จากใจ บ.ก.ใกล้ตัว Lite Talk

ฉบับที่ ๗ ดนตรีแห่งความสว่าง


lite talk


สำหรับท่านที่ติดตามบล็อกส่วนตัวของผม
ที่ทวิตเตอร์ (
http://twitter.com/dungtrin )
คงทราบตั้งแต่วันอาทิตย์ที่ ๒๓ แล้ว
ว่ามีการนำเพลงพุทธคุณ ขับร้องโดย ปาน ธนพร
ขึ้นไปวางไว้ให้ดาวน์โหลดมาฟังได้ฟรี
จะเข้าไปที่หน้าแรกของเว็บดังตฤณ (
http://dungtrin.com )
หรือ
GoodFamilyChannel ( http://goodfamilychannel.com ) ก็ได้

หากจะเผื่อแผ่ให้เพื่อนและญาติของคุณได้ร่วมชื่นบาน
ก็ส่งลิงก์ตรงได้เลยครับ ที่
http://www.dungtrin.com/music/Poottakhun.mp3
(ไวรัสของ dungtrin.com ไม่มีแล้วนะครับ สบายใจได้
เพราะย้ายเซิร์ฟเวอร์ และพยายามป้องกันไว้แน่นหนาสุดฤทธิ์แล้ว)

เร็วๆนี้ แฟนเพลงของปาน ธนพร
อาจฟังเพลงธรรมะของปาน
ได้จากเว็บของ
RS ซึ่งเป็นต้นสังกัดของเธอ
ทั้งเพลงพุทธคุณ และเพลงอื่นๆที่จะตามมาครับ
นับเป็นนิมิตหมายที่ดีของวงการบันเทิง
ที่จะมีเพลงแห่งความสว่างผุดใหม่ขึ้นมา

ความหมายของดนตรีแห่งความสว่าง
มีจุดมุ่งหมายจะทำดนตรีให้มีอิทธิพลกับคนฟังดังนี้

๑) เหนี่ยวนำให้เกิดความสงบ
ความหมายคือแม้ฟังเสียงอย่างเดียวโดยไม่คิดอะไร
ก็อาจช่วยให้รู้สึกสงบใจ
อันเกิดจากการที่คลื่นสมองผลิตคลื่นอัลฟ่า (
alpha brainwave)
คล้ายกับตอนหลับตา เข้าสู่ภาวะผ่อนพัก ไม่ฟุ้งซ่าน
กับทั้งมีความตื่นตัวรู้สึกถึงภาวะนุ่มนวลสบายนั้น ไม่ใช่หลับหลง
จัดเป็นสมาธิอ่อนๆประเภทหนึ่ง

สำหรับเพลงพุทธคุณได้คุณ ณธนา หลงบางพลี
ซึ่งมีความสามารถในการทำดนตรีทั้งไทยและเทศ
กับทั้งสนใจประพันธ์แนว
relaxing music อยู่ด้วย
จึงมีความเข้าใจในเรื่องการสร้างเสียง
ที่เหนี่ยวนำสู่ความสงบสบาย แต่ไม่ชวนเคลิ้มหลับ
โดยอาศัยทั้งเสียงซอและเสียงแฟนตาซีของซินเธไซเซอร์มาช่วย
ผลคือคนฟังจะถูกชักนำเข้าสู่เขตความสงบทางใจอย่างรวดเร็ว
นับตั้งแต่ช่วงอินโทรใน ๑๐ วินาทีแรก

๒) จุดประกายปีติโสมนัส
ความหมายคือเมื่อสดับฟังเสียงร้องแห่งความปีติ
ย่อมเกิดปีติตาม
ธรรมดาเสียงที่เปล่งออกมาจากจิตอันสงบสุข
และประกอบด้วยศรัทธาปสาทะที่แรงกล้า
ย่อมก่อคลื่นเสียงกระทบโสต
ในแบบที่ช่วยให้พลอยปีติปรีดาตามไปเอง
เป็นการเปิดใจคนฟังให้พร้อมรับกระแสความสว่างและความดีงาม
สะท้อนจากความเอิบอาบซ่านเย็นที่เกิดขึ้นกับกายใจ

สำหรับปาน ธนพร
จะมีความสามารถในการเปล่งเสียงแบบนักร้องอาชีพ
ที่มีคะแนนนิยมเป็นอันดับหนึ่งของไทยหลายปีติดกัน
แล้วปัจจุบันก็ไม่เคยหลุดจากท็อปลิสต์สักปีเดียว
เมื่อแก้วเสียงระดับเจียระไนมาผนึกรวมกับมหากุศลจิต
เยี่ยงผู้หันหน้าเข้าหาความสว่างเต็มตัวแล้ว
ย่อมสามารถช่วยแหวกม่านให้คนฟังเข้าเขตสว่างกระจ่างชัด
บันดาลปีติให้ขนลุกได้ไม่ยาก
ความรู้สึกของคนฟัง
น่าจะไม่ต่างกันนักกับอาการทางใจของคนมีวาสนา
ได้เข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าองค์จริงฉะนั้น

๓) ก่อให้เกิดความเข้าใจว่ากำลังศรัทธาอะไร
ความหมายคือไม่ใช่ศรัทธาอย่างไม่รู้
แต่เป็นศรัทธาอย่างเข้าใจ อาศัยถ้อยคำในเพลง
ดังเช่นในเพลงพุทธคุณ
จะมุ่งให้ซาบซึ้งว่าพระพุทธเจ้ามีคุณวิเศษ ๓ ประการที่สำคัญ
หนึ่งคือพระบริสุทธิคุณ คือเป็นผู้บริสุทธิ์หมดจดจากกิเลสแล้ว
สองคือพระปัญญาธิคุณ คือเป็นผู้แจ่มแจ้งแทงตลอดในเหตุผลทั้งปวงแล้ว
สามคือพระกรุณาธิคุณ คือเป็นผู้มีน้ำพระทัยใหญ่ช่วยบอกทางดับทุกข์แก่สัตว์โลก

ไม่ว่าจะเงี่ยหูฟังในระดับของดนตรีอันก่อความสงบ
หรือระดับของเสียงร้องอันก่อปีติ
หรือระดับของคำร้องอันก่อความเข้าใจ
ก็นับว่าเป็นดนตรีแห่งความสว่างได้
แค่ช่วยกันเผยแพร่ ก็เท่ากับแจกจ่ายความสว่างให้ผู้รับแล้วครับ

ฉบับนี้มาดูสัมภาษณ์ปาน ธนพร
กับเรื่องราวการเปลี่ยนแปลงชีวิตของเธอกันดู
แฟนคลับของเธออ่านแล้วอาจคาดไม่ถึงกับความในใจหลายๆประการก็ได้
โดยเฉพาะการร้องตามหน้าที่ในอาชีพ
กับการร้องด้วยความเต็มใจเป็นที่สุด

ดังตฤณ
สิงหาคม ๕๒




parn



ทีมงาน - คุณปานแจ้งเกิดจากอัลบัมไหน
?

ปาน - ตั้งแต่อัลบัมแรกค่ะ คือ ตบมือข้างเดียว เนื้อหาเกี่ยวกับรักสามเส้า รักขาดความไว้ใจ ซึ่งอาศัยไอเดียทางการตลาดที่ฉลาดของเฮียฮ้อมาเป็นแรงผลักดัน

ทีมงาน - ตอนนั้นเวลาเดินไปไหนต่อไหน ได้ยินเสียงตอบรับเป็นอย่างไร?

ปาน - แฟนๆบอกว่าชอบค่ะ

ทีมงาน - คำว่า "ชอบ" คำเดียวน่าจะเพียงพอแล้วสำหรับวงการบันเทิง เพราะวงการนี้ไม่ว่าจะเป็นหนัง ละคร หรือเพลง ก็เล่นกับความรู้สึกสองอย่างนี่เอง คือ ชอบแปลว่าสำเร็จ ไม่ชอบแปลว่าล้มเหลว จึงกล่าวได้ว่าคุณปานเริ่มต้นจากความสำเร็จ เพราะแค่อัลบัมแรกก็มีคำว่า "ชอบ" เป็นรางวัล เป็นของขวัญให้เลย ทีนี้ความชอบของแฟนๆในช่วงแรกนี่คุณปานเจาะรายละเอียดได้ไหมว่าชอบอย่างไร?

ปาน - เป็นภาพรวม บอกลำบาก ดนตรีสนับสนุนดีๆก็ทำให้เพลงแข็งแรงขึ้น ถ้อยคำที่ใช้ก็ฉลาด บางช่วงซ้ำแต่เปลี่ยนความหมาย ได้ความกินใจ เช่น ไม่ได้เจ็บที่ใครรักเธอ แต่เจ็บที่เธอรักใคร นอกจากนั้นก็มีเรื่องของการตลาดที่แม่นยำ พอมารวมกับเสียงของเราที่คนฟังว่าแปลกสะดุดหู ก็กลายเป็นความลงตัว ฟังแล้วชอบ ฟังแล้วอยากเชื่อว่าเป็นประสบการณ์ตรงของคนร้องเอง

ทีมงาน - พอพูดถึงปาน ธนพร ใครๆก็รู้ ใครๆก็นึกถึงนักร้องหญิงที่ร้องเพลงด่าผู้ชาย อันนี้มีที่มาที่ไปอย่างไร?

ปาน - ปานว่ามาตั้งแต่อัลบัมแรกก่อนเลย คือเพลงสุดท้ายนี่ผู้หญิงทุกคนเอาแต่ใจ เพลงนี้กลายเป็นทิศทางเพลงสไตล์ปาน เพราะผู้หญิงฟังแล้วอิน ถูกใจ และใช่ตัวเอง จากนั้นอัลบัมสองก็เพลง ขวานผ่าซาก มาต่อยอด และมาถึงขีดสุดเอาอัลบัมสาม ที่เริ่มใช้ถ้อยคำกร้าวขึ้น ดุดันมากขึ้น เช่น ใช้คำประมาณ "ขอเลวแค่นี้" หรือ "เรื่องง่ายๆที่ผู้ชายไม่รู้" เราก็แจ้งเกิดทำนองยายนักร้องคนนี้มันกล้าพูดนะ ดุนะ กระแทกใจดีนะ อัลบัมนี้ขายได้แตะล้านชุด สะท้อนได้ดีว่ามีการตอบรับเพียงใด พี่ที่ทำเพลงก็ล็อคไว้เลยว่าเพลงแบบเราต้องอย่างนี้ นี่เลยเป็นที่มาของภาพนักร้องด่าผู้ชายค่ะ

ทีมงาน - สรุปคือจริงๆก็ด่าตัวเองด้วย แต่คนจำแค่ด่าผู้ชาย เรายืนอยู่บนฝั่งของความถูกต้องในจังหวะที่เหมาะสมต่างหาก?

ปาน - ค่ะ! ถ้าฟังดีๆจะแสดงถึงความกล้ายอมรับในส่วนของตัวเองด้วย และภาพรวมก็เป็นเรื่องของการให้ความยุติธรรมกับทั้งสองเพศด้วย แต่คนจะจำเท่าที่สะดุดหูหรือบาดใจเท่านั้น แล้วนั่นก็ชักนำให้อัลบัมที่สี่ของปานยิ่งกร้าวหนักขึ้นไปใหญ่ คือ นรกในใจ อันนี้ปานรู้สึกว่าดำมืดที่สุดตั้งแต่ทำเพลงมา แบบหญิงร้ายชายเลว ไม่รู้จักพอด้วยกันทั้งคู่ ประมาณนั้น ถ้อยคำจะแรง ใช้ศัพท์แบบ "สันดาน" แต่ขณะเดียวกันก็ซ่อนความหวานไว้ เช่น คำขอร้องของก้อนหิน

ทีมงาน - อือม์... แค่นึกภาพก็เห็นความแข็งที่เคลือบหวานแล้ว เอาตัวจริงๆในช่วงนั้นของคุณปานเลยดีกว่าว่าคิดด่าผู้ชาย หรือเป็นคนชอบด่าผู้ชายหรือเปล่า?

ปาน - ตัวปานเองยึดความถูกต้อง มนุษย์หญิงชายร้ายได้เท่ากัน เรามีหน้าที่ร้องเพลง ซึ่งเราก็เห็นว่าตรงกับความรู้สึกพื้นฐานของเราอยู่แล้ว

ทีมงาน - ทราบว่าช่วงหนึ่งคุณปานมีผู้หญิงมากรี๊ดกันมาก แบบว่าเป็นตัวแทนของผู้หญิงแกร่ง ซึ่งมักเป็นไอดอลของผู้หญิงด้วยกัน หรือให้ความรู้สึกเป็นที่พึ่งแบบเดียวกับผู้ชาย แต่เข้าถึงได้ง่ายกว่า และไม่มีอะไรเสียหาย ทีนี้อยากทราบว่าสาวๆที่ห้อมล้อมคุณปานมีคำพูดเป็นเสียงเดียวกันไหมว่า มากรี๊ดเพราะอะไร?

ปาน - หลากหลายค่ะ บางคนก็บอกว่าเราพูดแทนเขา เราเข้าใจเขา ทั้งที่จริงเราเป็นแค่ร่างทรงนะ มีหน้าที่ถ่ายทอดสารจากคนแต่งเพลงเฉยๆ แต่สารตรงนี้พอไปถึงคนฟัง ก็เข้าใจไปว่านี่คือตัวเรา เราร้องออกมาจากตัวเอง เลยกลายเป็นถูกมองว่าเป็นฮีโร่ของผู้หญิง ปากจัด กล้าพูด กล้าแสดงออกถึงความในใจ อันนี้ปานพูดเสมอว่ามันไม่ใช่ชีวิตเรา

ทีมงาน - จริงๆก่อนหน้าคุณปานหรือหลังปานก็มีนักร้องแนวด่าเยอะ เพียงแต่อาจจะไม่กินใจ ไม่ใช่ตัวแทนความรู้สึกที่แท้จริงของสาวๆ เลยไม่เป็นฮีโร่ แต่กลายเป็น "ไม่ผ่าน" เสียมากกว่า เช่น ตายไปเถอะ อะไรทำนองนั้น อยู่ๆมาสาปแช่งกัน อันนี้ก็เป็นตัวอย่างว่านักร้องไม่เกี่ยว ฉะนั้น น่าจะถือว่าเราโชคดีที่ได้ร้องเพลงระบายความในใจ ไม่ใช่เอาแต่สาปแช่งหรือก่นด่ากัน ถูกไหม?

ปาน - เห็นด้วยค่ะ!

ทีมงาน - ผู้ชายล่ะ เจอกันส่วนใหญ่มีฟีดแบ็กยังไงกับเราบ้าง?

ปาน - ก็ชอบถามค่ะว่าทำไมตั้งหน้าตั้งตาด่าผู้ชาย เกลียดเหรอ? ปาน ก็ต้องนั่งอธิบายว่าไม่ได้เกลียด เราชอบผู้ชาย อยากได้ (หัวเราะ) ต้องเข้าใจว่าเราไม่ได้เป็นคนแต่งนะ เราเป็นคนถ่ายทอดต่างหาก แต่บางคนใจกว้างก็ขอบคุณเรา มีเหมือนกัน แบบแฟนเปิดกรอกหูให้เข้าใจนะว่าทำไมผู้หญิงถึงอย่างนั้นอย่างนี้

ทีมงาน - ใช้เป็นเครื่องมือในการทำความเข้าใจ?

ปาน - ค่ะ! ก็แบบว่าบางทีเปิดจนแฟนรำคาญเลย ออกอาการพาลมาเกลียดปานไปเลยก็มี

ทีมงาน - มีการสำรวจจริงจังไหมว่าผู้ชายชอบหรือไม่ชอบเราแค่ไหน?

ปาน - มีค่ะผู้ชายฟังปานกันเยอะนะ ชอบนะ ไม่ใช่เกลียด

ทีมงาน - ก็น่าจะจริง เพราะถ้าผู้หญิงชอบอย่างเดียวคงคะแนนนิยมขึ้นอันดับหนึ่งหลายครั้งไม่ได้ สรุปคือเราเป็นขวัญใจประชาชน ขวัญใจของทั้งสองเพศ เราติดอยู่ในใจของพวกเขา

ปาน - เพศที่สามก็ชอบมากนะ (หัวเราะ)

ทีมงาน - เอาความรู้สึกของคุณปานบ้าง มีเบื่อแนวเพลงที่ร้องบ้างไหม?

ปาน - เวลาพูดหรือร้องอะไรที่ดำๆ เทาๆทุกวันทุกคืน แม้คนสะใจ ชื่นชอบ หรือไปปลดปล่อยความรู้สึกให้คนฟัง มันก็อาจเป็นตรงข้ามกับฝั่งของเรา คือเหมือนถูกกดดันให้ฝืนพูด ให้ฝืนร้องอะไรที่มันไม่ได้ออกมาจากความรู้สึกแบบนั้นจริงๆ ค่อยๆสั่งสมความเครียดกับเพลงหญิงร้ายชายเลว

ทีมงาน - เราไม่ได้เป็นทอมบอยด้วย?

ปาน - (หัวเราะ) ไม่ใช่เลย

ทีมงาน - แต่ดี้เข้ามาหาเยอะ?

ปาน - อะไรอย่างนั้นแหละ (ยิ้มกริ่ม) พออัลบัมที่ ๔ นรกในใจ ซึ่งยิ่งร้องยิ่งมืด มืดถึงที่สุด ก็อุตส่าห์เจอต่อยอดด้วยผู้หญิงต้องร้าย ผู้ชายต้องรู้ คราวนี้ตอกย้ำจนหมดความอดทนเลย ตอนร้องเพลงเสียทองเท่าหัว ปานถามตัวเองว่าทำไมชีวิตมันมืดขนาดนี้ เราทำกรรมอะไรถึงต้องมาร้องเพลงที่มันน่าอึดอัดทรมานถึงอย่างนี้ เพลงที่เป็นชีวิตใครก็ไม่รู้ คือรู้ว่ามีนะชีวิตแบบนี้ แต่ไม่ใช่เรา เราต้องมาช่วยเขาแบกรับ

ทีมงาน - เท่าที่รู้มา มันช่วยระบายหรือยิ่งตอกย้ำ?

ปาน - ก็เอาที่ตัวเองแล้วกันนะคะ คือมันเกิดความสงสัยขึ้นมาว่าเราช่วยให้เขามีความสุขกว่าเดิมหรือทุกข์หนัก กว่าเก่ากันแน่ เป็นคำถามในหัวตลอดเวลาว่าเรากำลังก่อบาปก่อกรรมอะไรหรือเปล่า บางคนอาจปล่อยวางปัญหาได้บ้างแล้ว มาฟังเพลงเราเลยเหมือนไปคุ้ยเขี่ยขี้เถ้าให้กลับฟุ้งขึ้นมาใหม่ไหม เคยเห็นค่ะที่คนมานั่งร้องไห้ตอนฟังเสียงเรา มันกลุ้มใจว่าเสียงเราไปยั่วให้เขาจิตใจเศร้าหมองไหมนะ เครียดเลย และทำงานด้วยความไม่เข้าใจว่าเรามีหน้าที่สร้างสุขหรือสร้างทุกข์ให้ประชาชน กันแน่ ประกอบกับเกิดปัญหาส่วนตัววุ่นวายประดังเข้ามาพร้อมกัน ช่วงนั้นเลยอยากหาทางออก อะไรก็ได้ ขอให้ดีขึ้นเถอะ ไม่งั้นบ้าชัวร์

ทีมงาน - แล้วทำไง?

ปาน - มีคนเอาหนังสือ "เสียดาย... คนตายไม่ได้อ่าน" มาให้ ปานอ่านแล้วรู้สึกดีขึ้น มันเปิดประตูให้เราเดินเข้ามาบนทางสีขาว จากนั้นปานเจอหนังสือธรรมะที่ไหนจะซื้ออ่านหมด ใจมันดีขึ้น แม้ไม่เข้าใจทั้งหมด แต่ทุกวันนี้ก็ทำงานด้วยความสบายใจขึ้น เริ่มบอกตัวเองได้ว่าเจตนาของตัวเองนั่นแหละ ตัดสินว่าเราทำกรรมอะไรอยู่เป็นหลัก

ทีมงาน - ถ้าเลือกได้ คุณปานสมัครใจร้องเพลงแบบไหน?

ปาน - ร้องแล้วเกิดสุนทรียารมณ์น่ะค่ะ เพลงอะไรก็ได้ที่ฟังแล้วสบายใจ ฟังแล้วเกิดความรู้สึกสว่างขาวขึ้นมา เพราะเราร้องจะรู้เลยว่าเพลงไหนสร้างความเครียด เพลงไหนสร้างความสว่าง สว่างกับมืดนี่มันจะไปถึงหรือไม่ถึงคนฟังไม่รู้ แต่มันเกิดขึ้นที่ตัวเราก่อนเพื่อนเลย

ทีมงาน - ถึงแม้เขาชอบ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่านั่นเป็นของดี?

ปาน - ใช่เลยค่ะ! คนเสพยาก็เพลินเหมือนกัน แต่ไม่รู้หรอกว่ามีพิษอยู่แค่ไหน ปานขอคนเขียนเสมอว่าให้ปานเดินอยู่บนทางนี้ด้วยเพลงแห่งความถูกต้องได้ไหม ด้วยการขออย่างนี้ ด้วยเจตนาอย่างนี้ เหมือนปลดเปลื้องพันธนาการบาปออกจากใจเราได้ระดับหนึ่ง

ทีมงาน - เพลงล่าสุดที่ออนไลน์ คือเพลงพุทธคุณ แน่นอนว่าเป็นสิ่งที่ปานอยากร้อง ขอให้พูดถึงความรู้สึกที่ได้ร้องเพลงนี้

ปาน - (เสียงใสขึ้น) ความรู้สึกแรกคือปลื้มใจ ถึงแม้ว่าปานไม่เคยเห็นพระพุทธเจ้า แต่อย่างน้อยที่สุด เพลงนี้ก็ทำให้ปานรู้สึกถึงการได้พบท่าน ปานระลึกว่าถ้าจะร้องเพลงนี้ ใจเราต้องปรับให้สูงขึ้นพอจะรองรับกระแสความสูงส่งในพุทธคุณได้ด้วย ไม่ใช่การใช้เสียงหรือใช้ใจแบบเดิมแล้ว ไม่เช่นนั้นก็ไม่สมพระเกียรติของพระองค์ท่าน

ทีมงาน - คิดได้ขนาดนี้คือประเสริฐจริงๆ สมแล้วที่ได้ขับร้อง ต้องขออนุโมทนา

ปาน - วิทยายุทธทุกอย่างที่เรามี เราเรียนมาตั้งแต่เด็ก ปานเอามาใช้หมด ปานจะรู้อย่างหนึ่ง นี่ไม่ใช่การร้องเพลงแบบที่ปานเคยร้อง เป็นการใช้ท่อเสียงหรือเส้นเสียงที่แตกต่างไป เพลงโลกๆมันไม่ใช่อย่างนี้เลย

ทีมงาน - น้อยคนจะรู้ว่าปานร้องโอเปร่าด้วย ลองเทียบเพลงแบบโอเปร่ากับเพลงพุทธคุณให้ฟังหน่อย

ปาน - ใกล้เคียง โอเปร่าจะเปิดออกหมด ขณะที่เพลงพุทธคุณจะลากเสียงละเมียดละไม ใช้อีกเส้นเสียงหนึ่งที่ใกล้ แต่วิธีเปล่งเสียงต่างกัน โอเปร่าต้องใช้แรง ใช้พลังขับ ขณะที่เพลงพุทธคุณใช้อำนาจศรัทธา และประกายความรู้สึกสว่างทางใจ ไม่ใช่พลังทางกาย ใช้เทคนิคที่เรียนมาอย่างเดียวก็แข็ง ยังไม่อ่อนละไมขนาดนี้

ทีมงาน - เกิดจากการนึกออกว่าที่ที่พระพุทธเจ้าประทับอยู่เป็นอย่างไร?

ปาน - ค่ะ!

ทีมงาน - ฟีดแบ็กที่คนใกล้ตัวได้ฟังให้คำวิจารณ์อย่างไร?

ปาน - แปลกใจ ไม่เคยได้ยิน คิดไม่ถึง ว่าเราลงมู้ดนี้ได้ด้วยหรือ ปานเลยรู้สึกเหมือนต้องสร้างความเชื่อกันต่อไปว่าเราก็ทำได้ เราเป็นนักร้อง นักร้องต้องทำหน้าที่ได้ และควรตามหัวใจตัวเองไปได้ทุกฝีก้าวด้วย

ทีมงาน - แล้วไงอีก?

ปาน - เขาก็บอกว่าขนลุก สว่าง และบางคนก็บอกว่าเหมือนถูกจูงมือขึ้นสวรรค์ ปานดีใจที่ได้ยิน เพราะตอนร้องปานก็รู้สึกแบบเดียวกัน มันแปลว่าเราไม่ได้รู้สึกไปคนเดียว

ทีมงาน - หลังจากร้องเพลงนี้ ลองพูดถึงปรากฏการณ์ทางใจที่เกิดขึ้น

ปาน - ตอนร้องจะขนลุกเป็นระยะ แต่พอร้องจบเสร็จสิ้น ก็กลายเป็นความสุขอย่างใหญ่ นึกถึงทีไร ความเบิกบานเป็นสุขก็ยังอยู่ตรงนั้นไม่หายไปไหน

ทีมงาน - จะดูว่าบุญใหญ่หรือบุญเล็ก ก็คงวัดกันที่โสมนัสอันเกิดขึ้นกับจิต ว่าอยู่ได้นานเพียงใด ถือว่าปานทำให้คนร่วมสมัยเห็นภาพชัดเลยว่าการทำบุญใหญ่ยังมีอยู่ กรรมขาวขนาดมหึมายังมีอยู่ มีโอกาสทำได้อยู่ไม่ต่างจากสมัยพุทธกาลเลย

ปาน - ก็ภูมิใจมากที่ได้รับใช้พระศาสนา อยากอุทิศชีวิตและเสียงให้พระศาสนา ใครที่คิดว่าเสียงของปานจะเป็นประโยชน์กับศาสนาในทางไหนได้ก็ยินดี ตัวเฮียฮ้อ (เจ้าของ RS) ก็เต็มใจให้ปานทำงานกุศลได้โดยอิสระ ถ้าไม่มีเรื่องผลประโยชน์เข้ามาเกี่ยวข้องนะคะ

ทีมงาน - ฟังแล้วคงรู้ คงเข้าใจกันทั่ว ว่าทำบุญด้วยเสียงเป็นอย่างไร ปานเองเคยทำหนังสือเสียง ลองเทียบให้คนเห็นความต่างได้ไหมว่าระหว่างทำหนังสือเสียงกับร้องเพลง พุทธคุณแตกต่างกันอย่างไร?

ปาน - พูดเป็นภาพแล้วกัน เหมือนใจมีน้ำหล่อเลี้ยงที่ใหญ่กว่ากันมาก คืออย่างตอนอ่านหนังสือเสียง "เตรียมเสบียงไว้เลี้ยงตัว" ปานก็ชุ่มชื่นนะ แต่เทียบแล้วคล้ายน้ำบ่อกับห้วงทะเลเลย ปานเชื่อว่าเพราะเมโลดี้ที่เสริมเข้ามา มันเข้ามาถึงใจเราและคนฟังได้ง่ายขึ้น ปลุกความสว่างของศรัทธาได้เร็วขึ้น นี่คือตัวตนของเรา ที่สามารถทำอะไรถนัดยิ่งขึ้นกว่าการนั่งอ่านธรรมดา สัญชาตญาณของเราถูกปลุกให้ตื่นเต็มจริงๆ

ทีมงาน - อยากพูดถึงจุดที่ประทับใจเป็นพิเศษอีกไหม?

ปาน - ตอนร้องว่า "แบกรับกรรมเพียงพอแค่ชาตินี้ สิ้นสุดทีเพราะมีเส้นทางไว้ให้ได้โพล่งพลันสู่การรับรู้ใหม่" มันมีผลกระทบกับใจปานจังๆ บอกไม่ถูกเลย ปานอยากให้เป็นอย่างนั้นจริงๆ ร้องมาถึงตรงนี้ทีไรขนลุกทุกครั้งเลยค่ะ!




โลกเป็นของไม่เที่ยง ชีวิตเป็นของไม่เที่ยง
ตราบใดที่ยังมีลมหายใจ ขออย่าละความเพียร
บุญที่สั่งสม จะช่วยให้พ้นทุกข์ได้ในที่สุด
คอลัมน์ "สารส่องใจ"
พบธรรมะจาก "ท่านอาจารย์พระมหาบัว ญาณสมฺปนฺโน"
ในตอน "ธัมมะในลิขิต (ฉบับ ๒)" ค่ะ (-/\-)

ทั้งที่กำลังทำทานอยู่แท้ๆ
แต่เหตุใด "คุณชลนิล" จึงเปรียบตัวเองว่า
เป็นเหมือนทัพพีที่ไม่รู้รสแกง
หาคำตอบกันได้ที่ "ห้องดับเพลิง"
กับนิทานโทสะตอน "ธรรมทาน – อภัยทาน" ค่ะ

ในทุกปัญหาและอุปสรรค
มักมีบทเรียนดีๆ ซ่อนอยู่เสมอ
ขึ้นอยู่กับเราว่าจะเลือกมองมุมไหน
และเรียนรู้กับมันอย่างไรนะคะ
คอลัมน์ "โหรา (ไม่) คาใจ"
พบเรื่องจริงจากผู้ที่เคยผิดหวังกับความรักมาก่อน
แต่กลับมีชีวิตที่ดีขึ้นราวกับคนละคนในวันนี้
เธอทำได้อย่างไร
มาฟังเรื่องของเธอจาก "คุณ Aims Astro"
ในตอน "เรียนรู้จากรักร้าว" ค่ะ

โรคนอนไม่หลับ กำลังเป็นโรคยอดฮิตของคนยุคนี้นะคะ
ถ้าสาเหตุของการนอนไม่หลับของคุณ
เป็นเพราะเรื่องหนี้สินแล้วล่ะก็
พลาดไม่ได้กับคอลัมน์ "กระปุกออมสิน"
ในตอน "กลยุทธ์หลุดหนี้ (ตอนที่ ๑)"
โดยคุณ "North Star" ค่ะ

แค่อ่านตอนแรก ก็แทบจะรอตอนต่อไปในอีก ๒ สัปดาห์ข้างหน้าไม่ไหว
ใครมีอาการที่ว่านี้ รีบคลิกอ่าน "ม่านมนตรา" กันต่อได้
ที่คอลัมน์ "วรรณกรรมนำใจ" เลยค่ะ  ^_^





ร่วมส่งต่อน้ำใจเพื่อน้องๆ บ้านเด็กอ่อนปากเกร็ด
ด้วยการ 'คลิก' กับโครงการ "Pay it forward ส่งต่อความดีเพื่อสังคมเจริญสุข"

ขอเชิญชาวไซเบอร์ มาช่วยเหลือสังคมร่วมกัน ด้วยวิธีง่ายๆ ที่ปลายนิ้ว
ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่นี่ค่ะ ^_^
http://www.momypedia.com/activity/PayItForward/



"โครงการทำดีด้วยใจ เพื่อความสุขและรอยยิ้มของเด็กไทย ปีที่ ๒"
โดยความร่วมมือระหว่างดีแทค, มูลนิธิ Operation Smile
และเครือข่ายวิทยุร่วมด้วยช่วยกัน ผ่าตัดฟรีให้กับเด็กปากแหว่งเพดานโหว่

มีความพิการบนใบหน้า นิ้วติดกัน หรือนิ้วเกิน จำนวน ๒๐ คน
ณ โรงพยาบาลชลบุรี ในวันที่ ๒๗ สิงหาคมนี้
เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่สมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินาถ เนื่องในโอกาสวันแม่แห่งชาติ
ลูกค้าดีแทคและสมาชิกร่วมด้วยช่วยกัน สามารถมีส่วนร่วมกับโครงการได้ด้วยวิธีการง่ายๆ
เพียงส่งข้อความให้กำลังใจแก่เด็กที่จะได้รับการผ่าตัดทาง SMS ที่หมายเลข ๑๖๗๗ ได้ฟรี
โดยดีแทคจะบริจาคให้ข้อความละ ๑๐ บาท เพื่อเป็นทุนในการผ่าตัด จนกว่าจะครบ ๓๐๐,๐๐๐ บาท
ส่งข้อความได้ถึงวันที่ ๒๗ สิงหาคมค่ะ ร่วมด้วยช่วยกันนะคะ ^_^


ทีมงานนิตยสารธรรมะใกล้ตัว ฉบับ Lite
ขอเชิญคุณผู้อ่านร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการจัดทำนิตยสาร โดยการส่งภาพสำหรับทำปก
ผู้สนใจสามารถโพสมัลติพลายด์หรือเว็บอื่นๆ ที่รวบรวมผลงานภาพถ่ายเอาไว้
ในกระทู้ http://www.dlitemag.com/forum/index.php?topic=354.0
เจ้าของภาพที่ได้รับคัดเลือก จะได้รับของที่ระลึก จัดส่งถึงบ้านค่ะ ^_^


ประกาศ! ตอนนี้เว็บบอร์ดธรรมะใกล้ตัวฉบับหลัก http://www.howfarbooks.com/dharmamag/
ไม่สามารถส่งบทความได้นะคะ
ท่านผู้อ่านสามารถส่งบทความมาที่อีเมลล์สำรองได้ที่ This e-mail address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it อีเมลนี้จะถูกป้องกันจากสแปมบอท แต่คุณต้องเปิดการใช้งานจาวาสคริปก่อน

โดยคุณสามารถอ่านเกณฑ์ในการร่วมส่งบทความของแต่ละคอลัมน์ได้ที่นี่ค่ะ
http://www.howfarbooks.com/dharmamag/sendarticle.php






ประชาสัมพันธ์โครงการ "สองวัน...ฉันทำได้ กับธรรมะใกล้ตัว Lite"
ตอน สองวัน...เขาทำได้ แต่ด้วยเหตุใด...ฉันทำไม่ได้ซักที T_T

ผ่านมาแล้วเกือบสองเดือนนะคะ ที่เพื่อนผองชาว "สองวัน...ฉันทำได้ ^^v"
ได้เข้ามาร่วมใจตั้งสัจจาธิษฐานกันกับธรรมะใกล้ตัว Lite
และก็เป็นความจริงอย่างเลี่ยงไม่ได้ว่า ในจำนวนผู้ที่เข้าร่วมนั้น
ก็มีทั้งที่ทำสำเร็จ และเกือบๆ จะสำเร็จ (ก็คือไม่สำเร็จนั่นแหละ ^^,)

วันนี้ธรรมะใกล้ตัว Lite จึงอยากขอยกเกร็ดเล็กเกร็ดน้อย

เกี่ยวกับการตั้งสัจจาธิษฐานมาแนะนำกัน
เพื่อให้คำอธิษฐานที่ตั้งใจไว้นั้นเป็นจริงโดยง่ายยิ่งขึ้นค่ะ

๑. เริ่มต้นเล็กๆ
เพราะว่ากำลังใจเป็นสิ่งสำคัญในการผลักดันเราสู่ความสำเร็จ
หากเราเริ่มต้นอยากในสิ่งที่ใหญ่โตเกินตัวแล้ว แน่นอนว่าเราก็จะท้อใจ
และพานทำให้ล้มเหลวโดยง่ายทั้งๆ ที่อาจจะยังไม่ได้เริ่มอะไรกันเลย
ดังนั้นเกร็ดข้อแรกก็คือ เริ่มต้นจากสิ่งเล็กๆ ที่เราพอทำได้
เมื่อทำสำเร็จได้แล้วจึงค่อยขยับขยายขึ้นไป
เหมือนกับเมื่อเราต้องการเดินทางไกล ก็ควรตั้งเป้าหมายเป็นหลักกิโลแรกไว้ก่อน
แล้วค่อยๆ เดินทีละกิโลสองกิโลอย่างค่อยเป็นค่อยไปค่ะ


๒. ตั้งต้นน้อยๆ
ในชีวิตจริง เราก็อาจจะมีความต้องการเปลี่ยนแปลงตนเองหลายต่อหลายอย่าง
แต่ก็อีกนั่นแหละ ถ้าเราเริ่มต้นอยากในสิ่งที่มากมายแล้ว เราก็จะทำสำเร็จได้ยาก
สิ่งที่ควรทำก็คือ เริ่มต้นจากสิ่งใดสิ่งหนึ่งสิ่งเดียวก่อน
เมื่อทำสำเร็จก็ค่อยเพิ่มเติมความฝันของเราต่อไปค่ะ


๓. อยากได้จริงๆ
อีกหนึ่งปัจจัยที่สามารถพลิกความล้มเหลวสู่ความสำเร็จได้ นั่นคือแรงจูงใจ

แรงจูงใจจะมีมากหรือน้อยนั้น ก็มักขึ้นกับว่าเราต้องการสิ่งนั้นๆมากแค่ไหนจริงไหมคะ
ดังนั้น เกร็ดข้อที่สามก็คือ ให้เราเลือกในสิ่งที่เราต้องการเปลี่ยนแปลงชีวิตตนเองจริงๆ
เห็นประโยชน์เมื่อสำเร็จแล้วจริงๆ มีความหมายและความสำคัญต่อชีวิตของเราจริงๆ ค่ะ

๔. ตั้งเป้าชัดๆ
มีหลายครั้งที่เรามักต้องการสิ่งใดสิ่งหนึ่งพอออกปากพูดไปแล้ว
ก็ยังไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นจากตรงไหนดี เช่น ฉันอยากผอม ฉันอยากเรียนเก่ง ฯลฯ
และบางครั้งเมื่อเราทำอะไรไปแล้ว เราก็ไม่รู้ว่าเราทำสำเร็จไปแล้วหรือไม่
เกร็ดอีกข้อหนึ่งก็คือ ตั้งเป้าหมายที่เป็นรูปธรรมจับต้องได้
หนึ่งก็เพื่อให้เรารู้ว่าเราต้องทำอะไรบ้าง
และสองก็เพื่อตรวจสอบว่าเราทำสำเร็จหรือไม่ค่ะ ยกตัวอย่างเช่น

แทนที่จะตั้งว่า ฉันอยากผอม ก็ลองเปลี่ยนเป็น ฉันของดข้าวเย็นสองวัน
แทนที่จะตั้งว่า ฉันอยากเรียนเก่ง ก็ลองเปลี่ยนเป็น ฉันขออ่านหนังสือชั่วโมงนึงสองวัน เป็นต้นค่ะ

๕. นึกถึงบ่อยๆ
การเปลี่ยนนิสัยของตัวเองนั้นแม้อาจจะไม่ยากนัก แต่บางทีก็ไม่ง่าย
บ่อยครั้งที่เรามักจะลืมตัว เผลอไปทำในสิ่งเก่าๆ ที่เราไม่ได้ต้องการเลย
สิ่งที่จะช่วยเราได้ก็คือ การหมั่นระลึกนึกถึงสิ่งนั้นๆ บ่อยๆ
ว่าเราต้องการทำสิ่งนั้นสิ่งนี้ ถ้าจะให้ดีก็ควรระลึกได้เองเป็นประจำ
แต่ถ้ายังทำไม่ได้ การเขียนลงกระดาษติดไว้ตามสถานที่ที่มองเห็นได้ชัด
เช่น บนจอคอมพิวเตอร์ ขอบประตู หน้ากระจก ฯลฯ

ก็สามารถพอช่วยเหลือเตือนความจำเราได้ค่ะ

๖. คบหาเพื่อนๆ
เกร็ดข้อสุดท้ายนี้ เป็นอีกข้อหนึ่งที่สำคัญและมีพลังช่วยขับดันต่อเราอย่างมาก
แต่ส่วนใหญ่มักจะละเลยและประมาทกับข้อสำคัญนี้
นั่นก็คือการคบหาเพื่อนกัลยาณมิตร แล้วป่าวประกาศให้เขาเหล่านั้นได้รับรู้ถึงความตั้งใจเรา
ก่อนที่จะประกาศอะไรลงไป เราก็มักจะคิดให้ดีก่อนว่าเราทำได้ไหม
ขณะที่ประกาศเราก็มักจะมีความมั่นใจว่าเราทำได้แน่นอน
และเมื่อประกาศไปแล้ว เราก็มักจะรู้สึกต้องการรักษาคำพูดของตนเอง
อีกทั้งถ้ามีเพื่อนคอยคอยซักถามความคืบหน้า ให้กำลังใจเรายามท้อแท้

ก็สามารถเป็นแรงกระตุ้นให้เราได้
ดังนั้น การประกาศต่อเพื่อนฝูง ก็เป็นพลังเพื่อให้เราทำสิ่งอธิษฐานให้สำเร็จได้อีกประการหนึ่งค่ะ






พออ่านมาถึงตรงนี้แล้ว หลายๆท่านคงอาจจะมีไอเดียที่อยากทำโน่นทำนี่อย่างเป็นรูปธรรมขึ้นมาบ้าง
เมื่อกำหนดความตั้งใจอธิษฐานของตัวเองแล้ว อย่าลืมแวะเข้าไป "คบหาเพื่อนๆ :)" กันได้ที่
เว็บบอร์ด "สองวัน...ฉันทำได้กับธรรมะใกล้ตัว Lite" นะคะ มีเพื่อนๆมากมายกำลังรอท่านอยู่ค่ะ ^^/



อย่าลืม ผู้ที่ร่วมกิจกรรมโครงการ "สองวัน...ฉันทำได้" ทุกท่าน
กรุณาส่งชื่อที่อยู่ของท่านมายังทีมงานผ่านระบบข้อความในเว็บบอร์ด
หรืออีเมล์ This e-mail address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it
หรือจะ กรอกข้อมูลผ่านระบบออนไลน์ ส่งมาก็ได้นะคะ
ทางทีมงานจะขอมอบของที่ระลึกให้แก่ทุกท่านเมื่อจบระยะเวลาโครงการค่ะ



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP