จุดหมายปลายธรรม Destination@Dharmma

คุยเรื่องเปรต (ตอนจบ)


งดงาม
This e-mail address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it


168 destination



(ต่อจากตอนที่แล้ว)


เรามาสนทนากันต่อในเรื่องบุพกรรมที่ทำให้ไปเกิดเป็นเปรตนะครับ
ใน “มหาเปสการเปตวัตถุ” (พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ) เล่าว่า
หญิงเปรตตนหนึ่งกินคูถ มูตร โลหิต และหนอง
เนื่องจากในอดีตนั้น เป็นคนมีความตระหนี่เหนียวแน่น ไม่ให้ทาน
และได้ด่าและบริภาษสามีผู้กำลังให้ทานแก่สมณพราหมณ์ทั้งหลายว่า
จงกินคูถ มูตร เลือด และหนองอันไม่สะอาดตลอดกาลทุกเมื่อ
คูถ มูตร เลือด และหนอง จงเป็นอาหารของท่านในปรโลก
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka2/v.php?B=26&A=3125&Z=3140&pagebreak=0


ใน “อุตตรมาตุเปตวัตถุ” (พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ) เล่าว่า
เปรตตนหนึ่งมีผิวพรรณน่าเกลียดน่ากลัว มีผมยาวห้อยลงมาจดพื้นดินคลุมตัวด้วยผม
แม้แม่น้ำคงคามีน้ำเย็นใสสะอาด แต่เมื่อเปรตตนนั้นตักน้ำในแม่น้ำคงคานี้
น้ำนั้นย่อมกลับกลายเป็นเลือดปรากฏแก่เปรตตนนั้น
เนื่องจากในอดีตนั้น นางมีบุตรคนหนึ่งเป็นอุบาสกมีศรัทธา
เขาได้ถวายจีวร บิณฑบาต ที่นอน ที่นั่งและคิลานปัจจัย แก่สมณะทั้งหลาย
นางมีความไม่พอใจ เพราะถูกความตระหนี่ครอบงำแล้ว
ได้ด่าบุตรตนว่า เจ้าถวายจีวร บิณฑบาต ที่นอน ที่นั่งและคิลานปัจจัย แก่สมณะทั้งหลาย
จงกลายเป็นเลือด ปรากฏแก่เจ้าในปรโลก
เพราะวิบากแห่งกรรมนั้น น้ำในแม่น้ำคงคาจึงกลายเป็นเลือดปรากฏแก่เปรตตนนั้น
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka2/v.php?B=26&A=3835&Z=3859&pagebreak=0


อนึ่ง ในเรื่องของ “มหาเปสการเปตวัตถุ” และ “อุตตรมาตุเปตวัตถุ” ข้างต้นนี้
เป็นตัวอย่างที่ควรระวังสำหรับคนที่ไปตำหนิติเตียน
หรือสาปแช่งคนอื่นที่กำลังให้ทานนะครับ
โดยสิ่งทั้งหลายที่ตนเองไปสาปแช่งคนอื่นนั้นก็ย่อมได้แก่ตนเองในที่สุด


ใน “มัตตาเปติวัตถุ” (พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ) เล่าว่า
เปรตหญิงตนหนึ่งได้มาเกิดเป็นเปรต เพราะในอดีตนั้น
เธอเป็นหญิงดุร้ายและหยาบคาย มักหึงหวง มีความตระหนี่ เป็นคนโอ้อวด
ได้กล่าววาจาชั่วกับหญิงร่วมสามีของตน
เปรตตนนี้มีสรีระเปื้อนฝุ่น เพราะในอดีตนั้น
เธอได้เคยแกล้งกวาดเอาฝุ่นโปรยลงรดหญิงร่วมสามี ด้วยความริษยาและความโกรธ
เปรตตนนี้เป็นหิดคันไปทั้งตัว เพราะในอดีตนั้น
เธอได้เคยแกล้งเอาผลหมามุ้ยโปรยลงบนที่นอนของหญิงร่วมสามี
เปรตตนนี้เป็นผู้เปลือยกาย เพราะในอดีตนั้น
เธอได้เคยลักผ้าของหญิงร่วมสามีไปซ่อน
เปรตตนนี้มีกลิ่นกายเหม็นดังคูถ เพราะในอดีตนั้น
เธอได้เคยลักของหอม ดอกไม้ และเครื่องลูบไล้ของหญิงร่วมสามีไปทิ้งลงในหลุมคูถ
บาปอกุศลนั้นได้ทำให้เปรตตนนี้มีกลิ่นกายเหม็นดังคูถ
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka2/v.php?B=26&A=3363&Z=3458&pagebreak=0


ใน “นันทาเปตวัตถุ” (พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ) เล่าว่า
เปรตหญิงตนหนึ่งมีผิวพรรณดำ มีรูปร่างน่าเกลียด ตัวขรุขระดูน่ากลัว มีตาเหลือง
เขี้ยวงอกออกเหมือนหมู เนื่องจากในอดีตนั้น
ได้เคยเป็นหญิงดุร้าย หยาบคาย ไม่เคารพสามี พูดคำชั่วหยาบกับสามี
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka2/v.php?B=26&A=3459&Z=3506&pagebreak=0


ใน “ธนปาลเปตวัตถุ” (พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ) เล่าว่า
เปรตตนหนึ่งเปลือยกาย มีรูปร่างน่าเกลียด ซูบผอม สะพรั่งไปด้วยเส้นเอ็น
เห็นกระดูกซี่โครง เนื่องจากในอดีตนั้น ได้เคยเป็นเศรษฐี มีทรัพย์มากมาย
แต่ไม่สนใจที่จะให้ทาน ปิดประตูแล้วจึงบริโภคอาหารด้วยคิดว่า พวกยาจกอย่าได้เห็นเรา
เป็นคนไม่มีศรัทธา เป็นคนตระหนี่เหนียวแน่น ได้ด่าว่าพวกยาจก
และห้ามปรามมหาชนผู้ให้ทานทำบุญ ด้วยคำว่าผลแห่งทานไม่มี เป็นต้น


เปรตตนนั้นได้กล่าวว่า การสงวนทรัพย์ คือ ไม่ให้แก่ใครๆ
ย่อมเป็นความพินาศของสัตว์ทั้งหลาย ความฉิบหายก็คือการสงวนทรัพย์
ได้ยินว่าเปรตทั้งหลายรู้ว่า การสงวนทรัพย์คือการไม่ให้แก่ใครๆ เป็นความพินาศ
เมื่อก่อนข้าพเจ้าสงวนทรัพย์ไว้ เมื่อทรัพย์มีอยู่เป็นอันมาก แต่ไม่ให้ทาน
เมื่อไทยธรรมมีอยู่ แต่ไม่ทำที่พึ่งแก่ตน
ข้าพเจ้าจึงได้รับผลแห่งกรรมของตน เดือดร้อนในภายหลัง
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka2/v.php?B=26&A=3568&Z=3614&pagebreak=0


ใน “จูฬเสฏฐีเปตวัตถุ” (พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ) เล่าว่า
เปรตตนหนึ่งเปลือยกายซูบผอม เนื่องจากในอดีตนั้นเคยเป็นคฤหบดีผู้มั่งคั่ง
แต่เป็นคนตระหนี่เหนียวแน่นไม่เคยให้สิ่งของแก่ใครๆ มีใจข้องอยู่ในอามิส


ต่อมา เปรตตนนี้ได้มาหาหมู่ญาติซึ่งปกติไม่ให้ทาน
และไม่เชื่อว่าผลแห่งทานมีอยู่ในโลกหน้า ซึ่งมนุษย์เหล่านี้ก็จักไปเกิดเป็นเปรตเช่นกัน
จึงไม่สามารถช่วยเหลือเปรตตนนี้ได้
ต่อมา เปรตตนนี้ได้ไปหาธิดาของตนเองที่ได้ถวายทานอุทิศให้มารดา บิดา
ลุง ป้า น้า อา ปู่ ย่า ตา ยาย แต่ไม่ได้รับผลแห่งทานนั้นของธิดาตนเอง
เนื่องเพราะพราหมณ์ทั้งหลายที่บริโภคอาหารนั้นไม่มีศีล ไม่สมควรแก่ทักษิณา
เปรตตนนั้นจึงได้มาเข้าเฝ้าพระเจ้าอชาตศัตรู
เพื่อขอให้ถวายทานแก่พระพุทธเจ้าและพระภิกษุสงฆ์
แล้วอุทิศไปให้ตนเอง เพื่อที่ตนเองจะได้รับผลแห่งทานนั้น
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka2/v.php?B=26&A=3615&Z=3660&pagebreak=0


ใน “อังกุรเปตวัตถุ” (พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ) เล่าว่า
เปรตตนหนึ่งมีฝ่ามือสีดังทองคำ มีนิ้วทั้ง ๕ เป็นที่ไหลออกแห่งวัตถุมีรสอร่อย
วัตถุมีรสต่างๆ ย่อมไหลออกจากฝ่ามือ เนื่องเพราะในอดีตนั้น
เป็นคนกำพร้าเลี้ยงชีวิตโดยความลำบาก ไม่มีอะไรจะให้ทาน
แต่เรือนของตนอยู่ใกล้เรือนของอสัยหเศรษฐี ซึ่งเป็นคนมีศรัทธา เป็นทานาธิบดี
โดยเมื่อพวกยาจกวณิพกต่างๆ ไปถามถึงเรือนของอสัยหเศรษฐีกับตนแล้ว
ตนได้ยกมือเบื้องขวาชี้บอกเรือนของอสัยหเศรษฐีแก่ยาจกวณิพกเหล่านั้น
เพราะเหตุนั้น ฝ่ามือของตนจึงให้สิ่งที่น่าปรารถนาเป็นที่ไหลออกแห่งวัตถุมีรสอร่อย


นอกจากนี้ เปรตตนนั้นมีนิ้วมืองอหงิก ปากเบี้ยว และนัยน์ตาทะเล้นออก
เนื่องเพราะในอดีต ได้เคยทำบุ้ยปากต่อทานของอสัยหเศรษฐี
โดยเมื่อได้เห็นยาจกผู้มีความประสงค์ด้วยโภชนะ มาที่โรงทานของอสัยหเศรษฐีแล้ว
ได้หลีกไปทำการบุ้ยปากอยู่ ณ ที่ข้างหนึ่ง
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka2/v.php?B=26&A=3661&Z=3834&pagebreak=0


ใน “กรรณมุณฑเปตวัตถุ” (พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ) เล่าว่า
นางเวมานิกเปตรตนหนึ่ง เมื่อถึงเวลาเที่ยงคืน
จะมีสุนัขหูด้วนมากัดอวัยวะน้อยใหญ่ของตนเหลือแต่กระดูก
เนื่องเพราะในอดีตนั้น ได้เคยประพฤติทุศีลนอกใจสามี
เมื่อสามีได้ห้ามปราม เธอนั้นได้กล่าวมุสาวาทสบถว่า
ตนเองไม่ได้ประพฤตินอกใจด้วยกายหรือด้วยใจ
ถ้าตนเองประพฤตินอกใจด้วยกายหรือด้วยใจแล้ว
ขอให้สุนัขหูด้วนกัดกินอวัยวะน้อยใหญ่ของตนเองเถิด
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka2/v.php?B=26&A=3888&Z=3930&pagebreak=0


ใน “ภุสเปตวัตถุ” (พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ)
ได้เล่าถึงบุพกรรมของเปรต ๔ ตนว่า
เปรตตนหนึ่งกอบเอาแกลบข้าวสาลีที่ไฟลุกโชนโปรยใส่ศีรษะของตนเอง
เนื่องเพราะในอดีต ได้เคยเป็นพ่อค้าโกงข้าวเปลือกปนแกลบ
เปรตอีกตนหนึ่งทุบศีรษะของตนด้วยฆ้อนเหล็ก
เนื่องเพราะในอดีตได้เคยตีศีรษะของมารดา
เปรตอีกตนหนึ่งเอาเล็บจิกหลัง กินเนื้อและเลือดของตนเอง
เนื่องเพราะในอดีตได้เคยลักกินเนื้อแล้วกลับหลอกลวงด้วยมุสาวาท
เปรตอีกตนหนึ่งกินคูถอันเป็นของไม่สะอาดไม่น่าปรารถนา
เนื่องเพราะในอดีตได้เป็นคนตระหนี่ เมื่อสิ่งของมีอยู่ เหล่ายาจกขอแล้ว เก็บซ่อนไว้เสีย
ไม่ได้ให้อะไรจากของที่มีอยู่ ปกปิดไว้ด้วยมุสาวาทว่า
ของนี้ไม่มีในเรือนของเรา ถ้าเราปกปิดของที่มีไว้ ขอคูถจงเป็นอาหารของเรา
ภัตแห่งข้าวสาลีอันมีกลิ่นหอม ย่อมกลับกลายเป็นคูถเพราะวิบากแห่งกรรม คือ มุสาวาทนั้น
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka2/v.php?B=26&A=4134&Z=4152&pagebreak=0


ใน “กูฏวินิจฉยกเปตวัตถุ” (พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ) เล่าว่า
เปรตตนหนึ่งจิกเนื้อที่หลังของตนกินเป็นอาหาร
เพราะในอดีตได้เคยประพฤติทุจริตด้วยการส่อเสียด พูดเท็จและหลอกลวง
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka2/v.php?B=26&A=4269&Z=4289&pagebreak=0


ใน “ธาตุวิวัณณเปตวัตถุ” (พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ) เล่าว่า
เปรตตนหนึ่งมีกลิ่นเน่าเหม็นฟุ้งไป หมู่หนอนพากันกินปาก อันมีกลิ่นเหม็นเน่า
นายนิรยบาลถือเอาศาตรามาเฉือนปากเนืองๆ รดด้วยน้ำแสบ แล้วเชือดเนื้อไปพลาง
เนื่องเพราะในอดีตได้ห้ามปรามภรรยาธิดา และลูกสะใภ้ของตน
ซึ่งพากันนำพวงมาลาดอกอุบลและเครื่องลูบไล้อันหาค่ามิได้ ไปสู่สถูปเพื่อบูชา
และกล่าวติเตียนการบูชาพระสถูป และประกาศโทษแห่งการบูชาพระสถูปนั้น
ตนเองได้หมกไหม้อยู่ในนรกอันหยาบช้าทารุณ ๘๖,๐๐๐ ปี เพราะเหตุนั้น
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka2/v.php?B=26&A=4290&Z=4322&pagebreak=0


ใน “สังสารโมจกเปตวัตถุ” (พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ) เล่าว่า
เปรตตนหนึ่งเป็นผู้เปลือยกาย มีรูปร่างน่าเกลียด ซูบผอม มีแต่ซี่โครง
ถูกความหิวและความกระหายเบียดเบียนเที่ยวไปเช่นนี้ตลอด ๕๐๐ ปี
เนื่องเพราะในอดีต ไม่ได้ทำกุศลใด ๆ ไว้
โดยตนเองไม่มีบิดา มารดา หรือญาติที่ชักชวนให้ตนเองให้ทานแก่สมณพราหมณ์เลย
ตนเองจึงไม่ได้ทำกุศลกรรมใด ๆ มีทาน เป็นต้น
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka2/v.php?B=26&A=3263&Z=3318&pagebreak=0


กรณีของ “สังสารโมจกเปตวัตถุ” นี้เป็นกรณีที่น่าสนใจครับ
เพราะเป็นเรื่องที่ในอดีตไม่ได้ทำกุศลใด ๆ ไว้
โดยไม่มีพ่อแม่พี่น้องหรือญาติใด ๆ ที่เป็นกัลยาณมิตรชักชวนให้ทำทานไว้เลย
ในที่สุดก็ต้องกลายมาเป็นเปรต เพราะการที่ไม่ได้ทำทานอะไรไว้เลย ก็เท่ากับตระหนี่นั่นเอง
บางท่านอาจจะมองว่าตนเองไม่ได้ทำอะไรไม่ดี ไม่ได้เบียดเบียนอะไรคนอื่น
ก็ไม่จำเป็นต้องทำทานอะไรก็ได้ ซึ่งหากมองอย่างนั้นแล้ว ถือว่าพลาดเสียแล้ว
เพราะการที่ไม่ได้ทำทานอะไรเลย ก็เท่ากับว่าตระหนี่
ซึ่งก็เป็นบุพกรรมที่จะส่งผลให้ไปเกิดเป็นเปรตได้


การที่เกิดเป็นเปรตนั้นไม่ใช่ว่าใกล้จะหมดกรรรมแล้วนะครับ
บางทีตายจากภพภูมิเปรตแล้ว อาจจะต้องไปเกิดในนรกต่อไปอีกก็ได้
ยกตัวอย่างเช่นใน “ขลาตยเปตวัตถุ” (พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ) เล่าว่า
นางเวมานิกเปรตตนหนึ่งมีความเศร้าโศกเนื่องจากทราบว่า
หลังจากภพภูมิเปรตแล้ว นางจักต้องไปเกิดในนรกอันเร่าร้อนสาหัส
มี ๔ เหลี่ยม มี ๔ ประตู จำแนกเป็นห้องๆ ล้อม ด้วยกำแพงเหล็ก
ครอบด้วยแผ่นเหล็ก พื้นนรกนั้นล้วนเป็นเหล็กแดง ลุกเป็นเปลวเพลิง
ประกอบด้วยความร้อน แผ่ไปตลอดร้อยโยชน์ โดยรอบ ตั้งอยู่ทุกเมื่อ
และจะต้องเสวยทุกขเวทนาในนรกนั้นตลอดกาลนาน
เพราะเป็นผลแห่งกรรมชั่วของตนเอง นางเปรตจึงเศร้าโศกที่จะไปเกิดในนรกนั้น
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka2/v.php?B=26&A=3141&Z=3181&pagebreak=0


ใน “ธนปาลเปตวัตถุ” (พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ) เล่าว่า
เปรตตนหนึ่งในอดีตนั้น ได้เคยทำกรรมชั่วหยาบโดยได้ทำลายสระน้ำบ่อน้ำที่เขาขุดไว้
สวนดอกไม้ สวนผลไม้ ศาลาน้ำ และสะพานในที่เดินลำบาก ที่เขาปลูกสร้างให้พินาศ
โดยเมื่อตายจากภพภูมิเปรตแล้ว จักไปตกนรกอันเผ็ดร้อนสาหัส มี ๔ เหลี่ยม ๔ ประตู
จำแนกเป็นห้องๆ ล้อมด้วยกำแพงเหล็ก พร้อมด้วยแผ่นเหล็ก
พื้นของนรกนั้น ล้วนแล้วด้วยทองแดงลุกเป็นเปลวเพลิง
ประกอบด้วยความร้อนแผ่ไปตลอดร้อยโยชน์โดยรอบ ตั้งอยู่ทุกเมื่อ
และจักต้องเสวยทุกขเวทนาในนรกนั้นตลอดกาลนาน


เปรตตนนั้นได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าขอเตือนท่านทั้งหลายว่า
พวกท่านอย่าได้ทำบาปกรรมในที่ไหนๆ คือ ในที่แจ้งหรือในที่ลับ
ถ้าพวกท่านจักกระทำหรือกระทำบาปกรรมนั้นไว้
แม้พวกท่านจะเหาะหนีไปอยู่ที่ไหน ก็ย่อมไม่พ้นไปจากทุกข์
ขอท่านทั้งหลายจงเลี้ยงมารดา จงเลี้ยงบิดา ประพฤติอ่อนน้อมต่อผู้ใหญ่ในสกุล
เป็นผู้เกื้อกูลแก่สมณะและพราหมณ์ ท่านทั้งหลายจักไปสวรรค์ด้วยการปฏิบัติอย่างนี้
บุคคลจะอยู่ในอากาศในท่ามกลางมหาสมุทร
หรือเข้าไปสู่ช่องภูเขา พึงพ้นจากบาปกรรมนั้นไม่มี
หรือบุคคลอยู่ในส่วนแห่งภาคพื้นใด
พึงพ้นจากบาปกรรม ส่วนแห่งภาคพื้นนั้นไม่มี
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka2/v.php?B=26&A=3568&Z=3614&pagebreak=0


การที่อยู่ในภพภูมิเปรตแล้ว แม้ว่าจะทราบว่าตนเองจักต้องไปเกิดในนรกต่อไปก็ตาม
แต่ก็ไม่สามารถแก้ไขอะไรได้แล้ว เพราะว่าภพภูมิเปรตนั้นไม่สามารถปฏิบัติธรรมได้
ดังนั้นแล้ว ในขณะที่พวกเราได้เกิดมาเป็นมนุษย์ในปัจจุบันนี้
ย่อมถือว่าเป็นโอกาสอันดี เป็นเวลาที่เหมาะสมที่สุดที่จะประพฤติธรรม
และควรหลีกเลี่ยงการประพฤติชั่วหยาบทั้งปวง
เพราะวิบากกรรมของการชั่วหยาบเหล่านั้นย่อมส่งผลให้เราไปเกิดในอบายภูมิได้


* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *


หมายเหตุ ศาลาปฏิบัติธรรม อำเภอเก้าเลี้ยว จังหวัดนครสวรรค์ได้เริ่มเปิดใช้เรียบร้อยแล้ว
และงานผ้าป่า เมื่อวันที่ ๑๘ ตุลาคม ๒๕๕๘ ก็ได้สำเร็จลงด้วยดีแล้ว
ผมจึงขอยุติเรื่องการแจ้งข่าวการสร้างศาลาปฏิบัติธรรม
อำเภอเก้าเลี้ยว จังหวัดนครสวรรค์ แต่เพียงเท่านี้นะครับ


ทั้งนี้ หากญาติธรรมท่านใดที่ประสงค์จะร่วมทำบุญต่อเนื่องต่อไป
เพื่อช่วยเหลือค่าใช้จ่ายในการจัดกิจกรรมค่ายเรียนรู้กายใจแก่เด็กนักเรียนและเยาวชน
ก็ยังสามารถทำได้ที่บัญชีธนาคาร ดังต่อไปนี้
ชื่อบัญชี นางพจนา ทรัพย์สมาน และนางปราณี ศิริวิริยะกุล
และ นางชญาณัฒ ธิเนตร
ธนาคารกรุงเทพ สาขา บิ๊กซี นครสวรรค์
บัญชีออมทรัพย์ เลขที่ 627-0-34831-8
ขออนุโมทนาบุญกับทุกท่านที่ได้ร่วมบุญครับ



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP