สารส่องใจ Enlightenment

พระที่แท้จริง (ตอนที ๑)



พระธรรมเทศนา โดย หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม
วัดแพร่ธรรมาราม อ.เด่นชัย จ.แพร่




พระเราเณรเรา ญาติโยมที่อยู่วัดและอยู่ทางบ้าน และท่านหลายคนน่ะ
ตั้งใจบวชไม่สึกนะ บวชจนตายน่ะ
เมื่อเราตั้งใจปฏิญาณอย่างนี้
ทำยังไงเราถึงเป็นพระแท้จริง จะได้เป็นที่พระหมดกิเลสสิ้นอาสวะ



พระพุทธเจ้าท่านบอกเราสอนเราให้พากันประพฤติปฏิบัติ เพื่อมุ่งมรรคผลนิพพานอย่างเดียว
อย่าได้พากันมาติดความสุขจากปัจจัย ๔ ลาภ ยศ สรรเสริญ เราต้องตัดจริงๆ เหมือนพระพุทธเจ้า
พาเราละพ่อ ละแม่ ละลูก ละหลานเรากัน ทิ้งหมดทางด้านจิตด้านใจ
ถ้าเรายังไม่ละไม่ปล่อยไม่วาง เราก็ไปไม่ได้
เพราะการปฏิบัติของเรามันเดินไปด้วยจิตใจ



ดูตัวอย่างพระพุทธเจ้าของเราสมาทานนอนตามพื้นดิน
สมาทานนอนตามโคนไม้ นุ่งห่มจีวรด้วยผ้าบังสุกุล เที่ยวภิกขาจารบิณฑบาต
ชาวบ้านเขาถวายอะไรก็ฉันอันนั้น ฉันวันหนึ่งก็เพียงครั้งเดียว
การที่มีประเพณีฉันเพลนี้ เป็นประเพณีที่อนุโลมเฉพาะภิกษุไข้และภิกษุเดินทางไกล
ท่านไม่ให้ห่วงเรื่องฉันเรื่องอยู่เรื่องอ้วนเรื่องผอม ฉันพออยู่ได้เพื่อได้ทำความเพียร



บวชมาแล้วก็ไม่มีใครคิดว่าจะสิกขาลาเพศ
เรื่องเพศตรงกันข้ามนี่ให้ตัดอย่างเด็ดขาด ไม่มีคำว่าผู้หญิงผู้ชายตัดให้หมดนะ
ถ้าเราคิดว่ามีหญิงมีชาย จิตใจของเรามันก็แย่มาก
จิตใจของนักบวชต้องตัดต้องละต้องวาง จิตใจถึงจะเป็นหนึ่งถึงจะเป็นเอกัคคตา



ความสุขในการฉันในการพักผ่อนนี่ตัดให้หมด
ให้พิจารณาร่างกายของเรานี่ เอาผมออก ลอกเอาหนังออกหมด เอาเนื้อออก
เพื่อจะได้ทำลายนิมิต ความคิดที่ว่าเป็นตัวเป็นตนเป็นชายเป็นหญิงนี่ออก
วิธีการของเราที่จะต้องปฏิบัติที่จะถอนรากถอนโคน
ถอนสักกายทิฏฐิ ที่มันเข้าใจว่าตัวว่าตน เขาเป็นผู้ชายเขาเป็นผู้หญิง
พระพุทธเจ้าให้เราพิจารณาสลับกันไปกับการทำสมาธิ



เช่นชั่วโมงหนึ่งน่ะเราอาจจะพิจารณาย้อนไปย้อนมาซัก ๑๐ นาที ๓๐ นาทีอย่างนี้
แล้วก็หยุดให้ใจของเราสงบเย็นไม่ต้องคิดอะไร
ถ้าเราพิจารณามากเกินสมองเรามันจะเครียด
ถ้าเราไม่คิดเลยไม่พิจารณาเลยปัญญาจะไม่เกิด ธรรมะจะไม่เกิดน่ะ
มันจะได้แต่สมาธิอย่างเดียว

เวลาออกจากสมาธิแล้วมันก็เป็นเหมือนคนไม่ได้ปฏิบัติอะไรเลย
การประพฤติการปฏิบัติ พระพุทธเจ้าให้เราทำสลับกันไปอย่างนี้เรื่อย ๆ



พระพุทธเจ้าท่านไม่ให้เราคลุกคลีพูดมากคุยมาก
เราพากันตั้งอกตั้งใจ พากันทำความเพียรกัน
พื้นฐานของจิตใจของเราต้องเป็นคนมีศีล
การรักษาศีลของเรามุ่งไปที่พระนิพพานน่ะ คือการละความเห็นแก่ตัว
เพราะคนเรามันเห็นแก่ตัวมาก อยู่ด้วยการเบียดเบียนคนอื่น บริโภคคนอื่น ทำอาชีพต่าง ๆ น่ะ
ตั้งแต่เด็ก ๆ จนถึงลาละสังขาร อยู่ด้วยการเบียดเบียน อยู่ด้วยการเอาเปรียบคนอื่น
ไม่ว่าเรื่องบริโภค เรื่องต่าง ๆ นั้นเต็มไปด้วยการเบียดเบียนทั้งนั้น



ท่านให้ถือศีลของพระอริยเจ้าของพระอรหันต์ตั้งแต่นี้จนตลอดชีวิต
เราจะมีชีวิตด้วยการไม่เบียดเบียน
ไม่ว่าเรื่องกินเรื่องใช้ เราต้องมีชีวิตด้วยการไม่เบียดเบียนเขา อยู่ก็บอกว่าไม่เบียดเบียน
ท่านจึงตรัสว่า สัพพะปาปัสสะ อะกะระณัง การไม่ทำบาปทั้งปวง



ถ้าเราเน้นที่ใจ เน้นที่เจตนาน่ะ เราจะรู้เลยว่าศีลของเราบริสุทธิ์หรือไม่บริสุทธิ์
คนเรามันปกปิดคนอื่นได้ มันหลอกคนอื่นได้แต่มันปกปิดตัวเองไม่ได้ หลอกตัวเองไม่ได้
การรักษาศีลของเรา ก็เพื่อให้ตัวเองกราบตัวเองได้ ไหว้ตัวเองได้
เพราะว่าตัวพระพุทธเจ้าที่แท้จริงนั่นคือศีล



ศีลนั้นคือความบริสุทธิ์ผุดผ่อง คือ สถานที่ไม่มีความโลภ ความโกรธ ความหลง
อาการที่มันไม่เห็นความสำคัญในศีลคืออาการของตัวของตนน่ะ
นักปฏิบัติไม่ว่าพระไม่ว่าโยมบางทีมันประมาทไป
เมื่อศีลมันไม่ดีน่ะ สมาธิที่มันเป็นธรรมชาติที่ไม่เข้าไม่ออก
ที่เป็นพื้นฐานของสมาธิมันไม่เกิดน่ะ



ถ้าเราศีลดี สมาธิมันก็เกิดมีโดยธรรมชาติ
สมาธิก็แปลว่าไม่มีความโลภ ความโกรธ ความหลง เป็นจิตใจที่ว่างจากนิวรณ์
ถ้าเราปฏิบัติถูกต้องน่ะ ศีล สมาธิ ปัญญา มันจะรวมกันเป็นหนึ่งไปตลอด
เรามาบวช เรามาปฏิบัติ ถ้าเราไม่เอาจริงไม่เอาจัง เราไม่ตั้งใจ มันไม่ได้ผล
ทำให้เราเสียเวลา ทำให้เราแก่ไปเปล่า ๆ การมาบวชของเรานี่ไม่มีประโยชน์น่ะ
ไม่ตรงเป้าหมายของพระพุทธเจ้าที่ท่านสั่งสอนสำหรับผู้ประพฤติพรหมจรรย์



พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่าทุกคนปฏิบัติได้หมด ไม่เลือกชาติไม่เลือกตระกูล
ถ้าตั้งใจประพฤติปฏิบัติ โลกนี้จะไม่ว่างจากพระอรหันต์ หรือไม่ว่างจากผู้หมดกิเลส
พระนิพพานมันไม่ใช่เรื่องไกล สำหรับเราถ้าตั้งอกตั้งใจประพฤติปฏิบัติ
ท่านไม่ให้เราลูบ ๆ คลำๆ มันเป็นสีลัพพตปรามาส



ท่านยังตรัสไว้ท้ายปาฏิโมกข์ว่า “บุรุษดึงหญ้าคาต้องจับให้แน่น
แล้วตั้งใจถอนหญ้าคา หญ้าคาถึงจะขึ้นน่ะ ถ้าเราจับไม่แน่นหญ้าคามันจะบาดมือ”
สำหรับผู้ที่บวชระยะสั้นหรือญาติโยมที่พากันมาอยู่วัดถือศีล
ครูบาอาจารย์ก็ให้ตั้งอกตั้งใจ ให้ทำเหมือนกันให้ปฏิบัติเหมือนกัน
ให้มุ่งมรรคผลนิพพานเหมือนกัน



อย่าไปคิดว่าอีกไม่นานเราจะสึกอยู่ หรืออีกไม่นานเราจะกลับบ้าน
เมื่อเรามาอยู่วัดปฏิบัติธรรม เราต้องปฏิบัติให้เต็มที่
ทุกท่านทุกคนมีความอยากมีความต้องการแต่ไม่อยากปฏิบัติ มันจะเกิดประโยชน์อะไร
เพราะการปฏิบัติของเรามันไปขอเอาไม่ได้ มันไปอ้อนวอนเอาไม่ได้
ทุก ๆ คนแต่งตั้งเราไม่ได้ เราต้องปฏิบัติเอาเอง



ส่วนใหญ่ทุกท่านทุกคนเป็นคนใจอ่อน
ท่านจะใจอ่อนไม่ได้นะ สัมมาสมาธิความตั้งใจมั่นชอบ
การปฏิบัติของเราไม่มีการถอนเข้าถอนออก

เหมือนเต่าเดี๋ยวโผล่หัวออกเดี๋ยวก็ผลุบไปในกระดอง
พระพุทธเจ้าให้เราคิดอย่างนี้ให้เราปฏิบัติอย่างนี้
มีความสุขมากมีความพอใจมากในการประพฤติปฏิบัติ



สมัยครั้งพุทธกาลลูกชายบวชได้เป็นพระอรหันต์
แม่ห่วงลูกชายบวชตาม ลูกชายท่านเป็นพระอรหันต์ท่านรู้ว่าแม่ยังห่วง
ก็เลยใช้กลอุบายเพื่อให้แม่เกลียดให้แม่ไม่พอใจ เพื่อให้แม่ปล่อยแม่วาง เพื่อให้แม่ไม่หลงรักอีก
ภิกษุณีที่เป็นแม่น้อยอกน้อยใจ ว่าลูกเขาไม่รักก็เลยปล่อยเลยวาง
ไปประพฤติไปปฏิบัติไปทำความเพียร สุดท้ายก็ได้บรรลุเป็นพระอรหันต์



ที่พูดนี้ก็เพื่อจะให้ท่านทั้งหลายนี้ได้เป็นคติว่าเราต้องตัด อย่าเป็นพระมีครอบครัวในหัวใจ
เรามาบวชแล้วเราก็ยังมีครอบครัว ยังห่วงพ่อ ห่วงแม่ ห่วงพี่ ห่วงน้อง
ให้ตัดจริง ๆ ให้ปล่อยให้วางจริง ๆ



เมื่อเรายังไม่หมดกิเลส เรายังไม่สิ้นอาสวะ
เราจะช่วยเหลือคนอื่นได้ยังไง แม้แต่ตนเองยังเอาตัวไม่รอด
เราไปเมตตาคนอื่น เราไปสงสารคนอื่น ทำให้เราไปนิพพานไม่ได้น่ะ
พระพุทธเจ้าท่านให้เราเมตตาตนเอง สงสารตนเอง ตั้งจิตตั้งใจประพฤติปฏิบัติ
ให้เรามีธรรมะ มีคุณธรรม เราเป็นพระทางใจ เป็นพระจริงไม่ใช่พระปลอม
เดี๋ยวนี้เราเป็นพระปลอม เป็นพระแต่งตั้งเขาสมมติให้เราเป็นพระเฉย ๆ แต่เรายังไม่เป็นพระจริง
เมื่อเราเป็นพระจริง เราก็มีคำเทศน์คำบอกคำสอน นี่ถึงว่าเมตตาตนเองจริง



พระพุทธเจ้าท่านให้เราเห็นภัยในวัฏสงสาร การเวียนว่ายตายเกิดถือว่าเป็นเรื่องใหญ่
ถ้าเราไม่เกิดมาปัญหาก็ไม่มี ที่ปัญหามันมีเพราะว่าเราเกิดมา
มันจะเกิดได้ต่อไปก็เพราะว่าเราไปทำตามความหลง หลงในตัวในตน หลงในสิ่งภายนอก



เดี๋ยวนี้ทุกคนถือว่ายังหันหลังให้พระพุทธเจ้าอยู่
ถ้ายังไม่ละสังโยชน์ ๓ ถือว่ายังหันหลังให้พระพุทธเจ้า
เมื่อรู้ว่ามันดีรู้ว่ามันถูก เราไปมัวลังเสสงสัยอยู่ไม่ได้
ถ้าเรารู้แล้วเราไม่ประพฤติปฏิบัติ ศีล สมาธิ ปัญญามันไม่เกิดหรอก
เพราะความรู้ที่ดูจากหนังสือ ฟังจากผู้อื่น มันเป็นเพียงความรู้ มันเป็นเพียงปริยัติ
ยังไม่ใช่ขั้นปฏิบัติ แล้วปฏิบัติกว่าจะเป็นปฏิเวธได้ก็ไม่เรื่องน้อย ๆ



พระพุทธเจ้าตรัสว่าธรรมทั้งหลายทั้งปวง มันเกิดที่เหตุ
เราต้องสร้างเหตุสร้างปัจจัยให้ถึงพร้อม
อนาคตที่จะสดใสจะก้าวหน้าสว่างไสวคือปัจจุบันที่เรากำลังคิดดี พูดดี ทำดี
มีศีลที่เรากำลังประพฤติปฏิบัติเนี่ยเป็นที่ตั้ง อนาคตคือฐานของวันนี้ที่จะให้เราก้าวไป
เมื่อจิตใจมันตรึกนึกคิดในสิ่งไม่ดี คือจิตใจที่จะนำเราไปสู่ความตกตํ่านะ
ปฏิบัติไปก้าวไปข้างหนึ่งแล้วก็ถอยไปข้างหลังก้าวหนึ่ง มันก็แปลว่าปฏิบัติไม่ไปไม่มา



ความไม่ละอายต่อบาปเกรงกลัวต่อบาปของเรานี่มันยังใช้ไม่ได้
กิเลสมันยังมากอยู่ มันยังกล้าคิด กล้าปรุง กล้าแต่ง
มันจำเป็นต้องตัด ต้องละ ต้องวาง มันจะไปอ่อนไปแอเหมือนที่ผ่าน ๆ มาใช้ไม่ได้
ใจของเรานั่นน่ะที่มันคิดไม่ดี ตรึกอะไรไม่ดี
คนอื่นเขาไม่รู้เขาไม่เห็น ตัวเรามันรู้มันเห็นนะ มันเป็นความคิดที่ไปห้ามพระนิพพาน
มรรคคือข้อปฏิบัติ ท่านต้องเดินไปก้าวไปข้างหน้า
รู้ว่ามันผิด รู้ว่ามันคิดก็อย่าไปทำ เจริญสติให้มันถี่เข้า



จิตที่ส่งออกไปข้างนอกคือจิตที่จะนำเราไปเกิดในวัฏสงสาร
จิตที่เป็นหนึ่งเป็นเอกัคคตา จิตที่รู้จักอารมณ์รู้จักความคิด ตั้งมั่นไว้ให้ดี
คนเราคิดมากก็ทุกข์มาก คิดน้อยก็ทุกข์น้อย ฝึกให้จิตใจของเรามันเป็นหนึ่ง
ผู้ถือประพฤติปฏิบัติพรหมจรรย์ต้องถือจิตใจที่เป็นหนึ่ง



การประพฤติปฏิบัติธรรมเราจะเดินจะเหินจะนั่งจะนอนเราต้องทำจิตใจเป็นหนึ่ง
จิตที่เป็นหนึ่งเป็นจิตที่ไม่ปรุงแต่ง จิตที่เป็นมรรคเป็นข้อวัตรปฏิบัติ
ตาเห็นรูป หูฟังเสียงที่มันมาสัมผัส ก็เป็นสักแต่ว่า อย่าให้เป็นสัตว์ บุคคลตัวตนเราเขา



ฝึกไว้ปฏิบัติไว้ให้ใจของเราเป็นหนึ่งเป็นเอกัคคตา
คือ ข้อปฏิบัติคือทางสายเอก ต้องจิตใจเป็นหนึ่ง จิตใจตั้งมั่น
พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่านี้คือหนทางสายเอกของเรา
ให้ทุกท่านทุกคนให้กลับมาหาตนเอง กลับมาแก้ไขตนเอง
ชีวิตของเราจะได้เปลี่ยนแปลงไปทางที่ดี ถึงจะยากถึงจะลำบากก็ช่างหัวมัน



ถ้ามันลำบากมันได้ดีนะ ถ้ามันสบายมันไม่มีประโยชน์อะไร เราจะไปสบายมันทำไม
พระพุทธเจ้าให้เราพากันปฏิบัติอย่างนี้นะ
สำหรับผู้ที่บวชเป็นพระที่จะไปพระนิพพานกัน ถ้าเราไม่ประพฤติปฏิบัติเอง
เราก็คิดว่าพระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้มันคงเป็นนิยายมั้ง เขียนมาส่งเดชเฉย ๆ มั้ง



ถ้าเรามีการประพฤติปฏิบัติ มันก็เป็นเรื่องง่าย ๆ เรื่องใกล้ตัว มันเรื่องของเรา
ทุกท่านทุกคนมีศักยภาพมีความสามารถ ที่มันยังขาดอยู่ก็คือการประพฤติปฏิบัติ
นั่งสมาธิอย่างนี้ก็ให้ตั้งใจให้เข้าสมาธิให้ได้ ให้มันข้ามนิวรณ์ความง่วงเหงาหาวนอน
จิตใจให้ตั้งมั่นสว่างไสว อย่าให้มันหลับในบ่อย มันทำให้จิตไม่มีกำลัง



พระพุทธเจ้าท่านไม่ให้เราเอาความสุขกับการง่วงเหงาหาวนอน
ให้ทำใจเป็นหนึ่งเป็นเอกัคคตา
การเดินบิณฑบาต การทำอะไรให้มันตั้งใจตั้งมั่นกับทุก ๆ ท่าน
การทำกิจวัตรต่าง ๆ เราพากันมาเน้นข้อวัตรปฏิบัติ มาเน้นมรรคผลนิพพานกัน
ให้มีความสุขกับการปฏิบัติกันจริง ๆ



เราจะหลบทางซ้ายหลบทางขวาหลบหน้าหลบหลังไม่ได้
มันเป็นงานเป็นหน้าที่ของทุกท่านทุกคน
ต้องตั้งใจประพฤติปฏิบัติเพื่อมรรคผลเพื่อนิพพาน
ลาภยศสรรเสริญนี่มันไม่ใช่ของเรา มันไม่ใช่ของสำหรับเรา



คนเราจะตีค่าด้วยลาภยศสรรเสริญ ด้วยข้าวของเงินทองมันไม่ได้
เราไม่ได้มามุ่งมนุษย์สมบัติสวรรค์สมบัติ เป็นพระต้องมุ่งมรรคผลนิพพาน
เป็นโยมจะคิดว่ามุ่งมรรคผลนิพพานมันไม่ได้ มันได้นะ
เราเป็นโยมเราต้องมุ่งมรรคผลนิพพานเพราะมันไม่ใช่เรื่องของกาย
จะบวชหรือไม่บวช ถ้าปฏิบัติตามก็ได้มรรคผลนิพพานกันทั้งนั้น
การปฏิบัติมันเหมาะสำหรับพระ เราก็ปฏิบัติเป็นพระได้ พระสมมติก็เป็นพระจริง ๆ ได้



เราอยู่บ้านอยู่ที่ทำงานก็ต้องตั้งอกตั้งใจประพฤติปฏิบัติ
เพราะเราหาอยู่หากินตั้งแต่อนุบาลจนถึงตาย สุดท้ายเราก็ไม่ได้อะไร
มาตัวเปล่าไปตัวเปล่า ทรัพย์สมบัติภายนอกก็ทิ้งไว้

สุดท้ายท่านก็ได้แขกผู้มีเกียรติมาทอดผ้าบังสุกุลให้ท่าน



ให้ตั้งใจประพฤติปฏิบัตินะ ทั้งพระทั้งโยมทั้งอยู่วัดอยู่บ้าน
การประพฤติปฏิบัติอย่างนี้เขาเรียกว่าปฏิบัติบูชาไม่ใช่อามิสบูชา
ตัวศีลนั่นแหละคือพระพุทธเจ้า ตัวไม่โลภไม่โกรธไม่หลงนั้นแหละคือพระพุทธเจ้า
การที่เราทำความเพียรสร้างมรรคสร้างปัญญาคือตัวที่จะทำให้เราเป็นพระ



- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -


คัดจาก สมบัติของพ่อ เล่มที่ ๒” พระธรรมเทศนา โดย หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม


แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP