วรรณกรรมนำใจ Lite Literature

ระบำเวท ๓๓


cover rabamvej


     นวนิยายเรื่องนี้ เขียนขึ้นเพื่อความบันเทิง
หากมีชื่อ-สกุล เรื่องราวใดพ้องกับบุคคลจริง ต้องกราบขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย


ชลนิล




     (ต่อจากฉบับที่แล้ว)

    

      กลางสวนสาธารณะสถานที่แสดงคอนเสิร์ต...ก่อนฝนตก

     ฮันเตอร์ คิม มาถึงยังจุดที่ตูมินทิ้งร่องรอยเอาไว้ คลื่นความเป็นตัวตนของอีกฝ่ายเพิ่งกระจายหาย มั่นใจว่ามันเป็นกลอุบายเดิมที่จอมเวทใช้หลอกล่อให้เขาหลงติดตามมาหลายสิบปี

     ต่อให้รู้ว่าอีกฝ่ายหลอกให้มา เขาก็ต้องยอม...ไม่เช่นนั้น ตูมินจะดำเนินแผนต่อไม่ได้

     ถ้าตูมินดำเนินแผนต่อไม่ได้ เขาก็ไม่มีโอกาสตลบหลัง เอาคืน!

     ฮันเตอร์ คิม ใช้สัมผัสพิเศษสแกนกวาดหาคลื่นตัวตนของตูมินตั้งแต่ด้านหน้าสวนสาธารณะไปจนสุดเวทีคอนเสิร์ต ปรากฏว่าไร้ร่องรอย ไม่มีกระแสคลื่นให้สัมผัส รับรู้

     วิธีเดียวที่ตูมินจะหลบซ่อนจากการตรวจจับของเขาได้ คือต้องแอบซุกงำพลังของตน แล้วหลบไปอยู่ท่ามกลางฝูงชนจำนวนมาก

     ฮันเตอร์ คิม มั่นใจ ขณะนี้ตูมินต้องแฝงกายเป็นหนึ่งในผู้ชมคอนเสิร์ตบนอัฒจันทร์แน่นอน!

     ต่อให้รู้ มั่นใจแค่ไหน ก็ไม่มีประโยชน์ที่จะไปลากตัวอีกฝ่ายออกมา เขาเชื่อว่าตูมินต้องผ่านการปลอมแปลงโฉมระดับเทพ ไม่มีทางจดจำ แยกแยะออกได้ด้วยสายตา

     ทางเดียวคือต้องแกล้งวนเวียนอยู่รอบๆ สวนสาธารณะ ทำเป็นงมหาอย่างงุ่นง่าน งมงาย แกล้งเป็นคนโง่ เพื่อคอยดู อีกฝ่ายจะดำเนินแผนต่ออย่างไร

     ครืน...เปรี้ยง!

     เสียงฟ้าคำราม ตามด้วยฟ้าผ่าดังลั่น หยาดฝนพร่างพรู แผนการของตูมินดำเนินต่อแล้ว

     คนที่สามารถสั่งฟ้า เรียกพายุฝนได้ ในที่นี้มีแค่สามคน...ไลลา ตัวเขาเอง และตูมิน

     ไลลาไม่มีทางเรียกฝนมาทำลายแผนการปล่อยไวรัสอาคมแน่ ส่วนเขาก็ไม่ใช่คนทำ เพราะฉะนั้นจึงเหลือแค่คนเดียว...ตูมิน

     ทำไมตูมินต้องเรียกพายุฝนมาถล่มงานคอนเสิร์ต หยุดแผนการปล่อยไวรัสอาคมไลลา

     เหตุผลง่ายมาก...ข้อแรก ต้องการให้เขากับไลลาแตกคอกัน เพราะไลลาคงโกรธจัดจนลืมคิดไปว่า ผู้ที่สามารถเรียกพายุฝนมาได้ ไม่ใช่มีแค่เขาคนเดียว

     ข้อสอง ถ้าไลลาปล่อยไวรัสอาคมผ่านคลื่นโทรทัศน์ไม่ได้ ความกราดเกรี้ยวจะทำให้เธอหาวิธีอื่น ซึ่งมันร้ายกาจรุนแรงกว่าเดิม

     ฮันเตอร์ คิม สงบใจ นึกถึงการวางหมากของตูมิน...เมื่ออีกฝ่ายเดินหมากเช่นนี้ จิตใจคาดหวังให้เกิดผลตามมาอย่างไร และมีปฏิกิริยาลูกโซ่ต่อมาแบบไหน

     พอเริ่มอ่านแผนตูมินออก เขาก็ต้องเบิกตากว้างด้วยความโกรธขึ้ง เจ็บแค้น ชั่วขณะจึงได้สติ สูดลมหายใจลึก ดวงตาเป็นประกายกล้า

     ตูมินไม่เกรงกลัวไวรัสอาคม แต่มันจงใจให้ไลลาใช้ไวรัสอาคมรุนแรงขณะที่จิตเกิดโทสะกล้า...เช่นนั้นจะเกิดผลตามมาอย่างไร?

     ไลลาอาจต้องโดนไวรัสอาคมของตัวเอง!

     ถ้าไลลาบาดเจ็บ ติดเชื้อไวรัสร้าย ย่อมสะเทือนจิตใจ การตัดสินใจ และการต่อสู้ของเขาอย่างรุนแรง

     ฮันเตอร์ คิม สงบใจ ถ้าจะเอาชนะตูมิน ต้องก้าวดัก นำหน้าอีกฝ่ายให้ได้ และที่สำคัญ...ต้องยอมรับว่าลำพังตนเองผู้เดียวไม่มีโอกาสเอาชนะอีกฝ่ายได้เลย

     สุดท้าย เป็นครั้งแรกตั้งแต่สำเร็จอาคม ที่เขาขอความช่วยเหลือจากผู้อื่น...

    

     ม่านพิรุณกระหน่ำหนัก พายุโหมซัดยอดไม้เอนลู่ เม็ดฝนถล่มทลาย เสริมความแรงแห่งกำลังลม ทำให้หยาดน้ำเล็กๆ กลายเป็นอาวุธร้าย สาดซัดจนผู้คนล้วนหลบหนีหาย

     คอนเสิร์ตกลางแจ้งที่มีผู้ชมนับพันยามนี้กลับว่างเปล่า เหลือเพียงอัฒจันทร์โล่ง เก้าอี้ว่าง เจ้าหน้าที่ คนทำงาน ล้วนเก็บของหนีพายุฝนรวดเร็ว ใช้เวลาไม่ถึงห้านาที

     ด้านล่างเวทีร้างไร้ผู้คน หากบนเวทีกลับมีร่างหนึ่งยืนเด่น

     ไวรัสอาคมถูกปล่อยออกไปแล้ว แม่มดผู้ทรงเวทไม่รู้สึกยินดีสักนิด ร่างในชุดราตรียาวยืนนิ่งเป็นหุ่น ใบหน้าเผือดขาวซีดราวกับศพ ดวงตาหม่นแสงไร้แววเจิดจรัสอย่างเคย ริมฝีปากขบเม้มแน่น สะกดกลั้นความเจ็บปวดมหันต์

     หยาดละอองฝนที่เคยถูกวงอาคมตีกรอบกั้น สาดกระจายเข้ามาสัมผัสไลลาได้อีกครั้ง

     เม็ดฝนบางๆ ที่กระเซ็นสาดผ่านหลังคาเวทีมากระทบร่างแต่ละเม็ดล้วนทำให้ไลลาสะดุ้งเยือก ความรุนแรงที่ได้รับไม่แตกต่างจากโดนแส้กระหน่ำฟาดโบย ภายในร่างเหมือนมีเข็มเล็กๆ นับหมื่นนับแสนเข้าชอนไช ทั้งเจ็บปวด แสบร้อน กัดกินอวัยวะ ราวกับชโลมด้วยน้ำกรด ทุกข์ทรมานจนยากจะมีมนุษย์ธรรมดาผู้ใดทนทานได้

     ท่ามกลางความเจ็บปวดสุดแสน ช่วยให้ไลลาได้สติ มองเห็นข้อผิดพลาดจนทำให้ตนเองหลงกล

     ฮันเตอร์ คิม ไม่ใช่คนเรียกพายุ เขาต้องรู้ว่าการเรียกพายุไม่อาจหยุดยั้งการปล่อยไวรัสอาคม และการทำให้เธอเกิดโทสะกล้า กราดเกรี้ยวรุนแรง จะเกิดผลเช่นไรตามมา

     ผู้ชายคนนี้ไม่มีทางคิดร้ายกับเธอ คนที่ประสงค์ร้ายตัวจริงคือคนที่เธอใช้ไวรัสอาคมควานหา...ตูมิน!

     คาดไม่ถึง จอมเวทร้ายกาจที่เธอคิดว่าเร้นกายอยู่ไกล กลับซ่อนตัวใกล้นิดเดียว...ใกล้จนสามารถส่งเสียงเข้ามาในหัว กระตุ้นความคิดชั่วร้าย อยากเอาชนะของเธอออกมา จนทำให้ได้รับไวรัสอาคมของตนเอง

     เมื่อพลาดพลั้ง บาดเจ็บเจียนตายขนาดนี้ จะมีหนทางใดแก้ไข พลิกฟื้นสถานการณ์

     สำหรับเธอ...ไม่เหลือเรี่ยวแรงกำลังใด สิ่งที่ทำได้อย่างเดียวคือสะกดกลั้นพิษไวรัส และขับมันออกมาโดยเร็วที่สุด คนที่สามารถพลิกสถานการณ์อันเป็นรองยามนี้ได้ มีแต่ชายในดวงใจคนเดียว

     คาดว่า...เขาคงไม่ทำให้เธอผิดหวัง

    

     ไลลายืนตระหง่านในชุดราตรี มิหวั่นไหวต่อพายุที่โหมกระหน่ำ ไม่นาน...สายตาเธอก็ปะทะเข้ากับชายที่ตนเองรอคอย ความรู้สึกคลายใจปรากฏลึกๆ โดยสีหน้ายังเรียบเฉย ไร้ความรู้สึก

     ฮันเตอร์ คิม เดินลงมาจากอัฒจันทร์ ใบหน้าภายใต้หน้ากากหนังเรียบนิ่ง แววตาเร้นลึกยากอ่านความรู้สึก พายุฝนอันร้ายแรงไม่อาจกรายกล้ำ เขาเดินมาถึงหน้าเวที เตรียมจะขึ้นมาช่วยหญิงคนรัก ถอนพิษอาคมร้าย ฉับพลัน จิตใจสัมผัสกระแสพลังอันรุนแรง กระตุกให้หันหลังกลับ

     บนยอดอัฒจันทร์ปรากฏร่างร่างหนึ่งยืนอยู่เบื้องหลังม่านพายุฝน ความสลัวรางของแสงไฟ ความหนาแน่นของเม็ดฝน ปกปิดอำพรางรูปร่างใบหน้าของผู้มาใหม่จนยากจับรูปเค้า

     สิ่งเดียวที่ชัดเจน กระจ่างแก่ใจ คือกระแสคลื่นความเป็นตัวตนอันเด่นชัด ความอหังการยิ่งใหญ่ ไม่เห็นผู้ใดในโลกอยู่ในสายตา

     ...ตูมินเผยร่างออกมาแล้ว!

     เขาจงใจปรากฏตัวในเวลาที่ไลลาบาดเจ็บเจียนตาย ฮันเตอร์ คิม เตรียมขึ้นไปช่วยเหลือ เพื่อต้องการยั่วเย้าให้อีกฝ่ายพะวักพะวน ลังเล

     ฮันเตอร์ คิม ต้องตัดสินใจ...จะปิดบัญชีตูมิน หรือช่วยไลลาก่อน?

     สายตา ฮันเตอร์ คิม พุ่งปลาบฝ่าม่านพิรุณ ตรงแน่วไปยังร่างที่ยืนอยู่บนยอดอัฒจันทร์ ทั้งสายตา ความรู้สึกยืนยันชัด นี่คือตูมิน ศัตรูร้ายที่สร้างบาดแผล ความเจ็บปวดแก่เขา มากว่าครึ่งศตวรรษ

     ปิดบัญชีแค้น หรือช่วยคนรัก?

     ฝ่ายตรงข้ามคล้ายจะส่งสาส์นมาถามไถ่เขาเช่นนั้น

     “ฉัน...ไม่เป็นไร...ไปสะสางบัญชีเดี๋ยวนี้” เสียงเบาๆ ลอดไรฟันของไลลาฝ่ากระแสพายุฝนเข้ากระทบหู ฮันเตอร์ คิม ชัดเจนทุกถ้อยคำ ราวกับเจ้าตัวตั้งใจแสดงพลังที่มีเป็นข้อยืนยัน และตัดสินใจแทนชายคนรัก

     ฮันเตอร์ คิม หันกลับไปสบตาไลลาบนเวที นัยน์ตาสองคู่ประสานกัน เกิดความเข้าใจลึกซึ้งผ่านแววตา

     ไม่จำเป็นต้องถามไถ่ ไม่จำเป็นต้องพูดจามากความ สำหรับคนที่รู้จักกันมาไม่น้อยกว่าค่อนชีวิต ล้วนเข้าใจเหตุผลของกันและกันดี

     ความเพียรพยายามปล่อยไวรัสอาคมของไลลาสัมฤทธิผล...ตูมินยอมปรากฏตัวแล้ว นับจากนี้ ไม่ว่าต้องใช้สิ่งใดเข้าแลก ไลลาไม่ยอมให้ ฮันเตอร์ คิม พลาดโอกาสสำคัญครั้งเดียวในชีวิตแน่นอน

     ชายผู้ซ่อนใบหน้าใต้หน้ากากหนังเบือนสายตากลับมาทางอัฒจันทร์ ร่างที่ยืนอยู่บนนั้นยังไม่ไปไหน ราวกับต้องการท้าทายการตัดสินใจของศัตรู

     ฮันเตอร์ คิม ก้าวขาขึ้นไปบนอัฒจันทร์อย่างเชื่องช้า หนักแน่น บอกความชัดเจนในใจชนิดไม่มีความลังเล แววตาเรียบนิ่ง ไร้ความสับสน กังวล สภาวะจิต พลังที่มี ล้วนพุ่งตรงสู่ร่างที่ยืนเด่นตระหง่านอย่างไม่มีพรั่น

     ไลลากัดฟันแน่น ถอยหลังลงจากเวที ข่มความเจ็บปวดทั้งกายและใจ หลบเร้นหาที่พักรักษาตัวเอง หัวใจอ่อนล้า วิบวับ น้อยใจจนอยากหลั่งน้ำตา พิษอาคมจู่โจมจนแทบกระอักเลือดออกมา

     ทั้งที่เธอเป็นคนเอ่ยปาก พูดเป็นเชิงสั่งให้เขาเก็บงำพลังไว้ปิดบัญชีตูมิน แต่พอเห็นอีกฝ่ายหันหลังกลับ เดินขึ้นอัฒจันทร์ เข้าเผชิญหน้าศัตรูชนิดไม่มีความลังเล กังวลใจแม้สักนิด จิตใจก็เจ็บปวดเหลือแสน นึกน้อยใจขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ อยากหลบลี้ หนีไปไกลแสนไกล หรือไม่ก็ทอดร่างกลายเป็นศพ แสดงให้เขาเห็นว่าความรักของเธอมีมากมายเพียงใด ขนาดชีวิตยังยอมสละให้ได้...

     ความรู้สึก อารมณ์ไลลา พลิกไปพลิกมาจนเจ้าตัวก็ยากจะเข้าใจ...ติดตามได้ทัน

    

     ตูมินประหลาดใจเล็กน้อยที่ไม่เห็นความลังเล กังวล ในแววตาของเฌอคิมซาเลย

     เขามั่นใจว่าตนวางแผนปั่นหัวฝ่ายตรงข้ามยอกย้อนหลายชั้น จนถึงที่สุดเวลานี้...อีกฝ่ายน่าจะเกิดความกังวลจนความสามารถและพลังลดถอยลง เพื่อเขาจะได้จัดการมันเพียงแค่กระดิกนิ้ว ใช้เวลาไม่เกินสองวินาที ทำให้อดีตเจ้าชายสูงศักดิ์หมดสิ้นมานะ ความคิดต่อสู้ กลายเป็นชายชราสิ้นพิษสง ผู้พกพาความคับแค้นติดตัวไปจนตาย

     แผนการคลาดเคลื่อนในช่วงเวลาสุดท้าย เฌอคิมซาเตรียมพร้อมเต็มร้อยทั้งกำลังกาย กำลังใจ เพื่อเข้าปะทะ ปิดบัญชีกับเขาอย่างสุดตัว ทุ่มเทความสามารถทั้งมวลเพื่อใช้โอกาสสำคัญครั้งนี้อย่างคุ้มค่า

     ตูมินเพียงแค่เหยียดยิ้มหยันเล็กน้อย...ลองดูซิว่าความสามารถสุดกำลังของคนผู้นี้จะต้านทานมหาเวทของเขาได้เกินหนึ่งนาทีหรือไม่

     การต่อสู้ใกล้เริ่มขึ้นแล้ว...

    

     บนอัฒจันทร์

     เฌอคิมซาหยุดเท้าเมื่อยืนห่างอีกฝ่ายเพียงสามขั้น ระหว่างคนทั้งสองถูกกางกั้นด้วยพลังหนาแน่น ก่อตัวเป็นกำแพงไร้สภาพ กร้าวแกร่ง น่ากลัว

     ขณะทั้งคู่ยืนเผชิญหน้ากัน บังเกิดพลังแผ่กระจายล้อมรอบ สายฝนไม่อาจสาดซัด ม่านพิรุณคลี่คลาย เผยให้เห็นใบหน้าแท้จริงของกันและกัน

     เฌอคิมซาปลดหน้ากากหนังทิ้ง เผยให้เห็นเค้าโครงรูปหน้าได้สัดส่วน งดงาม จมูกโด่ง นัยน์ตาโตลึก ริมฝีปากหนา รอยย่นที่หางตาทาทาบ บอกร่องรอยวันเวลา อายุขัยช่วงใกล้บั้นปลายชีวิต

     อีกฝ่ายยืนตระหง่านด้านบน รูปร่างสมส่วน ไม่สูงไม่เตี้ย แต่งกายด้วยเชิ้ตสีขาว กางเกงสีครีมสะอาดตา ใบหน้านั้นไม่ใช่คนหนุ่ม ไม่ใช่คนชรา คาดเดาอายุน่าจะอยู่ประมาณสี่สิบปลายๆ ไม่เกินห้าสิบต้น ๆ จมูกปากตาบนดวงหน้า ไม่มีส่วนใดละม้ายอาจารย์ตูมินที่เฌอคิมซาเคยพบมาเลย

     ถึงอย่างนั้นใช่ว่าชายผู้พกพาความแค้นจะไม่เคยผ่านตาชายตรงหน้ามาก่อนเลย ชายคนนี้รู้จักทั้งเอื้อกานต์ หมอหมาก และได้พบทรงกลดมาแล้ว

     “เปลี่ยนจากอาจารย์ตูมินเป็นอาจารย์หมออย่างนั้นหรือ?” เฌอคิมซาเอ่ยถามอย่างไม่นึกประหลาดใจ ตูมินสามารถปลอมแปลงเป็นใครก็ได้ ไม่เกินคาดคิด

     ที่ผู้ทรงอาคมจำอาจารย์หมอคนนี้ได้ชัด เพราะเขาเปิดคลินิกคนยากซึ่งเอื้อกานต์ หมอหมาก เคยไปช่วยทำงาน และยังเคยพาทรงกลดที่โดนไวรัสอาคมไปส่งโรงพยาบาลมาแล้ว

     ช่วงเวลานั้น เฌอคิมซาในคราบ ฮันเตอร์ คิม คอยติดตามดูชะตากรรมลูกศิษย์อยู่ห่างๆ กระนั้นก็ไม่รู้สึกสะดุด หรือกระทบใจกับอาจารย์หมอผู้เป็นคนช่วยเหลือลูกศิษย์ของตนเลย

     ตูมินปลอมแปลงเป็นอาจารย์หมอ คนธรรมดาที่ผู้ทรงอาคมคนใดก็ไม่สามารถแยกแยะดูออก

     “เข้าใจหรือยังว่าทำไมไวรัสอาคมถึงทำอะไรเราไม่ได้” ฝ่ายยืนสูงกว่าเอ่ยถามแทนการทักทาย

     ใบหน้าแท้จริงของเฌอคิมซาไม่แสดงความรู้สึก แววตาเร้นลึก บรรจุพลังงานเต็มเปี่ยม

     “การเปิดคลินิกช่วยคนยากจน รักษาผู้ป่วยโดยไม่คิดมูลค่า นับว่าเป็นเรื่องที่ดี...” เฌอคิมซาพูดเหมือนชม ทว่าแววตากลับไม่แสดงออกเช่นนั้น “แต่ความดีแค่เปลือกอย่างนั้น มันช่วยละลายความเลวร้ายในใจได้มั้ยล่ะ” คำถามย้อนแทงใจ

     “อย่างน้อย...ก็ทำให้ไวรัสอาคมมองข้ามเราได้ ขณะที่คนสร้างมันมากับมือ กลับโดนผลงานตัวเองทำร้าย ไม่รู้จะเอาชีวิตรอดได้หรือเปล่า”

     ตูมินยิ้ม จงใจพูดกระตุ้นให้อีกฝ่ายพะวง คิดถึงคนรักที่กำลังเจ็บหนักสาหัส

     “นั่นสิ สิ่งไหนเรียกว่าดี...สิ่งไหนเรียกว่าชั่ว มันแยกแยะยากเหลือเกิน ในเมื่อใจคนเรามีดีชั่วปะปน” เฌอคิมซาพูดช้าๆ น้ำเสียงราบเรียบ ไร้ความรู้สึก

     ตูมินเหยียดยิ้มหยัน นัยน์ตากระจ่างจ้า รู้ชัดอีกฝ่ายเตรียมจู่โจม

     พายุฝนซา ลดระดับความแรงลง เหลือเพียงสายฝนโปรยปราย บริเวณอัฒจันทร์รอบวงอาคมสองผู้ทรงเวทบังเกิดลมหมุนวน รวบรวมหยาดน้ำฝนแผ่เป็นผืนคล้ายผ้าแพร สะบัดพัดพลิ้วรอบคนทั้งสอง

     นัยน์ตาสองคู่ปะทะกัน กำแพงไร้สภาพแตกกระจายหาย ผืนแพรน้ำฝนพุ่งปลาบเข้าใส่อาจารย์ตูมิน ขณะเดียวกัน แพรน้ำอีกเส้นก็วกเข้าหาเฌอคิมซาเช่นเดียวกัน

     เปรี๊ยะ! ซ่า...ซ่า...

     แพรน้ำสองสายแตกกระจายเต็มพื้น ไม่อาจทำร้ายสองผู้เฒ่าได้

     อาจารย์ตูมินเพียงยกมือ นัยน์ตาดำขยายกว้าง ปลายนิ้วขยับเพียงนิด บังเกิดขุมพลังมหาศาลบิดเป็นเกลียวโถมเข้าใส่ฝ่ายตรงข้าม สามสี่ระลอกติดๆ กันชนิดไม่มีเว้นวรรค

     เฌอคิมซาเตรียมตัวแต่แรก กำหนดพลังต้านรับ ตีโต้กลับอย่างแยบคาย ช่ำชอง ทว่าพลังฝ่ายตรงข้ามผิดแปลก พิสดาร ไม่เคยประสบมาก่อน มีความอ่อนในความแข็ง ทั้งรุนแรงและแผ่วเบา จริงหลอก สับสน รับมือลำบาก

     ที่น่าสะพรึงยิ่งกว่านั้น คือเบื้องหลังพลังที่ส่งมาทั้งหมด ยังมีพลังที่ยิ่งใหญ่กว่า รุนแรงกว่า เป็นมหาเวทขั้นสุดยอดรอคอยอยู่ เสมือนยักษ์ใหญ่สูงเสียดฟ้ายืนคอยคุมเชิง ดักทางหนี ปิดหนทางต่อสู้ทุกรูปแบบ ชนิดทำให้อีกฝ่ายไม่อาจกระดิกตัวตีโต้ได้เลย

     เฌอคิมซายืนหยัด ตั้งรับ ตีโต้พลังเวทพิสดาร น่าสะพรึงกลัวของตูมินได้ไม่เกินสามอึดใจ ก็พบพลังงานรุนแรงยิ่งกว่ารุนแรง กร้าวแกร่งยิ่งกว่ากร้าวแกร่ง กระแทกใส่เต็มกำลัง เกินต้านทานหลบถอย

     ปึ้ก...พลั่ก!

     แรงกระแทกถีบเขาลงจากอัฒจันทร์ไปนอนกองบนพื้นด้านล่าง กระอักเลือดออกมากองใหญ่ สายฝนโปรยปรายช่วยล้างหยาดเลือดบนใบหน้าซีดเซียวออกไป

     อาจารย์ตูมินก้าวลงบันไดอัฒจันทร์ช้าๆ สีหน้าปกติ ไม่ยินดี ไม่ยินร้าย รอยยิ้มบนใบหน้าเหมือนหน้ากากหนังขึ้นรอยกระตุกแบบเสแสร้ง แววตามองมาเหมือนเห็นเศษขยะชิ้นหนึ่ง

     เฌอคิมซาเพิ่งเผชิญกับพลังแท้จริงของตูมินครั้งแรก ทำให้รู้ว่าการต่อสู้เมื่อหลายปีก่อน อีกฝ่ายจงใจออมมือเพื่อล่อหลอกให้เขาเข้าใจผิด หลงติดตามไล่ล่า ทั้งที่จริงฝ่ายนั้นจะฆ่าเขาเมื่อไรก็ได้

     หากจะเอาชนะพลังยิ่งใหญ่ขนาดนี้ต้องร่วมมือกับทรงกลด ไลลา เป็นสามเส้า ถึงจะพอสูสี มีโอกาสคว่ำคู่ต่อสู้

     คิดได้ตอนนี้ก็เปล่าประโยชน์ ตูมินคงเห็นเช่นเดียวกับเขา จึงล่อหลอกให้ไลลาติดกับดักตัวเอง และปล่อยทรงกลดไปเผชิญไวรัสนางพญาจนแทบเอาชีวิตไม่รอด

     “ไม่ต้องห่วง...เราไม่ฆ่าเจ้าชายหรอก” ตูมินบอกเรียบๆ ยืนห่างเพียงสามก้าว “เราจะเปิดโอกาสให้เจ้าชายไปฝึกฝีมืออีกสัก...ห้าปี...สิบปี...”

     รอยยิ้มไร้อารมณ์ขันผุดบนริมฝีปากผู้ชนะ

     “หรือจะไปร่วมมือกับลูกศิษย์และคนรักก็ได้นะ เรารอได้...วางกำลังเป็นสามเส้า อาจเอาชนะเราได้”

     คำพูดแทงใจ มองเห็นความคิดในหัวฝ่ายตรงข้ามชัดเจน

     “คงไม่จำเป็น...” เฌอคิมซาพูดพลางกระอักเลือดกองใหญ่ ขยับตัวนั่งกึ่งเอนบนพื้นที่เปียกปอน

     “ฉันแก่เกินกว่าจะฝึกวิชาอะไรใหม่ได้อีกแล้ว”

     คำพูดกึ่งท้อ กึ่งยอมรับความจริง ทำให้ตูมินหรี่ตา เพ่งมองความคิดในหัวผู้แพ้ ว่ามีเล่ห์เหลี่ยมอะไรซ่อนอยู่หรือไม่...เป็นไปไม่ได้ที่ความแค้นห้าสิบปีจะจบลงง่ายดายแบบนี้

     ทว่า...ในหัวเฌอคิมซาเป็นเหมือนอากาศโล่ง ไม่มีคลื่นความคิด คำพูดซ่อนเร้น ความรู้สึกในใจก็อ่อนล้า ท้อถอย...

     หรือว่า...คนในวัยหกสิบเศษจะหมดแรงแค้นเสียแล้ว?

     ชั่วขณะที่ตูมินลังเล สงสัย เฌอคิมซาก็ค่อยๆ ยันกายลุกขึ้นยืนโผเผ สายฝนบางเบาพร่างพรมร่างจนเปียกชุ่ม ระยะห่างทั้งสองเลื่อนใกล้อีกนิด นัยน์ตาผู้แพ้กลับสาดประกาย ส่งกำลังคลื่นอันแรงกล้า เผ็ดร้อน เข้าปะทะฝ่ายที่อยู่ใกล้ด้วยพลังเกินคาด

     วูบ...เปรี๊ยะ...ปัง...สามเสียงดังในเวลาไล่เลี่ย

     พลังเฌอคิมซาปะทะเข้ากับคลื่นป้องกันระยะใกล้ที่ตูมินส่งมาดักรออยู่แล้ว พร้อมกับมีพลังพุ่งสวนออกมาในเวลาเดียวกัน ส่งผลให้ร่างสูงใหญ่กระเด็นไปปะทะด้านล่างของเวที

     คนอย่างตูมินมีหรืออ่านเกมไม่ออก ว่าอีกฝ่ายจงใจหลอกล่อให้ตนประมาทเข้าใกล้ แล้วทุ่มเทพลังทั้งหมดเข้าใส่หวังตกตายตามกัน

     ต่อให้อ่านความคิดในหัวเฌอคิมซาไม่ออก คนเจ้าเล่ห์อย่างตูมินย่อมไม่มีวันพลาดท่า เสียทีง่ายดาย

     เฌอคิมซากระอักเลือดอีกครั้ง ใบหน้าเผือดซีด ไร้สีเลือด ดวงตาแตกซ่านไร้ประกาย อาศัยพิงร่างกับทางขึ้นเวที ไม่มีเรี่ยวแรงขยับกาย

     “เพราะคิดว่าแก่เกินเรียน เลยต้องการที่จะสู้ให้ตายตกตามกันงั้นสิ?” ตูมินสาวเท้าเข้าใกล้ ถามไถ่กึ่งขำขัน “น่าเสียดายนะ ที่เราไม่มีความคิดอยากฆ่าเจ้าชายเลยสักนิด”

     รอยยิ้มไยไพ เย้ยหยัน ด้วยเห็นอีกฝ่ายไม่คู่ควรกับฝีมือตน ชวนให้นึกเจ็บใจง่ายๆ

     “สนุกมั้ย...กับการปลอมตัวเป็นคนโน้นคนนี้ ร่อนเร่ไปทั่วโลก”

     เฌอคิมซารวบรวมกำลัง ปรับลมหายใจให้เป็นปกติเพื่อพูดคุยกับอีกฝ่ายอย่างไม่ยอมแสดงอาการบาดเจ็บ ความอ่อนแอ ให้เห็น

     “ปลอมตัวหรือ? ไม่นะ...ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน...เราก็เป็นเราเสมอ” ตูมินตอบ

     “เป็นอาจารย์หมอ ผู้มีใจเมตตา เปิดคลินิกรักษาคนอื่นแบบไม่คิดเงิน ช่วยเหลือคนโน้นคนนี้แบบไม่เห็นแก่เหน็ดแก่เหนื่อยนี่นะ...อาจารย์ตูมิน” คำถามกึ่งประชด

     “อาจารย์หมอก็คือเรา...มันน่าสนุกดีที่มีคนมาเคารพ นับถือ บูชาเราเป็นพ่อพระ คนดี” อีกฝ่ายตอบอย่างไม่เห็นแปลก

     “แล้วการเป็นที่ปรึกษาผู้นำประเทศล่ะ...การยุยงให้เขาประกาศสงคราม ฆ่าคนเป็นเบือ จนเสียงก่นด่า ร่ำไห้ สาปแช่งระงมไปทั่วเมือง ชีวิตผู้คนนับหมื่นนับแสนต้องสังเวยระเบิด คมกระสุน มันน่าสนุกตรงไหน”

     เฌอคิมซาถามอย่างต้องการทวงความยุติธรรม

     “เราชอบ” ตูมินตอบแค่สองคำ คนฟังเสียวสันหลังวาบ

     “เงินทอง...อำนาจ...เรามีจนล้นเหลือแล้ว แต่การควบคุม ชักจูงจิตใจคน มันเป็นเรื่องน่าสนุกกว่าทุกเรื่อง โดยเฉพาะควบคุม ชักนำจิตใจคนใหญ่คนโต คนที่คิดว่ามีอำนาจบารมีล้นฟ้า ให้เลือกกระทำ เลือกตัดสินใจผิดพลาด ทำในสิ่งที่ฝืนความรู้สึกตัวเอง ฝืนมติโลก พอควบคุมได้แล้วมันเป็นรสชาติความสนุกที่บอกไม่ถูก...ทำให้เรารู้สึกเหมือนกำลังบีบโลก บีบหัวใจคนทั้งโลกไว้ในกำมืออย่างง่ายดาย”

     คำอธิบายของตูมินทำให้ผู้ฟังนึกภาพไม่ออก...จิตใจชายตรงหน้านี้ ทำด้วยอะไร

     เฌอคิมซาสูดลมหายใจอีกเฮือก เรียกเรี่ยวแรงกำลัง กล่าววาจา

     “ในเมื่ออยากเป็นอะไรก็เป็นได้ทุกอย่างแล้ว ทำไมไม่เป็นองค์เจ้ามูจนะเสียเลยล่ะ หรือเห็นว่ามันด้อยค่า ไม่คู่ควรกับหน่อเนื้อมูจนะสายมองโกลคนสุดท้ายอย่างแก...ตูมินเจนวัก...”

     ชายผู้ใกล้หมดแรงเอ่ยปาก พูดชัดเจนทุกถ้อยคำ โดยเฉพาะสี่คำสุดท้าย

     ผู้ถูกเรียกชื่อเต็มเป็นครั้งแรกในรอบหลายสิบปีมีประกายตาแปลกเปลี่ยนวูบหนึ่ง ก่อนยิ้มเรื่อยๆ ไม่ใส่ใจดังเดิม

     “ตูมินเจนวัก” ทวนชื่อสี่คำด้วยน้ำเสียงขำขัน “ไม่มีใครเรียกเราด้วยชื่อนี้นานแล้ว”

     “ก็น่าจะใช่” เฌอคิมซาตอบรับ “ในเมื่อหน่อเนื้อมูจนะสายมองโกลล้วนสูญสิ้นหมด แล้วจะยังมีใครจดจำชื่อนี้ได้อีก”

     “นั่นสิ...เจ้าชายยังอุตส่าห์รู้จักชื่อนี้”

     “ฉันจำเป็นต้องรู้จักศัตรูทุกด้าน...ว่ามันเป็นใคร มาจากไหน ทำไมต้องทำเรื่องร้ายกาจอย่างนั้น” เฌอคิมซากล่าวเชื่องช้า เน้นจังหวะกระตุ้นความอยากรู้ของผู้ฟัง

     “แสดงว่าเจ้าชายรู้ทุกเรื่องแล้ว...” คำเรียกขาน ‘เจ้าชาย’ ฟังหมิ่นหยันมากกว่ายกย่อง

     “เมื่อแรกก่อตั้งมูเจน...หน่อเนื้อมูจนะสายเปอร์เซียกับมองโกลผลัดกันเป็นองค์เจ้ามูจนะมาตลอด แต่ปฏิบัติตามข้อตกลงได้ไม่เกินสองร้อยปี ผลัดผู้เป็นองค์เจ้ามูจนะแค่ห้าหกครั้ง กลุ่มหน่อเนื้อมูจนะสายเปอร์เซียก็ผิดคำสาบาน ยึดแผ่นดิน ขับไล่หน่อเนื้อมูจนะสายมองโกลออกไป ทำให้เกิดความคับแค้น ต้องหวนกลับมาช่วงชิงความเป็นธรรมหลายต่อหลายครั้ง แต่ล้วนพ่ายแพ้กลับไป หลบซ่อนตัว รอคอยเวลา...

     “ ‘ตูมินเจนวัก’ เป็นหน่อเนื้อมูจนะสายมองโกลคนสุดท้าย เป็นความหวังที่จะกลับมาทวงความยุติธรรมคืน แต่น่าแปลก แทนที่เขาจะเดินแผนช่วงชิงตำแหน่งองค์เจ้ามูจนะ เขากลับทำลายมูเจนย่อยยับทั้งประเทศ”

     เฌอคิมซาบอกเล่าเรื่องราวยืดยาว พอพูดจบก็หยุด หอบหายใจหนัก ใบหน้าเผือดซีดกว่าเดิม

     “ไม่อยากรู้หรือว่า...ทำไมเราถึงไม่อยากได้ตำแหน่งองค์เจ้ามูจนะ” ตูมินถามด้วยน้ำเสียงเข้มข้น

     เฌอคิมซาหลับตา สูดลมหายใจอีกเฮือกใหญ่ เรียกเรี่ยวแรงก่อนตอบ

     “เพราะมูเจนเล็กเกินไปสำหรับจอมเวทผู้ยิ่งใหญ่อย่างตูมินเจนวักกระมัง”

     “ไม่ใช่” เสียงตอบกังวานชัด “เราเกลียดมูเจน”

     แววตาตูมินวาวโรจน์ แฝงความเจ็บแค้นจริงจัง

     “เราเกลียดมัน...ดินทุกก้อน ทรายทุกเม็ด บนแผ่นดินมูเจน สายลมที่พัดผ่าน ท้องฟ้า ภูเขา ทุกสิ่งที่อยู่ในมูเจน เราเกลียดมันเข้าไส้!”

     “แต่แกก็นำสมบัติมูเจนเกินกว่าครึ่งประเทศไปสร้างประโยชน์แก่ตัวเองจนร่ำรวยล้นฟ้า”

     “เพราะเราอยากทำลายมันต่างหาก” ตูมินสวนเสียงแข็ง

     “ไม่ใช่” เฌอคิมซาค้านเสียงกร้าว “เพราะแกอิจฉาหน่อเนื้อมูจนะสายเปอร์เซียทุกคนต่างหาก แกอยากเกิดเป็นหน่อเนื้อมูจนะสายเปอร์เซีย จะได้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุข ไม่ต้องการเป็นสายมองโกลที่ต้องคอยหลบซ่อน ทนกดดัน โดนกรอกหูทุกเช้าค่ำให้ทวงความยุติธรรม ต้องถูกฝึกฝนเคี่ยวกรำอย่างหนักเพื่อจะได้มีวิชา สามารถชิงเอาแผ่นดินคืน เป็นองค์เจ้ามูจนะสายมองโกลคนแรกในรอบร้อยกว่าปี”

     “ไม่จริง!” เสียงตอบกราดเกรี้ยว แววตาวาวโรจน์

     “ทำไมจะไม่จริง...” เสียงเฌอคิมซาแผ่วลง ร่างสูงใหญ่ฝืนลุกยืนเซๆ จ้องนัยน์ตาอีกฝ่ายอย่างไม่เกรงกลัวภัยใด

     “ตูมินน้อย...เจ้าต้องเร่งฝึกวิชา ตูมินน้อย...เจ้าจะออกไปเล่นอย่างเด็กคนอื่นไม่ได้ ตูมินน้อย...เจ้าต้องเป็นหนึ่งแห่งมูเจน...ศักดิ์ศรีของหน่อเนื้อมูจนะฝ่ายเราอยู่ในกำมือเจ้าคนเดียว”

     “หยุด!” ตูมินตะโกนก้องเมื่ออีกฝ่ายพยายามพูดจาสะกิดบาดแผลเก่าในหัวใจให้เปิดกว้างออกมา บาดแผลที่ตนคิดว่าลืมเลือนมันสนิท ถูกเก็บซ่อนมิดชิดตามวันเวลาที่เลยผ่าน

     “ตูมินน้อย...แม่ยอมขายศักดิ์ศรี...สละทั้งชีวิตได้ เพื่อให้ลูกเป็นองค์เจ้ามูจนะ” เฌอคิมซาปล่อยหมัดเด็ดในคำพูดประโยคสุดท้าย

     “กูบอกให้หยุด!” เสียงตะโกนก้อง แววตาฉายเพลิงอำมหิตลุกท่วม พลังอำนาจมืดก่อตัวกร้าวแกร่ง พร้อมซัดใส่สังหารฝ่ายตรงข้ามให้หยุดกล่าววาจาเสียดแทงใจ

     ...มึงต้องตาย!...

     ประโยคเดียวก้องในหัวตูมิน ก่อนซัดสาดพลังในตนกระแทกสังหารเฌอคิมซา

     ทว่า...ยังไม่ทันถึงเสี้ยววินาที ทั้งร่างบังเกิดอาการเจ็บแปลบ เหมือนโดนเข็มชุบน้ำกรดนับแสนนับล้านเล่มพุ่งเข้าทิ่มแทง ชอนไชแทรกไปทั่วทุกอวัยวะ ในหัวถูกครอบด้วยม่านมืด ปวดร้าว ทุกข์ทรมาน ราวร่างถูกฉีกออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย

     “อ๊ากกก...” ตูมินเงยหน้าตะโกนก้อง ถอยหลังสองก้าว ก่อนตั้งสติได้ ยืนนิ่งใบหน้าซีดเผือด ดวงตาแดงฉานจ้องอีกฝ่ายเขม็ง บอกความคับแค้นที่พลาดท่าหลงกล

     “ไวรัส...อาคม...” คำพูดเนิบช้า หนักแน่น แสดงกำลังอันแข็งกล้าที่กดข่มแรงทุกข์เวทนาหนักของตนเอง

     “เฌอ...คิม...ซา...ร้ายกาจ” จบห้าคำพูดก็หันหลังเดินจากไป

     เฌอคิมซาก้าวตามเพียงก้าวสองก้าวก็เข่าอ่อน เรี่ยวแรงลดต่ำ หอบหายใจหนัก มองเงาหลังตูมินที่เดินจากไปช้าๆ ท่ามกลางปรอยฝนใกล้ขาดเม็ด

     ผู้ทรงอาคมสูดลมหายใจยาวลึก ดึงพลังที่ซุกซ่อนออกมา ยืดกายตรง ก้าวขาช้าๆ เดินตามทิศทางที่ตูมินลับหาย

     โอกาสปิดบัญชีตูมินครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้ายแล้ว ไวรัสอาคมอาจหยุดยั้งจอมเวทได้ชั่วคราว แต่ไม่นาน...ด้วยพื้นฐานตบะ พลังเวทอันกล้าแข็งยิ่งใหญ่ขนาดนั้น คงสามารถขับพิษออกได้ภายในเวลาไม่เกินรุ่งเช้า

     เฌอคิมซารู้ตั้งแต่แรกปะทะแล้ว ว่าพลังตนอ่อนด้อยกว่านับเป็นช่วงตัว ถอยหลังไม่ได้ จำต้องพลิกแพลงตามสถานการณ์ ซุกงำพลังส่วนหนึ่งไว้ ปล่อยให้ตนเองบาดเจ็บ เพื่อให้ฝ่ายตรงข้ามประมาท เผยช่องโหว่

     เรื่องของตูมินเจนวัก หน่อเนื้อมูจนะสายมองโกลคนสุดท้าย เป็นสิ่งที่เขาสืบรู้นานแล้ว ตั้งใจใช้เป็นหมัดเด็ด ไพ่ตาย ที่เก็บงำไว้เพราะยังรู้เรื่องราวไม่ละเอียดเท่าที่ต้องการ

     หลังจากถูกเปิดโปงความเป็นมา ตูมินก็เริ่มขาดสติ หลุดความทรงจำเจ็บปวดและภาพเลวร้ายในวัยเยาว์ขึ้นมาในหัว เฌอคิมซามองเห็น จึงจับจุดบาดแผลความทรงจำเหล่านั้นมากระตุ้นโทสะฝ่ายตรงข้าม เปิดโอกาสให้ไวรัสอาคมทำงาน

     ตูมินเกิดโทสะกล้า จิตใจอำมหิตรุนแรง ขณะไวรัสอาคมยังกระจายทำงานอยู่ทั่วประเทศ ความประมาท หลงลำพองในฝีมือตน ทำให้พลาดพลั้งโดนไวรัสอาคมของไลลาจู่โจมทำร้ายเต็มกำลัง

     ไวรัสอาคมไม่มีทางฆ่าตูมินได้ แต่ลดทอนกำลังความสามารถไปกว่าครึ่ง ยิ่งฝืนถอนพิษอาคมเร็วเท่าไร ยิ่งต้องสูญเสียพลังมาก ฟื้นตัวช้า

     ...นี่จึงเป็นโอกาสสุดท้ายของเฌอคิมซา พ้นจากช่วงเวลานี้ เขาจะไม่มีทางปิดบัญชีความแค้นอันยาวนานนี้ได้ตลอดชีวิต!

     ผู้พกความแค้นมากว่าครึ่งศตวรรษเดินตามรอยศัตรูอย่างไม่ลดละ ไม่สนใจมองหาหญิงคนรัก ไม่พะวงว่าเธอจะทนอาการบาดเจ็บได้นานเพียงไร

     ด้วยเขามั่นใจ...ต้องมีคนมาช่วยชีวิต ถอนพิษไวรัสอาคมให้แก่ไลลาได้สำเร็จ...อย่างแน่นอน

    

     (โปรดติดตามต่อฉบับหน้า)

    



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP