วรรณกรรมนำใจ Lite Literature

ระบำเวท ๒๕


cover rabamvej


นวนิยายเรื่องนี้ เขียนขึ้นเพื่อความบันเทิง
หากมีชื่อ-สกุล เรื่องราวใดพ้องกับบุคคลจริง ต้องกราบขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย


ชลนิล



(ต่อจากฉบับที่แล้ว)



               ประตูห้องเปิด ไลลาอยู่ในชุดขาวสะอาดตา ปล่อยเส้นผมสีน้ำตาลทองกระจายเต็มหลัง นัยน์ตาแลตรงบอกถึงการตั้งใจรอ ดวงหน้าดูสาว อ่อนกว่าวัย หากใครบอกว่าเธอเป็นแม่มด ผู้มีพลังอำนาจน่าสะพรึงกลัว รับรองว่าคงยากจะมีคนเชื่อถือแน่นอน

            เสียงดนตรีเบาๆ ท่วงทำนองเดียวกับที่ได้ยินในลิฟต์ดังอยู่ภายในห้อง ฟังชัดด้วยหูทั้งสองข้าง เพียงตอบไม่ได้ว่าเสียงดังจากลำโพงหรือเครื่องเสียงจุดไหน

            บทเพลงแผ่วเบา อ่อนหวาน ช่วยเสริมบรรยากาศให้เจ้าของห้องดูราวกับมาจากจินตนาการ ไม่ใช่มนุษย์ธรรมดาเดินดินทั่วไป

            “มีผู้ติดตามมาคนเดียวเองหรือหมอ” ไลลาเอ่ยทัก

            “ค่ะ...นี่หมอหมาก เพื่อนของหมอเอง” เอื้อกานต์แนะนำชายหนุ่มข้างกายเพียงสั้นๆ รู้ว่าอีกฝ่ายสามารถสแกนเขาได้ละเอียด ชัดเจน จนไม่จำเป็นต้องอธิบายอะไร

            หมากพยักหน้ารับ พร้อมยื่นมือไปให้จับตามธรรมเนียมของอีกฝ่าย

            ไลลายิ้มน้อยๆ แค่ใช้ปลายนิ้วยื่นแตะมือชายหนุ่มเบาๆ ไม่จำเป็นต้องบีบกระชับ ก็บอกได้ว่าคุณหมอหนุ่มคนนี้ไม่ธรรมดาพอกับหญิงสาวที่มาด้วยกัน

            “ยินดีที่ได้พบกันอีกครั้ง นั่งก่อนสิ ต้องการดื่มอะไรมั้ย?”

            ฝ่ายเจ้าบ้านเอ่ยปากต้อนรับ ทักทายตามมารยาทที่ดี สองหนุ่มสาวจึงทำตัวปกติ ผ่อนคลายอาการเกร็ง นั่งคุยกับเจ้าบ้านที่ชุดรับแขกสุดหรู โดยมีเครื่องดื่มวางตรงหน้าเป็นแค่ของประกอบการสนทนา

            “ที่นัดมาวันนี้ แสดงว่าคุณหมอตีความหมายของเพลงได้แล้วอย่างนั้นหรือ?” ไลลาถาม

            “คิดว่าพอได้ค่ะ” เอื้อกานต์ตอบแบ่งรับแบ่งสู้

            “ไหน...ลองอธิบายให้ฉันฟังซิ” ผู้อาวุโสกว่าเปิดโอกาส

            เอื้อกานต์ระบายลมหายใจแผ่ว เรียบเรียงความคิดในหัว ก่อนพูดออกมา

            “Scarborough เป็นเมืองชายฝั่งทะเลเล็กๆ ทางตอนเหนือของประเทศอังกฤษ ในยุคกลาง ราวศตวรรษที่สิบสี่ มีการจัดงานขึ้นในเมืองนี้ เป็นงานออกร้านที่มีกำหนดสี่สิบห้าวัน ให้พ่อค้านำสินค้า อาหาร มาเร่ขาย รวมถึงสินค้าตลาดนัดต่างๆ เพื่อดึงดูดเหล่าพ่อค้า ผู้คนทั่วประเทศ ให้มาเที่ยวชมเมือง จนเรียกงานนี้ว่า Scarborough fair”

            จังหวะที่หญิงสาวหยุดพูด ไลลาก็ขัดแทรกขึ้นมา

            “ฉันให้เธออธิบายความหมาย ไม่ใช่บอกที่มาของชื่อเพลง”

            “เพลง ‘Scarborough fair’ แต่งจากบทกวีเก่าแก่ ความหมายโดยรวมคือ เป็นการขอให้คนรักช่วยทำภารกิจที่เป็นไปไม่ได้ เพื่อพิสูจน์รักแท้”

            “ถ้าเธอจะอธิบายแค่นั้น ฉันว่ามันไม่มีประโยชน์อะไร ฉันเคยคิดว่าคนอย่างเธอน่าจะตีความหมายของเพลงได้ดีกว่านี้ ถ้าจะแปลบทเพลงตามตัวหนังสือ ฉันน่าจะทำได้ดีกว่าเธอนะ”

            คำพูดเยาะแกมสมเพชจากฝ่ายตรงข้าม ไม่ทำให้สีหน้าอารมณ์เอื้อกานต์เปลี่ยนแปลง

            “คุณใช้เวลานานมั้ยคะ กว่าจะสร้างไวรัสอาคมสำเร็จ” แทนการอธิบายความหมายของเพลง หญิงสาวกลับตั้งคำถามกลับ

            “นาน...นับสิบๆ ปีเลยทีเดียวละ” ไลลาไม่คิดว่าคำตอบนี้สำคัญอะไร

            “มันยากนะคะที่จะสร้างไวรัสที่ควบคุมด้วยอาคม แล้วกำหนดให้มันสังหารเฉพาะคนชั่วร้ายอย่างเดียว” แววตาเอื้อกานต์เป็นประกายเข้มข้นขึ้น

            “ใช่...ฉันเสียเวลาเกินกว่าครึ่งชีวิตทีเดียว กว่าจะทำมันสำเร็จ สมบูรณ์”

            “คุณก็คงได้รับภารกิจที่เป็นไปไม่ได้มาเหมือนกัน...” เอื้อกานต์พูดด้วยวาจาอ่อนโยน ก่อนยิงประโยคสำคัญ “ภารกิจที่ต้อง...สังหารคนชั่วร้ายให้หมดโลก!”

            เป็นครั้งแรกที่ไลลาอึ้ง จนคำตอบ นัยน์ตาทอประกายประหลาด กึ่งชื่นชม กึ่งคาดไม่ถึง

            ใบหน้าเอื้อกานต์สงบ ไม่มีริ้วรอยยินดีต่อการแสดงออกของฝ่ายตรงข้าม จิตใจหญิงสาวแผ่กว้าง ซึมซับ รับรู้ สัมผัสเนื้อใจของหญิงผู้ทรงอาคมรายนี้ชัดเจน

            ไลลาไม่ใช่คนมีจิตใจชั่วร้าย ทีเกื้อเคยบอกว่าผู้หญิงคนนี้เป็นอาจารย์ของอาจารย์ทรงกลดอีกที ความกล้าแกร่งของวิชาอาคมไม่ต้องพูดถึง อารมณ์ จิตใจมีความซับซ้อน เดาใจยาก บุคลิกลักษณะเช่นนี้ทำให้เอื้อกานต์นึกถึงพวกแม่มดในแถบยุโรปและอเมริกา

            พวกแม่มดมีทั้งฝ่ายขาว ฝ่ายดำ แม่มดดำเป็นพวกจิตใจโหดเหี้ยม อำมหิต ขณะที่แม่มดขาวมีใจโอบอ้อมอารี ใช้วิชาอาคมที่มีคอยช่วยเหลือ ปัดเป่าเภทภัย และรักษาผู้คนที่เจ็บป่วย

            การที่ไวรัสอาคมเจาะจงสังหารเฉพาะคนชั่วร้าย แสดงว่าไลลาต้องไม่ใช่แม่มดฝ่ายดำ ใจมืด อำมหิต หนำซ้ำเมื่ออยู่ใกล้กัน เอื้อกานต์ก็ไม่สัมผัสถึงกระแสเผ็ดร้อน มืดบอดรุนแรงด้วยกิเลสหยาบหนา จะมีก็แต่อัตตาอันแข็งกร้าว ใหญ่โต เป็นเสมือนเกราะกำบังใจตนเอง

            เมื่อเชื่อว่าไลลาเป็นแม่มดขาว การสังหารหมู่คนชั่วเช่นนี้ย่อมมีเหตุผลหนักแน่นสำคัญ และพอเชื่อมโยงเข้ากับเพลง ‘Scarborough fair’ ก็ทำให้นึกถึงคำ...ภารกิจที่เป็นไปไม่ได้...

            แล้วภารกิจใดเล่า จะยากเย็นจนไม่อาจเป็นจริงได้ในโลกใบนี้?

            ‘สังหารคนชั่วร้ายให้หมดโลก!’

            มันเป็นคำตอบที่เอื้อกานต์ไม่มั่นใจนักว่าถูกหรือผิด กระนั้นก็ยอมเสี่ยงยื่นคำตอบออกไปในจังหวะ เวลา ที่คิดว่าเหมาะสม ทำให้เห็นผลสะท้อนกลับทางสีหน้า แววตา ของไลลาชัดเจน

            คำตอบนี้ถูกตรวจแล้ว...ถูกต้อง!

            หมากเหลือบมองหญิงสาวข้างกาย ในใจเกิดความชื่นชมอย่างปิดไม่มิด ไม่อยากเชื่อ เพียงพูดคุยกันไม่กี่นาที เอื้อกานต์ก็สามารถทำให้สตรีผู้ทรงอาคมกล้า ถึงกับนิ่งอั้น ไปต่อไม่ถูกขนาดนี้

            “ภารกิจที่หมอพูดถึง...มันมีจริงใช่มั้ยคะ” เอื้อกานต์ถามย้ำเมื่อเห็นอีกฝ่ายนิ่งไปนาน

            “มี...”

            ไลลาหลุดปากแค่คำเดียว จิตใจก็หลุด เผลอย้อนคิดไปถึงวันวาน...สามสิบกว่าปีที่แสนเจ็บปวด จนไม่อาจลืมเลือนมัน



               ฮันเตอร์ คิม กลับมา หลังจากพบว่าประเทศมูเจนเปลี่ยนแปลงจนไม่เหลือเค้าเดิม ความแค้นคับอกไม่อาจถูกระบายออกไป ด้วยศัตรูร้ายล้วนตายสิ้น ไม่เหลือให้คิดบัญชี

            ‘ตาล็อก’ หัวโจกเบอร์หนึ่ง โดนยึดอำนาจ ถูกสังหารแบบศพไม่สวย

            ‘อาจารย์ตูมิน’ บุคคลที่อยู่เบื้องหลังการล่มสลายของมูเจน คนที่ทำให้เขาต้องคร่ำเคร่ง เสียเวลาฝึกปรืออาคมเป็นสิบปี กลับหายสาบสูญ หรืออาจเสียชีวิตโดยไม่มีซากศพให้เห็น

            ศัตรูร้ายทั้งสองไม่อาจรอรับการชำระแค้นได้เสียแล้ว ชายหนุ่มจึงบากหน้ากลับมาหาหญิงคนรัก ด้วยความตั้งใจมั่นว่าจะใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ร่วมกับเธอ

            “คุณจะกลับมาทำไม” เธอถามเขาด้วยจิตใจเจ็บปวด

            “ผมต้องการอยู่กับคุณ” เขาตอบชัดเจน หนักแน่น

            “จำคำพูดสุดท้ายของฉันไม่ได้หรือ...เราไม่มีโอกาสนั้นอีกแล้ว”

            “ทำไม? เพราะคุณเป็นอาจารย์ ผมเป็นลูกศิษย์...อย่างนั้นหรือ”

            “ถูกแล้ว”

            “เราอยู่ด้วยกันแบบนั้นก็ได้ แค่ให้ผมได้อยู่กับคุณ ไม่ว่าจะต้องเป็นอะไรก็ยอม”

            “แต่ฉันยอมไม่ได้ เห็นหน้าคุณทุกครั้ง ใจฉันมันเจ็บปวด และอาจมีบางวันที่เราพลั้งเผลอ ก้าวข้ามความสัมพันธ์ศิษย์อาจารย์ ถึงตอนนั้น เราจะต้องได้รับผลลัพธ์ร้ายแรงจากคำสาปแม่มด ทั้งคุณทั้งฉัน มีชีวิตอยู่ไม่สู้ตายไปเสีย”

            “แล้วตอนนี้ ความรักของเราไม่ใช่ว่าโดนคำสาปอยู่หรือ คนรักกัน แต่ไม่อาจอยู่ร่วมกันได้”

            “เราไม่อาจอยู่ร่วมกันก็จริง แต่ก็ยังสามารถเป็นตัวของตัวเอง ไม่โดนคำสาปแม่มดทำให้กลายเป็นคนวิกลจริต ทำเรื่องบ้าบอโดยไม่อาจควบคุมบังคับอะไรได้เลย และที่ร้ายกาจกว่านั้น คนที่โดนคำสาปแม่มด จะมีชีวิตรอดไม่เกินสามปี จากนั้นจะมีสัตว์ร้ายจากนรกมาตามล่า คร่าเอาชีวิตอย่างทารุณ”

            “ทำไมคำสาปถึงร้ายแรงนัก?”

            “ก็เพราะไม่ต้องการให้ลูกหลานฝืนคำปฏิญาณ”

            “แล้วคำปฏิญาณรักของเรา?”

            “มันไม่มีประโยชน์อีกแล้ว ฉันอยากรู้...ถ้าคุณรู้อย่างนี้แต่แรก ยังจะยอมประกาศวาจา ยอมรับฉันเป็นอาจารย์อีกมั้ย”

            ...เงียบ...

            “ไม่ต้องตอบฉันก็ได้ คุณมีความแค้นขนาดนั้น ยังไงก็ไม่ยอมตายง่ายๆ”

            “ถ้าผมรู้ว่าการล้างแค้นเป็นเรื่องสูญเปล่าแบบนี้ ผมจะไม่ยอมฝึกอาคมตั้งแต่แรก”

            “ถ้าคุณไม่มีอาคม ไม่มีจิตสัมผัสพิเศษ คุณจะไม่มีวันรู้จักฉันอย่างแท้จริง ไม่มีทางปิดกั้นฝันร้ายให้ฉัน และ...ความรักของเราก็จะไม่เกิดขึ้น”

            “ผมไม่อยากเชื่อ ทำไมเส้นทางชีวิตคนเราถึงมีทางเลือกน้อยนัก”

            “ฉันจะบอกความลับให้อย่างหนึ่ง...ในเวลานั้น...ที่ฉันไม่ยอมบอกผลลัพธ์ของการเป็นลูกศิษย์อาจารย์กับคุณก่อน ก็เพราะไม่ต้องการให้โอกาสคุณได้เลือก คุณจะได้ไม่ต้องมาลำบากใจแบบนี้...ทั้งที่ใจจริงของฉัน...ไม่อยากให้คุณยอมเป็นลูกศิษย์ฉันเลย”

            “บางที...ถ้าผมรู้ ผมอาจยอมตาย แต่ไม่ยอมหมดโอกาสได้รักคุณ”

            “ตอนนี้ ไม่ว่าคุณจะพูดอย่างไร มันก็ไม่มีประโยชน์”

            “คราวก่อน คุณบอกว่ามีหนทางที่เราจะอยู่ร่วมกันได้เหมือนเดิม”

            “มันเป็นเรื่องที่ไม่สามารถกระทำได้ เป็นเงื่อนไขที่บรรพชนแม่มดบัญญัติขึ้นเพื่อให้ลูกหลานถอดใจเท่านั้นเอง”

            “คุณบอกผมมาสิ ว่าต้องทำยังไง ไม่ว่ายากเย็นแค่ไหน ผมก็จะทำให้ได้”

            “คุณสามารถฆ่าคนชั่วช้าให้หมดโลกได้มั้ย?”

            “อะไรนะ! ฆ่าคนชั่วให้หมดโลก”

            “ใช่...นี่แหละสิ่งที่บรรพชนแม่มดบัญญัติไว้...เมื่อใดที่คนชั่วช้าตายหมดโลก เมื่อนั้นคำสาปของแม่มดทั้งปวงจะได้รับการลบล้าง ยกเลิก!”

            มันเป็นสิ่งที่ไม่มีวันเกิดขึ้นจริงบนโลกใบนี้ ไลลารู้...ฮันเตอร์ คิม ก็รู้

            และที่ทั้งคู่รู้ดีไปกว่านั้น คือเส้นทางชีวิตคู่ไม่อาจเกิดขึ้นได้ กลายเป็นเส้นขนาน ไลลาไม่ต้องการเห็นชายหนุ่มอยู่ในสายตา พบเขาคราวใดจิตใจยิ่งปวดร้าว เจ็บปวดกว่าเดิม

            ผู้ชายคนเดียวในโลกที่รักและเข้าใจเธอที่สุด หวังจะได้มีชีวิตอยู่คู่กัน กลับกลายเป็นเช่นนี้...

            ในเมื่อรักกันไม่ได้แล้ว สู้อย่ามาให้เห็นหน้ากันเลยดีกว่า

            หลัง ฮันเตอร์ คิม จากไป ไม่กรายมาใกล้ ไลลาโดดเดี่ยว อ้างว้าง มีชีวิตอยู่ไปแบบไร้จุดหมาย ไร้สาระ คิดอยากฆ่าตัวตายวันละหลายครั้ง

            เมื่อก่อน ไม่เคยรู้จักความรัก ต่อให้โดดเดี่ยว อ้างว้างเพียงไร หัวใจก็ยังกล้าแกร่ง ยืนหยัดอยู่ได้ พอความรักเข้าจับหัวใจ ความเข้มแข็งก็คลายคลอน ชีวิตอันโดดเดี่ยวแบบเดิมกลับเป็นสิ่งโหดร้ายเกินทน ไม่อาจยอมรับได้

            ชั่ววูบแห่งสติ ทำให้คิด...เธอจะใช้ชีวิตที่เหลืออย่างไรดี?

            ใจหวนนึก...ทำลายคำสาปแม่มดดีหรือไม่?

            ทำให้คนชั่วช้าตายหมดโลก...นั่นจึงเป็นโอกาสได้ครองคู่กับเขาอีกครั้ง

            มันคือภารกิจที่เป็นไปไม่ได้...แต่ถ้าทำสำเร็จ สิ่งนี้จะพิสูจน์หัวใจรักแท้ของเธอ

            เวทมนตร์ อาคม ความรู้ทั้งหมดที่มี ถูกนำมาเป็นแบบร่าง สร้างไวรัสอาคมขึ้นมา...ไวรัสที่ใช้สังหารคนชั่วช้า เฉกเช่นเหล่าผู้ครองอำนาจในยุคกลางที่ออกกวาดล้างเหล่าแม่มด ทำให้บรรพชนของเธอเกลียดชังฝังใจ

            เวลาผ่านไป ชีวิตคร่ำเคร่งอยู่กับการสร้างไวรัสชนิดนี้ ลองผิดลองถูกหลายครั้ง เวลาผ่านไปนับสิบๆ ปีโดยไม่รู้ตัว แม้ไม่คาดหวังว่ามันจะเกิดผลสำเร็จขนาดฆ่าคนชั่วตายหมดโลกในคราเดียว แต่งานชิ้นนี้ก็ช่วยให้ชีวิตเธอมีจุดหมาย ไม่เคว้งคว้าง ล่องลอย จ่อมจมอยู่ในทะเลแห่งความทุกข์ทรมานตลอดเวลา

            เช่นเดียวกับ ฮันเตอร์ คิม เขารู้ว่าเงื่อนไขของบรรพชนแม่มดเป็นสิ่งเกินกระทำ แต่ความที่หัวใจยังมีความคั่งแค้น ไม่ได้ระบายออก เกิดความเกลียดชังคนชั่วช้าขึ้นมาเข้าไส้

            หากให้ผู้ทรงอาคมกล้าเช่นเขาตามไล่ล่าคนชั่ว โจรกระจอกทั่วไป คงเป็นเรื่องน่าขัน ดูถูกฝีมือกัน เป้าหมายคนชั่วที่เขาตั้งใจฆ่า จึงเป็นเหล่าคนชั่วช้าผู้ครองอำนาจใหญ่ แล้วใช้อำนาจที่มีของตน เบียดเบียนคนอ่อนแอกว่า

            การสังหารคนเหล่านี้จะทำให้เกิดแรงสะเทือนอย่างใหญ่ในวงกว้าง ทำให้ผู้คนในโลกเกิดความหวาดกลัว ไม่กล้ากระทำผิด คิดชั่วต่อผู้อื่น

            นี่อาจเป็นวิธีการทำให้คนชั่วหมดไปจากโลกในแบบของ ฮันเตอร์ คิม!



               ด้วยความที่จิตของเอื้อกานต์ หมาก ตั้งมั่นเป็นสมาธิอย่างเหมาะสม และอาจเป็นด้วยไลลาพลั้งเผลอ ไม่ปิดกั้นภาพความคิด ความทรงจำของตน จึงทำให้สองหนุ่มสาวร่วมรับรู้ ซึมซับเข้าใจในเรื่องราวครั้งเก่าเหล่านี้ด้วย

            เวลาผ่านไปครู่ใหญ่ ไลลาค่อยได้สติ กวาดตามองสองหนุ่มสาวชั่วแวบ รู้ว่าตนพลาดไปในยกแรก ปล่อยให้คู่ต่อสู้รับรู้ มองเห็นเงื่อนปมสำคัญชิ้นหนึ่งได้

            “เก่งนี่คุณหมอ สามารถโยงเรื่องของเพลงมาเข้ากับเรื่องของฉันได้” น้ำเสียงไม่ได้บอกความชื่นชม และไม่แสดงอาการโกรธเคืองที่ตนพลาดพลั้ง

            “คุณน่าจะรู้...การทำเรื่องแบบนั้นมันเปล่าประโยชน์ นอกจากไม่มีวันสำเร็จแล้ว ตัวคุณยังต้องก่อบาป สร้างเวรกรรมอีกมากมาย” เอื้อกานต์โน้มน้าวใจ

            “หมอยังไม่ได้รู้เรื่องทั้งหมดหรอก” ไลลาบอก

            “หมายความว่า เหตุผลในการปล่อยไวรัสอาคมมีมากกว่านั้น” เอื้อกานต์ถาม

            ไลลายิ้ม ปรายตามองซ่อนความนัย สภาวะจิตภายในถูกปิดบังมิดชิด จนคุณหมอทั้งสองไม่อาจเจาะเข้าไป ‘อ่าน’ ได้อีก

            “ผมคิดว่า เหตุผลในการปล่อยไวรัสอาคมครั้งนี้ เกี่ยวข้องกับ ฮันเตอร์ คิม!”

            หมากเอ่ยปากเป็นประโยคแรกหลังจากปล่อยเอื้อกานต์พูดเสียนาน คำพูดของเขาสะดุดใจทั้งไลลาและเอื้อกานต์

            “เธอรู้จัก...คนคนนั้นดีแค่ไหน” คำถามเรียบนิ่ง

            “เขาเป็นลูกศิษย์ที่คุณไม่ยอมรับ และเป็นผู้ชายที่แบกความแค้นแน่นอก”

            หมากเชื่อมโยงเรื่องที่พูดคุยกับทรงกลด กับเรื่องราวที่รับรู้จากความทรงจำไลลาเมื่อครู่มาสรุป

            ไลลายิ้มแปลก ดวงตาทอประกายวับ พยายามอ่านความคิดในหัวชายหนุ่ม ว่ามีเจตนาใดซ่อนเร้น มีเรื่องราวใดยังไม่ปริปาก เรื่องราวสำคัญที่เขาอาจรู้ แต่เก็บงำไว้เป็นไพ่ตาย เพื่อเอาชนะเธอ

            สิ่งที่อ่านได้ คือความว่างโล่ง ขาวพร่าง...ใจของผู้ชายคนนี้ กับหญิงสาวที่นั่งคู่ มีความเสมอกันอย่างไม่น่าเชื่อ ทั้งความสว่างใส เปิดกว้าง เหมือนไม่มีอะไรปิดบัง แต่กลับทำให้ผู้ทรงอาคมเช่นเธอไม่อาจอ่านเกม ล้วงลึกเข้าไปในใจพวกเขาได้เลย

            “คุณพอจะเล่าเรื่องของเขาให้พวกเราฟังได้มั้ย” หมากรู้ว่ามาถูกจุด จึงเอ่ยปากต่อ

            เอื้อกานต์ฟังคำพูดหมากแล้วนึกสงสัย เขารู้เรื่องราวเหล่านี้มากกว่าเธอแค่ไหน...ขนาดเธอยังเพิ่งรู้จากทีเกื้อว่าไลลาเป็นอาจารย์ของอาจารย์ทรงกลดอีกที และเพิ่งทราบเมื่อครู่ว่าลูกศิษย์ของไลลา คือ ฮันเตอร์ คิม ซึ่งเป็นคนรักของไลลาเอง

            ฟังดูแล้วชวนให้นึกประหลาดใจ หมากปิดบังอะไรเธอไว้หรือเปล่า...สังเกตดีๆ แล้วทุกเรื่องล้วนโยงใย มีสายสัมพันธ์เชื่อมโยงกันอย่างประหลาด

            “ทำไมฉันต้องเล่าเรื่องของเขาให้พวกเธอฟัง” น้ำเสียงไลลาแฝงรอยเยาะแกมขัน

            “อย่างน้อยก็ถือว่าเป็นรางวัล ที่หมอเอื้อตอบปัญหาของคุณได้ก็แล้วกัน” หมากพูดเหมือนเป็นเรื่องล้อเล่น

            “รางวัล...งั้นหรือ?” คำพูดกึ่งคำถาม พร้อมประกายตาฉายวาบดังคมมีด

            ใบหน้าหมากมีรอยยิ้มเกลื่อนบางๆ ไม่สะท้านสะเทือนต่อรังสีอำมหิตของฝ่ายตรงข้าม ดวงหน้าขาวตัดกับไรหนวดเขียว รวมกับแววตาที่รื่นรมย์ คล้ายว่าในสายตา ไม่เคยมีเรื่องราวใดหนักหนาสาหัสเกินรับมือ ทำให้ผู้ทรงเวทเช่นไลลาไม่อาจหยั่งรู้หรือคาดหมายเจตนาในใจของเขาได้เลย

            หมากไม่จงใจปิดบังเจตนา ความรู้สึก เขาเพียงแค่วางใจลืมเลือน ไม่นึกถึงแผนการที่คุยกับทรงกลด ทีเกื้อ

            ...แผนการที่ระบุให้เขากับเอื้อกานต์มาถ่วงเวลาไลลา เพื่อให้ทรงกลดได้มีโอกาสปฏิบัติงานชิ้นสำคัญ!



               “ให้เอื้อไปหาแม่มดคนนั้น มันไม่เสี่ยงไปหน่อยเหรอ ทั้งฤทธิ์เดชของเธอ ทั้งสารพัดภูตผี สมุนพวกนั้นอีก” ทีเกื้อตั้งคำถามกลางวงประชุมเมื่อคืนก่อน

            “เอื้อปลอดภัยแน่ สร้อยข้อมือที่เขาสวมอยู่สามารถป้องกันภูตผี ปิศาจร้ายได้ พี่เป็นคนกำกับอาคมคุ้มครองเอาไว้เอง” ทรงกลดบอก

            “มิน่าล่ะ พวกเจ้าหน้าที่ผีสิงในโรงพยาบาลนั่น พอโดนสร้อยข้อมือหมอเอื้อถึงได้หมดฤทธิ์ สลบเหมือดกันเกลี้ยง” หมากเพิ่งรู้ที่มาแท้จริงของมัน

            “เราก็รู้ๆ อยู่ว่า คนระดับนั้นไม่มีทางเปลี่ยนใจ เลิกปล่อยไวรัสอาคม เพราะแค่มีคนไปขอร้องแน่ๆ แล้วทำไมเราต้องปล่อยให้เอื้อไปหาเขาด้วย” ทีเกื้อซักต่อ

            “พี่ต้องการคนถ่วงเวลา” ทรงกลดอธิบาย

            สองหนุ่มที่เหลือสนใจฟัง

            “หลังจากโดนไวรัสอาคมเข้ากับตัวเอง ทำให้รู้ว่าไวรัสพวกนี้ถูกสร้างขึ้นมายังไง มันใช้ไวรัสจริงเป็นส่วนประกอบแน่นอน แต่ไวรัสตัวหลักของมันเป็นไวรัสพิเศษ ถูกสร้างขึ้นด้วยอาคมและเครื่องประกอบทางไสยเวทจำนวนมากจากตำราแม่มด จนทำให้มันกลายเป็น ไวรัสนางพญา”

            ผู้ฟังทั้งสองเกิดความเข้าใจตรงกัน...สัตว์ประเภทผึ้ง หรือปลวก จะมีตัวนางพญาทำหน้าที่วางไข่จำนวนมาก ลูกน้อยของมันตายไปกี่ตัว แต่ถ้านางพญาของรังยังอยู่ พวกมันก็จะไม่สิ้นเชื้อสาย

            เช่นเดียวกับไวรัสนางพญา มันเป็นตัวแม่ที่ช่วยเสริมสร้าง ผลิตไวรัสจากเชื้อโรคจริง ให้กลายเป็นไวรัสอันตราย สามารถถูกสั่งการ ควบคุมด้วยอาคมได้

            “ถ้าเราทำลายไวรัสนางพญาสำเร็จ ไวรัสที่เหลือก็ไม่มีความหมาย กว่าไลลาจะสร้างไวรัสนางพญาขึ้นมาใหม่ก็ต้องใช้เวลาอีกหลายปี ซึ่งตอนนั้นอะไรคงเปลี่ยนแปลงจนเจ้าตัวน่าจะเปลี่ยนใจได้แล้ว” ทรงกลดสรุป

            “ไวรัสนางพญานั่นอยู่ไหน” หมากถาม

            “อยู่ในโรงแรมที่ไลลาเหมายกชั้นนั่นแหละ”

            “ถ้าอย่างนั้น คุณจะให้เราไปถ่วงเวลาทำไม แค่รอตอนไลลาไม่อยู่ แล้วแอบเข้าไปทำลายมันก็ได้” หมากแย้ง

            “ไวรัสนางพญาไม่ใช่สิ่งที่จะมองหากันง่ายๆ ตอนที่ไลลาไม่อยู่ มันจะซ่อนเร้นตัวเองอย่างดี กลมกลืนกับไวรัสอื่นรอบตัว ไม่มีทางแยกออก ต่อให้ทำลายไวรัสทั้งหมด ก็ไม่แน่ว่ามันอาจหลบรอดไปได้ แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่ไลลาอยู่ใกล้ กระแสอำนาจของผู้เป็นนายจะไปปลุกกระทบมันให้ตื่น เปิดเผยตัวตนออกมาเด่นชัดกว่าไวรัสตัวอื่น จนซ่อนเร้นตัวเองไม่ได้ เราจึงจำเป็นต้องเข้าไปทำลายไวรัสนางพญาตอนที่ไลลายังอยู่ที่นั่นด้วย”

            “เสี่ยงน่าดู” ทีเกื้อพูด

            “มันเป็นทางเดียวที่จะหยุดการปล่อยไวรัสครั้งนี้” ทรงกลดย้ำ

            “ผมเอาด้วย” หมากยอมรับ “จะพยายามช่วยถ่วงเวลาให้นานที่สุด ว่าแต่คุณรับรองความปลอดภัยหมอเอื้อได้มากแค่ไหน”

            “นอกจากสร้อยข้อมือที่สามารถกันภูตผี อาคม มนตร์ดำทั่วไปแล้ว ผมก็เชื่อว่าต่อให้ไลลาเห็นเอื้อเป็นฝ่ายตรงข้าม แต่ตัวเธอเป็นแม่มดขาว รับรองไม่ทำอันตรายรุนแรงกับคนดีแน่นอน”

            ทรงกลดพูดเช่นนี้ ไม่รู้ควรวางใจหรือหนักใจดี

            หลังจากนั้น แผนการบุกรังไลลาทั้งสองด้านก็ถูกกำหนดขึ้น เพื่อให้ทำงานสอดประสาน กลมกลืน ในช่วงเวลาจำกัดอย่างรัดกุม



               และตอนนี้หมากก็กำลังถ่วงเวลา เขาไม่ต้องการรู้เรื่อง ฮันเตอร์ คิม มากนัก แต่หากให้เอื้อกานต์พูดจา ขอร้องไลลาเรื่องหยุดปล่อยไวรัสอาคมอย่างเดียว การสนทนาคงจบลงเร็วกว่าที่ต้องการแน่

            ไลลาเริ่มเอ่ยปากเชิงถาม

            “ฉันคิดว่า พวกเธอต้องการให้หยุดปล่อยไวรัสอาคม...เป็นรางวัลเสียอีก”

            หมากสบดวงตาทรงอำนาจนั้นด้วยจิตสงบเบา ไม่มีร่องรอยท้าทาย ไม่ฉายแววเกรงกลัว

            เอื้อกานต์สังเกตท่าทางของหมาก แววตาไลลา ถึงทราบว่าอีกฝ่ายแกล้งถามเพื่อหยั่งเชิง เธอก็พร้อมจะเสี่ยงดู

            “ถ้าคุณยอมหยุดปล่อยไวรัสอาคมได้...มันจะเป็นยิ่งกว่ารางวัลเสียอีก”

            “แล้วคิดว่าฉันตั้งใจให้สิ่งนี้เป็นรางวัลกับพวกเธอหรือไง” ไลลามองมาด้วยแววตาเข้มขึ้น

            “ให้รางวัล...กับตัวคุณเองต่างหาก” เอื้อกานต์บอกด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

            “รางวัล...ของฉัน?” ผู้อาวุโสทวนคำ ไม่เข้าใจ

            “การฆ่าคนมันไม่ใช่เรื่องน่าสนุกนะคะ ไม่ว่าจะฆ่าคนดี หรือคนชั่ว ไม่ว่าจะฆ่าด้วยเหตุผลอะไร ฆ่าเพราะความแค้นเคือง หรือจำใจต้องฆ่า...หัวใจของคนที่เป็นฝ่ายลงมือ ก็หมองดำ บิดเบี้ยวไปหมดแล้ว เมื่อไหร่ที่ยอมรับ เห็นความจริงได้ว่า...การสังหารผลาญชีวิตล้วนเป็นการสร้างภาระหนัก ร้ายแรงแก่ตัวเอง การวางมือ ยอมหยุดมันได้ ถือเป็นรางวัลที่มีค่ายิ่งใหญ่ทีเดียวค่ะ”

            ไลลามองเอื้อกานต์ด้วยแววตายากแปลความหมาย

            “สมมุติว่า...ฉันทำภารกิจที่เป็นไปไม่ได้นั้นสำเร็จ คำสาปแม่มดถูกลบล้าง ฉันได้อยู่ร่วมกับคนที่ตัวเองรัก นั่นมันไม่ใช่เรื่องน่ายินดีกับทุกฝ่ายหรือ? ...โลกนี้ก็จะมีแต่ความสงบสุข ไม่มีคนเลวร้ายคอยก่อกวน ความรักของฉันก็สมหวัง”

            เอื้อกานต์ไม่เชื่อคำพูดของไลลา เพราะเริ่มเข้าใจ...เหตุผลในการปล่อยไวรัสอาคมต้องมีมากกว่าการแก้คำสาปแม่มด!

            “ถ้าไม่มีคนชั่วร้ายหลงเหลือ โลกนี้จะเป็นสุขจริงหรือคะ? ...ความรักที่ต้องแลกกับชีวิตคนนับล้าน มันเป็นความรักแบบไหนกัน?” เอื้อกานต์ตั้งคำถาม

            ไลลานิ่งงัน เอื้อกานต์จึงพูดต่อ

            “บางที ความรักอาจไม่จำเป็นต้องได้อยู่ร่วม ไม่จำเป็นต้องเห็นหน้ากันตลอดเวลา และไม่จำเป็นต้องรู้จัก จดจำกันก็ได้...”

            ขณะพูด จิตใจหญิงสาวหวนคิดถึงชายหนุ่มคนหนึ่ง ซึ่งหัวใจยังผูกพัน อยากอยู่ใกล้ชิด แต่ความรักของเธอมีมากพอที่จะไม่หักหาญ ฝืนเอาแต่ใจและความต้องการของตนเองเพียงฝ่ายเดียว

            “แค่รู้ว่าคนที่เรารักยังอยู่ ไม่ว่าที่ใดบนโลก ให้หัวใจเราได้ระลึกถึงกัน...มันก็พอเพียงแล้ว”

            หมากฟังคำพูดนี้ด้วยความเจ็บปวด แสลงใจ ด้วยรู้ดีว่าเอื้อกานต์หมายถึงใคร...

            ไลลาฟังด้วยแววตาแปร่งแปลก ละสายตาจากสองหนุ่มสาวไปยังบานประตูที่ปิดเงียบ ดวงตาฉายแววรับรู้เรื่องราวบางอย่าง

            ชั่วขณะหนึ่งก็หันมาพูดกับคุณหมอสาวด้วยน้ำเสียงเยาะหยันแกมขบขัน

            “ฉันอยากให้คนที่เธอพูดถึงมาได้ยินคำพูดพวกนี้เหลือเกิน แต่น่าเสียดาย ไม่รู้ว่าเขาจะมีโอกาสนั้นหรือเปล่านะ”

            หัวใจเอื้อกานต์กระตุกวูบ รู้สึกร้อนผ่าวที่ข้อมือ ก้มลงมองเห็นสร้อยข้อมือลูกปัดใสกลายเป็นสีแดงระเรื่อ

            หมากสะดุ้งวาบ นึกถึงทรงกลดที่กำลังทำงานสำคัญ คำพูดซ่อนนัยของไลลาฟังแล้วชวนหวั่นใจ

            ...กริ๊ก...แกร๊ก...

            ชั่วขณะนั้น สร้อยลูกปัดเปลี่ยนจากสีแดงระเรื่อเป็นสีเทาหม่น แล้วมันก็ขาดผึง กลิ้งเป็นเม็ดตกเกลื่อนกระจายบนพื้น

            เกิดอะไรขึ้นกับทรงกลด!







บทที่ ๒๒



            ช่วงเวลาที่หมาก เอื้อกานต์ ก้าวขึ้นลิฟต์ ทรงกลดซุ่มตัวอยู่แถวล็อบบี้โรงแรม แผ่จิตสัมผัสออกกว้าง สแกนหาคลื่นความผิดปกติที่อาจกระจายอยู่โดยรอบ

            แรกทีเดียวยังไม่อาจสำเหนียก รู้สึก จนกระทั่งจิตเข้าสู่ความนิ่งลึก บังเกิดภาพนิมิตคลื่นเสียงปรากฏเป็นเส้นสีส้มอ่อน แผ่ลงมาจากชั้นที่ไลลาพัก

            คลื่นเสียงเห็นด้วยสีในนิมิต บรรเลงด้วยเครื่องดนตรีสองชิ้น เป็นบทเพลงไพเราะอ่อนหวาน อ้อยอิ่ง ทว่าเมื่อใช้จิตเข้าสัมผัสอย่างละเอียด พบว่าเส้นเสียงสีส้มอ่อนถูกถักทอคล้ายตาข่ายถี่ๆ ครอบคลุมชั้นที่ไลลาอยู่ทั้งชั้น อีกทั้งยังกระจายผ่านลิฟต์ลงมาเบื้องล่างจางๆ

            ตาข่ายคีตาสามารถตรวจจับ รับรู้สิ่งแปลกปลอมทุกชนิดที่เข้ามาในขอบข่ายของมันไม่ต่างจากเรดาร์ และรายงานถึงผู้วางตาข่ายโดยตรง นั่นคือไลลา

            ทรงกลดอยู่ห่างจากตาข่ายไม่ไกล ถ้าก้าวขึ้นลิฟต์ตามคุณหมอทั้งสองตอนนี้ หรือแค่ยืนอยู่หน้าประตูลิฟต์ไลลาย่อมทราบถึงการมาเยือนของเขาทันที

            จริงอยู่ เขาสามารถใช้อาคมพรางตัว กลมกลืน โดยคลื่นตาข่ายดนตรีของไลลาไม่อาจตรวจจับได้ เพียงแต่มันไม่อาจใช้ติดต่อกันเป็นเวลานานมากนัก เพราะจะมีช่วงว่างหนึ่งขณะที่มนตร์ขาดตอน เป็นชั่วแวบที่ผู้มีจิตสัมผัสไวอย่างไลลาตรวจรู้ทันที

            นอกจากคลื่นดนตรีที่คล้ายเรดาร์ตรวจจับบุคคลแปลกปลอมแล้ว บนชั้นที่ไลลาพัก ยังมีบอดี้การ์ดมนุษย์ซึ่งถูกสมุนปิศาจควบคุมใช้งานจำนวนหนึ่ง และมีเหล่าภูตผีที่ไม่อาจมองเห็นด้วยตาเปล่าอีกจำนวนมาก ซ่อนเร้น ซุ่มดักคอยระวัง พร้อมจู่โจมผู้บุกรุกทันที

            ทรงกลดค่อยๆ เคลื่อนจิตสัมผัส ควานหาห้องที่ไลลาใช้เก็บไวรัสนางพญา ไล่ทีละห้อง...ทีละห้อง ตลอดทั้งชั้นอย่างถี่ถ้วน

            กระแสตอบกลับมาคือความว่างเปล่า ไม่สะดุดใจ จนกระทั่งพบห้องห้องหนึ่ง อยู่ติดกับห้องพักไลลา ห้องนั้นถูกครอบคลุม ปกปิดด้วยม่านเวทมนตร์อันหนาทึบ จิตสัมผัสอันแหลมคม แกร่งกล้าของเขา ยังไม่อาจทะลุทะลวงเข้าไปล่วงรู้ได้

            ...น่าจะเป็นห้องนี้... ทรงกลดบอกตนเอง

            ไวรัสนางพญาอาจจะเร้นกายได้ดียามอยู่ไกลเจ้าของ แต่ไลลาไม่มีทางยอมให้มันอยู่ไกลตัวนานนัก เพราะต้องใช้อาคมของเธอคอยควบคุมมันอยู่เป็นระยะ เมื่อมันอยู่ใกล้เจ้าของอย่างไลลา ก็ยิ่งแสดงตัวชัด เผยลักษณะเด่นพิเศษ ทำให้ผู้ทรงอาคมเช่นทรงกลดตรวจพบได้ง่าย

            ทุกห้องบนชั้นนั้นไม่มีร่องรอยของมัน ไม่เว้นกระทั่งห้องพักของไลลา ฉะนั้นห้องที่ควรเป็นที่ซ่อนได้ดีสุด ย่อมเป็นห้องที่ถูกปกปิดด้วยม่านดำของเวทมนตร์

            เมื่อมั่นใจในจุดหมาย ทรงกลดค่อยลืมตา ถอยจิตสู่การรับรู้ปกติ ระบายลมหายใจเบาๆ กวาดตามองบริเวณโดยรอบ ริมฝีปากขยับ อาคมพรางตัวถูกสวดขึ้นมาถี่ๆ แผ่วเบา

            ชายหนุ่มขยับก้าวขาเดินไปทางบันไดหนีไฟด้วยอาการปกติ ไม่สนใจผู้คนในบริเวณล็อบบี้ และผู้คนทั่วทั้งล็อบบี้โรงแรมแห่งนี้ก็ไม่อาจรับรู้หรือมองเห็นชายร่างสูง มีใบหน้าสะดุดตาอย่างทรงกลด ได้เช่นกัน



(โปรดติดตามต่อฉบับหน้า)



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP