วรรณกรรมนำใจ Lite Literature

ระบำเวท ๒๙



cover rabamvej


นวนิยายเรื่องนี้ เขียนขึ้นเพื่อความบันเทิง
หากมีชื่อ-สกุล เรื่องราวใดพ้องกับบุคคลจริง ต้องกราบขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย


ชลนิล



(ต่อจากฉบับที่แล้ว)



บทที่ ๒๔



               วันแสดงคอนเสิร์ตกลางสวน

            นักร้องนักดนตรีส่วนหนึ่งกำลังรันทรู ซ้อมการแสดงบนเวทีในช่วงบ่าย นักร้องแต่ละคนจะมีกำหนดเวลาซ้อมกับวงชัดเจน เมื่อครบเวลาจะเปลี่ยนให้นักร้องคนอื่นขึ้นมาซ้อมต่อ ขณะที่ตนเองเข้าไปแต่งหน้า ทำผม แต่งตัว เพื่อขึ้นแสดงจริงช่วงหัวค่ำ

            สัตตบงกชรับหน้าที่เป็นพิธีกรคอนเสิร์ตครั้งนี้ นอกจากนั้นยังรับหน้าที่ดูแลความเรียบร้อย ประสานงาน เป็นตัวแทนคุณหญิงอัปสร ผู้เป็นประธานจัดงาน

            ระหว่างนักร้องซ้อมกับวง ทำความคุ้นเคยกับเวที สัตตบงกชก็จะคอยเช็คคิว ซ้อมคิว เพื่อไม่ให้เกิดความผิดพลาด เนื่องจากงานแสดงครั้งนี้จะมีการถ่ายทอดสดออกอากาศทั่วประเทศตั้งแต่เวลาหนึ่งทุ่มตรง

            เวทีจัดงานอยู่กลางสวนสาธารณะใหญ่ ตัวเวทีแม้ไม่ใหญ่โตเท่าในฮอลล์ขนาดมาตรฐาน แต่ก็เพียงพอสำหรับการตั้งวงดนตรี จัดไฟ แสงสี ให้เหมาะสมกับรูปแบบของงาน

            ที่นั่งคนดูเป็นแบบอัฒจันทร์ครึ่งวงกลม เก้าอี้ตั้งวางเรียงลดหลั่นเป็นชั้นๆ บริเวณหน้าเวทีจัดวางที่นั่งพิเศษสำหรับประธานและแขกวีไอพี

            ห้องพักนักร้อง นักดนตรี เป็นอาคารเล็กๆ อยู่ด้านหลัง มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน

            สัตตบงกชตรวจเช็คความเรียบร้อยแต่ละจุด ไม่เจอข้อบกพร่อง เงยหน้ามองท้องฟ้า เห็นเมฆขาวลอยฟ่อง ฟ้าโปร่งกระจ่าง พยากรณ์อากาศยืนยันแน่ชัด ไม่มีฝนตกเป็นอุปสรรคต่อการจัดงาน

            เห็นอย่างนี้ควรโล่งใจ...ทว่าแววตาหญิงสาวกลับฉายแววกังวล มองบริเวณจัดงานโดยรอบแล้วอดถอนใจเฮือกใหญ่ไม่ได้

            เดินมายังหลังเวที พบชายหนุ่มนัยน์ตาคมดุกำลังยืนมอง สำรวจเจ้าหน้าที่ กลุ่มคนที่ทำงานอยู่เบื้องหลังเวทีทั้งหมด

            “ได้ร่องรอยอะไรมั้ยคะพี่เกื้อ” หญิงสาวทักถาม

            “ยังเลยจ้ะ” ถึงท้ายเสียงจะอ่อน นัยน์ตาทีเกื้อกลับเคร่งเครียด หัวคิ้วขมวดมุ่น

            “แล้วทำยังไงต่อคะ” สัตตบงกชถาม

            “คุณไลลาจะมาซ้อมคิวตอนไหน” ชายหนุ่มย้อนถามคืน

            พิธีกรสาวเปิดสมุดคิว ก้มดูรายละเอียดก่อนเอ่ยปาก

            “อีกไม่เกินชั่วโมงค่ะ คุณไลลาเป็นนักร้องที่จะมาซ้อมบนเวทีเป็นคนสุดท้าย”

            “ขอบใจจ้ะ” ชายหนุ่มตอบเสียงอ่อนโยน หญิงสาวที่อยู่ใกล้รู้ว่าจิตใจเขาตรงข้ามกับน้ำเสียงที่พูด

            ทีเกื้อกำลังร้อนใจ กังวลอย่างที่สุด!

            เรื่องที่ทำให้หนักใจ ร้อนรนขนาดนี้มีไม่มาก และหนึ่งในนั้นคือเรื่องการหายตัวของเอื้อกานต์ พี่สาวฝาแฝดของเขา

            วันที่เอื้อกานต์ไปพบไลลานั้น ทีเกื้อกำลังทำงานสำคัญอยู่ในสถานที่อันตราย เขาจึงตัดการติดต่อสื่อสารทั้งหมด ทั้งเครื่องมือสื่อสารภายนอก และการสื่อสารทางใน คือกระแสจิตที่เชื่อมต่อกัน มุ่งมั่นมีสมาธิอยู่กับงานเสี่ยงอันตรายที่ต้องทำ

            เขารับรู้แผนการเยือนรังของไลลาจากการประชุมพร้อมกับทรงกลดและหมากแล้ว เห็นว่าเป็นแผนที่รัดกุม ไม่มีช่องโหว่ให้ผิดพลาด ตัวเอื้อกานต์เองก็ไม่น่าได้รับอันตรายใดเมื่ออยู่ในความดูแลของผู้ชายที่มีฝีมือไม่ธรรมดาถึงสองคน

            พอวางใจขนาดนี้ จึงมุ่งสมาธิกับงานของตน ตัดการรับรู้เรื่องราวนอกเหนือจากนั้นไปได้

            หลังจากงานสำคัญของตนผ่านพ้น ทีเกื้อจึงค่อยเปิดโทรศัพท์ เปิดรับการสื่อสารตามปกติ ทว่าแวบแรกของการระลึกถึงพี่สาวฝาแฝด เขากลับได้รับสัญญาณว่างเปล่า เงียบเชียบ

            ทีเกื้อรวบรวมสมาธิ ส่งกระแสสื่อสารชนิดเข้มข้นถึงพี่สาวอย่างที่เคยกระทำ

            “เอื้อ...เอื้อ...เป็นอะไรหรือเปล่า...มีปัญหาอะไร?”

            คำตอบคือความเงียบสงัด กระแสสัญญาณส่งไปแล้วลับหาย ไม่มีแรงสะท้อนกลับ เขามั่นใจว่าเอื้อกานต์ยังปลอดภัย มีชีวิต ไม่ได้รับบาดเจ็บ แต่ไม่เข้าใจ เหตุใดถึงติดต่อทางใจไม่ได้

            ลองโทรศัพท์เข้ามือถือพี่สาวก็ไม่มีสัญญาณตอบรับ ไม่แน่ใจว่าอยู่นอกเขตบริการหรือแบตเตอรี่หมด ครั้นกระหน่ำโทร. ซ้ำๆ ก็ไร้ผล ลองโทร. ไปที่โรงพยาบาล ทราบว่าเอื้อกานต์ลางานแค่วันเดียว แต่หลังจากนั้นก็เงียบหาย จนถึงวันนี้ยังไม่ไปทำงาน

            คราวนี้ทีเกื้อโทร. หาหมาก รวมถึงทรงกลด ตามเบอร์พิเศษที่ให้ไว้ ผลคือเงียบกริบ ไร้สัญญาณตอบรับ

            พยายามติดต่อทางโทรศัพท์ถึงสัตตบงกช คนใกล้ชิดในกรุงเทพฯ ก็พบว่าไม่มีใครรู้ หรือได้ข่าวอะไร ทั้งเอื้อกานต์ หมาก ทรงกลด หายสาบสูญตั้งแต่วันที่ไปพบไลลา

            เพียงเท่านี้ ใจก็ร้อนรน กระวนกระวายอยู่ไม่เป็นสุข ต้องรีบสะสางงาน หาคนรับผิดชอบชั่วคราว แล้วเข้ากรุงเทพฯ เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้

            ถึงอย่างนั้น เวลาก็ล่วงเลยมาสามสี่วันแล้ว

            ที่คอนโดฯ เขาไม่พบทั้งเอื้อกานต์และหมาก ที่โรงพยาบาล คลินิกคนยาก ก็ไม่มีใครเห็นสองคุณหมอ ส่วนที่พักทรงกลดนั้นไม่มีใครรู้ จึงไม่อาจตามค้นหาได้ เพราะฉะนั้นเหลือร่องรอยเดียวให้สืบหา คือโรงแรมที่ไลลาพัก

            ...สถานที่สุดท้ายที่เขามั่นใจว่าสามคนนั่นได้ไปถึง

            ลอบสืบค้น ดูลาดเลา ก็พบว่าชั้นที่ไลลาพักเต็มไปด้วยบอดี้การ์ด บุกตรวจสอบยาก หนำซ้ำหากถูกจับได้จะเสียเรื่องเปล่าๆ ฝ่ายตรงข้ามอาจใช้ความรุนแรงตอบโต้

            ทรงกลดเคยพูดถึงฤทธิ์เดชไลลาไว้ ทำให้ทีเกื้อไม่มั่นใจหากต้องปะทะตรงๆ

            หนทางเดียวคือต้องอาศัยความร่วมมือจากสัตตบงกช หญิงสาวคนรัก ให้ช่วยหาเหตุผลอะไรก็ได้ เพื่อเข้าพบไลลา จะได้หาร่องรอยสืบสาว

            พอหญิงสาวได้ฟังเรื่องราวคร่าวๆ แบบปิดบังประเด็นสำคัญบางส่วนจากเขา ก็บอกง่ายๆ

            ‘ไม่เห็นต้องอ้างเหตุผล วางแผนอะไรเลย แค่บอกคุณไลลาไปตรงๆ ว่าพี่เอื้อหายตัวไป พวกเราต้องการขอเข้าไปพูดคุย สอบถามข้อมูล ในฐานะที่เธอน่าจะเจอพี่เอื้อเป็นคนสุดท้าย หนูดีคิดว่าถ้าคุณไลลาต้องการแสดงความบริสุทธิ์ใจ ต้องให้เราเข้าพบสอบถามได้อยู่แล้ว’

            ทีเกื้อค่อยยอมรับ นึกได้...ตนเองหมกมุ่น เป็นห่วงพี่สาวมากเกินไป จนทำให้มองข้ามเหตุผลง่ายๆ เหล่านี้

            สัตตบงกชโทรศัพท์ติดต่อ เพื่อขอเข้าพบ พูดคุยกับไลลา ผ่านเลขาฯ ของเธอ ซึ่งอีกฝ่ายอนุญาต ยินดีให้มาสอบถาม แสดงความบริสุทธิ์ใจโดยไม่มีข้อแม้ใดๆ

            ถึงวันที่ทีเกื้อ สัตตบงกช นัดเข้าพบไลลา ก็พบว่าฝ่ายตรงข้ามเตรียมการพร้อม เพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจของตนเอง

            ห้องของไลลา นอกจากมีบอดี้การ์ดตามปกติแล้ว ยังมีเจ้าหน้าที่โรงแรมระดับผู้จัดการอยู่ร่วมเป็นพยานด้วย

            ไลลาตอบข้อซักถามไม่ติดขัด พูดคุยอย่างไม่ถือตัว สองหนุ่มสาวไม่พบร่องรอยพิรุธใด ไลลาบอกว่าเอื้อกานต์กับหมอหมากเข้ามาพูดคุย จิบน้ำชาที่ห้องนี้ ราวชั่วโมงเศษก็กลับไปโดยไม่บอกว่าจะไปไหนต่อ

            หลักฐานที่ยืนยันคำพูดของเธอคือ ภาพจากกล้องวงจรปิดของโรงแรมที่ถ่ายภาพสองคุณหมอตั้งแต่มาถึงโรงแรม ขึ้นลิฟต์ จนกระทั่งกลับไป โดยมีเวลายืนยันชัดเจน

            ทีเกื้อจนคำถาม ไม่รู้จะพูดอย่างไรอีก ฝ่ายตรงข้ามไม่ใช่ผู้ต้องสงสัย ไม่ใช่ผู้ต้องหา เป็นแค่พยานคนสุดท้ายที่พบสองคุณหมอ แถมยังเป็นคนดังที่ยากต้องแตะ

            อีกทั้งหลักฐานจากกล้องวงจรปิดโรงแรมก็ยืนยันชัดเจนขนาดนั้น ทำเอานายตำรวจหนุ่มแทบจนแต้ม ต้องยอมกลับบ้านมือเปล่า โชคดีสายตาไว พบของบางอย่างตกอยู่ตรงซอกขาโต๊ะขณะเก็บของตก

            ลูกปัดใสเม็ดเล็ก ๆ เม็ดหนึ่ง!

            ทีเกื้อรีบเก็บลูกปัดเม็ดนั้นใส่กระเป๋า โดยไลลาและคนอื่นไม่ทันสังเกตเห็น

            ทรงกลดเคยบอกว่า สร้อยข้อมือลูกปัดที่เอื้อกานต์ใส่ เป็นของที่เขาทำไว้เพื่อใช้ป้องกันภูตผี อาคมร้าย แก่เธอ

            การที่เม็ดลูกปัดตกหล่นอยู่เม็ดเดียวโดดๆ เช่นนี้ แสดงว่าสร้อยข้อมือน่าจะขาด เอื้อกานต์ ทรงกลด ตกอยู่ในอันตราย

            นายตำรวจหนุ่มพยายามสงบใจ ไม่แสดงความกังวลออกทางสีหน้าขณะเดินออกจากห้องพักนักร้องดังด้วยจิตใจร้อนรุ่ม เหลียวมองดูประตูห้องอื่นๆ บนชั้นนั้นแล้วนึกอยากบุกเข้าไปตรวจค้น ถ้าสติไม่คอยฉุดรั้งไว้ก่อน

            ‘ถ้าคุณตำรวจอยากตรวจค้นห้องอื่นๆ บนนี้ก็ได้นะ ฉันอนุญาต’ ขณะเดินออกมาส่ง ไลลาก็บอกอย่างรู้จิตใจเขา

            สัตตบงกชออกตัวปฏิเสธ นึกกระอักกระอ่วน เกรงใจ อีกฝ่ายเป็นถึงนักร้องดัง แขกวีไอพีของโรงแรม เท่าที่ยอมเปิดโอกาสให้มาซักถามขนาดนี้ ก็ถือว่ามากเกินไปแล้ว ถ้าตำรวจจะเข้าค้นห้องอื่นๆ ทำเหมือนเธอเป็นผู้ต้องสงสัย ก็ดูจะเสียมารยาทมากไปหน่อย

            ‘ขอบคุณครับ’ ทีเกื้อเป็นฝ่ายตอบรับแบบไม่เกรงใจ

            ไลลาพยักหน้า บอกให้บอดี้การ์ดของเธอเป็นฝ่ายนำเขาไปดูห้องทุกห้องบนชั้นนี้ ตั้งแต่ห้องที่อยู่ติดกับห้องของเธอ จนถึงห้องสุดท้ายบนชั้น

            ทุกห้องไม่มีร่องรอย กลิ่นอายของเอื้อกานต์ หมาก หรือกระทั่งทรงกลด...มันปกติจนดูผิดปกติ

            ทีเกื้อมีสัมผัสพิเศษ อีกทั้งสายสัมพันธ์แบบฝาแฝดกับเอื้อกานต์ก็บอกให้รู้ถึงการมีอยู่ของอีกฝ่ายได้ แต่กับสถานที่นี้ ภายในอาณาเขตของไลลา สัมผัสพิเศษทุกชนิดกลับไร้ความหมาย กระแสคลื่นความผูกพันมืดบอด ตีบตัน เป็นครั้งแรกที่ชายหนุ่มรู้สึกว่าตนเป็นคนธรรมดา ไม่เหลืออำนาจพิเศษใดๆ เลย

            กลับมาด้วยความผิดหวัง ก่อนจะฉุกใจคิดถึงเรื่องบางอย่างได้

            ‘คอนเสิร์ตกลางสวนจะแสดงเมื่อไหร่จ๊ะหนูดี’ ชายหนุ่มถามคนรัก

            ‘พรุ่งนี้ค่ะ’ หญิงสาวตอบพลางมองเขาอย่างสงสัย ‘มีอะไรหรือคะพี่เกื้อ’

            ‘พอจะรู้มั้ยว่าไลลาจะมางานตอนกี่โมง’ เขาถามต่อ

            ‘หนูดีจำไม่ได้ค่ะ ต้องเช็คในสมุดคิวอีกที’

            ‘งั้นพรุ่งนี้พี่ตามไปที่งานด้วยนะ’ เขาบอกง่ายๆ

            ‘อยากดูคอนเสิร์ตเหมือนกันหรือคะ’ สัตตบงกชแกล้งแหย่ อารมณ์แบบนี้ทีเกื้อไม่มีทางนึกอยากมาฟังเพลงแน่ ถ้าเขาต้องการมาที่งาน แสดงว่ามีจุดประสงค์อื่นซ่อนเร้น

            ‘อยากมาดูพิธีกรคนเก่งมากกว่า’ เขาตอบพร้อมก้มลงยิ้ม

            หญิงสาวรู้ว่าชายหนุ่มต้องการเบี่ยงเบนประเด็น ไม่อยากให้ซักถาม จึงคล้อยตามด้วยไม่คิดอยากเคี่ยวเข็ญ เอาคำตอบอะไร

            ‘ไม่แน่นะคะ ถ้านักร้องไม่มา พิธีกรจะขึ้นเวทีร้องเพลงเองด้วย’

            ‘งั้นพี่จะไปช่วยยกป้ายไฟเชียร์ให้’ นายตำรวจหนุ่มพูดจาหนักแน่น

            ‘ให้มันจริงเถอะ’ หญิงสาวย่นจมูก ลูบปลายคางเขา หนวดเคราเริ่มยาวสากระคายมือ

            ‘แน่นอนสิ เดี๋ยวจะหาว่าไม่รักกันจริง’ ชายหนุ่มยิ้มใส่ดวงตาเธอ

            สัตตบงกชรู้ว่าจิตใจเขามีกังวล ไม่สบายใจ แต่พยายามพูดจาหยอกล้อ ไม่ให้เธอหนักใจตามไปด้วย รู้จักกันมาร่วมสิบกว่าปี มีหรือจะไม่รู้ว่าเอื้อกานต์ พี่สาวฝาแฝดของเขา มีความสำคัญต่อเขาขนาดไหน

            แต่ในเมื่อเขาไม่อยากให้รู้ ไม่อยากให้กังวล เธอคงทำได้แค่แกล้งไม่รู้ ไม่สนใจซักถาม เพื่อให้เขาสบายใจ ไม่กังวลกับตัวเธอ บางที...นี่อาจเป็นสิ่งเดียวที่เธอจะช่วยเขาได้ในเวลานี้



               ทีเกื้อไม่อยากเล่าเรื่องของไลลาให้คนรักตกใจ ยิ่งไม่อยากพูดถึงการปล่อยไวรัสอาคมในงานคอนเสิร์ต ซึ่งเป็นเรื่องน่ากลัวเกินกว่าคนทั่วไปเข้าใจ

            ไลลาตั้งใจใช้คอนเสิร์ตกลางสวนเป็นสถานที่ปล่อยไวรัสอาคมครั้งสำคัญ โดยอาศัยคลื่นโทรทัศน์ถ่ายทอดสดทั่วประเทศเป็นสื่อ ชักนำอาคมร้ายกระจายออกไปในวงกว้าง

            เขาไม่ห่วงว่าสัตตบงกชจะโดนไวรัสอาคม แต่มีหลายคนที่รู้จัก อาจได้รับไวรัสชนิดนี้

            หนึ่งในนั้นคือคุณหญิงอัปสร ประธานจัดงาน ผู้เป็นแม่เลี้ยงของเขาเอง

            ถึงคุณหญิงไม่ใช่คนดีนัก ทำเรื่องร้ายๆ ไว้เยอะ ทีเกื้อก็ต้องยอมรับว่า ถ้าไม่ใช่เธอ...ความรักของเขากับสัตตบงกชคงไม่ราบรื่นเช่นนี้

            คนร้ายๆ หลายคนย่อมเคยมีโอกาสทำดีกับคนรอบตัวเหมือนกัน...มันไม่ค่อยยุติธรรมนัก หากใช้ไวรัสอาคมที่ไม่อาจพิจารณาแยกแยะดีชั่วอย่างละเอียดอ่อน เป็นผู้ตัดสินโทษประหารกับใครๆ

            ทีเกื้อต้องการมางานคอนเสิร์ตก่อนเวลา เพื่อตรวจสอบ ดูลู่ทาง หาวิธีขัดขวางการปล่อยไวรัสอาคม และยังแอบคิดในใจลึกๆ ว่า หากทรงกลด หมาก เอื้อกานต์ ปลอดภัยดี ต้องมาในงานแน่นอน

            ที่ถามถึงคิวเวลาการมางานของไลลา ก็เพื่อหาโอกาสกลับไปที่โรงแรมอีกครั้ง เขาเชื่อว่าครั้งนี้น่าจะได้พบร่องรอยคนทั้งสามมากกว่าแค่ลูกปัดสร้อยข้อมือของเอื้อกานต์

            โรงแรมกับสวนสาธารณะอยู่ไม่ไกลกันมาก ทีเกื้อมั่นใจว่าตนเองจะใช้เวลาไปตรวจสอบที่โรงแรมและกลับมางานคอนเสิร์ตทันก่อนถึงคิวแสดงของไลลา

            หากโชคดี อาจพบคนทั้งสามทันเวลา



               บ่ายคล้อย

            สัตตบงกชกำลังดูแลนักร้อง คนดังที่มาขึ้นเวที และเตรียมรับไลลาที่จะมาซ้อมบนเวทีเป็นคิวสุดท้าย

            ทีเกื้อนั่งอยู่บนอัฒจันทร์คนดู สายตามองเวทีโดยไม่โฟกัสจุดใดเป็นพิเศษ วางใจเบานิ่ง ส่งกระแสใจแผ่กว้าง หวังให้มันกระทบถึงพี่สาวฝาแฝด

            ใช้เวลาครู่ใหญ่ ไม่เกิดสัมผัส รู้สึกใด เขามั่นใจว่าเอื้อกานต์ปลอดภัย แต่ไม่เข้าใจว่าเหตุใดจึงสื่อสารกันไม่ได้ ทีเกื้อถอนใจหนัก คลายกำลังที่ส่งใจออกรู้ลง ทันใดนั้น ท่ามกลางกระแสความรู้สึกที่หดตัวคืนกลับมาช้าๆ มันกลับกระทบกลุ่มก้อนพลังงานเข้มข้นจนน่าตระหนก เป็นพลังงานของผู้ทรงอาคมคลับคล้ายทรงกลด

            ทีเกื้อยินดี รีบลุกจากอัฒจันทร์ หันหน้าไปทางทิศที่สัมผัสกลุ่มพลังงานนั้น

            มองออกไปไกล ผ่านสนามหญ้าเขียว แนวไม้ร่มรื่น แลเห็นต้นไม้ใหญ่ แผ่กิ่งใบร่มเย็น ที่เก้าอี้ใต้ต้นไม้ ริมลู่วิ่ง มีชายคนหนึ่งกำลังนั่งพักผ่อน

            ทีเกื้อเดินกึ่งวิ่ง โล่งใจยินดีเมื่อคิดว่าชายคนนั้นอาจเป็นทรงกลด แต่พอใกล้เข้ามา มองจากเบื้องหลังแวบแรกก็รู้ว่าไม่ใช่ ชายคนนั้นมีไหล่หนาและกว้างกว่า เส้นผมหงอกขาวแซม

            ผิดหวัง...ชายหนุ่มเดินช้าๆ อ้อมเก้าอี้เพื่อเผชิญหน้ากับชายคนนั้นตรงๆ พบว่าเขากำลังทอดสายตามองเด็กเล็กๆ ที่วิ่งเล่นอยู่ในสนาม โดยมีพ่อแม่ปูเสื่อนั่งพักผ่อนอยู่ริมน้ำ รับลมเย็น

            “สวัสดีครับ” ทีเกื้อเอ่ยทัก “ผมขออนุญาตนั่งตรงนี้นะ”

            พูดจบก็นั่งบนเก้าอี้ยาวตัวเดียวกันโดยไม่รอคำอนุญาต

            ชายที่นั่งอยู่ก่อนไม่ตอบรับหรือปฏิเสธ ทีเกื้อจ้องมองเสี้ยวใบหน้าเขาชัดๆ เห็นจอนผมหงอกขาวเหลือบเงินบอกถึงอายุ ใบหน้าเรียบๆ ซีดๆ ไร้สีสัน ไม่มีจุดเด่นสะดุดตา ทว่านัยน์ตาคู่นั้นกลับลึกล้ำ แฝงพลังซ่อนเร้นน่ากลัว

            ทีเกื้อเคยพบชายผู้นี้ครั้งเดียวตอนที่ทรงกลดเผชิญหน้ากับนายศักดิ์ชาย เหยื่อรายสุดท้าย ตอนนั้นเขาพยายามหาวิธีพูดเพื่อยับยั้ง เตือนสติทรงกลด ชายสูงวัยผู้นี้กลับทำตรงข้าม ด้วยการพูดกระตุ้นอย่างแยบยล

            และสุดท้ายเมื่อทรงกลดได้สติ วางความแค้น ชายผู้นี้ก็แค่แสดงอาการผิดหวังเพียงเล็กน้อย ก่อนจากไป

            ถึงเจอกันภายในเวลาไม่นานนัก ทีเกื้อก็จดจำชายสูงวัยผู้นี้ได้อย่างแม่นยำ

            เขาคือ ฮันเตอร์ คิม อาจารย์ของทรงกลด!

            “ดีใจที่ได้เจอกันอีกครับ” ชายหนุ่มพูดเมื่อเห็นอีกฝ่ายไม่แสดงท่าทีสนใจ

            ชายสูงวัยทำตัวปกติราวกับไม่รับรู้ว่ามีใครร่วมนั่งเก้าอี้ เอ่ยปากชวนคุยด้วย ทีเกื้อเองก็ปล่อยตัวตามสบาย อาศัยประสบการณ์ที่เคยเผชิญหน้าทรงกลดสมัยที่เป็น ‘คิม’ มาแล้ว จึงรู้ว่าควรทำตัวอย่างไร

            “บอกผมได้มั้ยครับว่าเอื้อกานต์ พี่สาวผม อยู่ที่ไหน” ทีเกื้อตั้งคำถามโดยไม่หวังได้รับคำตอบ “หมอหมากอีกคน พวกเขาไปหาคุณไลลาด้วยกัน แล้วก็หายตัวไปพร้อมกันตั้งแต่วันนั้น”

            ชายสูงวัยยังนิ่ง ไม่แสดงอาการสนใจ ปล่อยให้เสียงของเขาเหมือนลมผ่านหู

            ทีเกื้อไม่สนใจ พูดต่อมาเรื่อยๆ หวังว่าอาจมีบางประโยค กระทบใจผู้ทรงอาคม

            “อันที่จริง สองรายนั่นผมไม่ห่วงเท่าไหร่ เชื่อว่าคุณไลลาไม่น่าทำอันตรายร้ายแรง จะห่วงก็แต่พี่กลดที่ลอบเข้าไปทำลายไวรัสนางพญา ไม่รู้เป็นอย่างไรบ้าง เพราะเท่าที่ดูจากสีหน้าท่าทางคุณไลลา ผมว่าพี่กลดคงเจอเรื่องร้ายมากกว่าเรื่องดี”

            นายตำรวจหนุ่มพูดคนเดียว นัยน์ตาทอดมองสนามกว้างตรงหน้าไม่ต่างจากคนที่นั่งเก้าอี้ยาวตัวเดียวกัน กำลังนึกว่าควรพูดเรื่องอะไรต่อ ก็ได้ยินเสียงลอยๆ จากคนร่วมเก้าอี้

            “ฉันเคยสงสัย...” ฮันเตอร์ คิม เริ่มประโยคแรก “ทำไมอาคมขั้นสูงสุด มนตร์ดำ พลังมืดอันร้ายกาจของอสูรทรงกลดที่ไม่น่ามีใครต้านทานได้ กลับไม่มีผลอะไรกับเธอเลย”

            “ผมก็เคยสงสัยเหมือนกัน” ชายหนุ่มอมยิ้ม “จนมานึกทบทวนทีหลัง ก็พอได้คำตอบรางๆ”

            ฮันเตอร์ คิม ไม่รุกถามต่อ ปล่อยให้ชายหนุ่มเป็นฝ่ายเล่าเรื่องราวเอง

            “คุณตาผมเขียนบันทึกไว้เล่มหนึ่ง ชื่ออาคม...ในนั้นมีเรื่องราวเกี่ยวกับคดีแปลกๆ หลายคดี พอคุณตาปิดคดีหนึ่งจบ ก็จะเขียนสรุปเอาไว้”

            ทีเกื้อหยุดพูดชั่วขณะ สังเกตท่าทีของฝ่ายตรงข้าม

            ฮันเตอร์ คิม ยังไม่แสดงกิริยาใดมากกว่าเดิม เขาจึงเล่าต่อ

            “มีอยู่คดีนึง คุณตาท่านเขียนสรุปประมาณว่า...ไสยศาสตร์ มีทั้งฝ่ายขาว และดำ แต่มีท่านผู้รู้เคยบอกว่า ยังมีอีกศาสตร์หนึ่ง ชื่อ ‘ศาสตร์บริสุทธิ์’ เป็นพลังงานบริสุทธิ์ใส ไม่ใช่ทั้งสีขาวและสีดำ...เปรียบเหมือนมีคราบสีขาว และสีดำอยู่บนพื้น สีขาวอาจกลบทับสีดำให้ดูสะอาดตาได้ ส่วนสีดำก็สามารถกลบทับสีขาวให้เกิดความมืดมิด แต่น้ำที่สะอาดใส สามารถชะล้างทั้งสองสี ให้พื้นกลายเป็นพื้นที่สะอาดอย่างแท้จริงได้”

            ทีเกื้ออธิบายข้อความในบันทึกคุณตาอย่างยืดยาว โดยไม่รู้ว่าอีกฝ่ายสนใจฟังแค่ไหน ซึมซับ รับรู้คำพูดของเขาเพียงใด

            “ถึงวันนี้ ผมก็ยังไม่เข้าใจคำว่าศาสตร์บริสุทธิ์ หรือความไม่มีสีสักเท่าไหร่ เพราะขณะที่ผมเข้าไปขัดขวาง ช่วยเหลือท่านศักดิ์ชาย จิตใจผมไม่มีความรู้สึกว่ากำลังทำดีหรือทำชั่ว ไม่มีเจตนา ไม่มีความจงใจ ทุกอย่างมันเป็นไปเอง คงด้วยความที่ถูกฝึกฝนมาตลอด ให้ช่วยเหลือคนอ่อนแอกว่า...ทำให้จิตใจเกิดความเมตตา อบอุ่นขึ้นมาเอง โดยไม่ได้บังคับ เรียกร้อง...”

            ชายหนุ่มหยุดพูดอีกชั่วขณะ เห็นอีกฝ่ายยังนิ่ง จึงพูดต่อเอง...

            “พลังมนตร์ดำขั้นสูงสุด อาจเข้มข้น มืดมิด จนพลังสีขาวยากจะกลบกลืน ขับไล่ แต่ถ้ามีพลังที่สะอาดใสบริสุทธิ์อย่างแท้จริง เข้ามาชะล้างด้วยจำนวนมหาศาล ความไม่มีสีย่อมพาให้คราบอันดำมืดจางหายได้ในที่สุด”

            จบคำพูดนี้ ทีเกื้อก็หยุด ไม่เห็นความจำเป็นที่จะต้องอธิบายด้วยคำพูดยืดยาวเปล่าประโยชน์อีก

            ฮันเตอร์ คิม นิ่งนาน...ไม่ซักถาม ไม่แสดงปฏิกิริยาผ่านสีหน้า มีเพียงแววตาที่ปรากฏประกายแวบหนึ่งของความรู้ ความเข้าใจ และความกระตือรือร้นอยากเรียนรู้ต่อ ซึ่งมันไม่เคยปรากฏในดวงตาเขามานานนับสิบๆ ปี

            “ไม่มีสี...” สามคำหลุดจากปากชายผู้ทรงอาคม เป็นสามคำที่แฝงความรู้สึกประหลาด ทั้งตื่นเต้น อยากเรียนรู้ ขณะเดียวกันก็เกิดความเข้าใจบางประการขึ้นมา

            “ไม่ใช่ขาว...ไม่ใช่ดำ...ไม่ใช่ดี...ไม่ใช่ชั่ว...มันคืออะไร?”

            คำพูดที่คล้ายคำถาม เป็นคำถามที่ทีเกื้อรู้ว่าอีกฝ่ายไม่ได้เอ่ยต่อตน แต่เอ่ยกับใจตัวเอง...อัจฉริยะผู้นี้กำลังก้าวเข้าสู่ขอบเขตการเรียนรู้วิชาแขนงใหม่ที่เพิ่งได้ยินในวัยชรา...

            เวลาทิ้งช่วงอีกระยะหนึ่ง ก่อน ฮันเตอร์ คิม จะถอนใจยาว ด้วยรู้สึกว่า คำตอบที่ตนเองกำลังหา ไม่อาจพบได้ในระยะเวลาอันสั้น และยิ่งไม่อาจตอบได้ด้วยการครุ่นคิด ฟุ้งซ่าน

            “เธอไปเถอะ” ฮันเตอร์ คิม บอกกับชายหนุ่ม

            “คุณพอจะช่วยพี่สาวผม หมอหมาก และพี่กลดได้มั้ยครับ” ทีเกื้อไม่ยอมทิ้งโอกาสขอความช่วยเหลือ

            “ฉันเคยรับปากเขาไว้...จะไม่ให้ความช่วยเหลือสามคนนั่นทุกกรณี”

            คำตอบของ ฮันเตอร์ คิม เป็นเหมือนการบอกกล่าวมากกว่าคำปฏิเสธชัดเจน ทีเกื้อจึงรู้สึกว่าตนยังมีโอกาสอยู่

            “ตอนนี้พวกเขาปลอดภัยดีใช่มั้ยครับ”

            “ใช่” คำตอบนี้ ไม่เกี่ยวกับการช่วยเหลือ

            ทีเกื้อได้ยินแล้วคลายใจไปกว่าครึ่ง ถ้า ฮันเตอร์ คิม ไม่ยอมช่วยคน เช่นนั้นผู้ทรงอาคมรายนี้ยังสามารถทำเรื่องใดได้อีก

            “คุณพอจะบอกวิธีหยุดไวรัสอาคมได้มั้ยครับ”

            “ได้...แค่ทำให้ไลลาเปลี่ยนใจ ยอมยกเลิกเอง” คำตอบที่ง่ายตรง และคงเป็นไปไม่ได้

            “ถ้าอย่างนั้น เราจะมีวิธีเอาชนะไวรัสอาคมได้ยังไง”

            “เอาชนะหรือ?” สีหน้า ฮันเตอร์ คิม คล้ายจะเหยียดหยัน “ทรงกลดเกือบตายตอนเข้าไปขัดขวางการปล่อยไวรัสอาคม และใกล้จะตายจริงๆ ตอนเข้าไปทำลายไวรัสนางพญา เธอคิดว่าตัวเองมีความสามารถด้านอาคมเหนือกว่าทรงกลดแค่ไหน”

            ทีเกื้ออึ้ง รู้ว่าตนเองตั้งคำถามผิดแล้ว

            “ทำไมไม่ลองเปลี่ยนวิธีคิดเสียใหม่” ฮันเตอร์ คิม พูดต่อเมื่อเห็นอีกฝ่ายจนคำตอบ “ทำยังไงไม่ให้ไวรัสอาคมเข้าตัว น่าจะง่ายกว่า...”

            ได้ยินอย่างนั้นทีเกื้อแทบหลุดปากถาม ...แล้วควรทำอย่างไรล่ะ?

            เหมือนอีกฝ่ายจะได้ยินคำพูดในหัวชายหนุ่ม จึงทอดสายตาลงพื้นเบื้องหน้า ใช้ปลายนิ้วขีดเขียนบนอากาศเหนือพื้นอยู่สักครู่ ก็ปรากฏภาพภาพหนึ่งติดอยู่

            ทีเกื้อก้มลงมองตาม ภาพดังกล่าวเขาคุ้นตาดี มันมีลักษณะเหมือนลูกอ๊อดสีขาวกับสีดำสองตัวประกบกัน

            “สัญลักษณ์หยินหยาง” นายตำรวจหนุ่มเอ่ยปาก

            “ฝั่งนี้สีอะไร” ฮันเตอร์ คิม ชี้มือมาด้านหนึ่งในรูปสัญลักษณ์

            “สีขาว” ทีเกื้อตอบ

            “แล้วฝั่งนี้ล่ะ” ผู้สูงวัยชี้มืออีกครั้ง

            “สีดำ” ชายหนุ่มตอบ

            “แล้วตรงนี้ สีอะไร” ฮันเตอร์ คิม เจาะจงชี้จุดดำที่อยู่กลางสัญลักษณ์ฝั่งสีขาว

            “สีดำ” ทีเกื้อตอบ พร้อมเกิดความเข้าใจรางๆ จึงเอ่ยปากอธิบายกึ่งย้ำถามความถูกต้องจากอีกฝ่าย

            “สัญลักษณ์หยินหยาง...มีสีขาวในสีดำ...และมีสีดำในสีขาว มนุษย์แต่ละคนก็เหมือนรูปสัญลักษณ์นี้ มีดีมีเลว ชั่วร้าย ปะปนในตัว”

            ฮันเตอร์ คิม นิ่งฟัง ไม่คัดค้าน ทีเกื้อค่อยกล้าอธิบายความเข้าใจของตนเพิ่มเติม

            “ไวรัสอาคมมุ่งจู่โจมคนชั่ว...ถ้าความชั่วเป็นเหมือนสีดำ มันก็จะจู่โจมตรงจุดดำที่มองเห็นชัด แต่ถ้าชั่วขณะที่ไวรัสถูกปล่อยออกมา แล้วคนคนนั้นแสดงจุดสีขาวในตัวจนเด่นชัด...ต่อให้พื้นฉากเป็นสีดำ แต่ถูกปกปิดไว้ด้วยจุดสีขาว ไวรัสก็จะไม่จู่โจม”

            ชายหนุ่มหยุดพูด สังเกตสีหน้าแววตาผู้สูงวัยแทนการฟังคำยืนยัน

            ฮันเตอร์ คิม นิ่ง ไม่ยืนยัน ไม่คัดค้าน และยิ่งไม่จำเป็นต้องอธิบายต่อด้วยว่า...ในตัวมนุษย์มีดีเลวปะปนก็จริง แต่คนส่วนใหญ่ยากจะควบคุมตัวเอง ยิ่งบางคนไม่รู้จักดีชั่ว ไม่รู้อะไรขาวอะไรดำ ต่อให้ตั้งใจแสดงตัวเป็นคนดีสักชั่วโมงสองชั่วโมงระหว่างไวรัสทำงาน แต่ถ้ามีเหตุมากระทบให้ใจเกิดอกุศลหนัก ก็คงยากจะพ้นเงื้อมมืออาคมร้าย

            “คอนเสิร์ตนี้เขาจัดขึ้นด้วยวัตถุประสงค์อะไร” ผู้สูงวัยถาม แทนการชี้นำ เปลี่ยนประเด็น

            ทีเกื้ออึ้ง...เขารู้แค่ว่ามันเป็นคอนเสิร์ตการกุศล แต่ไม่เคยสนใจอยากรู้...การกุศลที่ว่านั้นเป็นเรื่องอะไร นำเงินที่ได้ไปช่วยแบบไหน และเกิดผลทางบวกแก่สังคมเพียงใด

            เขาเชื่อว่า หลายคนที่มางาน หรือบางคนที่ร่วมจัดงาน ก็ไม่ได้รู้ถึงคำว่า ‘กุศล’ อย่างจับใจแท้จริงกันนัก บางครั้งอาจไม่เข้าใจหรือเห็นประโยชน์จริงจากการจัดงานด้วยซ้ำ

            “ไลลาตั้งใจใช้สัญญาณโทรทัศน์เป็นสื่อกระจายไวรัส” แววตา ฮันเตอร์ คิม อ่อนลง “ทำไมพวกเธอไม่คิดใช้สื่อเดียวกัน กระจายความรู้สึกดี พูดจากระตุ้น ชี้ให้คนวงกว้างเห็นประโยชน์ คุณค่าในการร่วมทำกุศลในงานคอนเสิร์ตครั้งนี้บ้างล่ะ”

            จิตใจทีเกื้อเกิดความเข้าใจกระจ่างวูบ...ถ้าชั่วเวลาแห่งการปล่อยไวรัสอาคม จิตใจคนดูยังเกิดกุศลจากสิ่งที่พิธีกร นักร้อง ช่วยกันพูดให้เห็นประโยชน์ในการทำบุญ เช่นนั้น...ไวรัสอาคมย่อมทำอันตรายไม่ได้

            “ขอบคุณสำหรับคำแนะนำครับ”

            “เราแค่พูดคุยกัน ฉันไม่ได้แนะนำอะไรเธอ” ผู้ทรงอาคมกล่าวเสียงหนัก

            ชายหนุ่มไม่เถียง ไม่ขัด

            “งั้น...ผมขอชวนคุยเรื่องอื่นบ้างได้มั้ยครับ”

            “ลองว่ามาสิ” อีกฝ่ายเปิดทาง

            “สมมุติว่าคนสำคัญของคุณหายสาบสูญไป...คุณจะติดตามหาเขาอย่างไร” ทีเกื้อเริ่ม

            “ก็ต้องดูว่าเขาหายไปตรงจุดไหน” อีกฝ่ายตอบเหมือนพูดคุยธรรมดา

            “ถ้าเราไปดูจุดที่สูญหายแล้ว ไม่เจอตัวพวกเขา พบแค่ร่องรอยเล็กๆ เท่านั้น ควรทำยังไงต่อ”

            “ก็ใช้ร่องรอยเล็กๆ นั่นแหละ เป็น ‘สื่อ’ นำ...ถ้าเปลี่ยนร่องรอยเล็กๆ เป็น ‘สัญญาณสุดท้าย’ ที่ฝ่ายนั้นทิ้งไว้ให้ได้...มันก็ไม่ยากที่จะเชื่อมต่อใจเรากับสัญญาณสุดท้ายของคนสำคัญนั้น”

            หากคำพูดนี้บอกกับคนทั่วไป คงมึนตึ้บ อับจนปัญญา แต่คนที่มีจิตสัมผัสอย่างทีเกื้อได้ยิน สติปัญญาก็สว่างวาบ เข้าใจความหมายทันที

            สัญญาณสุดท้ายที่ถูกทิ้งไว้...ถ้าเขาสามารถขยายสัญญาณจากลูกปัดของเอื้อกานต์ได้ ด้วยจิตสัมพันธ์ที่โยงใยต่อกันมาตลอด น่าจะเชื่อมเส้นทาง ทำให้ตามตัวกันง่ายขึ้น

            “ขอบคุณมากครับ” ชายหนุ่มพูดอย่างเต็มตื้น ไม่คิดว่าอาจารย์ของทรงกลดจะยอมช่วยขนาดนี้

            “ขอบคุณทำไม...เราแค่พูดคุยกันเท่านั้น” ฝ่ายผู้ทรงอาคมยังย้ำคำพูดเดิม

            ทีเกื้ออมยิ้ม สังเกตฝ่ายตรงข้ามอย่างชัดเจน รู้ว่ามีบางสิ่งติดค้างคาใจตั้งแต่ตอนที่เขาพูดถึงข้อความในบันทึกอาคมของคุณตา...และเพราะบางสิ่งนั้น ฮันเตอร์ คิม จึงอ่อนลงขนาดนี้

            “งั้นผมขออนุญาต เปลี่ยนจากคำขอบคุณ เป็นอีกข้อความหนึ่งที่คุณตาท่านเขียนไว้ในบันทึกแล้วกันครับ”

            คราวนี้ ฮันเตอร์ คิม หันมามองอย่างสนใจ

            “ท่านเขียนไว้ว่า...มีสิ่งหนึ่งที่เหนือกว่าวิชา คาถาอาคมต่างๆ นั่นคือ กรรมวิบาก ...ไม่ว่าจะมีข้อสงสัยใดๆ ให้รวมลงมาดูที่ใจตัวเอง พระพุทธเจ้าท่านได้สอน และบอกเส้นทางที่จะพาให้พวกเราหมดปัญหา ข้อสงสัยทั้งมวลไว้แล้ว”



(โปรดติดตามต่อฉบับหน้า)



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP