ดังตฤณวิสัชนา Dungtrin's Answer

สร้างเหตุอย่างไรให้เป็นผู้ไม่ละเลยในการทำความดีไปทุกๆ ชาติ



ถาม – คนที่เคยทำความดีมามากในอดีตชาติ จนส่งผลให้ชาตินี้มีชีวิตที่เพียบพร้อม
แต่ในชาติปัจจุบันไม่ได้ทำดีต่อ ทั้งเรื่องของทาน ศีล สมาธิ รวมถึงเรื่องของความกตัญญู
คำถามคือเขาทำกรรมอย่างไรมาจึงไม่เห็นความสำคัญของการกระทำความดี
แล้วควรสร้างเหตุอย่างไรคะ จึงทำให้ในชาติต่อๆ ไป เราจะไม่ละเลยต่อการสร้างกุศลทั้งปวง



ช่วงที่เรารู้จักใครสักคนมันอาจจะเป็นเวลาสั้นๆ ในช่วงที่เขาหลงผิดได้  
หรือไม่ก็เขาอาจจะหลงผิดยาวๆ ได้จริงๆ มันมีได้หลายแบบนะ
ขอให้ระลึกไว้นะครับ พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้นะครับ
ว่าการที่เราจะท่องเที่ยวไปในสังสารวัฏเรื่อยๆ
แล้วจะหวังว่าได้แต่ขึ้นสวรรค์ ได้แต่มาเป็นมนุษย์นี่ ไม่ใช่วิสัยนะ
ยังไงๆ ไม่พ้นนรกแน่นอน นี่คือธรรมชาติของสังสารวัฏ


เมื่อเกิดชาติใดชาติหนึ่งที่เรามีกัลยาณมิตร พบครูที่ดี
แล้วก็มีแก่ใจ มีแรงบันดาลใจที่จะประกอบกุศลประกอบบุญ
ก็มักจะเป็นชาติที่มีแต่ความสว่าง มีแต่ความเป็นกุศล
มีแต่ลักษณะอะไรที่จะเกื้อกูลให้จิตใจของเราสูงส่ง
เห็นดีเห็นงามตามความเป็นดอกบัว ไม่ไปหลงเห็นดีเห็นชอบตามกงจักร



เสร็จแล้วจบจากชาตินั้น ธรรมชาติเขาก็จะลองใจ
ด้วยการว่า เออ นี่ดีจริงหรือเปล่า ด้วยการลบหมดเลยความจำ ให้ลืมหมดเลย
แต่ตกรางวัลให้อย่างงาม ตกรางวัลให้ตอนที่ลืมแล้วว่าเคยทำอะไรมา
ให้มาเกิดในท้องพ่อท้องแม่ที่ดี ให้มีรูปร่างหน้าตาดี ให้มีผิวพรรณงดงามน่ามองน่าจับต้อง
ธรรมชาติของจิตที่ลืม ไม่รู้ว่าได้มายังไง กองเงินกองทองนี้ ผิวพรรณที่ดีผิวพรรณที่งามนี้นะ
มีแต่การเห็นมีแต่การจำได้ว่าตัวเองหล่อ ตัวเองสวย ตัวเองร่ำรวย ตัวเองมีดี
สัญชาตญาณทางใจก็จะเกิดความรู้สึกหลงขึ้นมา
หลงในรูปตน หลงในทรัพย์ของตน หลงในวัยของตน
แล้วก็เกิดความประมาทในวัยของตน ประมาทในฐานะของตน ประมาทในรูปร่างหน้าตาของตน
เกิดความเย่อหยิ่งบ้าง เกิดความคิดดูถูกคนอื่นบ้าง
เกิดความรู้สึกว่าไม่ต้องทำอะไรก็ดีอยู่แล้วบ้าง


เข้าใจไหม ธรรมชาตินะเขาให้ลืมนะ ไม่รู้ว่าอุตส่าห์ทำดีมาตั้งเท่าไหร่ อยู่ๆ เกิดมามีดีเลย
มันก็เลี่ยงไม่ได้ที่จะเกิดความรู้สึกขึ้นมาว่าไม่ต้องทำอะไรมันก็ดีอยู่แล้ว มีความสุขอยู่แล้ว
ไม่เห็นต้องไปเชื่อใคร ไม่เห็นต้องไปทำบุญที่ไหน มีดีอยู่แล้ว
นี่แหละธรรมชาติ ความใจร้ายใจดำของธรรมชาติอยู่ที่ตรงนี้นะ
เขาปิดบังนะ เขาไม่พยายามเปิดเผย
และไม่พยายามให้ใครเชื่อด้วยว่าวิบากกรรมมีจริง ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว

ตรงข้ามเลย เขาปิดบังเต็มที่ เขาซ่อนเขาอำพรางนะ คนทำชั่วบางทีดูได้ดีเสียอีก



เวลาการให้ผลของกรรม เวลาเข้าคิว เขาเข้าคิวแบบที่สลับกันซับซ้อนมาก
แล้วพระพุทธเจ้าท่านเคยตรัสกับพระอานนท์นะ
อย่าดูเบาว่าเรารู้เหตุปัจจัยของปฏิจจสมุปบาทแล้ว
เหตุผลของการเกิด เหตุผลของการได้ดี เหตุผลของการได้ชั่ว
แล้วไปบอกว่ามันเป็นของง่าย ไม่ใช่นะ มันมีความซับซ้อน มันมีความเข้าใจยาก
มันไม่สามารถเห็นได้ในปุถุชนทั่วไปที่ไม่ได้สดับตรับฟังธรรมะของพระพุทธเจ้า
ไม่มีความสามารถที่จะเจริญสติเห็นเข้ามาในกายในใจนี้
จนกระทั่งรู้ว่ากายใจของมนุษย์บันดาลขึ้นด้วยบุญขึ้นด้วยกุศล
ชะตาชีวิตดีๆ บันดาลขึ้นด้วยพฤติกรรมทางกายทางวาจาทางใจอันงาม
ถ้าหากไม่รู้ความจริงข้อนี้ สัตว์ก็ประมาทอยู่ หลงอยู่ แล้วก็ทำชั่วกัน
ไม่ว่าจะยากดีมีจน มีธรรมชาติอยากทำชั่วก่อนที่จะอยากทำดี
เพราะอะไร เพราะกิเลสมันยุให้มีราคะ ผิดหรือถูกก็ไม่รู้นะ ลูกเขาเมียใครไม่รู้
หรือโทสะนะ โกรธอยากฆ่าใคร เขาไม่รู้ผิดหรือถูกนะ ฆ่าก่อนหรือทำร้ายก่อน
หรือว่ามีโมหะหลงตัวหลงตน นึกว่าตัวเองดี นึกว่าตัวเองเลิศ นึกว่าตัวเองวิเศษนะ
ก็ไม่รู้ล่ะ ผิดหรือถูก รู้แต่ว่ามันรู้สึกของมันอย่างนี้ ก็ยึดอย่างนี้



นี่ตัวนี้แหละที่ทำให้คนเราไม่ว่าจะเคยทำบุญมาแค่ไหน ยังไงๆ ก็พลัดหลงได้
ทางที่ดีที่สุดพระพุทธเจ้าท่านถึงตรัสว่าออกจากสังสารวัฏซะ
ถ้ากลัวว่าจะพลาดนะมีทางเดียวเลย ต้องจบทุกข์ สิ้นทุกข์สิ้นชาติให้ได้

ไม่อย่างนั้นไม่มีทาง ไม่มีทางเลย ไม่ว่าเราจะเป็นสัมมาทิฏฐิแข็งแรงขนาดไหนนะ
อย่าว่าแต่เกิดชาติใหม่เลย ยังไม่ทันตายจากชาตินี้ก็หลงเป็นมิจฉาทิฏฐิได้ เห็นมาเยอะแล้วนะ



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP