วรรณกรรมนำใจ Lite Literature

ระบำเวท ๒๓


cover rabamvej


นวนิยายเรื่องนี้ เขียนขึ้นเพื่อความบันเทิง
หากมีชื่อ-สกุล เรื่องราวใดพ้องกับบุคคลจริง ต้องกราบขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย


ชลนิล



(ต่อจากฉบับที่แล้ว)



            การมีชีวิตอยู่ไม่สู้ยอมตายเป็นอย่างไร เฌอคิมซาได้สัมผัสรับรู้หลังจากนั้นติดต่อกันอีกสามเดือน มันเป็นสามเดือนที่ทารุณ โหดร้าย ยิ่งกว่าสามสิบปีในสถานคุมขังทุกแห่งในโลก

            ถ้าไม่เพราะเคยฝึกทหารอย่างหนักหน่วงเข้มข้นมาก่อน และมีจิตใจแน่วแน่พอ เขาคงเสียสติ ไม่ก็ฆ่าตัวตายไปแล้ว

            ตาล็อกกลับมาอีกครั้ง พร้อมคำถามเดิม เฌอคิมซารู้ว่าไม่มีประโยชน์จะเสแสร้งอีก จึงเอ่ยปากถามตรงๆ

            “คุณแน่ใจได้ยังไงว่าผมคือเฌอคิมซา”

            “อาจารย์ตูมินบอก ยืนยันด้วยตัวเอง บอกรายละเอียดถึงวันเวลาที่เจ้าชายอย่างแกจะเดินทางมาถึง ลงเครื่องบิน เข้าพักโรงแรมไหน บอกกระทั่งชื่อปลอมที่ใช้!”

            เฌอคิมซาใจหายวาบ...‘อาจารย์ตูมิน’ เป็นสุดยอดโหราจารย์ นายแพทย์ผู้มีพลังพิเศษ พ่อมดผู้ทรงอาคมกล้า เป็นที่รู้จักนับถือมาตั้งแต่ครั้งระบอบองค์เจ้ายังไม่ล่มสลาย

            ‘อาจารย์ตูมิน’ เป็นบุคคลที่เหล่าหน่อเนื้อมูจนะศรัทธา เชื่อถือ เหล่าทหาร นักการเมือง เคารพ เกรงใจ จึงไม่น่าแปลกใจที่แม้ระบอบองค์เจ้าจะล่มสลาย แต่อาจารย์ตูมินก็ยังสามารถอยู่ในสถานะเดิมที่ทุกคนเคารพโดยไม่กระทบกระเทือนแต่อย่างใด

            บัดนี้เฌอคิมซารู้แล้วว่า เหตุใดอาจารย์ตูมินถึงยังยืนหยัด เป็นที่เคารพของผู้มีอำนาจในปัจจุบันได้...นั่นก็เพราะอาจารย์ยอมตัวเข้ารับใช้พวกสวะเหล่านี้เอง

            “ถ้าผมเป็นเจ้าชายเฌอคิมซาจริง คงไม่ยอมโง่เอาของสำคัญ มีค่า ติดตัวเข้าประเทศแน่นอน”

            “นั่นสิ เจ้าชายถึงยังนั่งอยู่ตรงนี้ได้ไง”

            “อย่างนั้น...ถ้าเมื่อไหร่คุณรู้ว่าสมบัติคู่เมืองอยู่ไหน ตัวผมก็คงไม่มีความจำเป็นอีกต่อไป”

            คำพูดของเขาทำให้อีกฝ่ายยิ้มหยัน

            “คิดง่ายๆ แล้วกัน ถ้าแกยอมบอกที่ซ่อน ก็ยังมีโอกาสรอดจากที่นี่ มีโอกาสเสวยสุขกับสมบัติมหาศาลอื่นที่ยังมี แต่ถ้าแกไม่บอก รับรองว่าต้องเน่าตายแน่นอน แต่ก่อนจะเน่าตาย แกคงรากเลือดก่อนตายด้วยซ้ำ”

            อดีตเจ้าชายเพียงนั่งนิ่ง ดวงตาเป็นประกายวับ ไม่ตอบรับหรือปฏิเสธ อีกฝ่ายรู้ว่าต้องทิ้งระยะ ทอดเวลาให้เหยื่อของตนได้คิด ตัดสินใจ เร่งเร้ามาก คนสูงศักดิ์เช่นนี้อาจยอมหัก ไม่ยอมงอ

            ตาล็อกกลับไปโดยทิ้งคำสั่งให้งดการทำงาน งดการลงทัณฑ์ บีบคั้นทั้งหมด กับเฌอคิมซา เพื่อใช้เป็นเหยื่อล่อให้เจ้าชายตัดสินใจง่ายขึ้น

            ช่วงเวลาที่เหมือนได้พักผ่อน พักฟื้นนี้ ทำให้เจ้าชายมีเวลาคิด สังเกตหาทางหนีทีไล่ มั่นใจว่าหากตาล็อกกลับมาอีกครั้ง เขาคงไม่รอดชีวิต ไม่ว่าจะยอมบอกที่ซ่อนสมบัติคู่บัลลังก์หรือไม่

            ค่ายกักกันในเหมืองเพชรแห่งนี้ ใช่ว่าไม่มีหนทางหลบหนี ทางเดียวที่จะออกจากที่นี่ได้ คือต้องเป็น ‘คนตาย’

            ที่นี่มีคนตายเกือบทุกวัน ศพจะถูกนำไปทิ้งตรงหน้าผาให้แร้งกากิน

            เหมืองเพชรอยู่ไกลจากตัวเมืองก็จริง แต่ใกล้เขตชายแดนซึ่งเจ้าชายเคยออกลาดตระเวนตอนฝึกทหารกับประเทศเพื่อนบ้าน แผนที่เส้นทางอยู่ในหัว เหลือเพียงจะทำอย่างไรให้ตนเองออกไปจากที่นี่ได้

            หน้าผาที่ทิ้งศพอยู่ใกล้ชายแดนที่สุด เป็นแดนเปลี่ยวร้าง ไม่มีเส้นทางสัญจร ไม่มีกระทั่งพวกพรานบุกป่าเข้ามาหาของไปขาย แต่เฌอคิมซาเคยฝึกฝน เข้าป่า ฝ่าแดนกันดารมาแล้ว มั่นใจว่าตนต้องรอดจากป่านั้นออกไปได้

            แผนการถูกวางอย่างรวบรัด เขาแกล้งตายไม่ได้ เพราะพวกผู้คุมต้องรีบแจ้งให้ตาล็อกมาดูศพทันที ทางเดียวที่จะรอด คือเปลี่ยนตัวกับศพคนตาย!

            โชคดีที่เขาไม่ต้องทำงาน วันๆ ได้พักผ่อนอยู่ในห้องส่วนตัว การเปลี่ยนตัวโดยเอาศพไปอำพรางไว้ในห้อง แล้วเขาเข้าไปนอนปะปนกับศพคนตายอีกสามสี่ซาก จึงเป็นไปได้อย่างสะดวก ปลอดจากคนรับรู้

            ศพถูกนำไปทิ้งยามค่ำ ฟ้ามืดเปลี่ยว คนที่ทิ้งศพจึงไม่รู้ว่ามี ‘ศพ’ บางรายรอดพ้นจากการถูกโยนลงหน้าผาอย่างเฉียดฉิว

            เมื่อพวกมันกลับไป เขารีบลัดเลาะไต่หน้าผาสูงชันลงไปเพื่อหาเส้นทางสู่ชายแดน เดินเท้าอยู่สองวันสองคืน ก็เริ่มได้ยินเสียงโหวกๆ อยู่ไกลๆ แสดงว่ามีการไล่ล่าติดตามมาแล้ว

            เฌอคิมซาบุกป่าด้วยความแน่วแน่ ในใจขอให้วิญญาณบรรพชนคุ้มครอง สุดท้ายเขาก็ออกจากป่า บรรลุถึงชายแดน โดยที่ฝ่ายของตาล็อกติดตามไม่ทัน

            กำลังจะดีใจด้วยความโล่งอกที่หนีนรกพ้น เขาก็ต้องสะดุ้งสุดตัวเมื่อพบใครคนหนึ่งยืนคอยอยู่ตรงเส้นทางเข้าเมืองของประเทศเพื่อนบ้าน

            ‘อาจารย์ตูมิน’ ยืนคอยเขาอยู่ที่ริมถนน ทางหลวงสายหลัก ราวกับจะรู้ว่าเขาต้องบุกป่าออกมาตรงจุดนี้พอดี...บุคคลผู้ทรงอาคมกล้ารายนี้ดูราวกับรู้ทุกการเคลื่อนไหวของเขาก็ไม่ปาน



            เอื้อกานต์หาเรื่องทำธุระจุกจิกไม่จำเป็นสามสี่อย่าง เพื่อยืดเวลาออกไปพบกับชามาร์ หรือทรงกลด...คนป่วยที่อาการดีขึ้น สมควรออกจากโรงพยาบาลได้แล้ว

            พอไม่มีอะไรทำก็นิ่งคิด ไตร่ตรอง ทบทวนทำใจอยู่นาน กว่าจะตัดสินใจเด็ดขาด อย่างไรก็ต้องอนุญาตให้เขาออกจากโรงพยาบาล ไม่มีเหตุผลอะไรจะรั้งเขาไว้ได้อีก

            ไม่ว่าเขาจะไปแล้วหายลับ หรือมีโอกาสแวะเวียนมาเจอกันอีก เธอก็ตัดสินใจแล้วว่า จะทำเป็นไม่รู้เรื่องราว สิ่งใดเป็นความสบายใจของเขา ล้วนยอมรับได้ทั้งนั้น

            หญิงสาวถือผลการตรวจร่างกายออกจากห้องพักแพทย์ ตรงไปยังห้องคนป่วยโดยไม่ลังเล หยุดยืนตรงหน้าประตูห้อง ตั้งสติทำใจสองสามวินาที

            การเผชิญหน้ากับเขายามนี้ นับเป็นเรื่องยากเย็นอย่างยิ่ง แต่ให้ยากแค่ไหน ก็หลีกเลี่ยงไม่ได้แล้ว

            คุณหมอเคาะประตูเบาๆ ก่อนผลักเข้าไป แล้วยืนนิ่งอยู่พักใหญ่

            “...อั๊ง...อัง...อัง...โด...รา...เอ...มอน...

            เสียงเพลงใสๆ จากการ์ตูนยอดฮิตดังขึ้นต้อนรับหลังจากหญิงสาวเดินเข้ามาในห้อง สิ่งที่เห็นและชวนให้แปลกใจมากถึงมากที่สุด คือเธอได้พบว่าในห้องนี้ไม่ได้มีเพียงแค่ชามาร์หรือทรงกลดคนเดียว

            ข้างเตียงของเขามีเด็กผู้หญิงตัวน้อยกำลังเปิดไอแพดหนังการ์ตูนยอดฮิตอมตะอย่างโดราเอมอน พร้อมชี้ชวนให้คนป่วยบนเตียงดูด้วย โดยมีน้าชายเคราเขียว ท่าทางเซอร์ๆ นั่งเล่นอยู่ใกล้ๆ

            ถ้าไม่ได้เห็นด้วยตา เอื้อกานต์คงแทบไม่อยากเชื่อว่าผักกาดกับหมอหมากจะมานั่งดูการ์ตูนกับชามาร์...ทรงกลด...ผู้ชายที่มีความซับซ้อนคนนี้

            น่าแปลก ที่อาการอึดอัดลำบากใจตั้งแต่ก่อนเข้ามาในห้อง ล้วนกระจายหาย เมื่อได้พบบรรยากาศผ่อนคลายแบบคาดไม่ถึง

            “คุณหมอเจ้าหญิง...มาดูโดราเอมอนกันเร้ว...” ผักกาดเงยหน้าเรียกเสียงใสแจ๋ว







บทที่ ๒๐



            บรรยากาศผ่อนคลาย เมื่อห้องคนป่วยมีสองน้าหลานมานั่งดูการ์ตูน ส่งเสียงแจ้วๆ สร้างความวุ่นวายแก่คนป่วย เอื้อกานต์ไม่อยากคิดว่านี่เป็นความจงใจของหมาก

            ก่อนหน้านี้ ผักกาดนั่งอ่านการ์ตูนจนเบื่อ ก็รบเร้าให้น้าชายพาออกไปเที่ยวนอกห้อง หมากไม่ขัดใจ จับหลานสาวใส่เก้าอี้เข็น เดินเล่นแถวระเบียง แล้วขึ้นลิฟต์ไปดาดฟ้า รับลม ชมวิว เปลี่ยนบรรยากาศ เจอคนป่วยรูปหล่อออกมายืนผ่อนคลายนอกห้องพอดี

            ผักกาดเห็นหน้าตาหล่อจัดแบบแขกขาว คิดว่าเป็นดารานักร้องหน้าใหม่ จึงกรี๊ดกร๊าด บอกน้าชายให้พาเข้าไปถ่ายรูป ขอลายเซ็น

            ‘อย่าไปกวนเลย เขาไม่ใช่ดาราที่ไหนหรอก น้าหล่อกว่าตั้งเยอะ ถ่ายรูปกับน้าก็ได้’ หมากเลี่ยง

            ‘หล่อกว่าตรงไหน น้าหมากตาเหล่หรือเปล่า...พี่เขาหล่อกว่าชัดๆ’ เจ้าผักกาดเถียง

            หมากแทบโมโหปรี๊ด เรื่องที่บอกว่าอีกฝ่ายหล่อกว่ายังพอทน...แต่เจ้าหลานสาวตัวแสบกลับเรียกหนุ่มหล่อคนนั้นว่า ‘พี่’ หน้าตาเฉย มันน่าตัดออกจากกองมรดกนัก

            สุดท้ายเจ้าตัวแสบก็เข้าไปคุยจนได้ ฝ่ายนั้นยอมให้ถ่ายรูป พูดคุยด้วยสองสามคำก่อนขอตัวกลับห้อง

            พอรู้ว่าห้องพักของเขาอยู่ชั้นเดียวกัน ผักกาดรีบบอกทันที

            ‘ห้องอยู่ใกล้กันนิ้ดเดียว เดี๋ยวผักกาดจะเอาโดราเอมอนไปดูที่ห้องพี่เขาดีกว่า จะได้มีเพื่อน’ คุยกันสองสามคำ แม่หนูน้อยตีเนียน นับเขาเป็นพี่เชื้อทันที

            เจ้าของห้องไม่ขัด เอื้อกานต์จึงได้เห็นภาพเจ้าตัวเล็กนั่งดูการ์ตูนบนเตียงชายหนุ่ม โดยมีคุณน้านั่งทำหน้าเบื่อโลกอยู่ใกล้ ๆ

            “ผักกาดมารบกวนคนไข้ของหมอไม่ได้นะคะ” เอื้อกานต์บอกเจ้าตัวแสบแบบไม่จริงจังนัก

            “ผักกาดไม่รบกวนเลย พี่เขาบอกว่าอยู่ว่างๆ ไม่มีอะไรทำ ผักกาดเลยชวนดูการ์ตูนเป็นเพื่อนกัน”

            คุณหมอเหลือบมองชายหนุ่มคนป่วย เห็นสีหน้าเขามีความอ่อนโยน แววตาที่มองเด็กน้อยด้วยความเอ็นดู เกือบคล้ายทรงกลดคนเดิม

            “อ้าว...แล้วพี่เขาอยากดูด้วยหรือเปล่า” เอื้อกานต์ใช้สรรพนามตามเจ้าตัวเล็ก

            “อยากสิ...ใช่ม้า...” คราวนี้ผักกาดขอเสียงเจ้าของห้อง

            “จ้ะ...หายเบื่อไปเยอะเลย” ชายหนุ่มตอบ

            เอื้อกานต์อมยิ้ม

            “คุณคงไม่ต้องทนเบื่ออยู่ที่โรงพยาบาลนานแล้วล่ะ” คุณหมอพูดกับคนไข้ “ผลการตรวจร่างกายออกมาแล้ว...ยินดีด้วยค่ะ คุณปกติดี ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง จะออกจากโรงพยาบาลพรุ่งนี้เลยก็ได้นะคะ”

            “ขอบคุณนะครับหมอ” เขาตอบรับด้วยน้ำเสียงสบายๆ เอื้อกานต์ยิ้มให้เขาด้วยท่าทีสบายๆ เช่นกัน

            คนที่ตกใจทำตาโตคือเจ้าตัวน้อย

            “อ้าว...เพิ่งรู้จักกันวันนี้เอง พี่จะออกจากโรงพยาบาลแล้วเหรอ” สีหน้าบอกความผิดหวัง

            “คุณหมออนุญาตแล้วนี่จ๊ะ” ชายหนุ่มก้มลงคุยกับผักกาด

            “ว้า...ผักกาดเหงาแย่เลย” เด็กหญิงทำเสียงอ่อย

            ทรงกลดหรือชามาร์เขี่ยแก้มใสพร้อมยิ้มปลอบใจ คนที่เกิดหมั่นไส้กลับเป็นคุณหมออีกคน

            “ลืมน้าชายตัวเองไปหรือเปล่า เจ้าผักกาด” หมากแทรกขึ้นมา แกล้งทำอิจฉาที่หมดความสำคัญ “เห็นคนอื่นดีกว่าน้าตัวเองแบบนี้ เดี๋ยวหาเรื่องผ่าหัวอีกสักรอบดีกว่า”

            “ไม่อ๊าว...” เจ้าตัวเล็กร้องลั่น

            เอื้อกานต์หัวเราะเบาๆ ก่อนพบกับรอยยิ้มบางๆ จากชายคนป่วยที่เงยหน้าขึ้นมาสบตาด้วย กระแสใจอ่อนๆ เชื่อมโยงมาถึง รู้สึกจิตใจอบอุ่น สร้อยข้อมือที่สวมอยู่บังเกิดคลื่นอ่อนโยนลอยมาสัมผัส

            บรรยากาศในห้องสดใส รื่นรมย์ ความรู้สึกอึดอัดลำบากใจที่ต้องเผชิญหน้ากับเขาเร้นหายไปไหนยากจะบอกได้ ความสดใสของเด็กน้อย อารมณ์ขันจากผู้ชายอีกคน ช่วยให้การเข้ามาหาคนที่ตนเองรู้ว่าเป็นใคร กลับเป็นเรื่องสามัญธรรมดาอย่างคาดไม่ถึงมาก่อน

            จังหวะที่เอื้อกานต์หันไปสนใจเจ้าตัวเล็ก ไม่ทันสังเกตเห็นว่า ดวงตาของหมากที่เหลือบมองชายหนุ่มเจ้าของห้อง มีประกายบางอย่างส่งถึงกัน บอกความนัยบางอย่างที่รู้เฉพาะตัวสองคน



            เมื่อคืน...

            หมากยืนรอทีเกื้อหน้าห้องคนป่วย บอกว่า...ขอเวลาคุยด้วย

            ความจริงแล้ว หมากไม่ต้องการคุยกับทีเกื้อแค่คนเดียว เขายังต้องการคุยกับผู้ชายอีกคน เพื่อเปิดใจ สะสางปัญหาที่คั่งค้างให้เรียบร้อย

            “แล้ว...จะสะดวกมั้ย...ถ้าเราจะเข้าไปคุยกันในห้องนั้น...พร้อมกับ...คุณทรงกลดด้วย!”

            ทีเกื้อชะงัก มองคุณหมอท่าทางเซอร์ๆ อย่างไม่เชื่อสายตา ถึงจะสัมผัสได้ว่าชายคนนี้รู้เรื่องราวหลายอย่างมากกว่าที่คิด แต่ยังนึกไม่ออกว่าเหตุใด เขาจึงกล้าระบุชื่อ ‘ทรงกลด’ ออกมาชัดเจนขนาดนี้

            นายตำรวจหนุ่มลังเล ไม่แน่ใจ ขนาดกับพี่สาวฝาแฝดที่สนิทกันมาก เขายังไม่กล้าเปิดเผยเรื่องทรงกลด นี่เป็นคุณหมอที่เจอกันไม่กี่ครั้ง ต่อให้พูดคุยถูกคอ เขาก็ยังไม่กล้ายอมรับ เปิดเผยเรื่องสำคัญนี้ออกไป

            ขณะคิดหาทางเลี่ยง ดูว่าอีกฝ่ายจะมาไม้ไหน ประตูห้องคนป่วยก็เปิดกว้าง

            “เข้ามาคุยกันข้างในเถอะเกื้อ...คุณหมอ”

            เจ้าของห้องเป็นฝ่ายเดินมาเปิดให้เอง แววตาทรงกลดบอกให้ชายหนุ่มนอกห้องทั้งสองทราบว่าเขารู้ตั้งแต่แรกที่หมากมายืนรออยู่แล้ว และน่าจะเข้าใจด้วยซ้ำว่าคุณหมอหนุ่มมีเรื่องค้างคาใจอะไร

            บางที การเข้ามาพูดคุยโดยมีทีเกื้อเป็นคนกลางเชื่อมสัมพันธ์ อาจเกิดประโยชน์ ทำให้การสนทนาราบรื่นกว่าที่คิดก็ได้

            ห้องคนป่วย เปิดไฟดวงเดียว ไม่ค่อยสว่างนัก

            ชายหนุ่มสามคนนั่งบนเก้าอี้คนละตัวข้างเตียง แต่ละคนมองหน้ากัน รอให้ฝ่ายหนึ่งเอ่ยปากก่อน ซึ่งคนนั้นควรเป็นหมาก คนที่ตั้งใจรอพบเพื่อพูดคุยกับชายทั้งสอง

            “คุณ...ทรงกลด ผมขอเรียกอย่างนี้ได้มั้ย” หมากถามเจ้าของห้อง

            “คุณมั่นใจได้ยังไงว่าผมชื่อทรงกลด...แล้วคุณรู้จัก ‘ทรงกลด’ ดีแค่ไหน” คนป่วยย้อนถาม

            “ทรงกลด...ลูกชายคนเดียวของอดีตรัฐมนตรียุติธรรม โดยสารเครื่องบินลำเดียวกับครอบครัวที่เกิดระเบิด รอดชีวิตมาได้เพราะ ฮันเตอร์ คิม ผู้โดยสารอีกคนช่วยไว้ ต่อมา คุณก็กลายเป็นลูกศิษย์ของเขา เรียนวิชาอาคมอยู่ห้าปี เพื่อกลับมาแก้แค้น...”

            ถึงหมากจะไม่เล่าเรื่องที่รู้มาทั้งหมด แค่เพียงเอ่ยชื่อ ‘ฮันเตอร์ คิม’ ตรงๆ ก็ทำให้ทีเกื้อกับทรงกลดรู้แล้วว่านายแพทย์หนุ่มคนนี้รู้เรื่องราวดีเกินไปด้วยซ้ำ

            “คุณรู้เรื่องพวกนี้ได้อย่างไร?” ตำรวจหนุ่มเป็นฝ่ายเอ่ยถาม

            หมากนิ่งอยู่ครู่หนึ่งก่อนเอ่ยปาก

            “ถ้าสารวัตรอธิบายได้ว่า...พลังพิเศษที่ใช้รักษาคนป่วยของคุณกับหมอเอื้อมาจากไหน และคุณทรงกลดสามารถบอกผมด้วยเหตุผลทางวิทยาศาสตร์ได้ว่า อำนาจอาคมของคุณทำงานอย่างไร...ผมก็อาจตอบคำถามนั้นได้”

            คำตอบย้อนคืนของนายแพทย์หนุ่มทำเอาผู้ร่วมสนทนาอีกสองรายต้องอึ้ง มองชายตรงหน้าด้วยสายตาเปลี่ยนไป หมอหมากไม่ใช่เพียงศัลยแพทย์หนุ่มอัจฉริยะเท่านั้น เขายังมีความลับเบื้องหลังความสามารถที่ซุกงำไว้...ไม่ต่างจากพวกตน

            ทรงกลดหรี่ตามองคุณหมอหนุ่มซึ่งนั่งปล่อยตัวตามสบาย สัมผัสได้ถึงพลังควบแน่นอันอบอุ่น มีความสุขแผ่กระจายอยู่รอบตัว มันไม่ใช่พลังงานที่มาจากคุณหมอคนนี้ มันเป็นพลังจาก ‘บางสิ่ง’ ที่ผู้ทรงอาคมอย่างเขายังไม่กล้าหาคำจำกัดความ

            แล้วความทรงจำก็ผ่านวูบเข้ามา...ถึงตอนที่เอื้อกานต์ช่วยถอนอาคมให้ผกาแก้ว เหยื่อไวรัสอาคมครั้งแรก ตอนนั้นทรงกลดเห็นพลังสีขาวขั้วเดียวกับเอื้อกานต์ แผ่ออกมาจากหมอหมาก ช่วยเสริมพลังหญิงสาวจนถอนอาคมสำเร็จ

            ทรงกลดรู้...พลังนั้นมาจากหมอหมาก แต่ไม่ใช่เป็นความสามารถของเขา

            วันนี้ หมากใช้คำพูดย้อนคืนให้ทั้งทรงกลดและทีเกื้อรู้ว่า ในเมื่อพวกเขามีความลับเกี่ยวกับพลังพิเศษที่บอกไม่ได้ อธิบายไม่ถูก จะแปลกอะไรหากหมอหมากจะมีความลับที่อธิบายไม่ได้แบบนั้นเช่นกัน

            ชั่วเวลานี้ ในใจทรงกลด ทีเกื้อ นึกยอมรับให้หมอหมากเข้ามาเป็น ‘พวกเดียวกัน’ โดยไม่จำเป็นต้องเอ่ยปากรับรอง

            “ตอนนี้...ผมเริ่มคำถามอื่นได้หรือยัง” หมากเห็นสองหนุ่มนิ่งเงียบอยู่นานจึงเอ่ยปากถาม

            “ได้เลย” ทรงกลดตอบรับ ทีเกื้อพยักหน้า

            “ผมอยากรู้เรื่องเกี่ยวกับคนที่ปล่อยไวรัสอาคม” หมากเริ่มต้น

            “ทำไมคุณถึงยังไม่รู้เรื่องนี้” ทีเกื้อแปลกใจ ในเมื่อหมากรู้เรื่องราวในอดีตของทรงกลดละเอียดขนาดนั้น ทำไมจึงยังไม่รู้เรื่องสำคัญในปัจจุบัน

            “ผมก็ไม่ได้รู้หมดทุกเรื่องหรอก” หมากบอกขันๆ “เรื่องนี้หมอเอื้อน่าจะรู้มากกว่าผมด้วยซ้ำ”

            “เอื้อมันจะไปรู้อะไร” ทีเกื้อพูดแกมบ่น

            “เท่าที่ผมรู้...หมอเอื้อเจอตัวคนปล่อยไวรัสอาคมแล้ว แถมยังได้พูดคุยกันด้วย”

            ทรงกลดพยักหน้า ยอมรับว่าหมากรู้จริง

            หมากถอนใจพูดต่อ

            “ผมยอมรับว่า ตั้งแต่เข้ามามีส่วนในเรื่องเกี่ยวกับไวรัสอาคมนี่ ชีวิตวุ่นวายกว่าเดิมเยอะเลย แต่เรื่องที่ผมดีใจคือ...ความวุ่นวายนี้ ทำให้ผมได้รู้จัก สนิทสนมกับหมอเอื้อ”

            หมากพูดตรงไปตรงมา จ้องตาทรงกลดโดยไม่หลบ ทีเกื้อมองชายหนุ่มทั้งสอง อดรู้สึกไม่ได้ว่า ถ้าเอื้อกานต์นั่งอยู่ตรงนี้แทนเขา คงลำบากใจไม่น้อย

            “ผมว่า ตอนนี้หมอคงอยากคุยกับผมเรื่องของเอื้อ มากกว่าเรื่องของไลลา...คนปล่อยไวรัสอาคมแน่ๆ”

            เมื่อเห็นฝ่ายตรงข้ามแสดงความจริงใจขนาดนี้ ทรงกลดก็ไม่ถอย เอ่ยปากเปิดทางให้พูดเต็มที่

            “ก็ดีครับ...ตั้งแต่ผมได้รับรู้เรื่องของคุณกับหมอเอื้อมาทั้งหมด ผมอยากถามคำเดียว...คุณมีโอกาสที่จะกลับมาเป็นคนเดิมได้มั้ย” หมากยิงเข้าเป้า

            ทีเกื้อนิ่ง หันมองทรงกลด เขาก็อยากได้ยินคำตอบนี้เหมือนกัน

            ทรงกลดนิ่งอยู่นาน เฟ้นหาถ้อยคำที่ตรงกับความรู้สึกปัจจุบันมากที่สุด

            “ผมตอบไม่ได้...ไม่มีใครรู้อนาคต ผมรู้แค่ใจตัวเองในปัจจุบันว่า...มันไม่เหมือนเดิม ไม่ใช่ทรงกลดคนเดิม...แม้กระทั่งความรักที่มีต่อเอื้อ มันก็ไม่ใช่ความรักในแบบของทรงกลดเมื่อหลายปีก่อน ที่หวังจะมีอนาคตสดใส มีความสุขร่วมกันจนถึงบั้นปลายชีวิต ความรักของทรงกลดคนนี้...หวังเพียงแค่ได้เห็นรอยยิ้ม สัมผัสความสุขในใจของเอื้ออยู่ห่างๆ ก็พอแล้ว”

            ความเงียบดำเนินอยู่ชั่วครู่ คนที่เอ่ยปากก่อนคือทีเกื้อ

            “ถ้าความสุขของเอื้อ คือการได้เห็นพี่กลับมาเป็นคนเดิม พี่จะยอมทำเพื่อผู้หญิงที่พี่รักได้มั้ย?”

            นายตำรวจหนุ่มถามแทนใจพี่สาว

            ทรงกลดนิ่งไปนาน จิตใจสงบ เฝ้ามองความรู้สึกของตนเพื่อหาคำตอบให้แก่น้องชายคนรัก

            สุดท้าย เห็นแค่รอยกระเพื่อมไหวในใจ โดยไม่มีคำตอบใดออกมา

            “พี่ไม่รู้” ทรงกลดตอบ

            หมาก ทีเกื้อ ทรงกลด สบตากันและกัน จิตสัมผัสถูกแผ่ออกมารับความรู้สึกแท้จริงในหัวใจของแต่ละฝ่าย ทุกคนต่างรับรู้ ไม่มีใครหลอกลวงใคร ไม่มีใครบิดเบือนความรู้สึกในหัวใจ ทุกคำพูดที่ออกมาล้วนเป็นความจริงที่ยากอธิบาย หรือฝืนให้มันเปลี่ยนแปลง กลับกลายได้

            นายแพทย์หนุ่มเห็นว่าไม่มีประโยชน์ที่จะพูดเรื่องนี้ต่อไป จึงเอ่ยปากเปลี่ยนหัวเรื่อง

            “ช่วยเล่าเรื่องคนปล่อยไวรัสอาคมให้ฟังได้มั้ย ถ้าหมอเอื้อเคยเจอหน้าเขาแล้ว ผมกลัวว่าอาจเกิดอันตรายตามมา”

            ทีเกื้อพยักหน้าเห็นด้วย ทรงกลดจึงเอ่ยปาก

            “ไลลาเป็นแม่มดคนสุดท้ายของตระกูล มีพลังอำนาจเร้นลับสูงสุดจนน่ากลัว เธอได้พบกับ ฮันเตอร์ คิม อาจารย์ของผม เมื่อสามสิบกว่าปีก่อน ทั้งคู่รักกัน ต่างมีเวทมนตร์ พลังอำนาจสูสี ทัดเทียม แต่มีเรื่องราวบางอย่าง ทำให้ทั้งคู่เกิดรอยร้าว ความสัมพันธ์กลายเป็นเส้นขนาน จนน่าจะเป็นสาเหตุที่ทำให้ไลลาทำเรื่องร้ายเหล่านี้...”

            ทรงกลดเห็นชายทั้งสองคนตั้งใจฟัง ซึมซับเรื่องราวเพื่อหาช่องว่างช่วยเหลือผู้คนและหญิงสาวที่เขารัก จึงค่อยสงบใจ ทบทวนความทรงจำของ ฮันเตอร์ คิม บอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับไลลาในแง่มุมต่างๆ จนถึงวันที่อาจนับเป็นจุดจบของความสัมพันธ์ของคนทั้งคู่ให้ฟัง...



            ห้องลับใต้ดิน

            อากาศเย็น แห้ง ปลอดโปร่งด้วยระบบระบายอากาศที่ดี แสงสว่างจากโคมไฟด้านบนสาดส่องลงมายังห้องกว้าง ทรงกลม กึ่งกลางห้องตั้งแท่นสูงระดับหน้าอก บนแท่นวางสมุดเล่มใหญ่หนา เนื้อกระดาษเหลือง บ่งบอกถึงความเก่าแก่ ผ่านวันเวลามายาวนาน

            ไลลายืนอยู่หน้าแท่น พลิกกระดาษแผ่นใหญ่ควานหาข้อความที่ต้องการ ครู่หนึ่งจึงยิ้มออก ชี้มือตรงหน้าที่เปิดกว้างให้ชายหนุ่มข้างกายดู

            “นี่ไง มนตร์บทสำคัญที่สามารถใช้หลอมรวมวิชาอาคมต่างๆ เข้ามาเป็นหนึ่งเดียวได้”

            ชายหนุ่มก้มลงมอง เห็นภาษาแปลกๆ สัญลักษณ์รูปภาพที่ตนเองตีความหมายไม่ออกมากมาย จึงแอบถอนใจอย่างผิดหวัง

            หลังจากที่เขาช่วยปิดกั้นฝันร้ายให้แก่ไลลา ทั้งสองก็เริ่มพูดคุยถึงวิชาอาคมที่ตนร่ำเรียน ต่างฝ่ายต่างบอกเล่าประสบการณ์ฝึกฝนของตนอย่างออกรส

            ไลลาเล่าว่า เธอเรียนอาคมจากตำราแม่มดซึ่งตกทอดกันมาหลายรุ่น โดยมีคุณย่าเป็นคนคอยแนะนำ ชี้เส้นทาง และเธอสามารถฝึกฝนจนสำเร็จ ทะลุปรุโปร่ง ก้าวขึ้นไปสู่จุดที่ไม่เคยมีแม่มดคนใดผ่านไปถึง ทว่าพลังอำนาจสุดยอดเช่นนั้นกลับไม่อาจหยุดยั้งฝันร้ายอันเป็นมรดกความแค้นของบรรพบุรุษที่ติดมาพร้อมกับพลังอำนาจนั้นได้เลย

            ฮันเตอร์ คิม บอกเล่าถึงประสบการณ์ของตนที่เคยฝึกสมาธิกับฤๅษีพระราชครูในวังตั้งแต่ตอนเด็ก ได้รับคำชมว่าเป็นเด็กที่ฝึกสมาธิได้เร็ว จิตรวมมีกำลังกล้าอย่างเหลือเชื่อ

            น่าเสียดายที่ฤๅษีท่านนี้ยอมเป็นพระราชครูให้แก่มูเจนไม่นานก็ออกจาริก เข้าป่า และไม่มีใครพบร่องรอยอีกเลย

            ตัวเขาต้องไปร่ำเรียนวิชาทางโลกที่ต่างประเทศตั้งแต่อายุยังน้อย จึงฝึกฝนด้านสมาธิแบบไม่ปะติดปะต่อ มาเริ่มฝึกจริงจังอีกทีตอนอายุยี่สิบกว่า แต่ก็ไม่ใช่สมาธิบริสุทธิ์เพื่อฌานสมาบัติแบบฤๅษี กลับใช้สมาธิที่มีฝึกฝนอาคม ศาสตร์เร้นลับทุกแขนง ไม่ว่าจะเป็นศาสตร์มืดหรือไสยขาวจากทั่วโลก

            ด้วยกำลังสมาธิที่เข้มแข็ง เคยฝึกฝนตั้งแต่เด็ก ทำให้เขาเรียนรู้เร็ว เจนจบศาสตร์มืด วิชาเร้นลับหลายแขนงอย่างกว้างขวางภายในเวลาไม่กี่ปี

            ไลลาฟังเรื่องของเขาแล้ววิจารณ์ตรงๆ ว่าเขาเรียนรู้ศาสตร์เร้นลับหลายแขนงมากเกินไป ทั้งไสยดำและไสยขาวซึ่งมีจุดเด่น ความแตกต่างหลากหลาย ทำให้ขาดเอกภาพ ไม่สามารถทะลุกรอบอาคมขึ้นสู่ขั้นของผู้ทรงเวทได้

            เธอบอกว่า ในตำราแม่มดที่เธอเรียน มีวิชาบทหนึ่งสามารถใช้เชื่อมโยงศาสตร์เร้นลับต่างๆ โน้มนำเอาไสยขาวและไสยดำรวมเข้าไว้ด้วยกันจนเป็นหนึ่ง หลอมรวมจนเกิดเป็นอาคมเฉพาะตัว สามารถทะลุกรอบขีดขั้นของเวทมนตร์ทั่วไปได้

            ฮันเตอร์ คิม สนใจวิชานี้ อยากเห็นมัน ไลลาจึงพาเข้ามาดูตำราเวทมนตร์ของเธอ แต่พอเห็นภาษาแปลกๆ สัญลักษณ์ที่ยากเข้าใจเช่นนั้น เขาก็ถอนใจ รู้สึกเสียดายขึ้นมา

            “คุณเคยฝึกมันหรือยัง?” ชายหนุ่มถาม

            “ฉันไม่จำเป็นต้องฝึก เพราะฉันฝึกฝนศาสตร์ของแม่มดอย่างเดียวจนถึงขั้นสูงสุดแล้ว ไม่จำเป็นต้องเรียนศาสตร์อื่นเพื่อจะเอามาหลอมรวมอะไร...มันไม่มีประโยชน์สำหรับฉัน”

            “คุณสอนผมได้มั้ย” เขาจำเป็นต้องเรียนวิชานี้อย่างยิ่ง

            “ไม่ได้” ไลลาตอบด้วยความหนักใจ เธอรู้ว่าเหตุใดเขาต้องการสำเร็จอาคมขั้นสูงสุดให้ได้

            “แค่มนตร์นี้วิชาเดียว” เขาต่อรอง

            “ฉันเคยบอกคุณแล้ว ว่าพาคุณมาดูตำราเวทมนตร์ได้ แต่นำวิชาในนี้มาสั่งสอนไม่ได้ มันเป็นข้อห้ามเด็ดขาดของตระกูล”

            “ไม่มีหนทางที่จะหลีกเลี่ยงเลยหรือ?”

            “ให้ฉันไปช่วยคุณแก้แค้นศัตรูยังง่ายกว่าสอนเวทมนตร์บทนี้” หญิงสาวบอกจากใจจริง

            ชายหนุ่มไม่เซ้าซี้ กดดันให้หญิงสาวลำบากใจมากกว่านี้ เขาร่ำเรียนวิชาอาคมมามากพอที่จะรู้ว่า แต่ละวิชา ครูแต่ละคน ล้วนมีเงื่อนไขสำคัญในการเรียนการสอน ซึ่งต่างก็มีเหตุผลของตัวเอง ไม่อาจก้าวก่าย คัดง้างได้

            การที่ไลลาบอกว่าพร้อมจะไปช่วยเขาแก้แค้น นั่นคือการให้ความช่วยเหลืออย่างที่สุดเท่าที่คนรักกันจะยอมมอบชีวิตต่อกันได้แล้ว แต่นั่นไม่ใช่ความต้องการของเขา

            แค้นของเขา ต้องชำระด้วยมือของตน ถึงจะสาสม หายแค้น

            ในเมื่อไลลาไม่สะดวกใจที่จะสั่งสอน ถ่ายทอดเวทมนตร์วิชานี้ให้ เขาก็ต้องหาหนทางแอบมาเรียนด้วยตนเอง ตอนที่หญิงสาวไม่อยู่ ไม่รับรู้



            กลับมาห้องใต้ดินอีกครั้ง เปิดตำราแม่มดหน้าที่ต้องการ เนื้อหาวิชาเรียงพรืดปรากฏแก่สายตา

            บนหน้ากระดาษเขียนด้วยภาษาแปลกๆ และรูปสัญลักษณ์มากมายที่ไม่เข้าใจก็จริง แต่ตำราเล่มนี้เขียนขึ้นด้วยมือมนุษย์ ระหว่างเขียน ผู้เขียนย่อมมีเจตจำนง กระแสคลื่นความคิด ติดอยู่ตามตัวหนังสือ สัญลักษณ์ต่างๆ

            ฮันเตอร์ คิม มีสมาธิจิตที่ตั้งมั่น เข้มแข็งพอที่จะใช้มันแผ่สัมผัส รับรู้คลื่นความคิดของผู้เขียนตำรา ผ่านตัวอักษร แล้วแปลความหมายเข้ามาในหัวเขาได้

            เมื่อสามารถทำเช่นนี้ ย่อมเล่าเรียนเวทมนตร์บทพิเศษได้โดยไม่จำเป็นต้องให้ไลลาสั่งสอน แนะนำ ไม่ผิดเงื่อนไข ข้อตกลงของบรรพบุรุษแม่มดทั้งหลาย

            เส้นทางนี้น่าจะเกิดประโยชน์แก่ทุกฝ่าย

            จิตแน่วนิ่ง ขยายความรับรู้ออกสัมผัสตัวอักษรบนหน้ากระดาษ กระทบคลื่นความคิดผู้เขียนที่ยังหลงเหลือ จิตจดจ่อ ศึกษามนตร์บทนี้อย่างตั้งใจ เชื่องช้า

            แต่แล้ว...จิตก็สะดุดกับสิ่งผิดปกติบางอย่างอย่างแรง รับรู้ว่ามันเป็นกับดักอันร้ายกาจ แยบยล

            เส้นใยเล็กๆ จำนวนมากมายที่ไม่อาจมองเห็นด้วยตา พุ่งเข้ามาพัวพัน ผูกมัด บีบคั้นความรู้สึกภายนอกภายในอย่างรุนแรง ทรมานสุดทนทานแทบขาดใจตาย ยิ่งเขาพยายามดิ้นรนสะบัดหนี กลับยิ่งโดนรัดพัน เค้นเข้ามาจนหายใจไม่ออก ครั้นอ้าปากพะงาบเพื่องับอากาศ กลับกระอักเป็นเลือดกองใหญ่

            อาคม มนตรา ทั้งหมดที่เรียนมา ล้วนถูกนำมาช่วยเหลือตนเองยามคับขัน พอจะชะลอแรงบีบรั้งได้บ้าง ถึงอย่างนั้นก็ไม่อาจสลัดหลุด เวลาผ่านไปมันยิ่งรัดแน่นเข้า...แน่นเข้า มาดหมายให้เขาสิ้นชีวิต ไม่อาจหลุดรอดไปได้

            ฮันเตอร์ คิม ใช้อาคม สมาธิของตน ต่อต้าน ขัดขืน ดิ้นรนออกจากกับดักมนตราอยู่เนิ่นนาน จนเรี่ยวแรงอ่อนล้า พลังเสื่อมถอย รู้ว่าหมดปัญญา ความสามารถ วิชาอาคมทั้งหมดที่มีไม่สามารถทะลายกับดักมนตรานี้ได้เลย

            เวลาผ่านไปนานเท่าใดสุดจะรู้ เขานอนหายใจแผ่วระรวย ฟุบร่างลงกับพื้น หมดเรี่ยวแรงต่อต้าน รอเวลาให้กับดักบีบรัดจนสิ้นชีวิตในที่สุด

            จู่ๆ ประตูห้องใต้ดินก็เปิดออก ไลลาปรากฏตัวเด่นโพลนท่ามกลางแสงสว่าง เสียงสวดสาธยายมนต์ดังกึกก้อง บังเกิดขุมพลังมหาศาลแทรกซึมเข้าสู่ใจ แรงบีบรัดคลายตัวชั่วคราว

            “คุณทำอย่างนี้ทำไม?” เสียงอ่อนๆ แฝงความเจ็บช้ำของไลลาดังขึ้นในหัว “กับดักนี้เป็นมนตร์ร้ายแรงที่สุดของบรรพบุรุษแม่มด ใช้จัดการกับศัตรูร้ายที่แอบเรียนเวทมนตร์ จุดประสงค์เพื่อให้ตายสถานเดียว แม้แต่ฉันก็ไม่อาจถอนมันออกได้”

            เขาไม่มีเรี่ยวแรงที่จะคิดตอบโต้ ตอบคำถามเธอ ความรู้สึกผิดปรากฏแก่ใจ ไลลาสัมผัสจิตใจเขาได้จึงมีเสียงทอดถอนใจผ่านเข้ามาในหัวอีกครั้ง

            “ถึงตอนนี้ มีทางเดียวที่คุณจะรอดได้ คือเรียนมนตร์บทนั้น เพื่อใช้มันทำลายกับดักออกไป”

            ความเงียบปรากฏชั่วครู่ ฮันเตอร์ คิม เพิ่งมีโอกาสสูดลมหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่เป็นครั้งแรกหลังจากติดกับดักมานาน

            “ถ้าจะเรียนมนต์บทนี้ คุณต้องยอมเป็นลูกศิษย์ของฉัน...คุณทำได้มั้ย” ท้ายเสียงคำถาม มีความนัยบางอย่างแอบแฝง เป็นเงื่อนไขที่ไลลาไม่กล้าเอ่ยปาก ใจหนึ่งกลัวเขายอมรับมัน อีกใจกลัวเขาปฏิเสธ...ยอมตายไม่ยอมฝึกมนตร์

            ความรู้สึกชายหนุ่มขณะนั้น ขอเพียงให้มีหนทางใดรอดออกไปได้ เขาล้วนยินยอมทั้งสิ้น ในเมื่อความแค้นยังแน่นอก เขาจะไม่ยอมตายในลักษณะนี้

            “ผม...ยอมรับ...” ชายหนุ่มกัดฟัน เปล่งคำพูดออกมาชัดเจน โดยไม่ทันสำเหนียกความแปร่งแปลกที่แทรกในน้ำเสียงคนรัก

            ไลลานิ่งอั้น พูดอะไรไม่ออก ส่วนหนึ่งในใจมีความยินดี แต่แววตากลับฉายความเจ็บปวดอย่างที่สุด ถ้อยคำที่เอื้อนเอ่ยต่อมาฟังออกว่าเป็นการสะกดกลั้นความรู้สึกข้างในสุดกำลัง

            “ก็ดี...คุณยอมรับฉันเป็นอาจารย์แล้ว...ตั้งใจฟัง...ฉันจะสอนมนตร์บทนี้กับคุณ เพื่อให้คุณใช้มันเชื่อมโยงทุกวิชาทั้งหมดที่มี รวมเป็นหนึ่ง เกิดเอกภาพอันแกร่งกล้า ทะลุกรอบอาคมออกมา และทำลายกับดักของบรรพชนแม่มดให้สำเร็จ”

            จากนั้นไลลาเริ่มต้นอธิบายช้าๆ สื่อความหมายจากใจถึงใจ พร้อมกับถ่ายทอดพลังของตนเองเข้าไปเสริมช่วยชายหนุ่มให้สามารถทนทานการบีบรัดจากกับดักอาคมอันร้ายกาจ ต่อเวลา ยืดชีวิตออกไป จนกว่าจะร่ำเรียนมนตร์สำเร็จ เอาตัวรอดออกมาได้

            เวทมนตร์บทนี้ไม่ยืดยาวนัก ไลลาอธิบายให้รู้ แนะนำเคล็ดลับไม่นานก็จบหมด ที่เหลือจากนั้น ฮันเตอร์ คิมต้องใช้สมาธิจิตอันแน่วแน่ของตน รวมกับพื้นฐานวิชาอันแข็งแกร่งหลากหลาย และสติปัญญาทั้งหมดที่มี ทำความเข้าใจ หลอมรวมวิชาอาคมต่างๆ ของตนจนทะลุกรอบออกมา เข้าสู่ขอบเขตผู้ทรงเวทมนตร์ อาคมกล้า ซึ่งยากจะมีใครเข้าถึง

            กับดักบรรพชนแม่มดอันร้ายกาจถูกทำลายล้างโดยใช้เวลาไม่นานนัก



(โปรดติดตามต่อฉบับหน้า)



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP