากเผยรอยยิ้ม แววตาดูแคลน แสดงความหมายชัด การล้มล้างหน่อเนื้อมูจนะสายเปอร์เซียสำเร็จ ถือเป็นการเสร็จสิ้นภารกิจของตนแล้ว ที่อยู่ทำลายประเทศมูเจนต่อ ก็ด้วยความแค้นเคือง เกลียดชังส่วนตัว
               
                “ชีวิตหลังการแก้แค้นเป็นอย่างไรบ้าง” เฌอคิมซาถามแกมเยาะ
               
                “ถ้าเจ้าชายฆ่าเราสำเร็จ ก็น่าจะเข้าใจเอง” ฝ่ายตรงข้ามย้อนคืนแฝงคำท้าทาย
               
                เฌอคิมซาใช้ปลายนิ้วคลึงถ้วยชาเบาๆ พลังอันกร้าวแกร่ง ไร้รูปร่าง แผ่กระจายเป็นวงรอบโต๊ะ ครอบคลุมบริเวณหน้าร้านกาแฟทั้งหมด
               
                ตูมินหยิบถ้วยชาขึ้นจิบช้าๆ พลังอันละเอียดอ่อน เหนียวหยุ่น ไหลออกมาเป็นระลอกคลื่น หวังกลบกลืนพลังของอีกฝ่ายให้สลาย จางหาย พ่ายแพ้ไป
               
                อากัปกิริยาทั้งสองดูไม่แตกต่างจากผู้เฒ่าสองคนนั่งจิบชาคุยกันถึงเรื่องเก่าๆ ที่โต๊ะกาแฟริมถนน ช่วงเวลาที่ไม่ค่อยมีคนพลุ่กพล่าน ฟ้ายังมืด ยังไม่ถึงเวลาที่คนเมืองเคลื่อนไหว มีแค่อาแปะเจ้าของร้านนั่งปิดปากหาวหวอดอยู่ข้างใน รอดูว่าจะมีลูกค้ารายใดเข้ามา หรือไม่ก็รอให้ลูกค้าที่โต๊ะสั่งของกินเพิ่มเติม
               
                พลังทั้งสองหักหาญ ผลัดกันรุก ผลัดกันรับ เป็นลูกคลื่นกระจายวงกระเพื่อมไม่หยุดยั้ง เป็นคลื่นพลังอันปั่นป่วน ร้ายกาจ ที่หากใครพลัดหลงเข้าไปอยู่กลางวง ถ้าไม่เสียสติ ก็อาจเสียชีวิตง่ายๆ
               
                การต่อสู้เช่นนี้เป็นไปอย่างเงียบงัน สายตาคนธรรมดาไม่อาจมองเห็น ความรู้สึกคนทั่วไปยากสัมผัส เพียงแต่ คนธรรมดาทั่วไปจะไม่กล้าเฉียดใกล้รัศมีการต่อสู้ โดยไม่เข้าใจว่าเหตุใดตนเองถึงรู้สึกเช่นนั้น
               
                คลื่นพลังของตูมินยังไม่อาจกลบกลืนพลังงานอันแข็งแกร่งของเฌอคิมซาได้ ส่วนพลังเฌอคิมซาก็ไม่อาจควบคุม ทำร้ายฝ่ายที่นั่งตรงข้าม ห่างแค่โต๊ะกั้นได้เช่นกัน
               
                สีหน้าแววตาสองจอมเวทสงบ ราบเรียบ ไม่แสดงอารมณ์ ความรู้สึก ทั้งภายนอกและภายในใจ พลังแห่งเวทอันร้ายกาจเฉพาะตนที่แผ่ออกมาโรมรันกัน เป็นเสมือนการละเล่นหยอกล้อ ที่หากใครพลาดพลั้ง ย่อมหมายถึงไม่มีโอกาสได้เห็นตะวันขึ้นในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้าแน่นอน
               
               
               
                สถานีโทรทัศน์...ในห้องพักศิลปิน
               
                ไลลาเปลี่ยนเสื้อผ้า แต่งหน้า ทำผมใหม่ ดูผุดผาด แตกต่างเป็นคนละคนกับผู้หญิงใกล้ตายที่อยู่ในห้องเก็บของเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อน
               
               
               
                สัตตบงกชติดต่อขอแถลงข่าวเกี่ยวกับคอนเสิร์ตกลางสวนที่เพิ่งล่มไปเมื่อคืนด้วยพายุฝน ในรายการ ‘ข่าววันใหม่’ ซึ่งเป็นรายการสดที่ออกอากาศในช่วงเวลาที่เอื้อกานต์ต้องการ โดยทางรายการยินดีให้ไลลาร้องเพลงเปิดรายการ ก่อนพิธีกรประจำรายการจะนำเข้าสู่เนื้อหาการแถลงข่าวดังกล่าว จากนั้นจะสัมภาษณ์สัตตบงกช พิธีกรคอนเสิร์ตเกี่ยวกับรายละเอียดของงาน และสัมภาษณ์ความรู้สึกของไลลา นักร้องชื่อดังจากต่างประเทศ ที่ได้รับเชิญมา แต่ไม่มีโอกาสได้ร้องเพลงบนเวทีคอนเสิร์ตการกุศลครั้งใหญ่นี้
               
                คิวรายการถูกวางอย่างเร่งด่วน แต่กว่าจะถึงตอนนี้ มีสักกี่คนที่รู้ว่าต้องผ่านความยุ่งยากใดบ้าง?
               
                หลังจากไวรัสอาคมกระจายทั่วประเทศ ผู้คนติดไวรัสจำนวนมหาศาล เอื้อกานต์คิดหาหนทางสลายไวรัส ถอนอาคมแก่คนทั้งประเทศด้วยการใช้พลังของไลลา แล้วอาศัยคลื่นสัญญาณโทรทัศน์ถ่ายทอดสด กระจายออกไปทั่วประเทศก่อนรุ่งเช้า ไม่อย่างนั้นจะมีผู้เสียชีวิตอีกมากเพราะทนความทรมานไม่ไหว
               
                ถึงคิดหาวิธีช่วยได้ ขอให้สัตตบงกชติดต่อขอออกรายการโทรทัศน์สำเร็จ ทีเกื้อ เอื้อกานต์ ก็ยังนึกเป็นห่วง ไม่รู้ทรงกลดจะช่วยเหลือ โน้มน้าวใจไลลาได้หรือไม่...
               
                ถ้าไลลาปฏิเสธแผนการนี้ ทุกสิ่งที่เตรียมไว้จะสูญเปล่าทันที
               
                ไม่มีใครเดาใจสตรีผู้ทรงอาคมรายนี้ได้เลย
               
                แต่จู่ๆ ไลลาก็เดินเข้ามาหาพร้อมกับหมอหมาก เอ่ยปากช่วยเหลือโดยไม่ต้องอ้อนวอน ขอร้อง
               
                ยังไม่ทันมีเวลาพูดคุยไถ่ถามหมอหมากกับไลลาถึงเรื่องราว ที่มาที่ไป ก่อนมาถึงนี่ สัตตบงกชก็เข้ามาบอกว่ารถพร้อมแล้ว ต้องรีบเดินทางไปสถานีโทรทัศน์ทันทีเพื่อเตรียมตัวออกอากาศสด
               
                จากนั้นทุกคนต่างวุ่นวาย เดินทาง เตรียมตัว ไลลารู้ว่าตนเองต้องทำอะไร จึงจัดการแปลงโฉมตัวเองให้พร้อมออกทีวีได้ภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมง
               
                ถึงตอนนี้ ใกล้เวลาออกอากาศแล้ว
               
                ผู้ควบคุมเวทีเข้ามาบอก ให้เตรียมพร้อมสแตนด์บายข้างเวทีภายในเวลาสิบห้านาที สัตตบงกชรีบออกไปซ้อมคิว ดูคำถาม บทสัมภาษณ์ กับทางพิธีกรรายการข่าว ทีเกื้อตามไปเป็นเพื่อนคนรัก
               
                ห้องแต่งตัวจึงเหลือแค่เอื้อกานต์ หมาก และไลลา
               
                “ขอบคุณนะคะที่จะช่วยถอนอาคมให้พวกเรา” เอื้อกานต์เอ่ยขึ้น
               
                “ฉันเป็นคนสร้างปัญหา ก็ต้องเป็นคนแก้...ไม่จำเป็นต้องเห็นเป็นบุญคุณอะไรกัน” ไลลาตอบน้ำเสียงแปลก
               
                “มีอะไรให้ผมช่วยมั้ย” หมากเอ่ยถาม สังเกตสีหน้าไลลามีกังวลลึกๆ
               
                แววตาผู้ทรงเวทฉายร่องรอยหนักใจ การรักษาของหมากทำให้ร่างกายและอาคมเธอฟื้นคืนเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ นั่นทำให้ญาณหยั่งทราบตรวจสอบได้ว่า ไวรัสอาคมที่ตนแพร่กระจายครั้งนี้ มีความรุนแรง น่ากลัวกว่าที่คาดคำนวณไว้ อีกทั้งยังเกิดผลร้ายกระทบเป็นลูกโซ่อย่างคาดไม่ถึง
               
                “ตอนนี้ ฉันทำได้แค่ถอนอาคมที่ควบคุมไวรัสออกจากคนป่วยทั้งหมด แล้วก็สลายไวรัสอาคมที่ยังกระจายอยู่ทั่วประเทศให้หมดไป”
               
                “แล้ว...มีปัญหาอะไรคะ” เอื้อกานต์จับความผิดปกติในน้ำเสียงอีกฝ่ายได้
               
                ไลลาถอนใจยาว
               
                “ไวรัสอาคมครั้งนี้มันรุนแรงกว่าที่ฉันคาดไว้ ต่อให้ถอนอาคมได้แล้ว พิษของไวรัสยังแทรกซึมอยู่ในร่าง... หมอธรรมดาไม่อาจรักษาได้ง่ายๆ คนที่โดนขั้นเบาอาจเจ็บป่วย นอนโรงพยาบาลวันสองวันก็หาย แต่พวกที่หนักๆ อาจเสียชีวิต ไม่รอดเกินเที่ยงวันพรุ่งนี้”
               
                สองคุณหมอใจหายวาบ หมากรีบเอ่ยปากถาม
               
                “มีวิธีไหนพอจะช่วยเหลือได้มั้ย”
               
                ไลลาจ้องตาคุณหมอหนุ่ม
               
                “มือของเธอไง...” ไลลาตอบ “มือแห่งการเยียวยา พรอันประเสริฐที่เธอมี”
               
                “งั้นไม่มีปัญหา ผมต้องทำยังไงบ้าง” หมากตอบโดยไม่ต้องคิด
               
                “ฉันสามารถใช้อาคมผูกโยงมือของเธอเข้ากับพลังของฉันได้...ตอนที่ฉันใช้พลังถอนอาคม พลังจากมือเธอจะออกไปเยียวยา รักษาผู้คนได้พร้อมๆ กัน”
               
                “งั้นก็ดีสิครับ” หมากไม่เห็นเรื่องน่าเป็นห่วง
               
                “มันไม่ง่ายอย่างนั้นหรอก” ไลลาหัวเราะเสียงแปร่ง “สำหรับฉัน การถอนอาคม สลายไวรัสอาคม มันเป็นเรื่องง่าย เพราะแค่รู้เงื่อนที่ผูก มันก็มีวิธีคลายได้โดยไม่เปลืองแรง แต่พลังของเธอที่ต้องใช้รักษาผู้คนเรือนแสน เรือนล้านในคราวเดียวกัน...มันไม่ใช่เรื่องง่ายอย่างนั้นเลย”
               
                หมากยิ้มไม่ใส่ใจ เอื้อกานต์ชะงัก ระลึกได้...ขนาดเธอกับทีเกื้อร่วมมือกันถอนไวรัสจากคนป่วยไม่ถึงสามสิบคน ก็ยังแทบยืนไม่ไหว หมากต้องใช้พลังของตนช่วยรักษาคนมากกว่านั้นอย่างเปรียบเทียบไม่ได้ ผลจะเป็นอย่างไร
               
                “ถ้าผมช่วยคนเป็นล้านได้ ยังมีอะไรน่าห่วงอีกล่ะครับ” หมากพูดชัดเจน แววตาไม่เสแสร้ง เขาอาจเข้าใจข้อจำกัดเรื่องนี้ดีกว่าไลลาด้วยซ้ำ
               
                “ฉันเชื่อว่าพลังของเธอสามารถเยียวยา บรรเทาความเจ็บป่วยแก่คนนับล้านได้ในคราวเดียว แต่ผลที่เธอจะได้รับ...อย่างเบา...พลังการรักษา มือแห่งการเยียวยาของเธอคงหมดไป เธอจะกลายเป็นคนธรรมดา หรือหนักกว่านั้น...เธออาจเจ็บป่วยรุนแรง...ถึงขั้นเสียชีวิตภายในหนึ่งเดือน”
               
                คำพูดไลลาทำเอื้อกานต์หนาววูบ
               
                “แค่ผมคนเดียว แลกกับชีวิตคนมหาศาล ไม่ว่ามองยังไงมันก็คุ้มค่า”
               
                หมากตอบ เอื้อกานต์นั่งนิ่ง ไม่คิดเอ่ยขัด หากเป็นเธอ...ต่อให้ไม่พูดอย่างเขา การกระทำก็คงไม่แตกต่างกัน
               
                “คุ้มค่า?” ไลลาทวนคำ แทนการไถ่ถาม
               
                หมากยิ้ม สายตาเหลือบมองหญิงสาวที่นั่งอยู่ใกล้
               
                “ผู้หญิงที่ผมรัก” น้ำเสียงเขาอ่อนโยน “เคยบอกผมว่า...คนที่จะมีพลังพิเศษ ย่อมต้องมีจิตใจที่พิเศษกว่าใคร และหากใครสักคนได้สัมผัสความสุขจากการเป็น ‘ผู้ให้’ อย่างแท้จริง...ความสุขเช่นนั้น มันคุ้มค่ายิ่ง แม้จะต้องเอาชีวิตเข้าแลกก็ตาม”
               
                จิตใจเอื้อกานต์เต็มตื้น น้ำตารื้น อิ่มเต็มด้วยปีติในใจ ยื่นมือออกไปเกาะกุมมือชายหนุ่ม บีบกระชับแน่น เหมือนต้องการบอกกล่าวแทนวาจา
               
                ...ไม่ต้องห่วง ขอให้เชื่อเถิดว่า บนเส้นทางของ ‘ผู้ให้’ นั้น...เขาจะไม่โดดเดี่ยวอย่างแน่นอน
               
                “เอื้อจะช่วยหมอ” หญิงสาวพูดแค่นั้นแล้วหันไปทางไลลา “รวมกับพลังของเอื้ออีกคน ความเสี่ยงน่าจะลดน้อยลงนะคะ”
               
                ไลลามองสองหนุ่มสาว เข้าใจความหมายในวาจาชายหนุ่ม ซาบซึ้งในกิริยา ความรู้สึกในใจของคุณหมอสาว จึงพยักหน้า ยอมรับคำ
               
                “ได้...ฉันจะผูกอาคมเข้ากับมือของพวกคุณทั้งสองคน...พลังของพวกคุณน่าจะเกื้อกูลกัน และได้ร่วมช่วยเหลือผู้คนอย่างที่ต้องการ”
               
                “ขอร้องอีกอย่างนะคะ” เอื้อกานต์เอ่ยเบาๆ กับไลลา “อย่าบอกเรื่องนี้กับทีเกื้อ น้องชายของฉัน”
               
                การผูกอาคม รวมพลังการรักษาร่วมกับหมาก เป็นเรื่องเสี่ยงอันตราย เอื้อกานต์รู้ หมากรู้ แต่หญิงสาวไม่ต้องการให้น้องชายฝาแฝดรู้เรื่องนี้ ไม่เช่นนั้นเจ้าตัวคงขอร่วมเสี่ยงด้วยคน
               
                “ถึงไม่บอก สารวัตรก็น่าจะรู้” หมากขัดขึ้น เขารู้จักทีเกื้อพอสมควร
               
                “เอื้อพอจะมีวิธีพรางพลังของตัวเองได้ อีกอย่าง งานนี้อาคมของไลลาจะเป็นเส้นทางหลัก ถ้าใช้พลังที่กลมกลืนกันเกื้อคงสังเกตยาก”
               
                ไลลาพยักหน้าเห็นด้วย
               
                หมากยิ้มให้หญิงสาว ไม่เอ่ยขัดการร่วมเสี่ยงชีวิตของเธออีก เพราะหากเอ่ยปากค้าน ก็เท่ากับดูแคลนจิตใจหญิงที่ตนรัก...เอื้อกานต์จะไม่มีวันให้อภัยเขาเลย
               
                ไม่นาน...บทเพลงของไลลาจะเริ่มบรรเลง ถ่ายทอดออกไปกว้างขวาง ด้วยจิตใจที่ต้องการแก้ไขความผิดพลาดของตน พร้อมด้วยหัวใจอันยิ่งใหญ่ กว้างขวางอีกสองดวง ที่เต็มใจเสี่ยงช่วยเหลือ เยียวยาผู้บาดเจ็บจากพิษไวรัสอาคม
               
                พวกเขาพร้อมจะช่วย โดยไม่สนใจว่าผลที่ตามมาจะเป็นอย่างไร...
               
               
               
                ทรงกลดมาถึงร้านกาแฟในช่วงเวลาที่ไม่สามารถช่วยเหลือผู้เป็นอาจารย์ได้เลย
               
                สองจอมเวทนั่งประจันหน้ากัน คลื่นอาคมกระจายซัดสาด ผลัดกันจู่โจม ผลัดกันรุก ผลัดกันรับ โดยยังไม่มีใครพลาดพลั้งตกเป็นรอง
               
                สายตาคนภายนอกมองมาจะดูปกติ แค่คนแก่สองคนร่วมจิบชา มีกาแฟ ปาท่องโก๋ วางตรงหน้า โดยไม่มีใครแตะลิ้มชิมรส
               
                ทว่าสายตาของผู้ทรงอาคมเช่นทรงกลด มองเห็นพลังอาคม สรรพเวทของทั้งคู่ชัดเจน ต่างเร่งเร้าห้ำหั่นกัน ก่อให้เกิดอำนาจควบคุมผู้คนโดยรอบให้ตกอยู่ในมนตร์สะกด ไม่มีใครย่างเท้าเข้ามาในร้าน แต่ละคนล้วนดำเนินกิจกรรม ดำเนินชีวิตก่อนอรุณรุ่ง ห่างจากร้านกาแฟ
               
                ส่วนอาแปะเจ้าของร้านอยู่ในสภาพครึ่งหลับครึ่งตื่น ไม่รับรู้โลกภายนอก แกรู้สึกกึ่งจริงกึ่งฝันว่าตนกำลังค้าขาย ชงกาแฟ ทอดปาท่องโก๋ตามปกติ มีลูกค้าประจำมานั่งที่ร้าน ดื่มกิน พูดคุยเหมือนเช่นทุกวัน
               
                ชายหนุ่มแทรกคลื่นอาคมของสองผู้ทรงเวทเข้ามานั่งใกล้สุดแค่โต๊ะที่ห่างออกไปประมาณสามสี่โต๊ะ ซึ่งพอจะมองเห็นสีหน้าแววตาพวกเขาชัดเจน
               
                เฌอคิมซา ตูมิน นั่งมองหน้ากัน ไม่มีใครยอมขยับตัวกระทั่งยกถ้วยชา คลื่นอาคมสองฝ่ายฟาดฟันโดยไม่มีใครพลาดพลั้ง
               
                ทรงกลดมองเห็นใบหน้า แววตาทั้งคู่แล้ว ใจกระตุกวูบ...การต่อสู้ของสองจอมเวทไม่ได้มีแค่การส่งคลื่นอาคมมาโรมรันกัน สนามรบแท้จริงอยู่อีกแห่งหนึ่ง
               
                ทรงกลดตั้งสติ จิตเป็นสมาธิมั่น ไม่หวั่นไหว เอนเอียง และแล้วเขาก็ได้เห็นภาพนิมิตของคู่ต่อสู้ทั้งสองชั่วขณะหนึ่ง...
               
                สถานที่ห้ำหั่น ตัดสินความเป็นความตาย ไม่ได้อยู่ที่ร้านกาแฟริมถนน มันเป็นอีกสถานที่ซึ่งพวกเขามีสายใย ความผูกพันตามสายเลือดตั้งแต่เกิด...พระราชวังมูเจน!
               
                ทรงกลดหลับตา จิตดิ่งลงสู่สมาธิลึกกว่าปกติ กำหนดนิมิตดวงสว่าง แล้วโน้มน้อมส่งออกไปดูการต่อสู้หักหาญภายในโลกเสมือนจริงซึ่งถูกสร้างขึ้นมาจากสมาธิแกร่งกล้าของสองจอมเวท
               
                การต่อสู้เช่นนี้อาจหาดูที่ไหนไม่ได้อีกแล้ว เพราะมันเป็นการเผชิญหน้ากันระหว่างอาคมต่ออาคม จอมเวทต่อจอมเวท สิ่งที่ปรากฏอาจเป็นแค่ภาพลวงตา มายาแห่งเวทมนตร์ แต่ทว่า...หากใครพลาดพลั้ง มายาอาจกลายเป็นอาวุธร้าย ตามมาให้โทษในโลกความเป็นจริงได้
               
               
               
                พระราชวังมูเจนในอดีต
               
                การก่อสร้างมีลักษณะผสมผสานสองวัฒนธรรมที่ดูลงตัว มีเอกลักษณ์ การจัดผังตัวอาคารแบ่งเป็นฝ่ายใน ฝ่ายนอก เลียนแบบโครงสร้างพระราชวังฮ่องเต้ของจีน แต่รูปแบบตัวอาคารจะสร้างเป็นลูกครึ่ง กึ่งจีนกึ่งเปอร์เซีย มีการตกแต่งประดับประดาต้นเสาหลักๆ ด้วยอัญมณี หุ้มทองคำสว่างเจิดจ้า
               
                ภาพวาดที่ประดับประดามีแนวทางศิลปะเฉพาะตัว อาจใช้ลายเส้นหมึกดำคล้ายจีน แต่การลงสีมีความแปลกตา ฉูดฉาดไม่เหมือนใคร
               
                เฌอคิมซา ตูมิน ยืนประจันหน้ากันกลางท้องพระโรงกว้าง รอบด้านร้างไร้ผู้คน ความโดดเด่น ห้าวหาญ พลังกดดันอันร้ายกาจของทั้งสอง ข่มความงดงามของศิลปะอันล้ำค่าโดยรอบให้ดูจืดชืด เป็นของไร้ชีวิตแห้งแล้ง ปราศจากวิญญาณ
               
                “นี่หรือมูเจน” ตูมินกล่าวขึ้น
               
                “นี่คือมูเจนยามรุ่งเรืองถึงขีดสุดเมื่อกว่าสองร้อยปีก่อน” เฌอคิมซาบอก
               
                “มูเจนที่พวกตระบัดสัตย์แย่งชิงมาอย่างหน้าด้านๆ” ตูมินหยัน
               
                “ก็มูเจนเช่นนี้ไง ที่ชาวหน่อเนื้อมูจนะสายมองโกลต้องการกลับมาครอบครอง เป็นเจ้าของ” เฌอคิมซาเย้ย
               
                “เราเคยบอกแล้ว...” ตูมินพูดช้าชัด แววตาเจิดจ้าอำมหิต “ว่าเราเกลียดมูเจนเข้าไส้!”
               
                พูดจบ ท้องพระโรงกว้างก็เกิดเสียงดังครืน...ครืน...สั่นสะเทือนไหว ฝุ่นจากเพดานหล่นร่วงกราว เสาหลักที่ค้ำคานสำคัญมีอาการยวบยาบ พื้นที่ยืนเริ่มปริแตก แยกทีละน้อย
               
                แววตาเฌอคิมซาสงบราบเรียบ ไม่หวั่นไหวต่อเสียงโครมคราม แรงสะเทือนรอบตัว
               
                “บุคคลที่แกเกลียดชังควรเป็นบรรพบุรุษของตัวแกเอง” เสียงดังชัด ดึงดูดความสนใจ
               
                “แกก็น่าจะรู้ตอนนั้น สาเหตุที่หน่อเนื้อมูจนะสายเปอร์เซียจำเป็นต้องยอมตระบัดสัตย์ ฝืนยึดบัลลังก์เอาไว้ ขึ้นเป็นองค์เจ้ามูจนะต่อทั้งที่ไม่ใช่วาระของตัว ก็เพราะพวกแกวางแผนปลงพระชนม์องค์เจ้ามูจนะเปอร์เซียองค์ปัจจุบันก่อน ด้วยจิตคิดคด ต้องการครองอำนาจเป็นใหญ่โดยเร็ว ถ้าหากหน่อเนื้อมูจนะฝ่ายเปอร์เซียไม่วางแผนตอบโต้ ยอมตระบัดสัตย์ วันนั้น ฝ่ายที่ต้องหนีหัวซุกหัวซุน ไร้แผ่นดินอยู่ ก็ต้องเป็นหน่อเนื้อมูจนะฝ่ายเปอร์เซียแล้ว”
               
                เฌอคิมซาอธิบายเบื้องหลังเหตุการณ์เมื่อกว่าสองร้อยปีก่อนอย่างชัดเจน ตอกย้ำว่าทั้งหมดเป็นแค่การช่วงชิงอำนาจ หากฝ่ายตนไม่ทำ...อีกฝ่ายก็ทำ...มิหนำยังลงมือก่อนด้วย
               
                ตูมินเหยียดยิ้มหยัน ไม่ตอบโต้ เรื่องพวกนี้มีหรือเขาจะไม่รู้...ประวัติศาสตร์ การช่วงชิงอำนาจ เป็นสิ่งที่เขาศึกษามาตั้งแต่เด็ก อีกทั้งยังถูกบีบคั้น กดดัน ให้เป็นความหวังเดียวของชนเผ่าที่เหลือเพียงหยิบมือ
               
                สุดท้าย ชนเผ่าที่เหลือเพียงหยิบมือก็ถูกกวาดล้างจากชนเผ่าอื่น หน่อเนื้อมูจนะสายมองโกลจึงเหลือแค่เขาคนเดียว ตูมินไม่อาจคับแค้น ชิงชังบรรพบุรุษที่สร้างให้ตนเองกลายเป็นแบบนี้ได้ เขาจึงทุ่มเทความเกลียดชัง ความผิดทั้งหมด ลงไปยังประเทศมูเจนและเหล่าหน่อเนื้อมูจนะสายเปอร์เซียทั้งหลาย
               
                เขาต้องการทำลายรากฐานหลายร้อยปีให้สิ้นซาก ลบประเทศนี้ออกจากแผนที่โลก โดยไม่ต้องการครอบครองมันแม้สักน้อยนิด
               
                ทำลาย...ทำลาย...กวาดล้างให้สิ้นซาก!
               
                โครม...โครม...ครืน...ครืน...ท้องพระโรงสะเทือนเลื่อนลั่น เพดานร่วงลงมาเป็นแผง เสาหลักเอนล้มตามกันทีละต้น เศษอิฐ เศษหิน เม็ดอัญมณีปลิวว่อน กระจายเกลื่อน พื้นที่ยืนอยู่แตกแยกเป็นทางยาว เห็นหลุมลึกน่าหวาดหวั่น
               
                เฌอคิมซายืนอยู่ที่เดิม ไม่รู้สึกรู้สาต่อฝีมือการทำลายล้างของตูมิน สายตาจ้องมองเศษอิฐหิน เม็ดอัญมณีบนพื้น นัยน์ตาส่องประกายวับ พลันนั้นเอง สิ่งของเหล่านั้นต่างลอยพรึ่บแล้วพุ่งตรงเข้าใส่ตูมินด้วยพลังแรงกล้า
               
                ตูมินหันขวับไปทางต้นเสาที่ล้มเกลื่อน ส่งอำนาจจิตควบคุม เสามหึมานับสิบต้นพุ่งจากพื้น จู่โจมเข้าใส่เฌอคิมซาในเวลาเดียวกัน
               
                สองจอมเวทสบสายตา ประกายกล้าฉายวาบ แล้วทั้งสองร่างก็หายวับ ปล่อยให้ห่ากระสุนอิฐหินอัญมณี และขบวนเสามหึมาพุ่งเข้าใส่ความว่างเปล่า
               
               
               
                ทั้งสองปรากฏร่างอีกครั้งบนยอดหลังคาพระราชวังมูเจนคนละฝั่ง ใต้ท้องฟ้าครามใกล้อัสดง แลเห็นริ้วลายสีสันม่วงอมส้ม แดง น้ำเงิน ไล่เฉดสีบนขอบฟ้างดงามราวภาพเขียนสีน้ำมัน
               
                ตูมินยืนบนยอดหลังคาฝั่งหนึ่ง ร่างเด่นสง่าเป็นเงาดำตัดขอบฟ้า เฌอคิมซายืนบนยอดหลังคาอีกฝั่ง ความสูงเสมอกัน สีหน้าแววตาราบเรียบคล้ายหน้ากาก ไม่แสดงความรู้สึกใด
               
                มือของตูมินยื่นออกไปด้านข้าง ปรากฏลมหมุนก่อตัวขึ้นจากกลางฝ่ามือ เฌอคิมซาใช้ปลายนิ้วกวัดแกว่งข้างกายสองสามรอบ บังเกิดสายลมอู้ๆ ก่อตัวเป็นวายุหมุนสามสี่สายขึ้นมาทันที
               
                ลมหมุนฝั่งตูมินก่อตัวขนาดใหญ่ ลักษณะคล้ายงวงช้างมหึมา สายลมหมุนฝั่งเฌอคิมซาเป็นเส้นเล็กกว่า แต่มีกำลังรุนแรง อีกทั้งกระจายออกมาเป็นสี่เส้น
               
                สองฝ่ายตวัดมือพร้อมกัน ลมหมุนยักษ์กับเส้นพายุขนาดเล็กทั้งสี่ต่างพุ่งเข้าใส่ เสียงวี้ด...วี้ด...ของสายลมดังกระหึ่ม กระเบื้องหลังคาปลิวว่อน ตามด้วยเสียงอิฐปูนแตกหักดังเปรี๊ยะๆ
               
                งวงพายุใหญ่ปะทะกับเส้นพายุหมุนขนาดเล็ก เกิดการต่อสู้โรมรัน ฉวัดเฉวียนล่อหลอกราวกับมีชีวิต แรงลมพัดทุกสิ่งโดยรอบแตกกระจาย เศษกระเบื้องแตกหมุนกระจายตามแรงลม กระทบกันไปมาดูสับสน
               
                เฌอคิมซา ตูมิน ยืนนิ่งเสมือนผู้บัญชาการรบ สั่งให้ไพร่พลของตนออกไปประจันหน้า รบกันด้วยธาตุหลักทั้งสี่...ดิน น้ำ ลม ไฟ
               
                ธาตุดินถูกแปลงเป็นอาวุธในท้องพระโรง ทั้งต้นเสาสูง เศษอิฐหิน อัญมณีที่ซัดสาดใส่กัน
               
                ธาตุลม ถูกแปลงเป็นพายุหมุนสองฝ่าย เข้าโรมรัน ไม่มีใครยอมแพ้ใคร
               
                สายตาจอมเวททั้งสองเขม้นมองหาจังหวะช่องว่างจู่โจม พลิกสถานการณ์กลับไปกลับมา ธาตุสองชนิดถูกนำมาแปลงใช้ในลักษณะคลับคล้าย ก้ำกึ่ง เหลืออีกสองธาตุสำคัญที่ต่างฝ่ายคิดใช้เป็นไม้ตาย เผด็จศึก
               
                ทรงกลดเป็นเพียงผู้เฝ้ามอง ติดตาม ไม่อาจยื่นมือช่วยเหลือ ยิ่งไม่อาจคาดเดา ใครแพ้ใครชนะ
               
                เขาเชื่อว่า การต่อสู้ในโลกเสมือนจริง ห้วงมายาแห่งเวทมนตร์นี้ไม่อาจยืดเยื้อเนิ่นนาน ฝ่ายใดอ่อนกำลัง อาคมถดถอย ย่อมไม่อาจควบคุมบงการธาตุสี่ในดินแดนมนตราแห่งนี้ได้ ผลตัดสินคงใช้เวลาไม่นานนัก
               
               
               
(โปรดติดตามต่อฉบับหน้า)
               
               



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP