สารส่องใจ Enlightenment

ทรัพย์ภายนอก ทรัพย์ภายใน (ตอนที ๑)



พระธรรมเทศนา โดย พระสุธรรมคณาจารย์ (หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ)
วัดอรัญญบรรพต อ.ศรีเชียงใหม่ จ.หนองคาย
แสดงธรรม ณ ประเทศสหรัฐอเมริกา




วันนี้คุณหมอทั้งสองได้ตั้งอกตั้งใจมาทำบุญ นุ่งขาวห่มขาว
แสดงว่าขาวทั้งทางนอกและขาวทั้งทางใน
ขาวนอกก็นับว่าเป็นสัญลักษณ์แห่งความเป็นผู้มีบุญ เป็นผู้ได้ทำบุญกุศล
สุกธรรม แปลว่า ธรรมอันขาว ธรรมขาวนี้ หมายถึงธรรมอันดี
ทุกคนนั้นขอให้พากันพิจารณาดูตัวของตัวเอง
ให้รู้จักเหตุปัจจัย เหตุชีวิตของตนเองตามคำสอนของพระพุทธเจ้า



ถ้าหากว่าเราไม่ได้ฟังคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
แน่นอนล่ะ เราไม่สามารถรู้ได้ว่าเราเกิดมานี้มันมีเหตุปัจจัยเป็นมาอย่างไร อะไรนำมาเกิดในโลกนี้



วันนี้ ถ้าเราไม่ได้ฟังคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าแล้ว เราไม่สามารถรู้ได้จริงๆ
แม้แต่ผู้ที่พูดอยู่นี้ก็รู้ไม่ได้เลย ไม่ทราบว่าชีวิตนี้เป็นมาอย่างไร
รู้แต่ว่าได้เกิดมากับพ่อและแม่เท่านั้นเอง พ่อแม่เลี้ยงให้เจริญวัยใหญ่โตมา
ก็เลยเคารพนับถือพ่อแม่ไปอย่างนั้น
ชีวิตของคนเรา เพียงแค่ได้รับอุปการะจากมารดาบิดาเท่านั้นยังไม่พอเลย
ลองคิดแบบกว้างๆ ออกไป ยังได้รับอุปการะจากลุง ป้า น้า อา ช่วยเลี้ยงดูปูเสื่อมาแต่อ้อนแต่ออก
เมื่อเจริญวัยมาเป็นเด็กเป็นเล็ก ต้องได้รับความอุปการะจากครูบาอาจารย์
ผู้สอนภาษาของชาติให้ พร้อมทั้งศิลปวิทยาต่างๆ



ครูบาอาจารย์ต้องฝึกปรือลูกศิษย์ของตน ให้อยู่ในระเบียบวินัยเป็นอันดีมาแต่เด็กแต่เล็ก
ผู้ที่มีนิสัยดีก็เลยเป็นคนดีได้
ผู้มีนิสัยดีติดตัวมาตั้งแต่ชาติปางก่อน เกิดมาชาตินี้ก็เคารพนับถือครูบาอาจารย์
เชื่อถ้อยฟังคำ ตั้งอกตั้งใจศึกษาเล่าเรียนจนมีวิชาความรู้ ได้มาประกอบอาชีพ
ผู้เรียนมาประเภทไหนก็ประกอบอาชีพนั้น สุดแล้วแต่ใครถนัดความรู้วิชาทางไหน
อันนั้นเรียกว่าเป็นความรู้ในทางโลก



มีแต่ความรู้ในทางโลกมันก็ยังไม่พออีกเหมือนกัน ไม่พอที่จะทำคนให้เป็นคนดีได้
มันดีได้บางส่วน บางส่วนก็ยังไม่ดี เช่น ดีทางกาย ดีทางวาจาได้ฝึกปรือมาดีอยู่
แต่ทางใจนั้นครูบาอาจารย์ทางโลกไม่สามารถที่จะฝึกสอนให้ดีได้
บางคนมีความรู้สูง แต่ก็ยังโมโหโทโสดุร้ายก็มี



ดังนั้นการที่เรามีแต่ความรู้ทางโลกอย่างเดียว
จึงยังไม่พอที่จะนำชีวิตของเราให้ถึงความสุข ความสงบ ความเย็นใจได้
ต่อเมื่อเราได้มาสดับตรับฟังคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้านี้เข้าไป
ได้ความรู้ความเข้าใจในพระธรรมนี้เพิ่มเติมเข้ากับความรู้เดิมที่มีอยู่แล้ว
ทีนี้เราก็มาประกอบอาชีพไปในทางสุจริต ก็ทำให้ชีวิตเราเจริญรุ่งเรืองขึ้น



เมื่อได้มาอยู่สหรัฐอเมริกานี้ ก็นับว่าเราห่างไกลจากบ้านเกิดเมืองนอน
ห่างไกลจากวัดวาศาสนามาก็ไม่น้อยเหมือนกัน
แต่เมื่อเราได้ฝึกฝนหรือสดับฟังคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าตั้งแต่อยู่เมืองไทยนู้น เราก็ยังไม่ทอดทิ้ง
เรามาอยู่ในสหรัฐอเมริกานี่ เราก็เอาศาสนามาด้วย
เอามาอย่างไร ก็เอาความประพฤตินี่แหละ
ความประพฤติดีทางกายวาจา ทางจิตใจติดตัวมาด้วย



อันจิตใจนั้นก็ยังมีความเคารพนับถือในพระพุทธเจ้า ในพระธรรม ในพระสงฆ์
ในส่วนทางกายก็ยังกราบไหว้
ส่วนทางวาจาก็ยังกล่าวสรรเสริญพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ
ได้แก่การไหว้พระสวดมนต์
บางคนก็เลยถือเป็นกิจวัตร ก่อนนอนก็ดี ตื่นนอนก็ดี ก็ไหว้พระสวดมนต์
แล้วนั่งสมาธิบริกรรม พุทโธ อยู่ในใจ
ทำใจให้สงบจากอารมณ์ต่างๆ เสียก่อน แล้วจึงลุกไปทำการงานกิจธุระอื่นๆ
ถ้าหากว่าผู้ใดปฏิบัติอยู่อย่างนี้นั่นแหละได้ชื่อว่า เราเอาพุทธศาสนาติดตัวมาด้วย
ก็ขอให้พากันเข้าใจอย่างนั้น



พุทธศาสนาไม่ได้อยู่แต่เพียงแค่วัดวาอารามเท่านั้น
หากว่าไม่มีอยู่ในกายวาจาใจของคนเราแล้ว
วัดก็เลยไม่เป็นวัด ไม่มีใครไปอุปถัมภ์บำรุงจะต้องกลายเป็นวัดร้างไป
การที่จะมีผู้อุปถัมภ์บำรุงวัดวาอารามอยู่นี้
ก็เพราะว่าเรามีพุทธศาสนาอยู่ที่กายวาจาใจนี้ เป็นประจำอยู่แล้ว
ดังนั้นเราจึงได้ช่วยกันบริจาคเงินทองไปซื้อสถานที่บำเพ็ญบุญกุศล สามัคคีธรรมร่วมกัน
ถ้าเราไม่มีสถานที่เช่นนั้นแล้ว เราจะได้สามัคคีกันบำเพ็ญบุญกุศลไม่ได้เลย
เพราะว่าไม่มีสถานที่ที่จะชุมนุมกัน



ดังนั้น เราจึงได้พยายามเก็บหอมรอมริบเงินทองข้าวของ
ได้มาแล้วก็ช่วยกันบริจาคออกไป จัดเสนาสนะเป็นที่อยู่อาศัยของพระสงฆ์บ้าง
เป็นสถานที่ชุมนุมฟังธรรมบ้าง ทำบุญถวายทานบ้าง
ทั้งหมดนี้เรียกว่าเป็นระเบียบของพระพุทธศาสนา เป็นมาตั้งแต่ครั้งพุทธกาล



ฉะนั้นการที่คุณหมอก็ดี หรือว่าใครๆ ที่มานี้ เป็นผู้ได้บริจาคจตุปัจจัยถวายพระ
พระท่านก็จะได้นำปัจจัยต่างๆ เหล่านี้ ไปบำรุงวัดวาอารามนั้นเอง ไม่ได้เอาไปบำรุงที่อื่นใด
สำหรับในเมืองไทย พระภิกษุสามเณรก็มีมาก รวมถึงแม่ชีแม่ขาว ออกบวชกันมากพอสมควร
ถ้าหากว่าไม่ได้อาศัยปัจจัยสี่จากทายกทายิกาแล้ว
นักบวชดังกล่าวมานี้ ก็จะดำรงชีวิตอยู่ในเพศพรหมจรรย์นี้ไม่ได้



ดังนั้นการที่ได้บริจาคจตุปัจจัยออกไป
จึงได้ชื่อว่าเป็นการต่ออายุพระพุทธศาสนาให้ยืนยาวนานออกไป
โดยเฉพาะเราอุปถัมภ์บำรุงวัดที่มีการปฏิบัติธรรม การฝึกฝนอบรมกาย วาจา ใจ
ให้ตั้งอยู่ในระเบียบข้อวัตรปฏิบัติที่พระพุทธเจ้าทรงแนะนำสั่งสอนนั้น นับว่ามีผลมาก
เพราะว่าบุญกุศลก็ดี หรือว่าคุณธรรมของจริงต่างๆ ในพระพุทธศาสนานี้
จะเกิดมีขึ้นในคนหนึ่งๆ ได้นั้น ก็ต้องอาศัยแต่ละคน
ลงมือปฏิบัติตามข้อวัตรปฏิบัติที่พระพุทธเจ้าทรงแนะนำสั่งสอนไว้
ตั้งอกตั้งใจ เสียสละความสุขเล็กๆ น้อยๆ ลงมือประพฤติปฏิบัติ
ไม่เห็นแก่หลับแก่นอน ไม่เห็นแก่อยู่แก่กิน ไม่เห็นแก่ได้โดยส่วนเดียว



บางคนแม้จะปลีกตัวเข้าวัดช่วงเวลาหนึ่งก็ไม่ได้ กลัวจะขาดรายได้ไป อย่างนี้ก็มี
เรียกว่ามองเห็นแต่ทรัพย์ภายนอกนั้น ว่าจักอำนวยความสุขให้แก่ตนโดยส่วนเดียว
มองไม่เห็นทรัพย์ภายในคือบุญกุศล หรือสติปัญญาอันเกิดขึ้นจากการอบรมจิตใจนี้
ว่าจักเป็นสิ่งอำนวยความสุขให้แก่ตนได้
เรียกว่ามองไม่เห็น หมายความว่าอย่างนั้นแหละ
ผู้ที่มองเห็นทรัพย์ภายใน คือบุญกุศลนี้แหละ
จักอำนวยผลให้ตนมีความสุขได้ยืดยาวนาน ต่อไปทั้งโลกนี้ โลกหน้า

ผู้ใดเห็นอย่างนี้ ผู้นั้นก็แบ่งเวลาทำกิจการงานภายนอก สำหรับรวบรวมเงินทองข้าวของมาใช้สอย
เอ้า! ก็ทำลงไป พระพุทธเจ้าไม่ได้ทรงห้ามเลย
ยังส่งเสริมให้หมั่นให้ขยันในการทำงานเสียอีกด้วย



พระองค์ไม่ได้ห้ามทำงานหรอกน่ะ
แต่ว่าให้ทำแต่ในทางสุจริต อย่าไปทำทางทุจริตเท่านั้นเอง
ถ้าไปทำในทางสุจริตแล้วนั้น ผู้ใดหมั่นขยันได้เท่าใด พระองค์ยิ่งสรรเสริญเยินยอมาก
สำหรับผู้ครองเรือนน่ะเป็นอย่างนั้น


ถ้าว่างจากการงานภายนอก ก็เจียดเวลาเข้าวัดเข้าวา หาพักผ่อนทางจิตใจ ทั้งร่างกายด้วย
ฝึกจิตใจของตนให้สงบระงับเข้าไป สำรวมกายสำรวมวาจาให้ตั้งอยู่ในความสงบ
ไม่แสวงหาความเพลิดเพลินต่างๆ แต่เราเพลิดเพลินอยู่ในธรรม
เช่นเราเข้าไปอยู่ในวัดวาอาราม เราไปนั่งนึกถึงพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ เป็นอารมณ์
นั่งนึกถึงความดีที่ตนกระทำบำเพ็ญมาเป็นอารมณ์



เมื่อมองเห็นคุณเห็นบุญกุศลบังเกิดขึ้นในจิตใจของตนอย่างนี้
จิตใจก็ย่อมร่าเริงบันเทิง มีความสุขความสบายใจอยู่ทั้งวันทั้งคืนทีเดียว
เพราะว่าบุญทั้งหลายนี้ไม่ใช่อยู่ภายนอก มันเกิดขึ้นในจิตใจของคนเราต่างหาก
ถ้าไม่มีไม่ปรากฏอยู่ในจิตใจ ก็เป็นอันว่า ไม่มีแหละ
ถ้าเป็นอย่างนั้นขอให้พากันดูให้มันดี ดูจิตใจตัวเองนี่แหละ
ว่าแต่ละวันแต่ละคืน ใจของเราเชื่อบุญมั้ย เชื่อคุณพระรัตนตรัยว่าเป็นที่พึ่งอันประเสริฐจริงมั้ย
ถามตัวเองดูให้มันแน่นอนเลย



ถ้าว่าเชื่อบุญน่ะ บุญมันอำนวยความสุขอย่างไรให้บ้าง
ตนเองก็ถามตนเอง และตนเองตอบตนเองได้มั้ย
อันนี้นับว่าเป็นกิจที่ควรทำแท้
จึงจะได้ชื่อว่า ผู้รู้แจ้งในบุญในกุศล ในคุณพระรัตนตรัยโดยแท้
เพราะว่าบุญกุศลมันมีเหตุผลนี่ เหตุผลก็ดังที่ได้ชี้แจงให้ฟังมานั่นแหละ



ทายก ทายิกา ได้มองเห็นว่าพุทธศาสนานี้ควรอุปถัมภ์บำรุง
เพราะว่าเป็นสถานที่รวมน้ำใจของชาวพุทธทั้งหลาย ให้ปรองดองสามัคคีกัน
ชักชวนกันประกอบกุศลคุณงามความดี
ชักชวนกันฝึกฝนกาย วาจา ใจ ให้เป็นศีลเป็นธรรมพร้อมๆ กันเช่นนี้
มันก็จะมีกำลังศรัทธาแรงกล้าขึ้นมาโดยลำดับ
เพราะว่าคนหมู่มากต่างคนต่างก็มีฉันทะ ความพอใจในการปฏิบัติ
ต่างคนต่างก็ทำความสงบใจของตนได้อย่างนี้นะ
มันก็เป็นเครื่องดึงดูดกันและกัน ให้รื่นเริงบันเทิงอยู่ในกุศลคุณงามความดี
ไม่เบื่อไม่หน่ายต่อศีลต่อธรรม



แต่ถ้าเรามีแต่ตัวคนเดียวปฏิบัติอยู่ คนอื่นไม่เห็นด้วย มันก็จะน้อยเนื้อต่ำใจอยู่เหมือนกันนะ
เหมือนกับการทำงานต่างๆ ซึ่งเป็นงานหลายๆ คนทำ อย่างนี้นะ
ยกตัวอย่างเช่น เกี่ยวข้าวสำหรับชาวนา ถ้าไปเกี่ยวข้าวอยู่คนเดียวงอมงอมอยู่นั้น
สักหน่อยก็ว้าเหว่ใจแล้ว วิตกวิจารไปทั่วแล้ว อย่างนี้แหละบางทีก็เหนื่อยอ่อนไปเลย
พอหลายๆ คนพร้อมกัน เกี่ยวข้าวไปเนี่ย โอ้...ไม่เหนื่อย
คุยกันไปบ้าง เกี่ยวข้าวไปบ้าง มันก็เลยไม่เหนื่อย หายเหน็ดหายเหนื่อยไป



การปฏิบัติธรรมมันก็เป็นเช่นนั้น เมื่อเราปรองดองสามัคคีกัน
ว่างๆ เราประชุม มีความคิดเห็นอะไร ก็ระบายสู่กันฟัง
เช่น ตนมีความคิดเห็นเรื่องบุญเรื่องบาปเป็นยังไง ก็ระบายออกมาให้เพื่อนฟังบ้าง
ใครคิดเห็นอย่างไรในการปฏิบัติธรรมเท่าที่ได้ปฏิบัติมา ได้ผลอย่างไรบ้าง
เราก็หยิบยกเอามาสนทนาปราศรัยกัน แลกความคิดเห็นซึ่งกันและกัน
อย่างนี้นะมันก็เป็นการส่งเสริมกำลังศรัทธา
ความเชื่อ ความเลื่อมใสของกันและกัน ให้เข้มแข็งยิ่งขึ้นไปโดยลำดับ
นี่ความสามัคคีกัน ไม่ว่าสามัคคีกันทำงานภายนอกก็ตาม
สามัคคีกันทำงานภายในวัดวาอารามก็ตาม ล้วนแต่เป็นผลดีทั้งนั้น



การบำรุงกำลังใจให้เข้มแข็งในการประกอบคุณงามความดีต่างๆ ดังกล่าว
บำรุงศาสนาให้เจริญรุ่งเรืองไปได้
อย่าไปถือนั้นถือนี้กันเลย ต่างคนต่างก็ลดละทิฏฐิมานะ
ความเห็นแก่ตัว ความเอารัดเอาเปรียบกันต่างๆ
เรามาเพ่งพิจารณาดูอัตภาพร่างกายนี้ มันไม่ใช่ของเราจริงจังอะไร
มันจะเป็นเพียงเรือนร่างที่อยู่อาศัยของดวงจิตชั่วคราวเท่านั้น
แล้วจะไปแข็งกระด้างต่อกันทำไม
เมื่อมาเพ่งพิจารณาดูอัตภาพร่างกายนี้ เห็นตามเป็นจริงแล้ว
ไม่ถือตัวหรอกคนเรา เข้าไหนเข้าได้ไม่ถือตัว



แต่ถ้าผู้ใดไม่ได้ภาวนาเพ่งดูอัตภาพร่างกายนี้ ให้เห็นด้วยปัญญาแล้วนั้น
แน่นอนล่ะ มันก็ต้องถือตัว มันสำคัญว่าตนละคนหนึ่ง
เราไม่ต้องน้อมหาใคร เราก็คนหนึ่ง มีสติมีปัญญาเหมือนกัน เราก็หาเงินได้เหมือนกัน
พูดถึงศีลธรรม เราก็เรียนรู้เหมือนกัน เราก็มีเหมือนกัน
ถ้าไปสำคัญอย่างนั้นแล้ว ก็เลยไม่ได้หันหน้าเข้าหากัน หารืออะไรกันก็ไม่ได้ มีแต่จะห่างเหินกันไป



เพราะฉะนั้น ความถือมั่นอย่างนั้นพระศาสดาไม่ทรงสอน ผิดหนทาง
ไม่ใช่หนทางดำเนินเพื่อให้พ้นไปจากทุกข์ แบบนั้นน่ะ



หนทางที่จะดำเนินไปให้พ้นจากทุกข์
เพียงแต่ว่าให้พ้นไปจากทุกข์ในมนุษย์ แล้วไปเกิดบนสวรรค์
ก็ต้องลดละสิ่งต่างๆ ที่กล่าวมานี้ ถึงจะไปสวรรค์ได้
ถ้าไม่ลดละกิเลสหยาบๆ ทุกอย่าง ดังกล่าวมาแล้วนั้น จะไปสวรรค์ไม่ได้เลย เป็นเช่นนั้น
อย่าว่าแต่จะไปนิพพาน จะไปสวรรค์ก็ไม่ได้
ท่านผู้ไปสวรรค์น่ะ ท่านนอบน้อม กาย วาจา ใจ ต่อพระพุทธเจ้า ต่อพระธรรม ต่อพระสงฆ์จริงๆ
นอบน้อมต่อผู้ที่มีคุณวุฒิสูงกว่าตน
ความนอบน้อม ความเชื่อ ความนับถือนี้ มันก็มีมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน



คนสมัยก่อนก็แสดงบทบาทต่อความนับถือให้ปรากฏ จนมีประวัติมาในตำรา
เหมือนอย่างเรื่องหนึ่ง หลังจากที่พระพุทธเจ้าเสด็จดับขันธปรินิพพานแล้ว
ประชาชนพากันอัญเชิญเอาพระบรมสารีริกธาตุของพระองค์ ไปก่อพระเจดีย์แล้วเอาไปบรรจุไว้
ผู้ใดได้รับแบ่งนะ ก็เอาบรรจุไว้ในพระเจดีย์นั้น
เมื่อถึงฤดูกาลมา ก็ชักชวนกัน ได้ดอกไม้ธูปเทียนแล้ว
ก็พากันไปเดินเวียนเทียนประทักษิณ ๓ รอบ ทำสักการบูชากราบไหว้พระเจดีย์นั้น



คราวนั้น ในหมู่บ้านนั้นก็มีพระเจดีย์อยู่ในวัด และมีงานนมัสการพระเจดีย์
มีผู้ไปประกาศป่าวร้องเชิญชวนพุทธศาสนิกชนไปกราบไหว้พระเจดีย์กัน
มีผู้หญิงคนหนึ่งท้องแก่แล้วทีเดียว
พอได้ยินผู้คนไปเที่ยวประกาศอย่างนั้น ก็เกิดศรัทธาเลื่อมใสขึ้นมา
ตนเองก็ยังไม่ได้เตรียมดอกไม้ธูปเทียนอะไรเลย
กลัวจะไปไม่ทันเพื่อน รีบลงจากเรือนก็เดินไปเลย
พอเดินไปก็ไปเห็นดอกบวบขมซึ่งเลื้อยอยู่ที่รั้วข้างทาง
จึงเก็บเอาดอกบวบขมนั้นได้ ๘ ดอกถือไป ว่าจะเอาไปบูชาพระเจดีย์
บังเอิญไปเจอวัวแม่ลูกอ่อนตัวหนึ่ง มันหวงลูกมัน มันขวิดเอาล้มลงจนถึงแก่ความตาย
โดยอาศัยอานิสงส์ที่หญิงคนนั้นมีจิตศรัทธาเลื่อมใสในพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์
หรือเลื่อมใสในพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้านั้น
เมื่อตายลงไป เขาก็ไปเกิดบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์
มีความสุขสำราญมากกว่าเกิดอยู่ในโลกมนุษย์นี้หลายร้อยหลายพันเท่า อย่างนี้แหละ



นี่พูดถึงความเชื่อ ความเลื่อมใส
เมื่อเราเลื่อมใสในสิ่งที่มีคุณอันประเสริฐจริงๆ มันก็อำนวยผลอันเลิศให้เช่นเดียวกัน
เพราะพระพุทธเจ้านั้น พระองค์เป็นผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐยิ่งกว่ามนุษย์และเทวดาทั้งหลาย
ไม่มีใครจะมีบุญหนักศักดิ์ใหญ่เสมอกับพระพุทธเจ้า หรือยิ่งกว่าพระพุทธเจ้าไม่มีเลย
เพราะว่าพระองค์ได้สร้างพระบารมีมานานแสนนาน
หลายกัปหลายกัลป์ กว่าพระบารมีนั้นจะเต็มบริบูรณ์ได้
ไม่ใช่ง่ายๆ ไม่ใช่ใกล้ๆ นะ บุญของพระพุทธเจ้านั้น



เพราะฉะนั้นพระคุณของพระองค์จึงมีมากมายเหลือล้น เหลือจะพรรณนา
ผู้ใดมีจิตศรัทธากราบไหว้อยู่ที่ไหนดีหมด
พระคุณของพระพุทธเจ้าย่อมเกิดขึ้นในจิตใจของผู้นั้น ในที่ตนอยู่นั่นแหละ
ตนอยู่ที่ไหน ตนกราบไหว้อยู่ที่ใด พระคุณนั้นย่อมเกิดขึ้นในจิตใจของผู้นั้นในที่นั้นๆ
ไม่เฉพาะแต่ว่าพระเจดีย์ โบสถ์ วิหาร ศาลาการเปรียญ ที่มีองค์พระประธานใหญ่ๆ
แม้พระพุทธรูปองค์เล็กๆ ก็ตาม
เมื่อหากว่าจิตใจของเราเลื่อมใสศรัทธาอย่างแรงกล้าแล้ว ก็ย่อมมีอานิสงส์เหมือนกันทั้งนั้น
ขอให้เรามีอุบายอันแยบคายในใจให้มันได้
อย่าสักแต่ว่ากราบ กราบไปตามประเพณีนิยมกันเฉยๆ
ก่อนจะกราบก็ต้องระลึกถึงพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ เป็นอารมณ์เสียก่อน
ทำความเลื่อมใสในใจแล้วจึงค่อยโน้มกายลงอย่างนี้
จึงค่อยกล่าววาจาสรรเสริญพระคุณทั้งสามนั้น ไปอย่างนั้น



ก่อนจะไหว้พระทำวัตรท่านจึงนิยมกราบลงเสียก่อน
นั่นแสดงว่าเราแสดงความเคารพในเบื้องต้นไปก่อน
แสดงออกซึ่งน้ำใจของเราเคารพจริงๆ อย่างนี้
เมื่อเราทำอะไรแล้ว ให้มันถึงใจจริงๆ แล้วมันมีผลมั่นคงไม่สูญหายเลย
แต่ถ้าทำความดีลงไปแล้วไม่ถึงใจ ใจไม่สงบ ไม่ตั้งมั่นอยู่ในความดีอันนั้นเท่าใดนัก
ความดีเช่นนั้นมักจะเสื่อม ไม่สามารถจะตั้งยั่งยืนอยู่ในจิตใจได้
เพราะฉะนั้น ข้อบัญญัติในพุทธศาสนานี้
พระพุทธเจ้าจึงได้ทรงแสดงไว้ถึง ๓ ข้อ ๓ ประการ คือ ให้ทาน รักษาศีล และภาวนา



- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -


คัดจาก “ทรัพย์ภายนอก ทรัพย์ภายใน” ใน วรลาโภวาท
ที่ระลึกในงานพระราชทานเพลิงศพพระสุธรรมคณาจารย์ (หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ)
๑๔ ธันวาคม ๒๕๕๒


แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP