วรรณกรรมนำใจ Lite Literature

ระบำเวท ๓๐



cover rabamvej


นวนิยายเรื่องนี้ เขียนขึ้นเพื่อความบันเทิง
หากมีชื่อ-สกุล เรื่องราวใดพ้องกับบุคคลจริง ต้องกราบขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย


ชลนิล



(ต่อจากฉบับที่แล้ว)



               เวลาเย็น หน้าลิฟต์

            ทีเกื้อยืนรอลิฟต์ด้วยใจสงบนิ่ง ไลลาออกจากโรงแรมไปซ้อมที่เวทีครู่ใหญ่แล้ว เขาซุ่มอยู่ด้านนอก สังเกตว่าอีกฝ่ายไม่ย้อนกลับจึงลอบมาขึ้นลิฟต์ที่นี่

            หลักฐานจากกล้องวงจรปิดที่ไลลาให้เจ้าหน้าที่นำมาให้ดู เป็นสิ่งที่เขาไม่เชื่อถือเลย แม่มดทรงอาคม เวทมนตร์ระดับไลลา ทำไมจะสร้างหลักฐานเท็จแค่นี้ไม่ได้

            ทีเกื้อเชื่อความรู้สึกตนเองมากกว่าสิ่งที่นัยน์ตาเห็น

            ลิฟต์ลงมาถึงชั้นล่าง เปิดออก นายตำรวจหนุ่มก้าวเข้าไปกดลิฟต์ชั้นที่ไลลาอยู่ รอจนประตูปิด ลิฟต์เลื่อนขึ้น จึงค่อยถอยหลังมายืนพิงผนังลิฟต์สงบใจ

            มือสัมผัสเม็ดลูกปัดตรงกระเป๋าเสื้อข้างซ้าย...สิ่งนี้คือร่องรอยสุดท้าย ฮันเตอร์ คิม บอกว่า ถ้าเปลี่ยนร่องรอยให้กลายเป็น ‘สัญญาณ’ จะทำให้เชื่อมโยงกับเอื้อกานต์ได้

            หัวใจเต้นเป็นจังหวะตุบ...ตุบ... กระแสอ่อนโยนไหลเลื่อนจากกลางอกเข้าสัมผัสเม็ดลูกปัดในกระเป๋าเสื้อ ความรู้สึกอ่อนเอื่อย เคล้าเคลียระหว่างวัตถุกับสัมผัสทางใจ เกิดขึ้นชั่วครู่ ก่อให้เกิดกระแสเชื่อมโยงทางใจขึ้นมา

            กระแสนี้เริ่มจากอ่อนเบา แล้วค่อยเข้มข้นขึ้น มีกำลังแรงทีละน้อย ทีเกื้อกำหนดความรู้สึก ขยายสัญญาณเชื่อมโยงนั้นให้ชัดเจน เที่ยงตรง

            “เอื้อ...อยู่ไหน” กระแสเสียงทางใจส่งไป

            ความรู้สึกคลิก เชื่อมติดบังเกิดขึ้น แต่ยังไม่มีเสียงตอบรับ

            “เอื้อ...เอื้อ...เป็นยังไงบ้าง” กระแสความรู้สึกหนักแน่น กระตุ้นอีกฝ่าย

            กระแสตอบกลับคล้ายอีกฝ่ายกำลังมึน เบลอ ไม่รู้สึกตัวเต็มที่

            “เอื้อ...เอื้อ...ได้ยินเกื้อมั้ย” คราวนี้เขาพุ่งสมาธิไปยังพี่สาวเต็มที่

            “เกื้อ...” เสียงทางใจตอบผะแผ่ว แสดงถึงความรู้สึกตัว

            “เป็นยังไงบ้าง ปลอดภัยดีมั้ย” ความยินดีล้นอกชายหนุ่ม

            “ปลอดภัย” คำตอบสั้น

            “อยู่ไหน จะไปช่วย”

            “น่าจะอยู่ในโรงแรม...ไม่แน่ใจว่าห้องไหน” คำตอบยาวขึ้นเหมือนอีกฝ่ายค่อยเรียบเรียงความคิดสำเร็จ

            “ไม่เป็นไร เกื้อจะหาเอง เอื้อพยายามมายืนตรงหน้าประตูนะ”

            “ได้”

            เสียงขาดหายไป เหลือเพียงสัญญาณทางใจ ทีเกื้อสูดลมหายใจลึกๆ เพ่งความรู้สึกเข้าไปในกระแสสัมพันธ์ที่เชื่อมโยงจนเกิดความชัดเจน มีพลัง เห็นภาพนิมิตเป็นสายใยเหนียวแน่น เข้มแข็ง ฉุดรั้งเข้าหากัน

            ไฟบอกหมายเลขชั้นเลื่อนขึ้นเรื่อยๆ ทว่า...พอถึงหมายเลขชั้นของไลลา ลิฟต์กลับไม่หยุด มันยังเลื่อนต่อ ราวกับมีแรงฉุดดึงขึ้นไป

            สีหน้าแววตาทีเกื้อไม่แสดงอาการกังวล ตกใจ สายใยในนิมิตเด่นชัด บอกว่าเอื้อกานต์ไม่ได้ถูกขังอยู่บนชั้นที่ไลลาเช่าเหมา มันอยู่สูงขึ้นไปอีก เพราะเหตุนี้ ทีเกื้อจึงมาตรวจสอบคราวก่อนไม่เจอ ไม่พบกระทั่งกระแสร่องรอยความรู้สึก

            ไลลาสั่งย้ายห้องขังตั้งแต่รู้ว่ามีคนมาขอเข้าพบ อีกทั้งยังเตรียมหลักฐานปลอมไว้พร้อมสรรพ

            ติ๊ง...ลิฟต์หยุดในอีกสองชั้นต่อมา

            ประตูลิฟต์เปิดออก กระแสเอียนๆ อึดอัดลอยมาปะทะ ทีเกื้อตั้งสมาธิมั่น จิตแน่วนิ่ง ไม่คลอนแคลน ตอนที่ประชุม พูดคุยกับทรงกลด หมาก ทำให้พอรู้ว่าไลลามีสมุนภูตผีปิศาจจำนวนหนึ่ง ซึ่งเป็นทั้งแหล่งพลังงาน และสื่อชักนำไวรัสอาคม

            ชั้นที่คุมขังเอื้อกานต์ไม่มีบอดี้การ์ดมนุษย์ควบคุม มีแต่ฝูงภูตผีปิศาจเป็นโขยงคอยรับหน้า ต่อให้มองไม่เห็นด้วยตา กระแสความหม่นมัว อับทึบ แรงต่อต้าน ก็ปรากฏให้สัมผัสทางใจ

            นายตำรวจหนุ่มก้าวออกจากลิฟต์ด้วยจิตใจมั่นคง เม็ดลูกปัดในกระเป๋านอกจากเป็นสื่อสัญญาณสุดท้ายจากเอื้อกานต์ มันยังเคยถูกผนึกอาคม มนตรา ไว้ป้องกันพวกภูตผี ด้วยอำนาจเวทของทรงกลด แม้เวลานี้ตัวผู้ปลุกเสกไม่มีเรี่ยวแรงพลังใจหลงเหลือ แต่เชื้ออาคมข้างในยังแฝงอยู่ที่ลูกปัด

            ขณะทีเกื้อขยายกำลังสัญญาณสื่อสารกับเอื้อกานต์ พลังอำนาจสมาธิของเขาก็ช่วยกระตุ้นอาคมภายในให้ขยายตัวขึ้นตามมาเช่นกัน

            ยืนอยู่หน้าลิฟต์ สายตามองตรงทางเดินยาวไปจนสุดชั้น สองข้างเป็นประตูห้องเรียงราย ยาวเป็นพืด ลักษณะคล้ายภาพมายา สะท้อนจากกระจกคู่ขนาน

            ทีเกื้อหลับตา จิตใจไม่หวั่นไหว ภาพในนิมิตปรากฏให้เห็นเหล่าภูตผีปิศาจหลายตัวรายล้อม หนาแน่น พวกมันตั้งใจส่งพลังมาควบคุม เบี่ยงเบนประสาทความรับรู้ของเขาให้ผิดเพี้ยน มองพลาด หลงทิศทาง หากจิตใจไม่เข้มแข็งพอ อาจทำให้เสียสติได้

            ยังดีที่พวกมันส่งพลังมาไม่เต็มที่ หนำซ้ำทำได้แค่ล้อมกรอบอยู่ห่างๆ คอยขยับเลื่อนหนีทุกครั้งที่เขาก้าวขาไปข้างหน้า เม็ดลูกปัดในกระเป๋าฉายแสงเรืองบางๆ ดูสวยงามในนิมิต เป็นกำแพงกางกั้นสิ่งชั่วร้าย อีกทั้งนำทาง เชื่อมโยงเขากับพี่สาวฝาแฝดอย่างเหนียวแน่น

            นายตำรวจหนุ่มลืมตาเมื่อเดินมาได้สองสามก้าว ประตูมายายังเรียงรายเป็นพรืด เขาใช้กระแสจิตที่เชื่อมโยง ผูกพัน เปลี่ยนสัมผัสภายในให้เป็นเชือกเส้นหนาที่กำลังร่นดึงเข้าหากันทีละน้อย แรงดึงของเชือกในความรู้สึกพาให้เขาก้าวเดินผ่านประตูมายาแต่ละบานอย่างไม่รั้งรอ สนใจ จนกระทั่งหยุดที่ประตูบานหนึ่ง

            ชายหนุ่มเคาะประตูแรงๆ ส่งเสียงหนัก ชัดเจน

            “เอื้อ...อยู่ในห้องนี้ใช่มั้ย”

            ไม่มีเสียงตอบจากเอื้อกานต์ มีแค่เสียงทุบประตูกลับแว่วๆ พร้อมแรงสะเทือนที่สัมผัสจากบานประตู

            ทีเกื้อรู้ว่ามันต้องมีม่านอาคมอะไรสักอย่าง คอยกีดขวางกั้นกลางไม่ให้การสื่อสารเกิดขึ้นง่ายๆ

            นายตำรวจหนุ่มยกมือทาบบานประตู หลับตา ตั้งสมาธิจิตแน่วนิ่ง

            “เอื้อ...อยู่หน้าประตูแล้วใช่มั้ย” ส่งเสียงเรียกทางใจชัดเจน

            ชั่วเวลานั้น เขารู้สึกได้ว่ามือของพี่สาวทาบอยู่บนบานประตูตรงจุดเดียวกันพอดี

            “ใช่” คำตอบชัด

            ทีเกื้อลืมตา มองดูตัวล็อคประตู มันเป็นแบบที่ต้องใช้คีย์การ์ดถึงจะสามารถเปิดเข้าจากภายนอก หรือไม่ก็ต้องให้คนข้างในเปิดออกมาเอง ในสภาพเช่นนี้ มั่นใจว่าไลลาต้องทำตัวล็อคพิเศษด้วยอำนาจมนตรา ผนึกปิดจนไม่อาจเปิดจากข้างในได้ กระทั่งเสียงพูดยังไม่สามารถลอดผ่าน สื่อสารต่อกัน

            ชายหนุ่มหลับตา ใช้สมาธิมองผ่านนิมิต เห็นบริเวณที่ล็อคประตูมีหมอกควันหนาดำมืดปกคลุม เป็นแผ่นกำแพงแข็งแรง คนธรรมดายากจะถอน เปิดมันออกได้

            “เอื้อ...ลองดูที่ล็อคประตูสิ เห็นหมอกมืดๆ เป็นกำแพงเหมือนเกื้อมั้ย” เขาส่งเสียงผ่านทางจิต

            “เห็น”

            คำตอบชัด แสดงว่าจิตของอีกฝ่ายรู้สึกตัว เริ่มมีกำลัง ตั้งมั่นขึ้นมากแล้ว

            “ลองช่วยกันเอาออกดูนะ...พอไหวมั้ย” เขาบอก

            “ได้สิ ลองดู”

            จบการสื่อสาร สองใจสงบนิ่ง ความที่ทั้งคู่คุ้นเคยต่อการร่วมความรู้สึก เสริมกำลังแก่ใจกันและกันมาหลายครั้ง รับรู้ถึงพลังเหนือธรรมชาติที่พวกตนมี จึงไม่ยากที่จะกำหนดกระแสใจของตนเป็นกลุ่มก้อนแสงสีขาว ชักนำออกมารวมกันตรงที่ฝ่ามือประกบผ่านบานประตู

            ม่านมืด กำแพงมนตรา เมื่อเผชิญกับพลังสีขาวขนาบชิดทั้งสองด้าน ชั่วเวลาไม่นาน มันก็ไม่อาจทนทาน ค่อยถูกขจัดออกจนหมด

            ประตูปลดล็อคดังกริ๊ก...บานประตูเปิด เอื้อกานต์ยืนใบหน้าเผือดซีดอ่อนแรงอยู่หลังประตู

            ทีเกื้อคว้าร่างพี่สาวมากอดด้วยความโล่งใจ ยินดี ถอนหายใจเหนื่อยหนัก ภาระความกังวล หนักใจ ที่สะสมมาหลายวันล้วนกระจายหาย

            หญิงสาวปล่อยให้น้องชายกอดอยู่ครู่ใหญ่ จิตใจซึมซับกำลัง เรี่ยวแรงจากเขา ก่อนดันแผ่นอกกว้างออก เงยหน้าพูดด้วยสีหน้าวิตกกังวล

            “เกื้อ...เราต้องไปช่วยพี่กลด” พูดเช่นนี้แสดงว่าคนทั้งสามไม่ได้ถูกขังร่วมกัน

            “พี่กลดถูกขังอยู่ไหน?” ชายหนุ่มถาม ลืมนึกสะดุดใจว่าพี่สาวไม่ได้พูดถึงชื่อหมอหมากเลย

            “ไม่รู้ พวกเราถูกแยกขังกันวันก่อน ตอนนี้เป็นยังไงบ้างไม่รู้”

            สีหน้าเอื้อกานต์บอกความกังวล หนักใจ ลึกลงไปยิ่งกว่านั้นมีความเศร้าโศกเสียใจลึกล้ำ ที่เจ้าตัวพยายามสะกดกลั้น ไม่ปล่อยออกมา

            “เกิดอะไรขึ้นหรือเอื้อ?” กระแสความเสียใจรุนแรงขนาดนี้ ทีเกื้อสามารถสัมผัสได้ทันที

            หญิงสาวขบริมฝีปาก น้ำตารื้นเอ่อคลอแทบหยาดหยด ต้องเบือนหน้าหนี ข่มความรู้สึกสุดกำลัง

            “หมอหมาก...” เสียงพูดราวกับจะขาดใจ

            เอื้อกานต์ไม่ทันพูดจบประโยค บรรยากาศก็เปลี่ยนแปลงฉันพลัน

            ทีเกื้อรับคลื่นคุกคามอันรุนแรง พุ่งมาจากทางหน้าลิฟต์ รีบหันขวับทันที

            ประตูลิฟต์เปิด พนักงาน รปภ. ประจำโรงแรมสี่ห้าคนก้าวออกมา หน้าตาถมึงทึง นัยน์ตาขวาง เหลือกกลับเห็นเป็นสีขาว ไม่บอกก็รู้ว่าถูกควบคุมด้วยสิ่งใด

            บอดี้การ์ดของไลลาอยู่ในงานคอนเสิร์ต สมุนภูตผีไม่อาจทำอันตรายคนที่มีสมาธิจิตมั่นคง จำเป็นต้องอาศัยร่างมนุษย์เป็นเครื่องมือ

            เอื้อกานต์บอกว่า ต้องรีบไปช่วยทรงกลด...แต่ก่อนจะช่วยเหลือชายหนุ่มที่ยังไม่รู้ชะตากรรม พวกเขาคงต้องเอาตัวรอดจากด่านนี้ไปให้ได้ก่อน...







บทที่ ๒๕



               หลังถูกจู่โจมจากไวรัสนางพญาตัวที่เจ็ด ทรงกลดก็พร้อมรอรับความตาย สติอันน้อยนิดถูกอาคมขั้นสูงสุดยึดครอง กลายเป็นอสูร ไม่ใช่ตัวของตัวเอง ไม่เหลือสำนึกใด โลกแห่งความรู้สึกดับมืด ความตายย่างเท้าแสยะยิ้มเข้ามาอย่างย่ามใจ

            แต่แล้ว...เขากลับรู้สึกตัวอีกครั้ง ในห้องที่ตั้งใจเข้าไปทำลายไวรัสนางพญา ห้องที่คิดว่าคงเอาชีวิตไปทิ้งเรียบร้อยแล้ว

            เขาลืมตา พบว่าตัวเองยังมีชีวิต ทว่าเรี่ยวแรงเหือดหาย จิตใจฟุ้งซ่าน กระจัดกระจาย อาคม มนตรา สูญหาย เหมือนทะเลสาบเวทมนตร์ถูกสูบจนเกลี้ยง กลายเป็นคนธรรมดา หนำซ้ำยังเป็นคนธรรมดาที่มีสภาพเกือบคล้ายอัมพาต แค่กระดิกนิ้ว ยกแขน ยังแสนยากลำบาก

            ห้องเงียบ ไฟสลัว ทรงกลดได้ยินเสียงลมหายใจแผ่วๆ ข้างตัว ค่อยๆ เหลียวไปมอง ภาพที่เห็นทำให้หัวใจหล่นวูบ เกิดความรู้สึกยากอธิบาย ทำอะไรไม่ถูก

            เอื้อกานต์นั่งพิงผนังอยู่ด้านข้าง ห่างกันชั่วเอื้อม ร่างกายนิ่ง ไม่ขยับ นัยน์ตาเลื่อนลอย ไม่แสดงความรู้สึก ครั้นทรงกลดเลื่อนสายตาลงมาอีกนิด ก็พบว่าบนตักเธอ มีหมอหมากนอนหนุนอยู่

            ต่อให้ทรงกลดไม่มีเวทมนตร์ สัมผัสพิเศษใดๆ ก็รู้ว่าขณะนี้ ผู้หญิงที่ตนรักกำลังตกอยู่ในห้วงความเศร้าโศกรุนแรง เสียใจจนขาดสติ ราวกับไม่มีวิญญาณ ไม่สนใจ รับรู้เรื่องราวภายนอกทั้งสิ้น

            ลักษณะเช่นนี้เขาเคยเห็นมาแล้วเมื่อหลายปีก่อน ตอนเอื้อกานต์มารับโถเถ้ากระดูกที่สนามบินพร้อมทีเกื้อ แล้วคิดว่าในโถนั้นมีเถ้ากระดูกของเขารวมอยู่ด้วย

            ตอนนั้นเอื้อกานต์เข่าอ่อน ร้องไห้น้ำตาแทบเป็นสายเลือด พอน้ำตาหยุดไหล ดวงตาเธอก็ว่างเปล่า เคว้งคว้าง เอาแต่นั่งนิ่ง กอดโถเถ้ากระดูกไม่ยอมไปไหน ไม่ทำงาน ไม่พูดจากับใคร

            แววตามองไกลอย่างคนไร้วิญญาณ ร่างกายไม่ต่างจากหุ่นกระบอกกลวงเปล่า ขาดชีวิต จิตใจ โชคดีมีน้องชายฝาแฝดอยู่ใกล้ ทีเกื้อรู้จังหวะ รู้จิตใจพี่สาว รู้ว่าเวลาไหนควรปล่อย เวลาไหนควรฉุดรั้งจากความเศร้า

            ขนาดนั้นยังใช้เวลาเกือบเดือนกว่าเอื้อกานต์จะเริ่มมีชีวิตชีวา และใช้เวลาอีกเป็นปีกว่าจะมีคนเห็นรอยยิ้มแรกของเธอ

            เวลานี้...สภาพเอื้อกานต์ไม่ต่างจากวันนั้น ความที่เติบโต ผ่านทะเลทุกข์มาแล้ว อาจทำให้สติไม่ถึงขั้นหลุดลอยเกินกู่กลับ ทว่ากระแสความเศร้าที่กระจายออกมา สัมผัสได้ชัด เธอยังคงมองเห็น ได้ยิน รับรู้ทุกอย่าง เพียงจิตใจโดนความทุกข์ปิดกั้นจนไม่อยากทำอะไรทั้งนั้น ขนาดรู้ว่าเขานั่งอยู่ข้างๆ กำลังมองหน้าเธอ ก็ยังไม่คิดหันมองมา

            ทรงกลดก้มดูร่างที่นอนนิ่งไม่ต่างจากท่อนไม้ของหมอหมาก ทรวงอกไม่กระเพื่อมไหว สันนิษฐานว่าอาจเสียชีวิต

            เอื้อกานต์เป็นหมอ เห็นความตายเกือบทุกวัน ถ้าการเสียชีวิตของใครทำให้จิตใจเธอเศร้าโศก ขาดสติขนาดนี้ ผู้ชายคนนั้นต้องมีความหมาย ความสำคัญ ต่อเธออย่างยิ่ง

            ทรงกลดไม่รู้ควรร่วมเสียใจกับเอื้อกานต์ หรือริษยาหมอหมากดี

            “เอื้อ...” ชายหนุ่มส่งเสียงแหบพร่า หวังเรียกสติเธอ

            เอื้อกานต์ไม่ขยับ แววตาไม่แสดงความสนใจ

            “หมอเอื้อ...” ส่งเสียงอีกครั้ง ทั้งที่ตนแทบไม่มีเรี่ยวแรง

            หญิงสาวไม่หัน ไม่ขานรับ จิตใจ วิญญาณ รับรู้แค่ชายหนุ่มผู้นอนหนุนตักตนเอง

            ทรงกลดเอนศีรษะพิงผนัง หมดทั้งแรงกาย แรงใจ หลับตารวบรวมสมาธิ เพื่อให้จิตมีกำลัง ทว่ามันยังแตกฉานซ่านเซ็น กระจัดกระจาย ไม่อาจรวมตัวติด พยายามฝืนรั้ง บังคับ ก็ยิ่งดื้อดึง ไม่ยอมทำตาม ยื้อยุดอยู่ครู่เดียว ศีรษะก็หนักอึ้ง ปวดหัวจี๊ดด้วยความเครียด

            ยอมแพ้ ใจไม่เป็นสมาธิก็ไม่เป็น เปลี่ยนมาลองขยับร่างกาย เคลื่อนไหว เผื่อจะลุกขึ้นหาทางเอาตัวรอดได้ แต่ทั้งร่างเกือบจะเป็นอัมพาต กระดิกกระเดี้ยลำบาก ปลายนิ้วขยับนิดหน่อย ยกมือขึ้นสูงเพียงไม่กี่คืบก็อ่อนล้า ต้องวางลงอย่างหมดแรง คิดไม่ถึงไวรัสนางพญาจะร้ายกาจขนาดนี้

            หันมองดูเอื้อกานต์ ปรากฏว่าเธอไม่สนใจสักนิด เกิดความน้อยใจรุนแรง ฝืนกัดฟันยกมืออีกครั้ง พยายามเอื้อมไปแตะไหล่ของเธอจนสำเร็จ

            “หมอเอื้อ...” คราวนี้ส่งเสียงดังกว่าเดิม

            แววตาเอื้อกานต์แสดงความรับรู้ ขยับเบี่ยงไหล่ออก ทำให้มือเขาตกลงมาบนท่อนแขนหมอหมาก หญิงสาวหันมา ดวงตาสองคู่สบกัน ความเศร้าโศกเสียใจจากนัยน์ตาเธอจู่โจมเข้าใส่ จิตใจทรงกลดเจ็บปวดรวดร้าว ความอ้างว้างเข้าเกาะกินหัวใจ

            “พี่อยู่นี่!” ชายหนุ่มส่งเสียงอบอุ่น หนักแน่น เวลานี้ไม่จำเป็นต้องเสแสร้งเป็นคนอื่น เท่านี้เอื้อกานต์ก็เจ็บปวดมากพอแล้ว เขายังจะฝืนเป็นชามาร์ต่อไปเพื่ออะไร

            “พี่กลด...” หญิงสาวเอ่ยปากคำแรก กึ่งทักทาย กึ่งยืนยันให้แน่ใจ ว่าเขาไม่ใช่คนอื่นไกล

            “ใช่...พี่เอง” ทรงกลดยืนยันเสียงอ่อนล้า หมดเวลาเสแสร้งต่อกันแล้ว

            เอื้อกานต์พยักหน้า นัยน์ตารื้นด้วยหยาดน้ำใสๆ สติ ความรับรู้ กลับคืนมาเกือบเหมือนเดิม

            “อาการเป็นยังไงบ้างคะ?”

            ถึงตกอยู่ในห้วงแห่งความเศร้าโศก อันตรายแค่ไหน ด้วยวิญญาณความเป็นหมอที่ซึมซ่านในสายเลือด เอื้อกานต์จึงอดเป็นห่วงเขาไม่ได้

            “พี่...ไม่ค่อยมีแรง” เขาตอบช้าๆ พยายามฝืนยิ้มให้

            เอื้อกานต์พยักหน้า กวาดตาดูเขา พอเข้าใจอาการแล้วค่อยวางใจ

            “ขอบคุณนะคะ...ที่ยอมรับกับเอื้อแบบนี้” น้ำเสียงหญิงสาวอ่อนล้า แฝงความโล่งใจ

            “พี่ขอโทษ” เขาบอกจากใจจริง

            หญิงสาวยิ้มรับ ก่อนเลื่อนสายตาลงมายังชายหนุ่มที่นอนหนุนตัก ทรงกลดมองตาม เอ่ยปากถามเบาๆ

            “หมอหมากเป็นอย่างนี้ได้ยังไง”

            “น่าจะ...เพราะ...ช่วยพวกเรา...เขาถึง...” ท้ายคำคืออาการกลั้นสะอื้น พยายามไม่ปล่อยให้ความอ่อนแอหลุดออกมามากกว่านี้ กระนั้นก็ยังน้ำตาร่วง

            ที่จริงเอื้อกานต์ไม่รู้อะไรมากไปกว่าตนเองโดนพิษของไวรัสนางพญาจากทรงกลด พอเห็นชายหนุ่มอาละวาดอย่างขาดสติ ก็ฝืนเข้าไปขวาง ตวาดเรียกสติให้เขา พิษน่าจะกำเริบจนต้านทานไม่ไหว จึงสลบไป

            พอฟื้นขึ้นมา ก็พบใบหน้า รอยยิ้มโล่งใจของหมอหมาก กระทั่งเขาเอ่ยวาจาบอกรัก...เป็นครั้งสุดท้าย ก่อนพักศีรษะลงบนไหล่เธอ

            ความตกใจ เสียใจ คาดไม่ถึง ประเดประดังเข้ามา ประกอบกับร่างกายยังไม่ปกติดี จึงหมดสติไปอีกรอบ เพิ่งฟื้นมาไม่นาน เห็นหมอหมากยังเอนศีรษะพิงไหล่เธอไม่ไปไหน จึงจัดให้เขานอนหนุนตักในท่าสบาย ขณะสัมผัสชีพจร ลมหายใจ ก็ไม่รู้สึกถึงความมีชีวิตของเขา

            เรี่ยวแรงอ่อนล้า ขยับตัวลำบาก ใจเศร้า ทำอะไรไม่ถูก จึงนั่งนิ่ง ปล่อยกาย ปล่อยใจ ให้ความทุกข์เศร้าครอบงำโดยไม่รู้สึกตัว

            ทรงกลดเรียกขานตอนแรกๆ ก็ได้ยิน แต่ใจมึนซึมคร้านจะขานรับ อีกทั้งใจก็รู้...เขาปลอดภัย จึงหมดห่วง ไม่รู้สึกอยากพูดอะไรด้วย จนกระทั่งเขาแสดงความจริงใจ เรียกเธอด้วยหัวใจของทรงกลด ทำให้สติที่ขาดหายได้ย้อนกลับมา มีเรี่ยวแรงอยากคุยโต้ตอบ

            พอคำถามของทรงกลดกระทบใจ...หมอหมากเป็นอย่างนี้ได้ยังไง เธอก็มีคำตอบในใจโดยไม่ต้องให้ใครมาอธิบาย

            ...หมากเป็นเช่นนี้ เพราะฝืนกำลังตัวเอง ช่วยเธอกับทรงกลดพร้อมกัน!

            การช่วยเหลือผู้อื่นโดยเอาชีวิตตนเองเป็นเดิมพันเช่นนี้...ไม่ใช่เหตุการณ์แรกที่เอื้อกานต์ประสบพบเจอ



               ทรงกลดได้ยินคำตอบ ก็เกิดความเข้าใจตลอดสาย พิษไวรัสนางพญาร้ายแรงแค่ไหน เขาเผชิญมาแล้ว การที่หมากสามารถถอนพิษเช่นนี้ได้ นับว่าเป็นปาฏิหาริย์

            เขาได้แต่หวังว่า...ปาฏิหาริย์คงยังไม่หมดแค่นี้

            มือที่สัมผัสท่อนแขนหมอหมากขยับขึ้นมาแตะตรงลำคอ วัดชีพจร แล้วเลื่อนผ่านผิวแก้ม รอยหนวดที่สากมือ ทรงกลดรู้สึกประหลาดใจ มีความผิดปกติบางอย่างที่สัมผัสได้

            “หมอหมากหยุดหายใจนานหรือยัง? ทำไมอุณหภูมิร่างกายยังปกติเหมือนคนธรรมดา!”

            คำถามจากทรงกลดเรียกสติครั้งใหญ่จากเอื้อกานต์

            ดวงตาหญิงสาวทอประกายสว่าง เธอไม่รู้ว่าถูกขังในห้องนี้นานแค่ไหน แต่ความที่คุ้นกับศพคนตายจึงพอแยกแยะออกว่าอุณหภูมิของคนเพิ่งตายนับเป็นชั่วโมง กับคนปกติ มีความแตกต่างกันอย่างไร

            เอื้อกานต์สัมผัสแก้ม ผิวเนื้อของหมาก จับชีพจรอีกครั้ง ไม่รู้สึกถึงจังหวะหายใจก็จริง แต่อุณหภูมิร่างกายเขายังไม่ลด ผิวเนื้อไม่เปลี่ยนสภาพ

            หัวใจเธอเต้นถี่รัว ความยินดีปรากฏบนสีหน้าแววตา ถ้าเธอไม่ขาดสติ ปล่อยความเศร้าโศกเสียใจครอบงำ ก็น่าจะสังเกตเองได้แล้วว่าร่างกายหมากไม่เหมือนคนตาย

            การที่จับชีพจรไม่ได้ ไม่ได้แปลว่าหัวใจไม่เต้น สัตว์บางชนิดที่อยู่ในสภาพจำศีล หัวใจก็เต้นช้ามาก จนยากตรวจวัดชีพจรได้เช่นกัน

            “เขา...น่าจะยังไม่ตาย” เอื้อกานต์หันมาบอกทรงกลดด้วยแววตาแจ่มจ้า

            แวบแรกในใจทรงกลด คือความริษยา ทว่าขณะจิตต่อมา คือยินดี...โล่งใจ

            เหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้เขา ‘รู้ใจ’ เอื้อกานต์โดยไม่จำเป็นต้องอาศัยญาณหยั่งรู้ใดๆ

            รู้ว่าขณะนี้หัวใจหญิงสาวอยู่ที่ไหน...กับใคร...นั่นคือสาเหตุทำให้เขาเกิดริษยาในแวบแรกที่รู้ และต่อมา เมื่อเข้าใจ ยอมรับได้ ใจจึงเกิดความยินดี โล่งใจโดยไม่ต้องเสแสร้ง บังคับ

            เมื่อแน่ใจว่าหมากยังมีชีวิต สิ่งที่ควรทำหลังจากนี้คือพยายามฟื้นฟูเรี่ยวแรง หาหนทางหนี เท่าที่ทบทวนความทรงจำ เอ่ยปากถามเอื้อกานต์ถึงสาเหตุที่ถูกขังร่วมกัน ทำให้ทรงกลดเข้าใจเรื่องราวตลอดสาย

            ชายหนุ่มกวาดตามองไปรอบๆ เชื่อว่าห้องขังไม่ธรรมดาแน่นอน มือระดับไลลา ต่อให้รู้ว่าพวกเขาหมดแรง กระทั่งคลานออกไปยังไม่ไหว ก็ไม่มีทางวางกับดักห้องขังง่ายๆ แน่

            เสียดายที่ใจไม่ยอมรวมเป็นสมาธิ ใช้วิชาอาคมใดๆ ไม่ได้ พยายามท่องสวดมนตราบทไหนก็ไร้ผล ยิ่งมีเอื้อกานต์อยู่ใกล้ ใจยิ่งไม่เป็นปกติ สุดท้ายต้องยอมแพ้ชั่วคราว ปล่อยตัวเป็นนักโทษในเรือนจำนี้อีกสักระยะ

            เอื้อกานต์ขยับศีรษะหมากออก วางราบในท่าสบาย แล้วค่อยลุกขึ้นเกาะผนัง พยายามจะไปที่ประตู เมื่อในใจรู้ว่าชายหนุ่มมีหนทางรอด เธอจึงเกิดกำลังใจที่จะหาทางหลบหนีเพื่อพาเขาไปโรงพยาบาล แต่แข้งขาอ่อนแรงอย่างหนัก ขนาดใช้มือช่วยเกาะผนัง ขายังไม่สามารถรับน้ำหนักตัวไหว สุดท้ายต้องทรุดกองกับพื้นดังเดิม

            อาการทางกายทรงกลดหนักกว่าเอื้อกานต์ ทำได้มากสุดแค่ยกแขน ขยับขาลุกไม่ไหว ร่างกายแทบจะไร้ความรู้สึก เกือบเหมือนเป็นอัมพาต ไวรัสนางพญาร้ายกาจสุดยอด ขนาดพิษถูกถอนออกมาแล้ว ร่างกายยังต้องอยู่ในสภาพกึ่งอัมพาตอีกระยะหนึ่ง กว่าจะเคลื่อนไหวปกติดังเดิม

            “อย่าเพิ่งออกแรงเลยเอื้อ...พิษของไวรัสนางพญามันจะทำให้เราเหมือนเป็นอัมพาตชั่วคราว...อดทนรออีกหน่อย ให้กำลังมันอ่อน ร่างกายเรามีแรงอีกนิด” เขาอธิบายแกมแนะนำหญิงสาว

            เอื้อกานต์พยักหน้ายอมรับ ถอนใจหนัก สายตามองคุณหมอหนุ่มอย่างเป็นห่วง ในใจต้องการพาเขาไปโรงพยาบาล เข้าตรวจด้วยเครื่องมือแพทย์โดยเร็วที่สุด

            “ไวรัสนางพญา กับไวรัสอาคม มันเหมือนหรือต่างกันยังไงคะ” เมื่อไปไหนไม่ได้ การชวนทรงกลดพูดคุยน่าจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด

            “พูดไปแล้วต้องอธิบายกันยาว” ทรงกลดบอก

            “เราน่าจะมีเวลานะคะ” เอื้อกานต์พูดอย่างคนรู้สภาพตัวเอง

            “ก็จริง...” ชายหนุ่มยอมรับ

            “แล้ว...ถ้าพี่กลดไม่ลำบากใจอะไร” หญิงสาวเอ่ยปากกึ่งลังเล “เราน่าจะมีเวลามากพอที่พี่กลดจะเล่าให้เอื้อฟังว่า...หลายปีที่ผ่านมา...เกิดอะไรขึ้นบ้าง”

            ทรงกลดอึ้ง จ้องตาหญิงสาว มองเห็นรอยเว้าวอน ขอร้อง ปรากฏในดวงตาคู่นั้น

            “พี่คิดว่า...เอื้อก็น่าจะรู้...” ชายหนุ่มพูดเสียงแผ่ว

            “เอื้อรู้จากการประมวลข้อมูลแวดล้อม...มันคงจะดีกว่า ถ้าพี่กลดเป็นคนเล่าเรื่องราวทั้งหมดเอง”

            ทรงกลดยิ้มอย่างอ่อนใจ ถามว่าเขาลำบากใจที่จะเล่าเรื่องของตนเองหลังเกิดเหตุเครื่องบินตกหรือไม่...มันอาจจะลำบากใจอย่างยิ่ง ถ้าอยู่ในสถานการณ์อื่น

            ทว่า...เวลานี้ ในห้องขังที่ไม่รู้ว่าจะได้รับอิสรภาพเมื่อใด เวลาแต่ละวินาทีเกิดความเปลี่ยนแปลงได้ตลอด เขาจึงไม่เห็นความจำเป็นอะไรต้องมาปิดบังกัน หลายเรื่อง อาจไม่ใช่สิ่งน่าระลึกถึงนัก แต่เมื่อมันผ่านไปแล้ว และจิตใจก็ไม่ได้ทุกข์ทนอย่างที่คิดว่ามันจะเป็น ต่อให้เล่าไป จิตใจก็ไม่กระทบกระเทือนอะไร

            ทรงกลดจึงยอมรับ เปิดใจเล่าเรื่องราวของตนให้เอื้อกานต์ฟังโดยไม่ปิดบัง บางที สิ่งนี้อาจเป็นการชดเชยวันเวลาที่ต่างสูญเสียมันไป

            ต่อให้รู้ว่าทุกสิ่งไม่มีวันกลับคืนมาเหมือนเดิม...อย่างน้อยมันก็มีคุณค่าให้จดจำ



               ชายหนุ่มเริ่มเล่าเรื่อง หญิงสาวนั่งฟังอย่างสนใจ นานครั้งค่อยเอ่ยปากถาม...เวลาผ่านไปนานเพียงไรสุดจะรู้ ยิ่งเข็มนาฬิกาเดินไปข้างหน้าเท่าไร ช่องว่างระหว่างทรงกลดกับเอื้อกานต์ก็ยิ่งแคบลงมาเรื่อยๆ ความเข้าใจบังเกิดแก่กัน โดยไม่ต้องมีใครมาเป็นคนกลาง เชื่อมความสัมพันธ์

            หลังการพูดคุยอันยาวนาน สองหนุ่มสาวอ่อนเพลีย เผลอหลับ พอตื่นขึ้นมาก็พบว่าพวกเขาถูกแยกห้องขังกันแล้ว...

            เอื้อกานต์รู้สึกตัวในห้องพักของโรงแรม รู้สึกร่างกายมีเรี่ยวแรงกำลังมากกว่าเดิม เหลียวมองรอบตัวก็พบว่าประตูหน้าต่างปิดสนิท มีอาหารวางไว้ให้บนโต๊ะ

            หลังรับประทานอาหาร ฟื้นฟูกำลัง เอื้อกานต์พยายามค้นหาทางออก ขยับประตู หน้าต่าง หาวิธีงัดแงะสารพัดวิธี ก็ไม่อาจเปิดมันออกได้ หนำซ้ำยังสัมผัสกระแสดำมืดที่กางกั้นรอบห้อง เหมือนกำแพงหนาที่มองไม่เห็น ลองใช้พลังพิเศษที่เพิ่งฟื้นฟูงัดออก ก็ไม่สำเร็จ

            เหนื่อยล้า ฟุบหลับ รู้สึกตัวอีกทีตอนได้ยินเสียงเรียกทางใจจากทีเกื้อ สมองยังมึนเบลอเล็กน้อย ไม่แน่ใจว่าเกี่ยวกับกำแพงอาคมหรือเปล่า จนทีเกื้อเรียกซ้ำๆ ใช้คลื่นความสัมพันธ์พิเศษเจาะกำแพงเข้ามา จึงสามารถสื่อสารกันได้

            ลุกขึ้นมายืนหน้าประตู รู้สึกเท้ายังลอยๆ พอยกมือทาบประตูจุดเดียวกับทีเกื้อ สติก็แจ่มชัดขึ้น สองแรงรวมกัน เกิดพลังแสงสว่าง ขจัดกำแพงมนตราสำเร็จ เปิดประตูออกมาง่ายดาย

            กำลังยินดี พร้อมเร่งหาทางช่วยทรงกลด หมอหมาก แต่อุปสรรคยังไม่หมด เมื่อเจอ รปภ. ออกมาจากลิฟต์

            ทีเกื้อตั้งสติเร็ว ขยับตัวยืนบังพี่สาว ล้วงมือเข้าไปในกระเป๋า หยิบเม็ดลูกปัดใสออกมาแล้วยื่นให้

            “ของเอื้อใช่มั้ย...เก็บไว้ดีๆ นะ” นายตำรวจหนุ่มบอก

            เอื้อกานต์รับลูกปัดไว้ในมือ เกิดกระแสอบอุ่นซาบซ่าน จดจำได้ มันเป็นเม็ดลูกปัดจากสร้อยข้อมือที่ขาดในห้องไลลา ไม่รู้ทีเกื้อนำมันมาได้อย่างไร หญิงสาวจำได้แม่นว่าสร้อยข้อมือลูกปัดนี้มีประสิทธิภาพขนาดไหน

            “เกื้อ...เก็บลูกปัดไว้เถอะ มันมีพลังพิเศษ ขับไล่พวกผีได้” หญิงสาวบอกน้องชาย

            “รู้แล้วน่า” ชายหนุ่มหันมาหลิ่วตาให้ “เอื้อเก็บไว้ป้องกันตัวเองดีกว่า ไอ้ผีพวกนี้...เกื้อมีปัญญาจัดการได้”

            เอื้อกานต์ไม่เซ้าซี้ กำลูกปัดไว้ในมือ ถอยหลังหลบออกมา ไม่ทำตัวเกะกะขวางทาง

            ทีเกื้อก้าวไปข้างหน้า จ้อง รปภ. ทั้งสี่คนเขม็ง...พวกที่ถูกผีควบคุม กับคนที่โดนสะกดจิต มีสภาพไม่ค่อยต่างกัน ชายหนุ่มเคยเจออย่างหลังมาแล้ว ฉะนั้นจึงรู้ว่าควรทำอย่างไร

            สองฝ่ายเตรียมพร้อม...เปิดฉาก...



               ทรงกลดรู้สึกตัวในห้องโรงแรมที่ครอบด้วยกำแพงมนตราไม่ต่างจากเอื้อกานต์ ผิดกันแค่ว่า เขาไม่ได้ถูกขังคนเดียว หมอหมากถูกนำมาวางบนเตียงข้างกันด้วย

            ร่างกายทรงกลดขยับได้ดีกว่าเดิม อาการกึ่งอัมพาตหายไปกว่าครึ่ง ลุกขึ้นไปดูอาการหมอหมากที่เตียงข้างๆ ก็เห็นร่างกายเขายังปกติ คล้ายคนนอนหลับ ที่แปลกไปคือใบหน้าสว่างใส คล้ายมีแสงบางๆ เคลือบอยู่ หนวดเคราเขียวงอกยาวจนเห็นชัด ยิ่งขับผิวสว่างขาวกว่าเดิม

            ลุกเดินไปดูประตู เห็นมันล็อคสนิท ต้องใช้การ์ดเปิดจากข้างนอก ส่วนด้านใน พยายามเปิดอย่างไรก็ไม่ออก เหมือนมีอะไรบางอย่างมาขัดไว้ ไลลาน่าจะใช้ศาสตร์ลึกลับของตนผนึกสร้างกำแพงอาคมแน่นหนา ทำให้ห้องพักโรงแรมห้าดาวกลายเป็นที่คุมขังแข็งแรงขนาดนี้

            ใจนึกห่วงเอื้อกานต์ การถูกขังในสถานที่เช่นนี้คนเดียวคงไม่ใช่เรื่องน่าสนุกนัก สายตาเหลือบเห็นอาหารวางบนโต๊ะ แสดงว่าไลลาไม่ปล่อยให้เขาอดตาย เอื้อกานต์คงได้รับการปฏิบัติไม่เลวร้ายนัก

            เวลานี้ ร้อนใจ เป็นห่วง กังวล ก็เปล่าประโยชน์ เรี่ยวแรงมีแค่พอเดินรอบห้อง ไม่มีกำลังจะพังประตู วิชาอาคมเหลือแค่สัมผัสรู้จางๆ ทำอะไรไม่ได้มากกว่านี้

            ทรงกลดนั่งรับประทานอาหาร สิ่งเดียวที่ทำได้คือพยายามฟื้นเรี่ยวแรง กำลังร่างกาย เรียกอาคมคืนมาโดยเร็วที่สุด เพื่อหาทางออกจากที่นี่

            เอื้อกานต์อยู่อีกห้องอาจเป็นผลดี ช่วยไม่ให้จิตใจวอกแวกแส่ส่าย ตั้งใจฝึกสมาธิ รวมจิตที่กระจัดกระจายกลับมา

            หลังรับประทานหมดจาน เขาก็เดินช้าๆ ไปรอบห้องเพื่อย่อยอาหาร ก่อนนั่งพักจนรู้สึกร่างกายไม่อึดอัดขัดข้องในส่วนใดแล้ว จึงขึ้นไปนั่งขัดสมาธิบนเตียง ระบายลมหายใจยาว

            อาคมของทรงกลดเคยเสื่อมสูญเกือบหมดมาครั้งหนึ่ง ต้องใช้เวลาเกือบสามสัปดาห์ฝึกฝนอย่างหฤโหดกว่าจะรื้อฟื้น จนก้าวกระโดดข้ามเส้นสู่จุดสูงสุดของมนตรา อาคม

            คราวนี้ไม่ต่างจากครั้งที่แล้ว เพียงแต่เขาไม่มีเวลาฟื้นฟูวิชานานนัก ดังนั้นทำได้แค่ไหนแค่นั้น จิตใจปล่อยวางความมุ่งมั่น เอาชนะ เข้าสู่กระบวนการฟื้นฟูอาคม สาธยายสรรพเวทในใจ เพื่อโน้มนำให้เกิดกำลัง ตั้งมั่น เรียกความสามารถเหนือธรรมชาติกลับคืนมา...



(โปรดติดตามต่อฉบับหน้า)



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP