วรรณกรรมนำใจ Lite Literature

ระบำเวท ๒๑


cover rabamvej


นวนิยายเรื่องนี้ เขียนขึ้นเพื่อความบันเทิง
หากมีชื่อ-สกุล เรื่องราวใดพ้องกับบุคคลจริง ต้องกราบขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย

 

ชลนิล

 

(ต่อจากฉบับที่แล้ว)



            ชายหนุ่มที่นั่งข้างเตียงทรงกลดมีใบหน้าคลับคล้ายเอื้อกานต์ เว้นแต่ดวงตาคมดุกว่า จมูกโด่งเป็นสัน คมเข้มสมชาย นัยน์ตาที่มองตรงมา บอกความสนิทสนมคุ้นเคย

            “มาได้ยังไง” ทรงกลดถามแทนการทักทาย

            “นั่งเครื่องบินมา”

            คำตอบง่าย ตรง จนคนฟังอมยิ้ม

            “พี่หมายความว่า ที่ตั้งใจมาหาพี่ มีธุระอะไร”

            “ผมมาเยี่ยมคนป่วย” ทีเกื้อตอบยิ้มๆ

            “อาการพี่ไม่หนักขนาดนั้นหรอกน่า”

            “ผมรู้” นายตำรวจหนุ่มตอบ แววตามีความนัยที่อีกฝ่ายอ่านได้ไม่ยาก

            “เอื้อโทร. ไปหาเกื้อเรื่องพี่แล้วละสิ” ทรงกลดเริ่มต้น

            “ตั้งแต่วันแรกที่เจอ!” ทีเกื้อยืนยัน “เอื้อมันเกือบสติแตก คิดไม่ถึงจะเจอคนหน้าตาเหมือนพี่ แล้วมาในสภาพคนป่วยอาการหนักขนาดนั้น”

           “พี่ก็ไม่ตั้งใจมาให้เอื้อเห็นเหมือนกัน” ทรงกลดตอบ

            “เรื่องราวเป็นมายังไง” ทีเกื้อถาม

            ทรงกลดนิ่ง ชั่งใจชั่วครู่ ก่อนตั้งคำถาม

            “เอื้อเคยเล่าเรื่องเกี่ยวกับคนป่วยที่โดนไวรัสแปลกๆ บ้างมั้ย”

            “หมายถึงไวรัสที่ถูกควบคุมด้วยอาคมหรือครับ” ทีเกื้อจำได้ เอื้อกานต์เคยปรึกษาเขาครั้งหนึ่ง ซึ่งตอนนั้นเขาแนะนำให้พี่สาวหาสมุดบันทึกของคุณตาที่เขียนหน้าปกว่า ‘อาคม’ มาอ่าน เผื่อช่วยเหลืออะไรได้บ้าง

            “อย่างนี้ค่อยอธิบายง่ายหน่อย” คนป่วยโล่งใจ

            จากนั้นทรงกลดจึงค่อยๆ เล่าเรื่องราวเกี่ยวกับการสังหารคนจำนวนมากด้วยไวรัสอาคมของไลลา เรื่องที่เอื้อกานต์สามารถถอนอาคมที่ควบคุมไวรัสจนโดนหมายหัวเป็นฝ่ายตรงข้าม รวมถึงเรื่องที่ตัวเองไปขัดขวางการปล่อยไวรัสอาคมครั้งที่สองจนต้องรับเชื้อมาเต็มๆ ขนาดนี้

            หลังจากฟังเรื่องราวทั้งหมดจบลง ทีเกื้อก็ถอนใจเฮือกใหญ่

            “คดีนี้...หนักไม่แพ้เรื่องที่ผมเจอที่โน่นเลย”

            “ขนาดนั้นเชียว” ทรงกลดแปลกใจ ถ้ามือระดับทีเกื้อบอกว่าหนัก แสดงว่าคงยากจะมีใครคลี่คลายคดีได้แล้ว

            “อย่าห่วงเรื่องงานของผมเลย เอาแค่เรื่องของพี่กับเอื้อก่อนดีกว่า” ทีเกื้อตัดบท ไม่ต้องการพูดถึงภาระงานของตน

            “พี่...กับเอื้อ...มันไม่มีอะไรอีกแล้ว” ทรงกลดบอกปัด

            “ก่อนหน้านี้อาจเป็นได้ แต่ตอนนี้ไม่ใช่แล้วพี่กลด”

            “ทำไม”

            ทีเกื้อจ้องตาทรงกลดนิ่ง ก่อนพูดช้าๆ

            “เอื้อมันรู้แล้วล่ะว่าพี่เป็นใคร”

            ทรงกลดชะงัก นึกถึงเหตุการณ์เมื่อตอนเย็น สีหน้าแววตาเอื้อกานต์แสดงถึงความแปร่งแปลกที่เขายากจะอ่าน ตีความได้

            “ตอนแรก เอื้อมันชวนให้ผมลงมาช่วยพิสูจน์” ทีเกื้ออธิบาย “ผมก็พยายามเลี่ยง อ้างเรื่องงาน จนกระทั่งเย็นวันนี้ ผมรับความรู้สึกตกใจอย่างแรงจากเอื้อได้ มันเป็นความรู้สึกเดียวกับตอนที่เอื้อมันเจอพี่ครั้งแรกที่โรงพยาบาลนี้ ต่างกันตรงที่คราวนี้มันไม่โทร. หาผม แสดงว่าเอื้อต้องมีวิธีพิสูจน์ด้วยตัวเองแล้ว ผมเลยต้องรีบลงมาหาพี่ก่อนนี่ไง”

            “แล้วยังไง” ทรงกลดรู้ว่าทีเกื้อมีเรื่องจะพูดต่อ

            “ตอนผมมาถึงโรงพยาบาล ก็รับความรู้สึกจากเอื้อได้ว่า...มันหมดความสงสัย แน่ใจแล้วว่าชามาร์ ทรงกลด คิม เป็นคนเดียวกัน”

            ทรงกลดถอนใจ ถ้าทีเกื้อพูดกับเขาแบบนี้เมื่อหลายปีก่อน เขาคงไม่อยากเชื่อว่าจะมีพี่น้องฝาแฝดที่สามารถสัมผัส รับรู้ความรู้สึกจากใจถึงใจต่อกันได้

            แต่หลังจากผ่านการฝึกฝนอาคมมากมาย พบเจอคนมีพลังพิเศษหลากหลาย จึงไม่แปลกใจที่ทีเกื้อจะพูดแทนความรู้สึกของพี่สาวฝาแฝดได้กระจ่าง ชัดเจนขนาดนี้

            “เกื้อจะให้พี่ทำยังไง” ชายหนุ่มเอ่ยปากถาม

            “ผมอยากให้พี่เปิดเผยตัวกับเอื้อเสีย” นายตำรวจตอบ

            “แล้วมันจะได้ประโยชน์อะไร?” คำถามแฝงความเจ็บปวดใจ

            “ผมไม่อยากให้พี่กับเอื้อต้องทุกข์ใจมากกว่านี้”

            “การที่พี่ยอมรับว่าตัวเองเป็นทรงกลด จะทำให้เอื้อมีความสุขมากขึ้นหรือ?”

            ทีเกื้อตอบไม่ถูก ได้แต่มองชายบนเตียงด้วยแววตาเข้าใจ ทรงกลดวันนี้...ไม่ใช่ทรงกลดคนเดิมที่เขากับเอื้อกานต์เคยรู้จักเมื่อหลายปีก่อน

            ชะตากรรม ความลำเค็ญ บาดแผลจากรอยอาฆาต ฟาดโบยเปลี่ยนแปลงทรงกลดเกือบจะสิ้นเชิง เขาไม่ใช่ชายหนุ่มผู้สดใส อนาคตไกล มองโลกแง่ดี มีครอบครัวอบอุ่นสมบูรณ์คนเดิม

            ผู้ชายคนนั้นตายไปพร้อมครอบครัวตอนเครื่องบินระเบิดตกลงมาแล้ว

            “ถ้าอย่างนั้น...” ทีเกื้อพยายามหาทางออก “พี่กลดก็ควรหลบหน้ามันไปเสีย...การไม่ยอมเจอกันแบบนี้ เอื้อมันคงเข้าใจ”

            ทีเกื้อไม่อธิบายต่อไปว่า ถ้าเอื้อกานต์หาหลักฐาน รับรู้เรื่องราวของคิม-ทรงกลดทั้งหมดแล้ว เธอคงเข้าใจว่าเหตุใดทรงกลดถึงเปิดเผยตัวเองไม่ได้ และการที่เขายอมหนีหน้าจากไป คงทำให้เธอเจ็บปวดใจน้อยกว่า

            “ตอนนี้พี่ยังหนีหน้าไปไหนไม่ได้” ทรงกลดบอก

            “ทำไม?”

            “เอื้อกำลังจะเผชิญหน้ากับไลลา”

            “ไลลา...ผู้หญิงที่ปล่อยไวรัสอาคม” ทีเกื้อเย็นสันหลังวาบ

            “ใช่...คนที่ทำให้พี่ต้องมานอนโรงพยาบาลแบบนี้” ทรงกลดเล่าเรื่องของไลลาให้ทีเกื้อฟังตั้งแต่แรกแล้ว จึงพูดต่อได้อย่างเต็มที่ “เขาเป็นอาจารย์ของอาจารย์พี่ ความสามารถของเขาอาจเหนือกว่าพี่ด้วยซ้ำ...และที่สำคัญ ไม่ว่าเขาจะทำอะไร ไม่มีใครคาดเดาจิตใจได้เลย”

            คำพูด คำอธิบายถึงไลลาของทรงกลด ทำให้ทีเกื้อเห็นนิมิตหมอกดำทะมึนที่แฝงความหนาวอันเย็นเยียบ มีเปลวเพลิงแลบแปลบปลาบเป็นระยะ บอกให้รู้ว่าคนผู้นี้อาจเผาผลาญใครก็ได้ในพริบตา ขณะเดียวกันก็ทำให้อีกฝ่ายหนาวเย็นยะเยียบจนไม่กล้าขยับตัวไปไหน

            “ผมอยากอยู่ช่วยเอื้อมันจริงๆ” ทีเกื้อพูดอย่างหนักใจ “แต่จำเป็นต้องขึ้นเครื่องกลับไฟลท์เช้านี้แล้ว”

            “เกื้อไม่ต้องห่วง พี่จะไม่ปล่อยให้เอื้อเป็นอะไรแน่นอน”

            คำพูดหนักแน่นจากชายผู้ทรงอาคมกล้าซึ่งทีเกื้อเคยเห็นฝีมือกันมาแล้ว ช่วยให้วางใจขึ้น

            “พี่กลดจะอยู่ช่วยเอื้อ โดยไม่ยอมรับว่าเป็นตัวเอง ทั้งที่เอื้อมันก็รู้ความจริงแล้วนี่นะ” ทีเกื้อหนักใจแทน

            “พี่ทำได้”

            “มันไม่เจ็บปวดเกินไปหรือพี่” ทีเกื้อพูดอย่างคนเคยเจ็บปวดกับความรักมาแล้ว

            “พี่ไม่รู้ว่า ระหว่างการยอมรับว่าเป็นทรงกลด แล้วอาจมองหน้ากันลำบาก เพราะทุกอย่างมันเปลี่ยนไปหมดแล้ว กับทนฝืนปฏิเสธ เป็นคนอื่นไปเรื่อยๆ แบบนี้...อย่างไหนมันจะเจ็บปวดมากกว่ากัน”

            ทีเกื้อพูดไม่ออก เพราะเข้าใจความรู้สึกทั้งสองฝ่าย จึงไม่กล้าออกความเห็น ชี้นำ สุดท้ายต้องยอมตัดใจ ขยับตัวลุกขึ้น

            “ผมต้องกลับก่อน ยังไงฝากพี่กลดดูแลเอื้อมันด้วยนะ”

            “พี่รับปาก”

            นายตำรวจหนุ่มพยักหน้ารับ เขาวางใจชายตรงหน้า แต่ก็อดหนักใจแทนไม่น้อยว่า ชายผู้นี้กับพี่สาวตนจะมองหน้ากันอย่างไร ในเมื่อต่างคนก็รู้ความจริง แต่ไม่อาจเปิดใจ ก้าวออกมาหากันได้



            ปิดประตูห้องคนป่วยเรียบร้อย ทีเกื้อก็พบชายหนุ่มอีกคนยืนพิงผนังอยู่ข้างประตู สีหน้า แววตา บอกให้รู้ว่ากำลังรอเขาอยู่

            “หวัดดีหมอ” ทีเกื้อเอ่ยทัก ไม่นึกแปลกใจ

            “พอมีเวลาคุยกับผมสักครู่มั้ยสารวัตร” หมอหมากเอ่ยปาก สีหน้าไม่มีแววล้อเล่น

            “ได้ครับหมอ” ทีเกื้อพยักหน้ารับ

            หมากเห็นทีเกื้อเดินเข้าไปในห้องคนป่วย ทีแรกเขาก็คิดจะทำเฉย ไม่ใส่ใจ หากก็อดไม่ได้ อยากซักถาม พูดคุยบางเรื่องที่ค้างคาในใจ จึงยืนรอหน้าประตู

            ทีเกื้อมองหน้าคุณหมอหนุ่ม ใช้สัมผัสพิเศษเข้าไปรับรู้ความรู้สึกข้างใน พอสบตากันยิ่งกระจ่างแก่ใจ หมากน่าจะรู้เรื่องราวระหว่างเอื้อกานต์กับทรงกลดมากกว่าที่ใครคาดคิด

            หมากรู้ได้อย่างไร ทีเกื้อไม่สนใจ เรื่องที่หมากดักรอเพื่อพูดคุย น่าสนใจกว่า

            ทีเกื้อชักเริ่มรู้สึกว่า การมากรุงเทพฯ เพียงไม่กี่ชั่วโมงนี้ มันคุ้มค่าเกินกว่าคาดคิดจริงๆ



            เมื่อรู้ความจริง ได้คำตอบที่ต้องการแล้ว ควรทำอย่างไรต่อไป...เอื้อกานต์ถามตัวเอง

            จะเดินไปหาเขา แล้วเค้นถาม พร้อมหลักฐาน ข้อมูลประกอบยืนยันอย่างนั้นหรือ?

            ถ้าเขายืนยันคำเดิม ตนเองคือชามาร์...เธอจะทำอย่างไร

            ถ้าเขายอมรับ...พี่เป็นทรงกลด...เธอจะโผเข้าไปกอด แล้วบอกว่าทุกอย่างยังเหมือนเดิม...อย่างนั้นใช่ไหม?

            เอื้อกานต์สงบใจ รู้ทันความคิดฟุ้งซ่านที่เกิดดับในหัว จนกลุ่มก้อนหมอกมัวคลายลง ลองนึกเปรียบเทียบจิตใจกัน หากเธอเป็นทรงกลด ต้องสูญเสียครอบครัว ศักดิ์ศรีวงศ์ตระกูลย่อยยับ รอดชีวิตมาได้ราวปาฏิหาริย์ ใช้ชีวิตหลบซ่อนอยู่หลายปี กลับมาด้วยจิตใจอาฆาตแค้นเต็มเปี่ยม ทำเรื่องร้ายกาจนานา...เธอยังกล้ากลับมาหาคนรัก เพื่อให้เขาต้องผิดหวัง เสียใจอีกหรือ

            ต่อให้ละวางความแค้นในตอนท้าย ความผิดก็ยังอยู่ กฎหมายอาจเอาโทษ เอาผิดไม่ได้ ด้วยขาดพยานหลักฐาน ทว่าจิตใจเจ้าตัวย่อมรู้ ทำอะไรลงไป

            ความรู้สึกผิดเช่นนั้นมันกัดกร่อน กัดกินหัวใจ จนเขาต้องลงโทษตัวเองอย่างสาสม

            ติดคุก ยังมีวันอภัย ได้พ้นโทษ แต่ใจที่ยุติธรรม เมื่อลงโทษตัวเองแล้ว จะมีวันผ่อนผัน ปล่อยวางเมื่อใด?

            เขาจึงยอมตายอย่างคนดี มากกว่าเป็นคนเลวที่ยังมีชีวิตอยู่...ในสายตาของเธอ

            เมื่อรู้สึก สัมผัสจิตใจทรงกลดได้ชัดเจนขนาดนี้ เอื้อกานต์รู้สึกลำคอตีบตัน อดสะอื้นฮักออกมาไม่ได้

            บัดนี้รู้แล้วว่า ต่อให้ฆ่าเขาจนตาย ผู้ชายคนนี้จะไม่มีวันยอมรับว่าตนเองคือทรงกลดต่อหน้าเธอ!

            น้ำตาไหลรินลงมาเป็นสาย ความเจ็บปวด ทุกข์ใจ ทะลักล้นออกมาเป็นน้ำตา การเข้าใจจิตใจของผู้ชายที่รัก ก็เป็นแค่ความเข้าใจ มันไม่อาจช่วยให้หัวใจที่ถูกบีบคั้นคลายจากความเจ็บปวดได้เลย

            เอื้อกานต์ตั้งสติ สูดลมหายใจลึก ดูจิตที่เศร้า ทุกข์ เสียใจ ในขณะนี้ มองเห็นมันเป็นอื่น ยอมรับมันตามความจริง...จิตใจมันจะเศร้าโศก เสียใจ เธอห้ามมันไม่ได้

            สุดท้ายได้คิด...เมื่อเข้าใจเขาถึงขนาดนี้ เหตุใดจึงต้องหวังให้เขายอมรับตัวเอง ทำไมต้องให้เขามาเชือดหัวใจต่อหน้าเธอ

            ถ้าเธอรักและเข้าใจเขา ก็ต้องยอมรับการตัดสินใจ การกระทำของเขา

            ถ้าเขามีความสุขกับการเป็นชามาร์ เป็นคิม หรือเป็นใครก็ตาม เธอก็พร้อมยินดี

            ถ้าเขาพอใจแค่ได้มองเธอห่างๆ เข้าใกล้มากกว่านี้ ใจเขาจะเจ็บเกินทน...เธอก็จะยอมรับมัน

            ทรงกลดเจ็บปวด ทรมานมามากแล้ว...ถ้าการที่เธอยอมเป็นคนโง่ ไม่รู้เรื่องอะไรเลย จะช่วยให้เขาสบายใจ มองเธอได้เต็มตา...เอื้อกานต์ก็จะยอมทำ

            หวังว่าสักวันหนึ่ง เมื่อเขาให้อภัยตัวเอง ปลดโซ่ตรวนการลงทัณฑ์สำเร็จ เขาคงจะเดินมายอมรับความจริงกับเธอด้วยความเต็มใจ

            ช่วงเวลานั้น เอื้อกานต์นึกถึงความหมายแฝงของสมุนไพรสี่อย่างในเพลง ‘Scarborough fair’ ที่ทรงกลดอธิบายให้ฟังขึ้นมา

            Parsley หมายถึงความสบาย ร่มรื่น Sage หมายถึงความเข้มแข็ง Rosemary หมายถึงความซื่อสัตย์ Thyme หมายถึงความกล้าหาญ

            ถ้าเนื้อเพลงโดยรวมของ ‘Scarborough fair’ จะกล่าวถึงการขอร้องให้ทำภารกิจยากๆ ชนิดที่แทบเป็นไปไม่ได้ เพื่อพิสูจน์หัวใจรักแท้

            การกล่าวถึงสมุนไพรทั้งสี่ ย่อมต้องการจะสื่อบอกว่า ความรักที่แท้จริงนั้น สามารถบรรเทาความขมขื่น มีความมั่นคง แม้ในยามพลัดพราก มีความภักดี ซื่อสัตย์ ซื่อตรงต่อกัน ในยามโดดเดี่ยว เคว้งคว้าง และมีความเข้มแข็ง กล้าหาญ พอที่จะเติมใจให้กัน เพื่อฝ่าฟันอุปสรรค ขวากหนามนานา

            เอื้อกานต์กระจ่างในความหมายแฝงของเพลงก็ในยามที่หัวใจของตนเข้าใจความรักของชายที่ตนรักอย่างแท้จริง

            ถ้าเธอมีความรักแท้ ก็ต้องทนมองเขาเป็นคนอื่นได้ ความรักในใจจะบรรเทาความขมขื่นที่เกิดขึ้น ช่วยให้จิตใจมั่นคง ซื่อสัตย์ และเข้มแข็ง แม้จะโดดเดี่ยวเคว้งคว้างเพียงไรก็ตาม

            ภารกิจที่จะมาพิสูจน์ วัดหัวใจเธอก็คือ...สามารถมองหน้า สบตา และพูดจากับเขา เหมือนเป็นคนอื่น แกล้งเป็นคนโง่ ทั้งที่หัวใจรับรู้ทุกอย่างดี...ได้หรือไม่?

            ประกายบางอย่างจุดสว่างวาบในความคิด

            นี่เอง...ความหมายของเพลงที่ไลลาถามถึง

            นี่เอง...จิตใจของผู้หญิงคนหนึ่ง ที่เธออยากให้เอื้อกานต์รับรู้

            เวลานี้ คุณหมอสาวรู้ว่าตนเองมีคุณสมบัติ มีสิทธิ์พอที่จะได้เข้าพบไลลาอีกครั้ง ตามเงื่อนไขสัญญาแล้ว



            ประเทศมูเจนเป็นประเทศเล็กๆ แห่งหนึ่ง อยู่ในเขตเทือกเขาหิมาลัยพาดผ่าน ก่อตั้งมาราวสามถึงสี่ร้อยปีมาแล้ว โดยกลุ่มชนสองเผ่า พวกแรกสืบเชื้อสายมาจากดินแดนทุ่งหญ้า ชาวมองโกล อีกพวกสืบเชื้อสายมาจากแขก ชาวเปอร์เซีย

            ทั้งสองกลุ่ม เดินทางรอนแรม หลีกลี้จากดินแดนของตน มาหาแผ่นดินใหม่

            แรกที่ก่อร่างสร้างเมือง กลุ่มผู้ก่อตั้งทั้งสองฝ่ายต่างรักใคร่ปรองดอง กรีดเลือดร่วมสาบานเป็นพี่น้อง ไม่มีแบ่งแยกเราเขา ช่วยกันวางรากฐานบ้านเมืองอย่างมั่นคง และมั่งคั่งด้วยทรัพยากรอันมีค่า คือเหมืองเพชรและทอง

            เมื่อก่อตั้งประเทศ เกิดระบบองค์เจ้า ผู้ร่วมก่อตั้งทั้งสองสาย ต่างผลัดกันครองแผ่นดิน ดำรงตำแหน่ง ‘องค์เจ้ามูจนะ’ อย่างยุติธรรม ไม่มีการแก่งแย่ง บ้านเมืองสุขสงบมายาวนานนับร้อยปี

            จนเวลาผ่านไปเกือบสองร้อยปี มีการผลัดแผ่นดินราวห้าหกครั้ง กลุ่มหน่อเนื้อมูจนะที่สืบเชื้อสายชาวเปอร์เซียก็ยึดอำนาจเบ็ดเสร็จ กลืนกิน ขับไล่หน่อเนื้อมูจนะที่มีเชื้อสายชาวมองโกลออกไป

            จากนั้น ประเทศมูเจนก็ปกครองด้วยระบบองค์เจ้ามูจนะสายเดียว ไม่มีการสลับกันครองแผ่นดินดุจเดิม ประเทศเป็นเอกภาพ เจริญรุ่งเรือง มั่งคั่งด้วยทรัพย์สมบัติ แต่ยังปิดประเทศ รักษาวัฒนธรรมดั้งเดิมของตน ไม่ยอมให้สังคมโลกภายนอกเข้ามาก้าวก่ายเกินความจำเป็น

            กระทั่งเมื่อราวสี่ห้าสิบปีที่ผ่านมานี้เอง ประเทศมูเจนเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ มีเหตุปฏิวัติจากกลุ่มผู้นำทหาร ร่วมกับคณะรัฐบาล ล้มล้างระบอบองค์เจ้า เปิดประเทศเสรี ปล่อยให้ชาวต่างชาติมาลงทุน แสวงหาผลประโยชน์

            เปลี่ยนประเทศอันสงบสุขด้วยวัฒนธรรมอันดีงาม มาเป็นประเทศทุนนิยมเสรี สร้างผลประโยชน์มหาศาลให้แก่กลุ่มผู้นำประเทศ ถึงขนาดมีชื่อติดอันดับมหาเศรษฐีอันดับต้นๆ ของโลก

            ชั่วเวลาหลังจากนั้น เพียงแค่ยี่สิบสามสิบปี ทรัพยากรในประเทศไม่มีเหลือ มูเจนกลายเป็นประเทศไร้คุณค่า ไร้ประโยชน์ต่อนักลงทุน ประชาคมโลกไม่สนใจ แทบไม่มีใครมองเห็นมูเจนในแผนที่โลก

            มูเจนปัจจุบัน เหลือสภาพเป็นแค่ประเทศยากไร้ เมืองคนจน...ที่เคยมีประวัติศาสตร์รุ่งเรืองให้คนชื่นชมเท่านั้นเอง


            หลายสิบปีก่อน 


            กลางป่ามืด อากาศเย็น ฟ้าพร่างดาว

            เสียงลมหายใจฟืดฟาด เหนื่อยหนัก ดังจากร่างผอมบางที่สะพายเป้หลังใบใหญ่ เดินตามชายในชุดพรางซึ่งกำลังก้าวเดินดุ่มๆ อย่างเร่งร้อน

            เฌอคิมซา เจ้าชายน้อย หน่อเนื้อมูจนะองค์สุดท้ายแห่งมูเจน มีพระชันษาเพียงสิบสามสิบสี่ปี ต้องเดินบุกป่าฝ่าดงยามค่ำคืน ติดตามนายทหารรักษาพระองค์เพื่อหนีตาย มีเพียงองครักษ์ใกล้ชิดคอยดูแล ประคับประคอง เหน็ดเหนื่อยแทบหมดกำลังก็ยังกัดฟันทนด้วยขัตติยะมานะ ไม่ส่งเสียงร่ำร้องโอดครวญ ด้วยรู้ว่าทุกคนยามนี้ล้วนตกอยู่ในอันตราย

            “อีกไม่ไกลจะถึงชายแดนแล้วพระองค์” องครักษ์คนสนิทกราบทูล

            องค์ชายเพียงพยักพระพักตร์ ไม่มีเรี่ยวแรงตอบโต้

            “พอพ้นชายแดน จะมีพระสหายขององค์เจ้าคอยดูแล ช่วยเหลือ หาที่หลบซ่อนตัว พระองค์ไม่ต้องทรงกังวลเรื่องค่าใช้จ่าย ความเป็นอยู่ องค์เจ้ามีพระราชทรัพย์ในบัญชีธนาคารสวิสเป็นจำนวนมาก กระจายหลายแห่ง ‘พวกมัน’ ไม่รู้ แตะต้องไม่ได้ ส่วนพระราชสมบัติสำคัญของหน่อเนื้อมูจนะถูกเก็บไว้ในเซฟอย่างปลอดภัย ขอให้องค์ชายจำรหัสให้แม่นยำ ทั้งหมดนี้มันมากพอให้พระองค์ใช้จ่ายได้ตลอดชีวิต และสามารถใช้เป็นทุนในการกลับมาทวงบัลลังก์ในอนาคต ซึ่งทุกสิ่งที่จำเป็นต่อการยืนยันตัวตนของพระองค์อยู่ในเป้หลัง โปรดรักษาไว้ให้ดี”

            องครักษ์คนสนิทอธิบายเรื่องราวนี้ซ้ำเป็นรอบเท่าใด องค์ชายน้อยคร้านจดจำ ด้วยความที่อีกฝ่ายเป็นทั้งองครักษ์ ทั้งครู ทั้งพี่เลี้ยง อบรมดูแลกันมาตั้งแต่เล็ก เจ้าชายน้อยจึงทรงยอมอดทน รับฟัง

            ห้วงความคิดของเด็กหนุ่มผู้สูงศักดิ์ยามนี้ มืดทึบ อับจน จิตใจเจ็บช้ำรุนแรงเกินกว่าจะยอมรับ แทบไม่อยากเชื่อ ชีวิตจะพลิกผันจากจุดสูงสุดลงมาต่ำเตี้ยเรี่ยดินเพียงชั่วเวลาไม่นาน

            ภาพขององค์เจ้ามูจนะและองค์รานีโดนจับ พระญาติ เหล่าหน่อเนื้อมูจนะทั้งหลาย ถูกกระสุนปืนกราดใส่อย่างไม่ปรานี ตนเองต้องหลบหนีหัวซุกหัวซุนพร้อมกับองครักษ์คนสนิทและทหารรักษาพระองค์เพียงหยิบมือ ตลอดทางถูกไล่ล่าไม่ต่างจากสุนัขจรจัด

            ทหารที่ติดตามถวายการอารักขาล้วนล้มตาย หลงเหลือแค่ห้านาย ข้างกายมีองครักษ์ผู้ภักดีคอยประคับประคอง ให้กำลังใจ บอกกล่าว เฝ้าย้ำซ้ำแล้วซ้ำอีกถึงเรื่องราวที่จำเป็นต้องกระทำ จดจำ เมื่อยามออกไปสู่โลกกว้างแดนไกล ทิ้งบ้านเกิดเมืองนอนเป็นเวลาหลายปี

            “ปัง”

            เสียงกระสุนปืนดังมาจากเบื้องหลัง เจ้าชายน้อยถูกดึงให้หมอบ หลบกระสุน

            “หนีเร็ว!” คำพูดบอกกล่าวเท่านี้

            จากนั้นแสงจากปลายกระบอกปืนก็สว่างวาบตามป่ามืดด้านหลังนับหลายสิบจุด เสียงยิงตอบโต้ดังสนั่นป่าแทบแตก องครักษ์ฉุดเจ้าชายน้อยให้หลบหนี ลัดเลาะคืบคลานหลบกระสุนอย่างลำบาก พยายามเลือกเส้นทางปลอดภัย เพื่อมุ่งหน้าไปยังชายแดนซึ่งอยู่อีกไม่ไกล

            เสียงปืนเดี๋ยวห่างเดี๋ยวใกล้เข้ามา บอกให้รู้ถึงการไล่ล่า ตามติด และการต่อสู้ตอบโต้ชนิดหลังชนฝาจากทหารรักษาพระองค์ทั้งหมดที่เหลือ

            หน่อเนื้อมูจนะองค์สุดท้ายไม่รู้ทิศทาง เหนือใต้ พอพ้นจุดที่ต้องคืบคลานมาได้ก็ออกวิ่งเต็มกำลัง ตามแต่องครักษ์จะพาไป เหนื่อยแทบขาดใจตายยังกัดฟันทน สะดุดขอนไม้ล้มก็ตะเกียกตะกายรีบลุกขึ้น ไม่ยอมทำตัวเป็นภาระ

            เสียงปืนขาดหาย แสดงว่าการต่อสู้ต้านทานจบลงแล้ว เสียงย่ำสวบสาบไล่ล่ายังดังชัด แสดงว่าทหารรักษาพระองค์ที่หลงเหลือล้วนเสียชีวิต เจ้าชายน้อยเหลือองครักษ์ผู้เดียว คอยฉุดลาก หลีกเร้น อาศัยความมืดและประสบการณ์อันช่ำชองนำทาง พาหน่อเนื้อมูจนะองค์สุดท้ายไปสู่จุดหมาย

            กระแสไล่ล่า บีบคั้น กดดันเข้ามา ต่อให้มองไม่เห็นตัว แต่ก็รู้ อีกฝ่ายสืบเสาะกระชั้น ใกล้มาถึง เจ้าชายน้อยแทบไม่มีเรี่ยวแรงหลงเหลือ เสียงหอบหายใจหนักขึ้นเรื่อยๆ ขณะที่องครักษ์ยังไม่ยอมหยุดพัก

            “ปัง! ปัง! ปัง!” เสียงปืนดังจากด้านหลัง ห่างไม่กี่เมตร เจ้าชายน้อยสัมผัสถึงความร้อนของกระสุนที่เฉี่ยวผ่านร่าง องครักษ์รวบรวมเรี่ยวแรงทั้งหมดเข้าโอบผู้เป็นนาย ใช้ร่างตนเป็นเกราะกำบัง กระโจนหลบลงคูน้ำแห้งด้านหน้า

            ปัง...ปัง...กระสุนตามมาอีกสองนัด ขณะร่างกลิ้งลงไปกับพื้น ตกลงในหลุมแห้งๆ ซึ่งรกด้วยวัชพืช

            เสียงฝีเท้าถี่ๆ ใกล้เข้ามา...หมดทางหนีเอาตัวรอด หน่อเนื้อมูจนะองค์สุดท้ายถอดใจ

            ...หรือจะสิ้นชีวิตตั้งแต่อายุยังน้อยเพียงนี้?

            ฉับพลันก็มีเสียงปืนรัวสนั่นดังมาจากอีกฟากของคูน้ำแห้ง สกัดกั้นผู้ไล่ล่าไม่ให้ลงมาจัดการเด็ดชีพเหยื่อซึ่งหมดทางสู้

            เสียงปืนดังมาจากสองฝ่าย กระสุนร่อนบินฉวัดเฉวียนเหนือศีรษะ ชีวิตเหมือนแขวนอยู่บนเส้นด้าย หากแนวกระสุนกราดต่ำกว่านี้เพียงแค่คืบเดียว ชีวิตคงดับดิ้น

            เวลาไม่นานเท่าใด หากเจ้าชายน้อยกลับรู้สึกเสมือนราตรีนี้ยืดยาวชั่วกัปชั่วกัลป์ เสียงปืนค่อยเงียบหาย การต่อสู้สิ้นสุดลง

            เสียงฝีเท้าของคนหลายสิบคนเคลื่อนใกล้เข้ามา ก่อนมาหยุดอยู่เหนือหัว พร้อมแสงไฟส่องกราดมา

            “เจ้าชายเฌอคิมซา” เสียงเรียกบอกความเคารพ

            ผู้นำกลุ่มอยู่ในชุดทหารของประเทศเพื่อนบ้าน พร้อมด้วยลูกน้องหลายสิบนายยืนอยู่ด้านหลัง

            องครักษ์ขยับตัวลุกขึ้นก่อน เอาร่างตนบังแสงไฟ ปกป้องเจ้าชายในความดูแล

            “พวกคุณข้ามชายแดนมาแล้ว” เสียงบอกของผู้นำกลุ่ม ทำให้องครักษ์ถอนใจเฮือกใหญ่ เรี่ยวแรงที่มีล้วนสูญหาย ร่างกายอ่อนเปลี้ย ล้มฟุบลง

            “กีธา” เจ้าชายน้อยเปล่งเสียงร้องเรียกองครักษ์ผู้ใกล้ชิด ผูกพัน อย่างตกใจ

            “กีธา...” เจ้าชายองค์สุดท้ายของมูเจนประคองร่างองครักษ์ขึ้นมา รู้สึกได้ถึงของเหลวเหนียวข้นติดมือ กลิ่นเลือด และความตายโชยมาชัดเจน

            “กี...ธา...” เสียงร้องเรียกปนสะอื้น กระสุนปืนสองนัดสุดท้ายที่หมายปลิดชีพหน่อเนื้อมูจนะ ถูกองครักษ์ใช้ร่างของตนเข้ารับแทน

            ความหวาดกลัว เสียขวัญ บังเกิดขึ้นในใจ ต่อให้เป็นเจ้าชายสูงศักดิ์ อย่างไรเสียก็ยังเป็นแค่เด็กหนุ่มอายุไม่ถึงสิบสี่ปีเต็ม จะให้ออกไประเหเร่ร่อนกับคนแปลกหน้าที่ตนไม่รู้จัก ต้องเผชิญโลกกว้างอันน่ากลัวอย่างโดดเดี่ยว มันไม่ใช่เรื่องทำใจยอมรับได้ในเวลาอันสั้น

            “เจ้าชาย...เฌอคิมชา หน่อเนื้อมูจนะแห่งประเทศมูเจน” องครักษ์กัดฟัน ฝืนเปล่งเสียงเรียกพระนามด้วยใจหนักแน่น

            “กระหม่อมไม่อาจอยู่รับใช้พระองค์ได้อีก” เสียงพูดขาดเป็นห้วงๆ “ได้โปรด...รักษาตัว...เพื่อชาติ...บ้านเมืองของพระองค์”

            เจ้าชายน้อยสะอื้นฮัก น้ำตาไหลพราก พูดอะไรไม่ออก

            “จำที่กระหม่อมเคยสั่งสอนได้หรือไม่...ลูกผู้ชาย...ยอมให้โลหิตไหลชโลมดิน...แต่ไม่มีวันหลั่งน้ำตาให้ใครเห็น” คำพูด คำสั่งสอน เฉกเช่นเคยบอกกล่าว ตักเตือนเจ้าชายพระองค์น้อยในวัยเยาว์

            เจ้าชายน้อยรีบปาดน้ำตา พูดด้วยเสียงแปร่งปร่า

            “เรา...จะจดจำ...ทุกคำพูดของท่าน...ทุกคำสอนนั้น...ไม่มีวันลืม”

            “ขอบพระทัย...” เป็นคำพูดสุดท้าย ก่อนลมหายใจผู้ภักดีจะหลุดลอยจากร่าง

            องค์ชายน้อยฝืนกลืนก้อนแข็งๆ ลงคอ ขบริมฝีปากแน่น น้ำตาแห้งเหือดไม่มีจะไหล ร่างผอมบางเหยียดกายลุกขึ้นยืนสง่า สบสายตาเหล่าทหารประเทศเพื่อนบ้าน และผู้นำซึ่งเป็นสหายของพระบิดา ด้วยลักษณะท่าทางสมกับเป็นหน่อเนื้อมูจนะ...ว่าที่เจ้าชีวิตของคนทั้งแผ่นดิน

            นับจากวันนี้ เหลือเพียงตนเองผู้เดียว กับภารกิจหนักหนาที่แบกไว้บนบ่า

            ทุกคำสั่งสอน ทุกสิ่งที่เรียนรู้ ต้องจดจำเพื่อนำมาใช้ประโยชน์ เอาตัวรอด...ต้องเติบโตให้ได้ภายในข้ามคืน

            เพื่อว่าวันหนึ่ง...จะกลับมาทวงสิทธิ์ในบัลลังก์และประเทศชาติของตนอย่างสง่างาม



            เวลาเช้ามืด

            ทรงกลดลืมตา มองเพดานนิ่งๆ ความรู้สึกเศร้าโศก กดดันของเจ้าชายเฌอคิมซาในวันนั้น ลอยอ้อยอิ่งอยู่ในจิตใจเขา

            หลังจากศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับประเทศมูเจน ประกอบกับสิ่งที่ได้รับมาจากความทรงจำของ ฮันเตอร์ คิม ทำให้ทรงกลดเห็นภาพ เข้าใจจิตใจผู้เป็นอาจารย์ลึกซึ้งกว่าเดิม

            ความทรงจำอันเจ็บปวดของเจ้าชายเฌอคิมซา ในวันที่ถูกพรากจากแผ่นดินแม่ทั้งที่ไม่ยินยอมพร้อมใจ ถูกนำมาฉายเป็นภาพในความฝันของเขา จนแยกความรู้สึกไม่ออก ว่านี่เป็นความเจ็บปวดของตน หรือความเจ็บช้ำในอดีตของ ฮันเตอร์ คิม

            ทรงกลดรู้ว่า หลังจากเจ้าชายน้อยหลบหนีออกนอกประเทศสำเร็จ ก็เร้นกายปลอมแปลงชื่อเสียง สัญชาติ ศึกษาเล่าเรียนโดยมีพระสหายของบิดาเป็นผู้คุ้มครองดูแล มีทรัพย์สินมหาศาลในธนาคารสวิสหลายแห่งเป็นคลังสมบัติ เพื่อวันหนึ่งข้างหน้าจะใช้มันกอบกู้ศักดิ์ศรีชาติตระกูลตนเองคืนมา

            อย่างไรก็ตาม ในข้อมูลเกี่ยวกับประเทศมูเจนเท่าที่มีการบันทึกไว้ ไม่มีการเอ่ยถึงการกลับมากู้บัลลังก์ของเจ้าชายเฌอคิมซา

            ข่าวที่ออกมาหลังจากการล้มระบบองค์เจ้าสำเร็จ ก็คือ องค์เจ้ามูจนะและองค์รานีสิ้นพระชนม์ในที่คุมขัง หน่อเนื้อมูจนะทุกพระองค์เสียชีวิตระหว่างการต่อสู้ยึดอำนาจ

            ส่วนองค์หน่อเนื้อทายาท เจ้าชายเฌอคิมซา เสียชีวิตอยู่บริเวณชายป่า ใกล้เขตพรมแดนระหว่างประเทศ

            จากนั้นประเทศมูเจนก็ถูกปกครองด้วยระบบทหาร เปิดประเทศให้มีการค้าเสรี และเพียงยี่สิบสามสิบปีต่อมา ประเทศนี้ก็ไม่มีทรัพยากรใดเหลือให้ใครสนใจอีก กลายเป็นประเทศเล็กๆ ที่ถูกลืมเลือนในที่สุด

            ทรงกลดรู้ว่ามันมีความลับซ่อนอยู่ในรอยต่อระหว่างช่วงเวลาสี่ห้าสิบปีหลังจากเกิดความเปลี่ยนแปลง...เป็นช่วงเวลาที่มีบุคคลคนเดียวรับรู้ เก็บซ่อนความเจ็บปวด แค้นใจ มาตลอด

            ...ฮันเตอร์ คิม...

            ความทรงจำของ ฮันเตอร์ คิม บอกให้ทรงกลดรู้ว่า...เหตุใดเขาถึงต้องตระเวนไปทั่วโลกเพื่อสังหารคนโฉดชั่ว ผู้หลงระเริงในอำนาจ...และเหตุใด ความรักของเขากับไลลา ถึงกลายเป็นเส้นขนาน

            ทั้งหมดนี้โยงมาถึงสาเหตุที่ไลลาสร้างไวรัสอาคมเพื่อสังหารคนชั่วช้าแบบไม่เลือกหน้าด้วย!



            เวลาบ่าย

            ไลลาเตรียมแต่งตัวเพื่อออกงานแถลงข่าวใหญ่ ‘คอนเสิร์ตกลางสวน’ ซึ่งจะจัดขึ้นในสัปดาห์หน้า

            ขณะยืนเลือกชุดที่จะใช้ออกงาน เสียงโทรศัพท์ภายในห้องพักก็ดังขึ้น เลขาฯ ของไลลาเป็นคนรับสาย สักครู่จึงเข้ามารายงาน

            “ดอกเตอร์เอื้อกานต์จะขอเรียนสายด้วยค่ะ” เสียงบอกเป็นภาษาอังกฤษ

            ไลลาเหลือบมองโทรศัพท์ นัยน์ตามีรอยยิ้ม รู้เท่าทันว่าอีกฝ่ายมีเจตนาอะไร

            “บอกเขาว่าวันนี้ฉันติดธุระ ถ้าต้องการมาพบ ให้มาพรุ่งนี้ตอนหกโมงเย็น”

            “ค่ะ”

            เลขาฯ กลับไปยกหูโทรศัพท์ กำลังจะเอ่ยปากบอกตามคำสั่ง ไลลาก็ยกมือให้หยุดพูดชั่วคราว

            “อ้อ...บอกเขาด้วย จะพาใครมาอีกก็ได้ ฉันอนุญาต”

            รอยยิ้มแปลกๆ ผุดบนใบหน้าสตรีผู้ทรงอาคม...เธอรู้แต่แรกที่โทรศัพท์ดังแล้วว่า ใครโทร. มา...และเมื่อได้ยินเสียงเอื้อกานต์บอกผ่านเลขาฯ ต้องการพูดด้วย ไลลาก็อ่านเจตนาของคุณหมอสาวออกเช่นกัน

            เอื้อกานต์ทำตามเงื่อนไขสำเร็จ ต้องการมาพบ เพื่อขอให้เธอหยุดปล่อยไวรัสอาคม

            ไลลาอนุญาตให้หญิงสาวผู้นี้มาพบ การเผชิญหน้ากับคุณหมอคนนี้สร้างความตื่นเต้นแก่เธอไม่น้อย เอื้อกานต์ไม่มีคาถาอาคม ไม่มีสายเลือดแม่มด หรือผู้ทรงเวทมนตร์ใด แต่กลับถอนอาคมอันร้ายกาจได้อย่างไม่น่าเชื่อ

            ไม่ใช่แค่เอื้อกานต์ต้องการพบไลลาเท่านั้น...ไลลาก็ต้องการพบเอื้อกานต์เช่นกัน

            เพียงแต่เจตนาของทั้งสองฝ่าย...มันต่างกัน



(โปรดติดตามต่อฉบับหน้า)



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP