วรรณกรรมนำใจ Lite Literature

ระบำเวท ๒๔


cover rabamvej


นวนิยายเรื่องนี้ เขียนขึ้นเพื่อความบันเทิง
หากมีชื่อ-สกุล เรื่องราวใดพ้องกับบุคคลจริง ต้องกราบขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย


ชลนิล



(ต่อจากฉบับที่แล้ว)



            ไลลา ฮันเตอร์ คิม ยืนสบตากัน ฝ่ายหนึ่งแววตาเต็มไปด้วยความเจ็บช้ำ ปวดร้าว อีกฝ่ายเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด

            “ผมขอโทษ” ชายหนุ่มบอก

            “มันไม่มีประโยชน์อะไรอีกแล้ว คุณรีบไปจากฉันเสียเถอะ”

            “ไลลา” น้ำเสียงอ้อนวอน

            “เวทมนตร์แม่มดไม่สอนให้กับคนนอก ยกเว้นอีกฝ่ายจะยอมตัวเข้ามาเป็นลูกศิษย์” ไลลาพูดด้วยเสียงเจ็บปวด

            “ผมเป็นลูกศิษย์ของคุณก็ได้ ไม่เห็นเป็นไรเลย” เขาพูดอย่างไม่เห็นเป็นเรื่องสำคัญ

            “คุณรู้มั้ย การเป็นลูกศิษย์อาจารย์ตามความหมายของพวกฉันคืออะไร...” เสียงถามกราดเกรี้ยว

            ชายหนุ่มสบตานิ่ง รอฟัง หญิงสาวถอนใจเฮือกใหญ่ ก่อนพูดด้วยน้ำเสียงเจ็บปวด

            “คนเป็นลูกศิษย์ ก็เหมือนทาส ข้ารับใช้ของผู้เป็นอาจารย์ ไม่มีสิทธิ์ ไม่มีเสียง ไม่สามารถขัดคำสั่ง หรือฝืนขัดแย้งสิ่งที่อาจารย์ตัดสินใจได้...และ...”

            ไลลาหยุดชั่วขณะ เบือนหน้าหนี ไม่ยอมสบสายตาเขา

            “เมื่อมีความสัมพันธ์เป็นศิษย์อาจารย์ ก็ต้องรักษาความสัมพันธ์นั้นไปตลอด ไม่อาจเปลี่ยนเป็นความสัมพันธ์อย่างอื่นได้อีกเลย”

            ฮันเตอร์ คิม สะดุ้งเฮือกใหญ่ เกิดความเข้าใจทันที

            “ถ้าอย่างนั้น...เรา...”

            “ใช่...ความรักของเราเป็นไปไม่ได้อีกแล้ว...เราจะไม่มีวันกลับมามีความสัมพันธ์แบบเดิมได้อีก” หญิงสาวเอ่ยปากบอกความจริงด้วยน้ำเสียงสะกดกลั้นความขมขื่น

            มันน่าเจ็บปวดแค่ไหน ถ้าได้เห็นคนที่รักสุดหัวใจอยู่ใกล้ๆ แต่ไม่อาจเอื้อมถึงกันได้

            “มัน...ไม่มีทางเลี่ยงเลยหรือ?” ชายหนุ่มถามเสียงแผ่ว เขาไม่เคยรู้ว่าต้องแลกวิชานี้กับผู้หญิงคนเดียวที่เขารักจนไม่อาจตัดขาดจากเธอ

            ไลลาหลับตา ข่มความรู้สึกพลุ่งพล่านในหัวใจลงไป พยายามสะกดคำพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

            “ฉันรู้ ว่าคุณมีความจำเป็นต้องเรียนอาคมขั้นสูงสุดเพื่อกลับไปแก้แค้น ไปเถอะ...กลับไปแก้แค้น สะสางเรื่องของคุณให้เรียบร้อย แล้วไม่ต้องมาให้ฉันเห็นหน้าอีก...ฉันไม่อยากพบหน้าคุณ...จนกว่า...”

            ท้ายคำพูด หลุดออกมาด้วยความพลั้งเผลอ

            “จนกว่าอะไร...” ชายหนุ่มรีบถาม มันอาจเป็นหนทางเดียวที่ทำให้ทั้งสองได้อยู่ร่วมกันเหมือนเดิม “ต้องทำยังไงเราถึงจะได้อยู่ด้วยกันเหมือนเดิม”

            “คุณอย่ารู้ดีกว่า มันเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้...เป็นภารกิจที่บอกออกมาเพื่อให้คนรับต้องถอดใจ ยอมแพ้”

            “ไลลา...” ชายหนุ่มร้องเรียกด้วยเสียงเว้าวอน รู้สึกผิด

            คำพูดไลลาไม่ต่างจากเสียงทอดถอนใจ

            “คุณไปเถอะ สะสางเรื่องของคุณ... ถ้ายังสงสารฉัน อย่ามาให้เห็นหน้ากันอีกเลย”

            ฮันเตอร์ คิม อึ้ง แรงกระแทกจากความเศร้าโศกเสียใจของฝ่ายตรงข้าม กระทบใจเขาอย่างแรงจนพูดไม่ออก ไม่กล้ากระทั่งเอ่ยปากอ้อนวอน ขอโทษซ้ำ จำใจต้องจากลา ด้วยรู้ว่ามีหน้าที่สำคัญ ไม่ทำไม่ได้

           นับจากวันนั้น เส้นทางของทั้งสองกลายเป็นเส้นขนาน ความสัมพันธ์ฉันศิษย์อาจารย์ที่แสนเจ็บปวด ไม่อาจแปรเปลี่ยน กลับกลาย ต่อให้เจอหน้า ก็ไม่อาจล่วงล้ำ เข้าใกล้ อย่างนี้...สู้ไม่ต้องเห็นหน้ากันดีกว่า...



            หลังจากฟังเรื่องราวระหว่างไลลากับ ฮันเตอร์ คิม จบลง สามหนุ่มต่างมองหน้ากัน ไม่มีใครออกความเห็น ไม่มีใครนึกตั้งคำถาม

            “เพราะเรื่องนี้ ไลลาเลยมาปล่อยไวรัสอาคมฆ่าคนงั้นหรือ?” ทีเกื้อรู้สึกว่ามันไม่สมเหตุผล

            “มันเกี่ยวกับภารกิจที่เป็นไปไม่ได้ อย่างที่เขาพูดหรือเปล่า” หมากตั้งข้อสงสัย

            “พี่กลดรู้มั้ยว่าภารกิจที่เป็นไปไม่ได้นั้นคืออะไร?” นายตำรวจถาม

            ทรงกลดส่ายหน้า ตอบไม่ถูก นึกถึงเพลง ‘Scarborough fair’ ที่ไลลาให้เอื้อกานต์ตีความ ทำความเข้าใจ เขาเชื่อว่าสิ่งที่คาใจไลลาน่าจะเกี่ยวกับภารกิจที่เป็นไปไม่ได้อย่างเนื้อเพลงนั้น

            พยายามนึกทบทวนความทรงจำของ ฮันเตอร์ คิม อาจารย์ตนรู้ความหมายในภารกิจที่ไลลาพูดถึงหรือไม่?

            คำตอบไม่ชัดเจนนัก อาจารย์อาจรู้แล้ว แต่จงใจปิดบัง ไม่ถ่ายทอดมันผ่านความทรงจำที่ให้มาก็ได้

            “เขา...จงใจปล่อยไวรัสจัดการกับคนที่คิดชั่ว ทำชั่ว” หมากพูดประเด็นนี้ขึ้น “มันอาจมีสาเหตุจากความคั่งแค้น ฝังใจมาตั้งแต่สมัยล่าแม่มดหรือเปล่า...”

            หมากฟังเรื่องเกี่ยวกับไลลากับฝันร้ายซ้ำซากนั้นแล้ว เกิดความเห็นใจขึ้นมาลึกๆ

            “คนที่ฝันร้ายซ้ำซาก ว่าโดนคนมาไล่ล่า ทารุณทำร้าย โยนบาปผิดที่ไม่ได้ทำมาให้แบบนั้น ในใจต้องเกิดความเกลียดชังโลก เกลียดชังคนชั่ว คิดชั่ว จนแทบฝังเข้ากระดูก ไม่แปลกที่วันหนึ่งเขาจะหาวิธีเอาคืนแบบนี้”

            สองหนุ่มได้ฟังรู้สึกบางส่วนมีเหตุผล แต่ยังไม่กล้าตัดสินใจเชื่อทั้งร้อยเปอร์เซ็นต์

            “ไม่ว่ายังไงก็แล้วแต่...ผู้หญิงคนนี้น่ากลัวมาก ถ้าเอื้อต้องไปเจอเขาอีกครั้ง มันก็น่าเป็นห่วง” ทีเกื้อพูด

            “แต่ถ้าไม่ไปเจอเขา...เราก็ไม่มีทางรู้เหตุผลแท้จริงในการปล่อยไวรัสอาคมเลย แล้วถ้าไม่รู้ มันก็ยิ่งยากจะหาทางหยุดยั้งเขา” หมากแย้ง

            “ไม่เป็นไร” ทรงกลดพูดหนักแน่น “พี่จะไม่ปล่อยให้เอื้อเป็นอันตรายเด็ดขาด”

            ทรงกลดพูดกับทีเกื้อ หากน้ำเสียงจริงจังมั่นคงขนาดนั้น ย่อมต้องการย้ำให้ชายอีกคนรับรู้ด้วย

            “อีกอย่าง...” หมากพยายามสงบความรู้สึกดิ้นเร่าด้วยแรงริษยาในใจเมื่อได้ยินคำพูดฝ่ายตรงข้าม แล้วพูดต่อด้วยเหตุผลของตัวเอง “ผมคิดว่าหมอเอื้อคงไม่ไปหาไลลาคนเดียวแน่...ผมเชื่อว่า ถ้าเธอพร้อมไปพบไลลาเมื่อไหร่ คงชวนผมไปด้วยกัน”

            ทรงกลดจำใจพยักหน้า เห็นจริงตามนั้น ต่อให้รู้สึกเจ็บปวดลึกๆ เขาก็ต้องยอมรับว่า หมากกับเอื้อกานต์เผชิญหน้ากับอิทธิฤทธิ์ไลลาร่วมกันมาหลายครั้ง จึงไม่น่าแปลกถ้าเอื้อกานต์จะชวนหมากไปหาไลลาด้วยกัน

            “ถ้างั้นเราควรวางแผนรับมือไว้ก่อนดีกว่า” ทีเกื้อสนับสนุน

            หลังจากนั้น สามหนุ่มก็หันหน้าเข้าหากัน พูดคุย วางแผนรับมือกับไลลา เตรียมพร้อมช่วยเหลือ หนุนหลังเอื้อกานต์ไม่ให้ได้รับอันตรายใดๆ อีกทั้งยังหาโอกาสและวิธีหยุดยั้งการปล่อยไวรัสอาคมครั้งที่สามให้ได้

            เมื่อได้ฟังแผนการ วิธีเตรียมรับมือไลลา ปกป้องเอื้อกานต์อย่างชัดเจนเป็นรูปธรรมขนาดนั้น ทีเกื้อก็ค่อยโล่งอกเพราะรู้แล้วว่าพี่สาวอยู่ในความคุ้มครองจากผู้ชายที่ไม่ธรรมดาถึงสองคน

            สำหรับทรงกลดนั้น เขาไม่เคยสงสัยถึงความแกร่งกล้าในวิชาอาคมที่มี ส่วนหมาก แม้จะยังไม่เคยแสดงฝีมืออะไรให้เห็น แต่ระหว่างที่คุณหมอคนนี้พูดจาเล่าประวัติของทรงกลดอย่างคนรู้จริง ทีเกื้อก็สัมผัสถึงพลังงานอันอบอุ่น กล้าแข็ง ที่แผ่ความสุขออกมาปกป้อง โอบล้อมหมากเอาไว้

            นั่นทำให้เขาเชื่อว่านายแพทย์หนุ่มรายนี้ ‘มีดี’ พอตัว อีกทั้งยังไม่เคยอวดตัวกับใครอีกด้วย

            ทั้งหมดช่วยให้เขาวางใจ กลับไปทำงานสำคัญทางเหนืออย่างไม่มีห่วงกังวล

            ถึงอย่างนั้น ก่อนขึ้นเครื่อง เขายังหาเรื่องกลับไปอาบน้ำที่บ้าน เพื่อออกปากเตือนพี่สาว เกี่ยวกับความน่ากลัวของไลลาอีกครั้ง

            และตอนบ่ายวันนี้ หลังจากเอื้อกานต์โทร. นัดหมายไลลาสำเร็จ เธอก็ออกปากชวนหมากร่วมทางด้วยอย่างที่หมอหนุ่มคาดการณ์ไว้ หมากจึงแอบมาคุยกับทรงกลดก่อนที่เอื้อกานต์จะมาหา สองหนุ่มต่างนัดหมาย เตรียมตัวดำเนินแผนการช่วยเหลือ คุ้มครองผู้หญิงที่ตนรักและเป็นห่วง โดยไม่มีการเกี่ยงงอน ขัดแย้งกัน



             เช้ามืดวันนัดหมาย

            ร้านกาแฟชาวบ้าน ย่านตึกแถวเก่า ชุมชนคนค้าขาย

            คนขายกาแฟเป็นอาแปะแก่ๆ ต้มกาแฟแบบโบราณ ถุงกาแฟเป็นสีน้ำตาลเข้ม บอกอายุใช้งานยาวนาน โชกโชน ใกล้กันเป็นเพิงขายปาท่องโก๋ร้อนๆ กลิ่นหอม ชวนกินคู่กับกาแฟยามเช้า

            ร้านกาแฟมีลูกค้าเกือบเต็ม ที่โต๊ะด้านใน ตรงหลืบที่ผู้คนไม่ค่อยเดินผ่าน มีชายร่างใหญ่ เส้นผมสีเทาแซมขาว ใบหน้าเรียบๆ จืดๆ ริ้วรอยที่หางตาบอกถึงวัยชรา กำลังนั่งจิบกาแฟ กินปาท่องโก๋ ด้วยจิตใจผ่อนคลาย

            เขาชอบมาดื่มกาแฟ กินปาท่องโก๋ ตอนเช้ามืดที่นี่ ชอบฟังบรรดาคนแก่เชื้อสายจีนคุยกันถึงเรื่องเก่าๆ ความลำบากในวัยหนุ่ม เรื่องของยุคสมัยที่เปลี่ยนแปลง

            มันทำให้นึกถึงตนเองเมื่อราวสี่สิบปีที่แล้ว สมัยหนุ่มฉกรรจ์ วัยยี่สิบต้นๆ มั่นใจในความรู้ ความสามารถเกินไป จนพลาดพลั้งเสียที ต้องทนทุกข์ทรมานในเหมืองเพชรถึงหกเจ็ดเดือน กว่าจะหนีออกมาได้

            พอหนีสำเร็จ กลับได้รับรู้เรื่องราวที่ทำให้จิตใจเกิดความคั่งแค้นแทบระเบิด ตั้งปณิธานแรงกล้าจนกลายเป็น ฮันเตอร์ คิม ในทุกวันนี้

            บุคคลที่ทำให้เกิด ฮันเตอร์ คิม ผู้ทรงอาคมกล้าขึ้นมา คือ ‘อาจารย์ตูมิน’ ผู้อยู่เบื้องหลังการโค่นล้มระบอบการปกครอง...รวมทั้งการล่มสลายของประเทศมูเจน

            ‘อาจารย์ตูมิน’ เป็นใคร มาจากไหน ไม่มีใครรู้ รู้เพียงเขาก้าวเข้ามาเป็นคนสำคัญที่องค์เจ้ามูจนะและหน่อเนื้อมูจนะทุกพระองค์ล้วนให้ความเคารพ นับถือในเวลาไม่นาน

            เริ่มจากองค์รานีป่วยด้วยโรคประหลาด แพทย์แผนปัจจุบันไม่สามารถวินิจฉัย รักษา ขนาดพาพระนางไปถึงอเมริกา แพทย์มีชื่อเสียงที่นั่นยังส่ายหน้า ยอมแพ้ ต้องกลับมูเจนด้วยความหมดหวัง

            จู่ๆ อาจารย์ตูมินก็ปรากฏกายเข้ามาในพระราชวัง เพื่อขอโอกาสรักษาอย่างปาฏิหาริย์ เหล่าหน่อเนื้อรวมทั้งองค์เจ้ามูจนะล้วนประหลาดใจที่เห็นคนนอกสามารถผ่านเวรยาม ทหารรักษาการณ์แน่นหนา เข้ามาถึงพระตำหนักชั้นในได้

            ด้วยความสามารถพิเศษ ปาฏิหาริย์ที่อาจารย์ตูมินแสดงให้ดู ทำให้องค์เจ้ามูจนะเกิดความศรัทธา เชื่อถือ ยอมให้รักษาองค์รานี ผลคือ โรคที่แพทย์แผนปัจจุบันรักษาไม่หาย ไม่รู้กระทั่งสมมุติฐาน กลับหายขาด พ้นความทุกข์ทรมานด้วยฝีมืออาจารย์ตูมินภายในสามวัน

            หลังจากนั้นเหล่าหน่อเนื้อมูจนะต่างเข้ามาขอร้อง ขอความช่วยเหลือจากอาจารย์ตูมิน ไม่ว่าจะเป็นด้านการแพทย์ การรักษา ศาสตร์พยากรณ์ กระทั่งศาสตร์เร้นลับในเรื่องส่วนตัวต่างๆ

            จากบรรดาหน่อเนื้อมูจนะ ก็มาถึงเหล่านายทหารระดับสูง นักการเมือง ทุกคนแอบขอความช่วยเหลือจากอาจารย์ตูมินอย่างเงียบๆ ซึ่งผู้ทรงอาคมรายนี้ก็สามารถช่วยเหลือคนเหล่านั้นให้สมหวังได้ถ้วนหน้า

            ทุกคนยกย่องนับถืออาจารย์ตูมินเสมอดังเทพเจ้าแห่งมูเจนคนหนึ่ง ขนาดเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ หน่อเนื้อมูจนะถูกปลิดชีพกำจัดสิ้น ระบอบองค์เจ้าล่มสลาย ทว่าสถานะของอาจารย์ตูมินยังไม่สั่นสะเทือน

            เจ้าชายเฌอคิมซาพบอาจารย์ตูมินอย่างคาดไม่ถึง ที่ริมถนน ทางหลวงประเทศเพื่อนบ้าน ตอนที่เพิ่งหนีตายออกจากป่า เห็นแล้วในใจนึกหวาดหวั่นแกมโกรธเคือง ได้แต่มองดูว่าอีกฝ่ายจะมาไม้ไหน

            ตาล็อกบอกว่า อาจารย์ตูมินเป็นคนเปิดเผยการมาประเทศมูเจนของเขาอย่างละเอียด จนทำให้ถูกจับกุม ทรมานในเหมืองเพชรอยู่ครึ่งค่อนปี

            “จะเข้าเมืองหรือเจ้าชาย” เป็นคำทักทายแรกจากบุคคลที่ผู้ครองอำนาจมูเจนปัจจุบันให้การเคารพ

            เฌอคิมซามองอีกฝ่าย นึกสงสัยว่ามีเจตนาใด และเขาควรตอบโต้แบบไหน แกล้งทำเป็นปฏิเสธ ไม่รู้จัก หรือยอมรับด้วยมาดของเจ้าชาย ทั้งที่สภาพตนเองเวลานี้ ซอมซ่อไม่ต่างจากยาจกคนหนึ่ง

            “ขึ้นรถไปด้วยกันสิ...จะไปส่ง” คำพูดชักชวนมีน้ำใจ ชวนให้นึกระแวง...

            คนที่เปิดเผยความลับการมาเยือนมูเจนของเขา จนทำให้ต้องไปตกนรกเหมืองเพชรนานขนาดนั้น มีหรือจะหวังดี มีน้ำใจจริง

            ขณะกำลังเอ่ยปากปฏิเสธพร้อมกับเดินหนี อีกฝ่ายก็พูดขึ้นอย่างรู้ทัน

            “ถ้าเราจะจับ หรือต้องการฆ่าเจ้าชาย ก็ไม่จำเป็นต้องหลอกให้ขึ้นรถหรอก แค่สั่งทหารปลอมตัวเป็นชาวบ้านมาซุ่มดักอยู่แถวนี้ ก็เรียบร้อยแล้ว จะวางแผนให้ยุ่งยากทำไม”

            เฌอคิมซาเห็นจริงตามคำพูดนั้น และยังเห็นแววตาผู้สูงวัยกว่ามองมาอย่างท้าทาย ทำให้เขาเชิดหน้า ก้าวขึ้นรถอย่างไม่แสดงความเกรงกลัวให้เห็น

            รถแล่นเร็วเรียบนิ่ง ตลอดทางตั้งแต่เจอหน้า กระทั่งขึ้นรถมาด้วยกัน เฌอคิมซายังไม่เอ่ยปากสักคำ ฝ่ายที่พูดเรื่อยๆ อยู่คนเดียวคืออาจารย์ตูมิน

            “อยู่ในนั้นคงหนักน่าดูละสิ...ตาล็อกมันอยากได้สมบัติคู่บัลลังก์เต็มที่ เลยสั่งทารุณ บีบคั้นเสียหนักมือ”

            ผู้พูดหยุดนิดนึง เหลือบมองชายหนุ่มร่วมทาง เห็นหุบปากสนิท ดวงตาใต้เส้นผมกระเซิงฉายแววกล้าแกร่ง ไม่ยอมสยบง่ายๆ

            “สมบัติคู่บัลลังก์ไม่เห็นมีค่าสักนิด กะอีแค่ก้อนกรวดเม็ดใหญ่ สีสันงดงามเท่านั้น ถ้าเราอยากได้จริงๆ ก็ไปที่โบสถ์...ใต้ฐานพระแม่มารีซ่อนตู้เซฟลับเอาไว้ แค่ใส่รหัส...ก็เปิดออกได้แล้ว”

            เฌอคิมซาหันขวับ นัยน์ตาเบิกโพลง ความลับที่ซ่อนสมบัติล้ำค่านี้ไม่มีใครรู้ เขาไม่ยอมเก็บไว้ในเซฟธนาคารใดทั้งสิ้น เสาะหาจนพบสถานที่แห่งนี้ ตรวจสอบจนมั่นใจจึงซุกซ่อนอย่างเงียบเชียบ ไม่มีใครรู้

            อาจารย์ตูมินกลับรู้ที่ซ่อน รู้กระทั่งรหัสเปิดเซฟ...เขามีความสามารถหยั่งรู้ถึงเพียงนี้เชียวหรือ?

            ...แกรู้ได้ยังไง...

            คำถามดังในใจ ไม่ยอมหลุดจากปาก เป็นการยอมรับสถานภาพโดยปริยาย

            “เรารู้ทุกเรื่องที่อยากรู้นั่นแหละ” ตูมินพูดราวกับได้ยินความคิดในหัวเขา “ตั้งแต่เจ้าชายหนีออกนอกประเทศ ไปหลบอยู่ไหน เปลี่ยนชื่อเป็นอะไร ภายในสิบปีนี้ทำอะไรบ้าง ร่ำเรียนวิชาอะไร คบผู้หญิงกี่คน มีสมบัติเท่าไหร่ เก็บไว้ธนาคารไหนบ้าง และวางแผนกลับมาชิงบัลลังก์อย่างไร...อยากให้เล่ารายละเอียดทั้งหมดมั้ยล่ะ”

            เฌอคิมซาจิกต้นขาตัวเองแน่น ไม่ยอมหลุดปากถามข้อสงสัยออกไป

           ...ในเมื่อรู้เรื่องราวของเราดีขนาดนั้น ทำไมถึงยังปล่อยให้ลอยนวลอยู่ได้...

            “เราไม่ได้คิดอยากฆ่าเจ้าชาย หรืออยากได้สมบัติคู่บัลลังก์ไร้ค่าอะไรนั่นเลย” ฝ่ายตรงข้ามตอบคำถามในหัวเขาอีกครั้ง

            “แล้วที่ทำมาทั้งหมดนั่น เพื่ออะไร?” สุดท้ายเขาก็หมดความอดทน ตะโกนโพล่งถามออกมา

            อีกฝ่ายยิ้มเรื่อยๆ ตอบด้วยน้ำเสียงธรรมดาที่สุด

            “ทุกสิ่งที่เราทำ...ก็เพื่อปรารถนาเดียว...ให้ประเทศมูเจนถูกลบออกจากแผนที่โลก!”

            เฌอคิมซาสะดุ้งเยือก เย็นวาบ เบิกตามองคนพูดอย่างไม่อยากเชื่อสายตา

            “เพราะ...อะไร” คำถามเสมือนเสียงพร่ำ รำพัน

            อีกฝ่ายเพียงยิ้ม หักรถลงข้างทางแล้วเหยียบเบรก

            “เดินไปข้างหน้าไม่ถึงร้อยเมตรจะมีตู้โทรศัพท์ ที่ประเทศนี้ เจ้าชายมีเพื่อนฝูงหลายคนนี่...น่าจะโทร. ให้ใครมารับได้” เป็นอีกครั้งที่อาจารย์ตูมินพูดแทงใจ

            “เพราะอะไร?” เฌอคิมซาย้ำคำถามเดิม ดวงตาวาวโรจน์ด้วยเพลิงโทสะรุนแรง “เพราะอะไรต้องทำลายครอบครัวฉัน เพราะอะไรต้องทำร้ายมูเจนรุนแรงขนาดนั้น”

            ผู้สูงวัยยิ้มเรียบเรื่อย ไม่ใส่ใจ

            “เมื่อไหร่ที่เจ้าชายมีศักดิ์ศรี ความสามารถมากพอจะประจันหน้ากับเราได้ วันนั้นเจ้าชายจะรู้เหตุผลนี้”

            เจ้าชายพลัดบัลลังก์จ้องตาอีกฝ่ายเขม็ง ยอมรับว่าตนไม่อาจเทียบเท่าหรือแม้ใกล้เคียงฝ่ายตรงข้ามได้เลย สุดท้ายต้องยอมเปิดประตูลงจากรถ

            ทว่า...เพียงก้าวขาได้สองสามก้าว ก็มีเสียงดัง...ครืนนนนน....เปรี้ยง!

            ฟ้าผ่าลงตรงหน้า แผ่นดินแยกเป็นหลุมกว้าง ลึกสามสี่เมตร...ลึกและกว้างพอจะฝังร่างเขาจนมิด

            เฌอคิมซาหันขวับ มองเห็นคนที่อยู่หลังพวงมาลัยนั่งนิ่ง มองตรงมา ดวงตาทอประกายเจิดจรัส ประกาศขุมพลังกล้าแข็งจนน่ากลัว

            เป็นครั้งแรกที่เขาขาสั่น แทบทรุดฮวบต่อหน้าศัตรู...มูเจนไม่ได้ล่มสลายเพราะตาล็อกกับพวกเท่านั้น บุคคลผู้อยู่เบื้องหลัง ชอนไชมูเจนจนเกิดรูรั่วขนาดใหญ่ให้ฝ่ายตรงข้ามโจมตี อีกทั้งเป็นกุนซือวางแผนแยบยล ผู้ร้ายน่ากลัวตัวจริง...อยู่ตรงหน้าเขาแล้ว!

            ‘อาจารย์ตูมิน’ ชายผู้ทรงเวท ล้ำด้วยอาคมกล้า พลังอำนาจอันน่าหวาดหวั่นถูกแสดงออกมาเพื่อข่มขู่มนุษย์ตัวกระจ้อยเช่นเขา

            หากจะแก้แค้น ทวงบัลลังก์คืน นอกจากเอาชนะผู้ร้ายอย่างตาล็อกให้ได้ เขายังต้องมีความสามารถ ทรงเวทมนตร์ อาคมเหนือกว่ามารร้ายเช่นอาจารย์ตูมินอีกด้วย

            สักวันหนึ่งเขาต้องเป็นผู้ทรงอาคมกล้าเพื่อสยบฝ่ายตรงข้าม เป็นผู้ทรงอาคมเหนือกว่าผู้ทรงอาคมทั้งปวง!

            นั่นเอง...คือจุดเริ่มต้นการเดินทางบนเส้นทางสายเวทมนตร์...เส้นทางอาคมของ ฮันเตอร์ คิม!



            กาแฟหมดแก้ว ปาท่องโก๋พร่องไปเกือบครึ่ง ทว่า ฮันเตอร์ คิม ยังละเลียดบรรยากาศยามเช้าอย่างไม่รู้สึกอิ่ม อดีตคล้ายสายน้ำผ่านเลย ไม่หวนกลับ

            เขาต้องใช้เวลาอีกเกือบสิบปีกว่าจะสำเร็จเวทมนตร์ขั้นสูง หลอมรวมวิชาต่างๆ จนทะลุกรอบอาคมสำเร็จ ตั้งใจกลับไปแก้แค้นคนที่ทำร้ายครอบครัวและบ่อนทำลายแผ่นดินเกิดให้สาสม

            ทว่าเมื่อไปถึงกลับพบกับความผิดหวังชนิดเกินคาด

            สิบปีผ่านไป...บ้านเกิดเมืองนอนไม่เหมือนเดิม ไม่เหมือนวันที่เขากลับมาตอนวัยยี่สิบต้นๆ อีกแล้ว

            น่าขัน...เมื่อเขากลับมูเจนตอนอายุสามสิบกว่า พร้อมความมั่นใจว่าจะเอาชนะอาจารย์ตูมิน กลับพบว่าตนเองพ่ายแพ้ หลงกลผู้ทรงเวทคนนั้นเสียแล้ว

            ตาล็อกโดนยึดอำนาจ ถูกสังหารตายพร้อมพวกพ้อง บ้านเมืองเปลี่ยนผู้ปกครองใหม่ อาจารย์ตูมินหายสาบสูญ มีกระแสข่าวบอกว่า เขาโดนวางยาพิษ ทหารนับสิบระดมยิงใส่ แล้วถูกนำไปถ่วงน้ำ แต่กลับไม่มีใครพบศพของเขา

            เฌอคิมซาไม่ยอมเชื่อว่าชายผู้ทรงเวทคนนั้นจะตายง่ายๆ เขาพยายามค้นหาร่องรอยเท่าไรก็ไม่เจอ จนต้องยอมวางมือ นึกทบทวนบทบาทของตัวเอง

            จากนี้ไป เขาควรใช้ชีวิตต่อไปอย่างไรดี ศัตรูคู่แค้นล้วนตายสิ้น บ้านเมืองเปลี่ยนโฉมจนเขากลายเป็นคนแปลกหน้า...คิดจะกู้บัลลังก์คืนอย่างนั้นหรือ?

            ตั้งแต่ระบอบองค์เจ้าล่มสลาย ยี่สิบกว่าปีผ่านไป ยังมีใครคิดถึงเจ้าชายอย่างเขาบ้าง?

            การใช้ชีวิตสิบปีที่หมดไปกับการฝึกอาคม...มันคุ้มค่านักหรือ?

            เขานึกถามตนเอง...กว่าจะมาถึงวันนี้ ต้องทุ่มเท สูญเสียอะไรไปบ้าง

            ความสุข...ชีวิตวัยหนุ่ม...ปณิธานการกู้บัลลังก์...กระทั่งผู้หญิงที่ตัวเองรัก เพื่อกลายมาเป็นเจ้าอาคมผู้ทรงฤทธิ์ มันล้วนกลายเป็นสิ่งเปล่าประโยชน์เสียแล้ว

            เขากลับไปหาไลลาด้วยต้องการรู้...ภารกิจที่เป็นไปไม่ได้นั้นคืออะไร และได้พบว่า...ตัวเองยังกระทำผิดซ้ำซาก ไม่สิ้นสุดเสียที

            ฮันเตอร์ คิม ผู้ไม่ยี่หระกังวลต่อผู้ใด ไม่เห็นทุกผู้คนในโลกอยู่ในสายตา แต่กับคนคนหนึ่ง เขารู้สึกผิดอย่างยิ่ง บุคคลที่เขาต้องชดใช้ให้แก่เธอ เป็นคนเดียวที่เขายอมถอยหลัง ก้มหน้าให้

            เขายอมแค่เธอเท่านั้น...ไลลา...ผู้หญิงที่เขาจำเป็นต้องนับถือเป็นอาจารย์...ตลอดชีวิต!







ตอนที่ ๒๑



            กาแฟควันกรุ่นสองถ้วย พร้อมปาท่องโก๋ร้อนๆ ส่งกลิ่นหอมอยู่ในถาดใบย่อม ถูกนำมาเสิร์ฟถึงห้องพักผู้ป่วยแต่เช้า

            คนไข้หนุ่มมองคุณหมอสาวอย่างแปลกใจ นึกไม่ถึง...เธอจะลงทุนยกกาแฟ ปาท่องโก๋ มาให้แบบนี้

            “อะไรครับหมอ” เขาถาม

            “อาหารเช้า เลี้ยงส่งที่คุณได้ออกจากโรงพยาบาลไงคะ” เอื้อกานต์พูดหน้าตาเฉย

            “หือ...” คนป่วยเลิกคิ้ว สงสัย

            คนเป็นหมอไม่สนใจ วางถาดบนโต๊ะข้างเตียง

            “มานั่งกินด้วยกันสิคะ ปาท่องโก๋เจ้านี้อร่อยมาก ขายอยู่หน้าโรงพยาบาลนี่เอง ถ้าใครออกไปซื้อตอนสาย รับรองหมดเกลี้ยง อดกิน” หญิงสาวบรรยายสรรพคุณ

            “แล้วกาแฟ...” ชายหนุ่มมองถ้วยกาแฟกระดาษบนถาด

            “อ๋อ...หมอซื้อจากเครื่องขายอัตโนมัติแถวนี้เอง มันต้องอร่อยแน่ๆ ไม่งั้นคงขายไม่ออก โดนยกตู้กลับบ้านนานแล้ว”

            คนป่วยอมยิ้ม นัยน์ตาบอกความรับรู้ เข้าใจ เลื่อนเก้าอี้ให้คุณหมอ แล้วลากเก้าอี้ให้ตัวเองนั่งอีกตัว

            เอื้อกานต์คงไม่รู้ เมื่อคืนสองคืนก่อน ที่ตรงนี้เคยมีผู้ชายสามคนนั่งคุยกัน หาหนทางวางแผนปกป้องดูแลเธอ

            “ออกจากโรงพยาบาลแล้ว คุณยังอยู่เมืองไทยต่อมั้ยคะ” เอื้อกานต์ถามขณะจิบกาแฟ

            “ครับ” เขาตอบสั้น

            ปาท่องโก๋ถูกฉีกกินแกล้มกาแฟยามเช้า ฝ่ายชายพยายามถนอมปากคำ ไม่อยากพูดจา กระนั้นหญิงสาวก็ยังพอใจเป็นฝ่ายถาม ซักไซ้เขาเรื่องทั่วไป

            “จากเมืองไทย คุณมีโปรแกรมเที่ยวต่อที่ไหน” คำถามธรรมดา เช่นที่ถามนักท่องเที่ยวต่างชาติทั่วไป

            “ผมไม่มีโปรแกรม แล้วแต่ความพอใจ” เขาตอบ

            “แล้ววันนี้...คุณ...พอใจไปไหน” คำถามเจาะจง ละเอียดขึ้น

            “คงกลับไปพักที่โรงแรม” ชายหนุ่มพูดไม่ติดขัด พร้อมเตรียมคำตอบล่วงหน้าหากหญิงสาวจะถามเขาต่อ...พักอยู่โรงแรมไหน?

            แต่เอื้อกานต์แค่พยักหน้ารับทราบ ไม่ตั้งคำถาม ราวกับไม่ต้องการให้เขาลำบากสร้างเรื่อง หาชื่อโรงแรมมาโกหก

            แววตาชายหนุ่มที่ทอดมองเธอคล้ายแทนถ้อยคำขอบคุณ...

            รอยยิ้มอย่างเข้าใจระบายบนใบหน้าเนียนใส ดวงตาเป็นประกายนุ่มนวลยามเงยขึ้นสบตาอีกฝ่าย พร้อมตั้งคำถามด้วยเสียงอ่อนโยน

            “คุณ...มีความสุขหรือเปล่าคะ...” น้ำเสียงแฝงสัมผัสละเมียดละไมจากความรู้สึกแท้ในหัวใจ

            ชายหนุ่มไม่หลบสายตานั้น ริมฝีปากขยับ ตอบอย่างจริงใจ

            “ผมมีความสุขเสมอ...เท่าที่คนในสายตาผมยังมีรอยยิ้ม และใช้ชีวิตอย่างเป็นสุข”

            หญิงสาวยิ้มน้อยๆ กระไอฝ้าบางๆ จับอยู่ที่ดวงตาจนต้องกะพริบตาสองสามครั้งเพื่อไล่มันออก ตั้งสติมั่น ตอบด้วยน้ำเสียงปกติดังเดิม

            “ขอบคุณค่ะ...เท่านี้แหละที่หมออยากรู้...”

            กาแฟเลี้ยงส่งมื้อเช้าดำเนินต่อไปอย่างอบอุ่น ราบเรียบ กาแฟหอมกรุ่นเคล้าบรรยากาศสดชื่นยามเช้า และความรู้สึกอ่อนโยนที่อบอวลอยู่รอบตัว เสียงสนทนาดำเนินต่อไปเรื่อยๆ ด้วยเรื่องไกลตัว แล้วแต่จะนึกอะไรขึ้นมาได้ ความอึดอัดขัดเขินจางหาย แทนที่ด้วยความรู้สึกแปลกใหม่จากหัวใจที่ยอมรับ...ไม่คิดเหนี่ยวรั้งกันและกัน

            กาแฟหมดถ้วย ปาท่องโก๋หมดจาน หญิงสาวเอ่ยลาเป็นคำพูดสุดท้าย

            “ขอบคุณนะคะ...ที่ยังมีชีวิตอยู่” เพียงคำแรก เสียงก็เริ่มสะดุด ต้องตั้งสติอีกชั่วขณะจึงพูดประโยคต่อไปได้ “ขอบคุณ...ที่ไม่หนีกันไปไหน”

            สองประโยคจากหัวใจหลุดออกมาด้วยความยากลำบาก จากนั้นคำพูดต่อมาค่อยสะดวกราบรื่นกว่าเดิม

            “หมอสัญญา จะไม่ทำตัวเป็นภาระ ให้ต้องห่วง กังวลใจ จะใช้ชีวิตอย่างเป็นสุขเสมอ เพื่อให้คนที่มองมาได้วางใจ ให้เขารับรู้ว่า...ไม่ว่าสิ่งใดที่จะช่วยให้เขาสบายใจ ไม่กดดัน ทรมาน หมอก็พร้อมที่จะทำให้เขาได้...เช่นกัน”

            รอยยิ้มเอื้อกานต์บอกถึงความเข้าใจ เจือความหวานละมุนจากความรู้สึกภายในที่เจ้าตัวไม่ยอมปกปิด ซ่อนเร้น ทุกคำพูดจากหัวใจที่บอกต่อกัน ล้วนกลั่นกรองจากความรู้สึกแท้ ไม่มีปิดบัง

            ชายหนุ่มพยักหน้ารับ ไม่มีคำพูดใดหลุดออกจากริมฝีปาก กระนั้นเอื้อกานต์กลับสัมผัส รับรู้ความรู้สึกในใจที่เขาจงใจส่งออกมาให้กระทบ รับรู้ อย่างชัดเจน

            ทรงกลดไม่จำเป็นต้องพูด เพราะรู้ดีว่าผู้หญิงตรงหน้าเขาคนนี้สามารถอ่านวาจาจากหัวใจเขาได้...ไม่ว่ามันจะมีมากมายกี่พันคำก็ตาม



            เสียงดนตรีเบาๆ ลอยอ้อยอิ่ง แทรกซึมอยู่ในอณูบรรยากาศรอบตัว เป็นเสียงที่ไม่ได้ยินด้วยหู หากสัมผัสรับรู้ด้วยใจ ดนตรีนี้บรรเลงท่วงทำนองอ่อนหวาน ดีดนำด้วยเครื่องสาย คลอเคลียเสียงเครื่องเป่า กระจายเป็นคลื่นบางๆ กว้างขวาง ครอบคลุมทั่วทั้งชั้นของโรงแรม

            เอื้อกานต์ หมาก สัมผัสเสียงดนตรีนี้ได้ตั้งแต่อยู่ในลิฟต์ ยิ่งลิฟต์เลื่อนสูงขึ้น ความหนาแน่นของคลื่นเสียงยิ่งชัดเจน จนรู้สึกเหมือนได้ยินด้วยหูตนเอง

            ประตูลิฟต์เปิด บอดี้การ์ดร่างใหญ่สามคนของไลลายืนรอรับด้วยใบหน้าเรียบสนิท ไม่แสดงอารมณ์ใดๆ เสียงดนตรีค่อยกระจาย ล่องลอยกลมกลืนกับทุกสิ่งรอบตัว

            “เชิญ” หนึ่งในสามกล่าวน้ำเสียงเรียบนิ่งเป็นภาษาไทย ผายมือกล่าวเชิญแล้วเดินนำหน้าไปอย่างมั่นใจว่าแขกต้องก้าวตาม

            หมากมองสองบอดี้การ์ดที่เหลือ แล้วพยักหน้าให้เอื้อกานต์ พร้อมก้าวออกจากลิฟต์ด้วยท่าทางปลอดโปร่ง สบาย หญิงสาวก้าวเคียงข้างโดยไม่ต้องบอกซ้ำ

            บอดี้การ์ดสองคนเดินประกบซ้ายขวาคุณหมอทั้งสองโดยไม่จำเป็นต้องพูดจาส่งสัญญาณ ดูเผินๆ ทั้งคู่คล้ายนักโทษถูกคุมตัวมากกว่ากำลังเข้าพบนักร้องชื่อดัง

            เอื้อกานต์มองบอดี้การ์ดที่เดินนำหน้า และอีกสองที่ประกบซ้ายขวา สัมผัสในใจบอกให้รู้ ทั้งสามไม่ใช่มนุษย์ปกติ พวกเขาถูกควบคุมด้วยวิญญาณ ปิศาจ อย่างที่เธอกับหมากเคยเจอในโรงพยาบาลคราวก่อน

            หมากระบายลมหายใจแผ่ว จิตสัมผัสในใจกระจ่างชัดจนแทบไม่อยากเชื่อในความสามารถของตัวเอง เขารับรู้ถึงความผิดปกติของบอดี้การ์ดทั้งสามเช่นเดียวกับเอื้อกานต์ หนำซ้ำยังรู้มากกว่านั้นอีก ว่ายังมีคนที่ถูกปิศาจหรือวิญญาณควบคุมในลักษณะเช่นนี้อีกนับสิบราย คอยซุ่มอยู่ในห้องอื่นๆ บนชั้นที่ถูกเหมาทั้งหมดนี้

            ที่ร้ายกว่านั้น ตามหลืบมุมโดยรอบยังปรากฏเงาว็อบแว็บให้เห็นทางหางตา ล้วนเป็นปิศาจไร้รูปที่คอยซุ่มรอรับคำสั่งจากผู้มีอำนาจสูงสุด ซึ่งเขาไม่อาจคาดเดา กะเกณฑ์จำนวนได้ถูก

            การเข้าพบไลลาครั้งนี้แทบไม่ต่างจากการบุกถ้ำเสือที่เตรียมรับการจู่โจมไว้พร้อมพรัก จนไม่อาจประมาทได้เลย

            ถึงรู้อย่างนั้น สองหนุ่มสาวก็ไม่นึกพรั่นพรึง หวั่นกลัว หนำซ้ำจิตใจกลับมีความตั้งมั่น เตรียมพร้อมขึ้นมาเองโดยไม่ต้องฝืนบังคับ

            บรรยากาศเงียบ ระยะทางจากลิฟต์ถึงห้องไลลาไม่ไกลนัก หมากพยายามนึกภาพหญิงผู้ทรงอาคมกล้ารายนี้ เขาไม่เคยเห็นตัวจริงของเธอมาก่อน แต่รู้จักรายละเอียด เบื้องหลัง มากกว่าเอื้อกานต์ที่มาด้วยกัน

            สิ่งหนึ่งที่เขารู้ชัด แต่เอื้อกานต์ยังไม่รู้คือ วันเวลาที่ไลลาจะปล่อยไวรัสอาคมครั้งต่อไป!

            ชายหนุ่มนึกย้อนถึงสิ่งที่ทรงกลดบอกในคืนที่พูดคุยกัน...

            ‘เขาจะปล่อยไวรัสอาคมในคอนเสิร์ตกลางสวน’

            ‘ทำไมคุณถึงแน่ใจขนาดนั้น’ หมากถาม

            ‘คอนเสิร์ตนี้จะมีการถ่ายทอดสดทั่วประเทศ เขาจะใช้สัญญาณคลื่นโทรทัศน์เป็นเครื่องมือกระจายไวรัสออกไปทั่วประเทศเหมือนกัน’

            ทรงกลดพูดเหมือนเป็นเรื่องธรรมดา ขณะที่หมากกับทีเกื้อฟังแล้วทำใจเชื่อยาก

            ‘เขาทำได้จริงๆ หรือพี่’ ทีเกื้อถาม

            ‘ครั้งก่อนเขาเกือบทำสำเร็จแล้ว ถ้าพี่ไม่ไปขัดขวางไว้’ ทรงกลดบอก

            ขนาดทรงกลดขัดขวางแล้ว ผลยังเลวร้ายน่ากลัวขนาดนั้น...หมากนึกภาพความโกลาหลวันปล่อยไวรัสอาคมครั้งที่สองแล้วยังอดเสียวสันหลังไม่ได้ ...จะเป็นอย่างไรถ้ามันกระจายครอบคลุมทั้งประเทศ แทนการกระจายแค่ในกรุงเทพฯ อย่างคราวที่แล้ว...

            ‘ถ้าอย่างนั้น เราควรป้องกันยังไง’ หมากปัดข้อกังวลทิ้ง ยิงเข้าประเด็น

            ‘หาทางหยุดเขาให้ได้ ก่อนวันปล่อยไวรัสอาคม!’ ทรงกลดบอกชัด

            หมากยอมรับ การสกัดกั้นก่อนวันปล่อยไวรัสอาคม น่าจะง่ายกว่าไปขัดขวางในวันงาน

           และการมาเยือนไลลาวันนี้ ก็เป็นหนึ่งในแผนการสกัดยับยั้งก่อนเช่นกัน



(โปรดติดตามต่อฉบับหน้า)



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP