วรรณกรรมนำใจ Lite Literature

ระบำเวท ๒๐


cover rabamvej


นวนิยายเรื่องนี้ เขียนขึ้นเพื่อความบันเทิง
หากมีชื่อ-สกุล เรื่องราวใดพ้องกับบุคคลจริง ต้องกราบขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย


ชลนิล



(ต่อจากฉบับที่แล้ว)



             ห้องคนป่วย

             เด็กหญิงผักกาดอาการดีขึ้นมาก ใบหน้ามีเลือดฝาด แจ่มใส พูดจาแจ้วๆ กับคุณแม่ได้เกือบเป็นปกติ เหมือนเดิม

             “คุณหมอเจ้าหญิง” แม่หนูน้อยทำตาโต ร้องทักอย่างดีใจ เมื่อเห็นคุณหมอเอื้อกานต์มาหาถึงห้อง

             “เป็นยังไงบ้างคะผักกาด แข็งแรงดีหรือยัง” คุณหมอทักทาย

             “ยังเจ็บหัวอยู่” แม่หนูน้อยตอบ

             “อืม...สงสัยคุณหมอต้องลืมอะไรไว้ในหัวผักกาดแน่เลย” หญิงสาวหยอกล้อ

             “จริงด้วย...น้าหมากชอบแกล้งผักกาดจะตาย ดูสิ...โกนหัวหมดจ๋วยเลย...เค้าไม่ยอมด้วย”

             แม่หนูน้อยทำหน้าบูด

             เอื้อกานต์อดยิ้มไม่ได้ หันไปเอ่ยถามข้าวหอม แม่ของผักกาด

             “วันนี้หมอหมากยังไม่แวะมาดูหลานหรือคะ”

             “เขาผลัดเวรกับพี่ค่ะหมอเอื้อ ตอนนี้น่าจะมาได้แล้ว แต่ยังไม่เห็นเลย”

             เอื้อกานต์นิ่งคิด ตั้งแต่กลับจากถอนไวรัสอาคม หมากแค่ส่งข้อความมาบอกว่าผลเลือดคนป่วยไม่มีปัญหา เป็นไปตามคาด หลังจากนั้นก็เงียบหาย ไม่เจอหน้าวันสองวันมาแล้ว โทรศัพท์ไปหาก็มีแต่ให้ฝากข้อความ แวะไปดูที่คอนโดฯ ก็ไม่อยู่ เหลือแค่คลินิกคนยากที่เธอยังไม่ได้แวะไปหาเท่านั้น

             “หมอเอื้อมีธุระอะไรกับหมากหรือเปล่า” ข้าวหอมถาม

             “มีนิดหน่อยค่ะ” เอื้อกานต์ตอบ

             “เกี่ยวกับ...เอ่อ...” ข้าวหอมเหลือบมองทางลูกสาว เกรงว่าการผ่าตัดเจ้าตัวน้อยจะเกิดผลข้างเคียง มีปัญหา

             “อ๋อ...ไม่ใช่เรื่องนั้นหรอกค่ะ สบายใจได้” เอื้อกานต์รีบตอบ กลัวอีกฝ่ายเข้าใจผิด

             ธุระของเธอกับหมอหมาก ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย นิดหน่อย อย่างที่บอกกับข้าวหอม

             เอื้อกานต์อยากเล่าเรื่องการพบกับไลลาให้เขารู้ เพื่อปรึกษาว่าควรทำอย่างไรดี ภารกิจที่ไลลามอบให้ไว้ เธอยังแก้ไม่ออก ทั้งที่โหลดเพลง “Scarborough fair” มาฟังทุกเวอร์ชั่น ฟังซ้ำแล้วซ้ำอีกหลายรอบ จนแทบจะร้องเองได้แล้ว

             หมากเป็นที่ปรึกษาเรื่องเกี่ยวกับไลลาและไวรัสอาคมคนเดียวที่เธอมี แต่จู่ๆ เขากลับเงียบหายจนน่าหงุดหงิด ตามตัวไม่เจอเหมือนจงใจหลบหน้า เอื้อกานต์บอกไม่ถูกว่าทำไมถึงกระวนกระวายใจแบบนี้

             เธอบอกกับตัวเองว่า หากหมากไม่อยู่ด้วย ก็ไม่มีใครให้ปรึกษา ยิ่งถ้าหยุดไลลาไม่ได้ มีการปล่อยไวรัสอาคมครั้งที่สาม คงรับมือด้วยความยากลำบาก

             แต่...เธอกังวลใจพราะเรื่องนี้อย่างเดียวใช่หรือไม่?



             ทรงกลดยังออกจากโรงพยาบาลไม่ได้ ทั้งที่วันสองวันมานี้ อาการป่วยของเขาทุเลาลงอย่างรวดเร็ว หมอเจ้าของไข้บอกว่า จำเป็นต้องติดตามดูอาการ รอตรวจเลือดให้แน่ใจอีกครั้งก่อน ถึงจะวางใจให้ออกจากโรงพยาบาลได้

             ชายหนุ่มรู้ถึงเหตุผลแท้จริงที่เอื้อกานต์พยายามรั้งตัวเขาไว้ให้นานที่สุด

             มันไม่เกี่ยวกับอาการป่วย หรือต้องรอดูผลเลือดใดๆ เลย เธอแค่พยายามซื้อเวลา หาทางพิสูจน์ว่าเขาเป็นทรงกลดจริงหรือไม่

             ที่หญิงสาวยอมเผยไต๋ แย้มออกมาแล้วว่าเขาหน้าตาเหมือนคนที่เธอรู้จัก นั่นหมายความว่า ต้องการสังเกตดูปฏิกิริยาของเขา ซึ่งลำดับต่อไป เธออาจใช้หมัดเด็ดอื่น ฮุคเข้าใส่ตอนไม่ทันตั้งตัวก็ได้

             ในเมื่อจำเป็นต้องเชื่อฟังคำสั่งหมอ เพื่อไม่ให้เกิดพิรุธ ข้อสงสัย ทรงกลดจึงมีเวลาว่างหยิบโทรศัพท์ ต่ออินเตอร์เน็ต เพื่อค้นข้อมูลที่เขาสงสัย อยากรู้ ต้องการข้อพิสูจน์ ยืนยัน

             เรื่องเกี่ยวกับไลลา...การล่าแม่มด!



             ข้อมูลในอินเตอร์เน็ตบอกให้รู้ว่า การล่าแม่มดเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงในช่วงยุคกลางของยุโรป ซึ่งถือเป็นยุคมืด อยู่ใต้การปกครองของคริสตจักร

             แม่มดจะถูกประณามว่าเป็นสัญลักษณ์ของความชั่วร้าย การแสดงพลังอำนาจเหนือธรรมชาติของพวกแม่มดถือเป็นการท้าทายพระเจ้า เป็นพวกเดียวกับซาตาน

             การประหัตประหาร ตามล่าแม่มดอย่างเป็นระบบ เริ่มต้นขึ้นในคริสต์ศตวรรษที่ ๑๓ โดยมีการเข่นฆ่าครั้งใหญ่ในยุคกลางของยุโรป ราวศตวรรษที่ ๑๕ เรื่อยมาจนถึงศตวรรษที่ ๑๗

             การปราบปรามแม่มดพัฒนาสุดขีดใน ค.ศ. ๑๔๘๔ โดยพระสันตะปาปาออกหมายลงโทษพวกนอกรีต และมีพระคาทอลิกสององค์ นาม ‘ไฮน์ริช เครเมอร์’ กับ ‘เจคอบ สเปรงเกอร์’ ออกหนังสือ ‘คู่มือล่าแม่มด’ หรือในชื่อ ‘Malleus Maleficarum’ ชื่อภาษาอังกฤษว่า ‘Hammmer of Witches’ เป็นการรวบรวมวิธีการจับกุม ทรมานพวกแม่มดด้วยวิธีการต่างๆ จนถึงประหารด้วยการเผาทั้งเป็น คู่มือเล่มนี้ถูกใช้เป็นเหมือนคัมภีร์สำคัญนานถึงสองร้อยปี

             สุดท้าย การล่าแม่มดถูกยกเลิกในคริสต์ศตวรรษที่ ๑๗ โดยเนเธอร์แลนด์เป็นประเทศแรกที่ประกาศยุติการล่าแม่มดในปี ค.ศ. ๑๖๑๐

             จากข้อมูลที่อ่านทั้งหมด รวมกับภาพการทรมานในนิมิต ผ่านความทรงจำ ฮันเตอร์ คิม ทำให้ทรงกลดเข้าใจความรู้สึกของไลลาที่ต้องทนฝันเห็นการประหัตประหารบรรพบุรุษของตนซ้ำๆ ซากๆ รวมถึงต้องแบกรับ ซึมซับความหวาดกลัว เกลียดชัง อาฆาตแค้นพวกมนุษย์ฝ่ายศาสนจักรยุคนั้นไว้ในใจ โดยไม่อาจสลัดทิ้ง ลืมเลือนได้เลย

             หลังจากยุติการล่าแม่มดในช่วงศตวรรษที่ ๑๗ มีการประเมินจำนวนผู้บริสุทธิ์ แม่มดที่ถูกสังหาร ของทุกประเทศในแถบยุโรป ทั้งหมดรวมกันได้ไม่ต่ำกว่า ๒ แสนคน

             ทรงกลดซึ้งแก่ใจเลยว่า เหตุใด ไลลาถึงเกลียดชังคนชั่วถึงขนาดนี้

             ความเกลียดชัง อาฆาตแค้น จากคนจำนวนมากรวมกันขนาดนั้น เมื่อเข้ามาสะสมอยู่ในจิตใจคนคนเดียว ต่อให้มีพลังอำนาจ อาคมแกร่งกล้าแค่ไหน ความทุกข์ทรมานที่ได้รับก็สุดคาดคำนวณจริง ๆ

             ชั่วขณะหนึ่ง ทรงกลดคิดถึงความทุกข์ในใจตนที่ครอบครัวถูกใส่ความ ทำร้ายอย่างไม่ยุติธรรม ต้องหลบหนีหัวซุกหัวซุนจนตาย เมื่อเปรียบเทียบกับความทุกข์ของเหล่าคนบริสุทธิ์ แม่มดที่ไม่มีความผิด จำนวนนับแสนที่ถูกทรมานอย่างสาหัส จนกระทั่งถูกเผาตายทั้งเป็น...มันทำให้เห็นว่า...ความทุกข์ของครอบครัวเขา มันเล็กน้อยเสียเหลือเกิน

             ชายหนุ่มถอนใจ พยายามตั้งสติ เพื่อหาข้อมูลต่อไป

             หลังจากรู้ชัดถึงที่มาของไลลาแล้ว เขาก็อยากรู้จัก ฮันเตอร์ คิม อาจารย์ของตนให้ละเอียดมากกว่าเดิม

             หัวข้อต่อมาที่เสิร์ชหาในอินเตอร์เน็ตคือ ‘ประเทศมูเจน’

             ยังไม่ทันกดค้นหา เขาก็ได้ยินเสียงฝีเท้าแว่วๆ รู้ว่าเอื้อกานต์เดินใกล้มาถึง จิตใจบังเกิดความอบอุ่นกำซาบ ต่อให้ต้องฝืนทนทรมาน แสร้งตีหน้าเป็นคนอื่นต่อหน้าเธอ เขาก็ยังอยากเห็นหญิงสาวในระยะใกล้ชิดเช่นนี้ไปให้นานที่สุด

             ประตูเปิดออก เอื้อกานต์ก้าวเข้ามาพร้อมรอยยิ้มสดใส

             “เป็นยังไงบ้างคะวันนี้” หญิงสาวถาม

             “ผมว่าตัวเองแข็งแรงพอจะออกจากโรงพยาบาลได้แล้วละ” ทรงกลดตอบ

             “จะรีบไปไหน ไม่คิดถึงหมอเหรอ” หญิงสาวอารมณ์ดีพอจะหยอกล้อเขา

             ชายหนุ่มอมยิ้ม มองใบหน้าสดใสของคุณหมอสาว จนเกือบหลุด เผลอสติ ปล่อยความเป็นทรงกลดออกมา ต้องพยายามรั้ง สร้างภาพในใจว่าตนเป็นชามาร์ คนป่วยธรรมดา ที่กำลังพูดคุยกับคุณหมอใจดี

             “ที่คุณหมอไม่ยอมให้ผมออกจากโรงพยาบาลสักที เพราะกลัวคิดถึงผมหรือเปล่า” เขาหยอกคืน

             “นั่นสิ ถ้าคุณออกจากโรงพยาบาล หมอคงคิดถึงคุณน่าดู” เอื้อกานต์ตอบ

             “เพราะผมหน้าตาเหมือนคนที่หมอรู้จักหรือ” เขาจงใจถาม

             “ใช่” เอื้อกานต์กล้าตอบตรงๆ

             “เขาเป็นคนสำคัญ หรือแค่คนรู้จักเฉยๆ” ทรงกลดรู้ว่าตนไม่ควรถามคำถามนี้ แต่อดหลุดปากตามใจคิดไม่ได้

             “คนสำคัญ” เอื้อกานต์ตอบยิ้มๆ นัยน์ตาแลตรง สบตาชายหนุ่มอย่างไม่คิดเลี่ยงหลบ

             ทรงกลดรู้...อีกฝ่ายจงใจใช้จิตสัมผัสตรวจสอบเขา หากจิตเขามีอาการกระเพื่อม หวั่นไหว แสดงออกถึงเยื่อใย ความรู้สึกสักเล็กน้อย เธอย่อมจับได้

             “ขอโทษครับ ที่ผมทำให้ผิดหวัง” เขาพูดแทนคำยืนยัน...ตนเองไม่ใช่คนที่เธอคาดหมาย

             เอื้อกานต์ยิ้มไม่ใส่ใจ ลงนั่งบนเก้าอี้ข้างเตียงด้วยท่าทางสบายๆ จิตใจไม่เร่งร้อน เอ่ยปากถามชายหนุ่มในเรื่องที่เขาคิดไม่ถึง

             “คุณเคยฟังเพลง ‘Scarborough fair’ มั้ยคะ”

             “Scarborough fair...” ทรงกลดทวนคำ ความทรงจำผ่านเข้ามาในหัว “เหมือนจะได้ยินผ่านหูเมื่อเร็วๆ มานี้...หมอถามผมทำไมหรือ”

             “มีผู้หญิงคนนึง บอกให้หมอตีความเพลงนี้ให้ได้”

             “เพื่ออะไร” ชายหนุ่มสงสัย

             “ถ้าหมอเข้าใจเพลงนี้ และคิดว่าเข้าใจเธอ ตอนนั้นเธอจะอนุญาตให้หมอได้พบอีกครั้ง”

             “เธอเป็นใครครับ”

             “เธอเป็นอดีตนักร้องดังระดับโลกคนนึง”

             เอื้อกานต์ไม่เข้าใจ เหตุใดจึงเล่าเรื่องนี้ให้คนป่วยที่หน้าตาเหมือนทรงกลดฟัง อาจเพราะเธอกำลังต้องการผู้ช่วย และหมอหมาก ผู้ช่วยคนสำคัญ ก็ไม่อยู่

             เพียงแวบเดียวที่ได้ยินคำบอกเล่า สติ สมาธิทรงกลดก็รวมวูบ เกิดภาพนิมิตไลลาขึ้นมา ทำให้เข้าใจเบื้องหลังในเวลาอันสั้น

             ไลลาพบเอื้อกานต์แล้ว พร้อมกับมีภารกิจ เงื่อนไขสัญญาต่อกัน

             “หมอพอจะมีเพลงนี้ให้ผมฟังมั้ย” เขาบอก

             “มีสิ” เอื้อกานต์ตอบอย่างยินดี เธอโหลดเพลงนี้ไว้ในโทรศัพท์หลายเวอร์ชัน พยายามฟังเพื่อตีความ แต่ก็ยังไม่ได้ความกระจ่าง เข้าใจเท่าที่ควร

             คุณหมอสาวเปิดเพลงจากโทรศัพท์มือถือออกลำโพงให้ชายหนุ่มฟัง เป็นเวอร์ชันผู้หญิงขับขาน เสียงร้องฟังอลังการ ก่อให้เกิดมโนภาพมากมาย

             ดนตรีบรรเลงนำด้วยเครื่องเป่า เครื่องสาย ดึงดูดผู้ฟังให้เข้าสู่อารมณ์เพลง ทุกเสียงร้อง ถ้อยคำ ผสานกลมกลืนกับดนตรีเป็นหนึ่งเดียว บอกกล่าวถึงอารมณ์ ความรู้สึกโหยหา หวนไห้ มีทั้งความระลึกถึง อยากพบเจอ ซ่อนอยู่ในน้ำเสียง

             ทรงกลดนั่งฟังด้วยความดื่มด่ำ จิตแนบกับเสียงเพลง คอยแกะอารมณ์ ความรู้สึก ที่ถ่ายทอดออกมา ถึงจะเข้าใจคำแปล ความหมายของเพลงทุกคำ แต่เขารู้สึก...มันยังมีอะไรลึกซึ้งซ่อนอยู่ในถ้อยคำและท่วงทำนองเหล่านั้น

             Tell him to make me a cambric shirt

             ช่วยบอกเขาที ให้เย็บเสื้อลินินแก่ฉันสักตัว

             Without no seams nor needle work

             แต่ขอให้อย่าใช้เข็มเย็บ และอย่ามีรอยตะเข็บฝีเข็มให้เห็น

             Then he’ll be a true love of mine

             ถ้าทำสำเร็จ แสดงว่าเขาคือรักแท้ของฉัน

             บทเพลงบรรเลงจนจบ และขึ้นรอบใหม่ในเวอร์ชันอื่น เอื้อกานต์หรี่เสียง มองหน้าคนป่วยด้วยแววตาขอความเห็น

             “ว่ายังไงคะ?”

             “หมอจะถามคำแปลของมันหรือครับ” ชายหนุ่มย้อน

             “อยากรู้ว่าคุณเข้าใจมันยังไง” เอื้อกานต์ตั้งประเด็น

             “มันเป็นเพลงที่บอกถึงการทดสอบความรัก” ทรงกลดพูดตามเนื้อหาที่ได้ฟัง “เนื้อหาในนั้นจะพูดถึงภารกิจที่มันไม่น่าเป็นไปได้หลายอย่าง แต่ถ้าคนรักของเขาทำได้ แสดงว่ามีความรักต่อกันแท้จริง”

             ได้ยินคำสรุปเช่นนั้น หญิงสาวก็ถอนใจ

             “หมอเข้าใจอย่างคุณเหมือนกัน...ภารกิจแต่ละอย่างมันไม่น่าเป็นไปได้ทั้งนั้น ไม่ว่าจะให้เย็บเสื้อโดยไม่ใช้เข็ม และห้ามมีรอยตะเข็บ หาที่ดินให้เขาสักเอเคอร์นึง แต่ต้องเป็นที่ดินที่อยู่ระหว่างชายหาดกับทะเล หรือให้เกี่ยวหญ้าสักฟ่อน ด้วยเคียวที่ทำจากหนัง...แต่ละอย่างนี่ ช่างคิดออกมาได้จริงๆ”

             “แต่ถ้าทำได้ แสดงว่าเขามีความรักแท้” ชายหนุ่มสรุป

             “ทั้งหมดที่พูดมา ก็เพื่อพิสูจน์ความรักของอีกฝ่ายใช่มั้ยคะ” เอื้อกานต์ถาม

             “หมอลองฟังท่อนสร้อยของเพลงอีกทีสิ”

             Parsley, Sage, Rosemary and Thyme

             “สี่อย่างนี้ เป็นชื่อสมุนไพร” เอื้อกานต์พอรู้

             “เท่าที่ทราบ สมุนไพรสี่อย่างนี้มีความหมายแฝงอยู่ Parsley ผักชีฝรั่ง หมายถึงความสบาย ร่มรื่น Sage โหระพา เป็นสัญลักษณ์ของความเข้มแข็ง Rosemary เป็นตัวแทนของความรัก ความซื่อสัตย์ ส่วน Thyme หมายถึงความกล้าหาญ”

             พอได้ยินความหมายแฝงของสมุนไพรทั้งสี่ รวมกับเนื้อหาที่สรุปได้ในเพลง เอื้อกานต์ก็คล้ายกำลังจับเงาบางอย่างได้รางๆ

             ขณะหญิงสาวกำลังควานหาความหมายที่ซ่อนในบทเพลง ผ่านคำแปลและความหมายแฝงของสมุนไพรทั้งสี่ชนิด เพลง “Scarborough fair” ยังบรรเลงเรื่อยๆ ผ่านคนร้องในแต่ละเวอร์ชัน

             จนมาถึงเวอร์ชันที่คนไทยรู้จัก...เวอร์ชั่นของ Simon&Garfunkel

             ทรงกลดช่วยเอื้อกานต์ตีความหมายเพลงด้วยความตั้งใจ สนใจจนเผลอ ลืมตัวเป็นขณะ ปล่อยให้เสียงเพลงครอบคลุม บรรเลงซึมแทรกในความรู้สึก กระตุ้นความทรงจำที่เคยลืมเลือนให้ย้อนทวนกลับมาอีกครั้ง

             เขาเคยได้ยินเพลง “Scarborough fair” เวอร์ชันนี้มาแล้วเมื่อหลายปีเต็มที...นานจนไม่คิดว่าจะยังจดจำได้ เพราะเนื้อเพลง ท่วงทำนอง ไม่ได้สอดคล้องเหมือนกันเป๊ะทั้งร้อยเปอร์เซ็นต์

             เพลงที่เขาฟังตอนนั้น เป็นการร้องคัฟเวอร์ ใส่เนื้อภาษาไทยคล้ายต้นฉบับเฉพาะท่อนประสาน โดยวงดนตรีชื่อดังในอดีต The Impossible

             รื่นรมย์สมอุรา (สมอุราสมดังใฝ่)

             ชื่นตาฟ้าเบิกบาน (มองฟ้าเบิกบาน มองชื่นตาแสนสุขใจ)

             นกร้องขับขาน สราญแสนสุขตา (นกขับขานเบิกบานใจ)

             แมกไม้โบกใบพลิ้ว (แมกไม้โบกใบพลิ้ว)

             รื่นริ้วลมเริงร่า (รื่นริ้วลมเริงร่า)

             เมื่อรักลอยลมมาแนบอุราสมดังใฝ่...(รักแนบอุราสมดังใจ)...

             ทรงกลดนึกสะดุดเพลง ‘ชื่นรัก’ หรือ ‘Scarborough fair’ ฉบับภาษาไทยตั้งแต่ท่อนอินโทร บรรเลงด้วยกีตาร์ที่เหมือนต้นฉบับ Simon&Garfunkel ไม่ผิดเพี้ยน และมานึกสะดุดอีกทีตรงท่อนประสานเสียงอันเป็นเอกลักษณ์ ไม่ค่อยได้ฟังกันบ่อยๆ

             เขาอาจจำเพลงนี้ได้ตั้งแต่แรก ถ้าเวอร์ชันที่ได้ยินจากไลลา และในทีวี เป็นเวอร์ชันนี้

             มันเป็นเพลงที่ถูกนำมาร้อง เล่นกีตาร์รอบกองไฟในคืนออกค่ายอาสาฯ เป็นเพลงที่เขาได้ยินขณะจ้องมองเอื้อกานต์ด้วยความสนใจเป็นครั้งแรก

             ดนตรีบรรเลงแผ่วพลิ้ว เสียงกีตาร์แสนหวาน บทเพลงร้องคลอขับขาน พาหัวใจเบิกบาน สายตาที่ทอดมองหญิงสาวด้วยความรู้สึกพึงพอใจเป็นครั้งแรก ย้อนทวนกลับมาอีกครั้ง

             ภาพในวันวาน หวนคืนในความทรงจำ...

             ค่ำคืนแสนอบอุ่น เสียงดนตรีแว่วหวานรอบกองไฟ เหล่านักศึกษานั่งล้อมวง ร้องเพลงด้วยหัวใจสุขสันต์ สายตาเขาจับจ้องมองนักศึกษาแพทย์สาว ใบหน้าเนียนใส นัยน์ตาคมสวย แสงจากกองไฟจับใบหน้านั้นให้ยิ่งผุดผาดงามจับตาจนไม่อาจลืมเลือน

             เป็นครั้งแรกในชีวิตที่หัวใจเขากระตุกแรงขนาดนี้

             เพลงจบ...เสียงดนตรีขาดหาย

             ทรงกลดรู้สึกตัว ชะงักชั่วขณะ ก่อนเงยหน้าสบตาเอื้อกานต์ที่กำลังมองตรงมาพอดี

             “เพลงจบหมดแล้วหรือครับหมอ” เขาถามด้วยน้ำเสียงปกติธรรมดา

             “ค่ะ” เอื้อกานต์ตอบสั้นจนน่าแปลกใจ

             “หมอพอจะเข้าใจมันมากกว่าเดิมหรือยัง?” เขาถาม

             คุณหมอนิ่งครู่ใหญ่ ก่อนพูดช้าๆ

             “หมอ...พยายาม...จะเข้าใจ ยังไงก็ขอบคุณมากที่ช่วยอธิบายความหมายแฝงของสมุนไพรสี่อย่างในท่อนสร้อยของเพลงให้”

             “ไม่เป็นไร ผมยินดีช่วย”

             “หมอกลับบ้านก่อนนะ...ยังไงก็พักผ่อนมากๆ พรุ่งนี้เจอกัน” เอื้อกานต์บอกด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ยากจะอ่านความรู้สึก

             คนป่วยพยักหน้ารับ สัมผัสกระแสความรู้สึกแปลกๆ จากอีกฝ่ายได้

             ประตูปิดลง เสียงฝีเท้าหญิงสาวไกลออกไป ทรงกลดถอนใจ ความอดทน ข่มกลั้น ฝืนปิดบังตัวตนทลายลงมาอีกครั้ง...หลังจากได้ยินเสียงเพลงแห่งความทรงจำ



             ทันทีที่กลับถึงคอนโดฯ เอื้อกานต์รีบขึ้นไปบนห้องทีเกื้อ พยายามนึกว่าน้องชายเก็บเอกสารข้อมูลเกี่ยวกับงานของตนไว้ที่ไหน

             ธรรมดาทีเกื้อไม่นำงานกลับมาทำที่บ้านบ่อยนัก แต่มีงานใหญ่ชิ้นหนึ่งที่เขาทุ่มเทเวลา ความสามารถ เข้าไปคลี่คลายคดีจนสำเร็จ

             งานชิ้นนั้นทีเกื้อเคยหอบเอกสารเป็นตั้งกลับมาอ่านที่บ้าน เอื้อกานต์มีโอกาสได้อ่านเอกสารเหล่านั้นด้วยความสนใจ จนทำให้มีส่วนรับรู้ ช่วยเหลือ ในคดีที่น้องชายกำลังทำ

             นั่นคือคดีของ ‘คิม’ ฆาตกรต่อเนื่องที่ใช้อาคมสังหารนักธุรกิจ มาเฟีย และนักการเมือง มาแล้วหลายคน

             เอกสารที่ทีเกื้อนำมาคราวนั้น เกี่ยวพันกับเรื่องราวท่านทรงพล บิดาของทรงกลด ทำให้เอื้อกานต์ตั้งข้อสงสัยว่า คิมน่าจะมีส่วนเกี่ยวพันกับครอบครัวชายคนรักของตน

             หลังปิดคดี เอื้อกานต์ถามทีเกื้อว่าคิมเป็นใคร เกี่ยวข้องอย่างไรกับครอบครัวทรงกลด คำตอบที่น้องชายให้มาคือ...

             ‘นับจากวันนี้ ไม่มีคิมอีกต่อไปแล้ว’

             ทีเกื้อไม่ยอมให้คำอธิบายมากกว่านี้ เอื้อกานต์ซักไซ้อีกสองสามครั้งจนต้องยอมแพ้ คิดว่าเขาคงมีเหตุผลอะไรสักอย่างจึงไม่อยากพูดถึงมัน

             มาถึงวันนี้...เอื้อกานต์ตั้งใจกลับมาค้นหาข้อมูลคดีของคิมให้ได้ เพื่อตอบคำถามคาใจ...คิมเป็นใคร...เหตุใดถึงเจตนามาแก้แค้นให้ครอบครัวท่านทรงพล...

             ถ้าได้คำตอบนี้ มันจะช่วยยืนยันความรู้สึก สัมผัสพิเศษที่เธอเพิ่งรับรู้ สัมผัสได้...

             ในตู้...เอื้อกานต์รู้สึกว่าทีเกื้อต้องเก็บเอกสารไว้ในตู้หนังสือ ซึ่งเขาใช้เก็บของส่วนตัว

             เมื่อเปิดตู้ ค้นหาไม่นาน หญิงสาวก็พบเอกสารปึกใหญ่อยู่ในซองสีน้ำตาลหนา เพียงแค่ดึงเอกสารแผ่นแรกมาดู ก็แน่ใจว่าไม่ผิด

             ...ข้อมูลคดีของคิมทั้งหมดอยู่ในนี้!



             ดึกสงัด ทรงกลดยังหลับไม่ลง เขาพยายามรวบรวมสมาธิอย่างลำบากยากเย็น ใจมันกระวนกระวายตั้งแต่เห็นสีหน้า แววตา ความรู้สึก ของเอื้อกานต์เมื่อตอนเย็น

             คุณหมอสาวต้อง ‘สัมผัส’ อะไรบางอย่างได้ และเธอก็มีสติพอที่ ‘รู้’ แล้วหยุดตรงที่รู้ ไม่ปล่อยใจให้ฟุ้งซ่านกระเจิดกระเจิงจนเขาสามารถอ่านความคิดออก

             นั่นยิ่งทำให้ใจเขากระวนกระวาย พยายามฝืนใจกดข่มให้เป็นสมาธิ เพื่อตามไปดูเธอ ก็ไม่สามารถทำได้

             จนถึงเดี๋ยวนี้ ใจอ่อนล้า ยอมแพ้ ไม่สงบก็ช่าง ปล่อยให้มันกระจัดกระจายตามใจ ไม่กดข่ม ไม่ฉุดรั้ง แค่รับรู้มันเฉยๆ ครู่หนึ่ง ใจจึงค่อยจัดระเบียบ ไม่สะเปะสะปะอย่างที่ผ่านมา

             ขณะจิตเริ่มเข้าที่เข้าทาง ชายหนุ่มก็สัมผัสถึงอาคันตุกะที่เดินมาถึงหน้าประตู ใจสัมผัสใจชัดเจน เขาขยับตัวลุกขึ้น พร้อมกับบานประตูเปิดออก

             ร่างสูงเพรียวก้าวเข้ามาเป็นเงาดำตัดกับแสงสว่างตรงหน้าประตู

             ทรงกลดเอ่ยปากทัก เสียงไม่ดังไม่เบา

             “ไม่เจอกันนานเลยนะเกื้อ!”







บทที่ ๑๘



             เอกสาร ข้อมูลคดีของคิม ตั้งอยู่ตรงหน้าเอื้อกานต์ เส้นทางการสืบค้นหาฆาตกรผ่านเหยื่อแต่ละรายถูกนำมาอ่าน ความเชื่อมโยง จุดร่วมของเหยื่อทุกราย ถูกผูกโยงชี้จุดไปยังท่านทรงพล อดีตรัฐมนตรียุติธรรมที่โดนกล่าวหา จนต้องหนีออกนอกประเทศ

             ท่านทรงพลคือบิดาของทรงกลด ทุกคนในครอบครัวของท่าน เสียชีวิตพร้อมกันด้วยเหตุเครื่องบินตกระหว่างการหลบหนี!

             เอื้อกานต์ใจเต้นแรงขณะอ่าน ซึมซับข้อมูล และเริ่มวิเคราะห์เบื้องหลังเหตุการณ์

             หลังจากครอบครัวท่านทรงพลเสียชีวิต อีกห้าปีต่อมามีเหตุการณ์เสียชีวิตแบบแปลกๆ ต่อเนื่องรวมแล้วห้าราย ทั้งหมดเกี่ยวโยงกัน

             การตายเช่นนี้ เอื้อกานต์กับทีเกื้อต่างรู้ว่า มันเกิดจาก ‘อาคม’ อันร้ายกาจ

             ในข้อมูลที่ทีเกื้อหามา ยังมีผู้เกี่ยวข้องกับคดีท่านทรงพลอีกสองรายที่ไม่เสียชีวิตด้วยอาคมเหมือนคนอื่น

             รายแรกคือคุณหญิงอัปสร มารดาเลี้ยงของเอื้อกานต์ ซึ่งรอดชีวิตได้เพราะเธอเป็นคนช่วยเหลือ ถอนอาคมให้

             ส่วนอีกรายคือ นายศักดิ์ชาย อดีตนายกรัฐมนตรี ผู้อยู่เบื้องหลังการจัดฉากกล่าวหาท่านทรงพลทั้งหมด เขารอดชีวิตมาได้ เพราะ ‘คิม’ ผู้ทรงอาคม ไว้ชีวิต ไม่ลงมือ

             ถึงอย่างนั้น นายศักดิ์ชายก็เสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งในเวลาสองเดือนต่อมา

             หลังอ่านข้อมูลทั้งหมด เอื้อกานต์เริ่มวิเคราะห์เป็นข้อๆ

             ข้อแรก เหยื่อเจ็ดราย ทั้งที่เสียชีวิตและรอดชีวิต ล้วนเกี่ยวข้องกับการจัดฉาก กล่าวหาท่านทรงพล ทำให้ท่านและครอบครัวต้องหนีออกนอกประเทศจนเสียชีวิตจากเหตุเครื่องบินตกในที่สุด

             ข้อสอง ‘คิม’ ฆาตกรรายนี้ ต้องมีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับท่านทรงพลและครอบครัว หลังจากรู้เบื้องลึกเบื้องหลังของคดี จึงเกิดความแค้น ตามไล่ล่าผู้เกี่ยวข้องในคดีทั้งหมด

             เมื่อวิเคราะห์ได้สองข้อใหญ่ เอื้อกานต์จึงเริ่มตั้งคำถาม

             ในเมื่อคิมอาฆาตแค้นผู้เกี่ยวข้องในคดีท่านทรงพลขนาดนั้น เหตุใดจึงไม่กลับมาทำร้ายคุณหญิงอัปสรอีกครั้ง และทำไมถึงยอมละความแค้น ปล่อยเหยื่อรายสุดท้าย ผู้บงการเบื้องหลังทั้งหมดอย่างง่ายดาย

             เอื้อกานต์พยายามนึกทบทวนเรื่องราวในช่วงเวลานั้นซึ่งตนเองมีส่วนเกี่ยวข้องไม่น้อย

             ตอนเอื้อกานต์ถอนอาคมช่วยคุณหญิงอัปสร ต้องใช้ชีวิตทั้งชีวิตของตนเป็นเดิมพัน แม้ทำสำเร็จ แต่ก็กลายเป็นเจ้าหญิงนิทรา

             ช่วงเวลาที่เธอนอนสลบไสลไม่รู้เรื่องราว หมอทุกคนล้วนส่ายหน้า ไม่เห็นหนทางรักษา มีแต่ทีเกื้อคอยอยู่ใกล้ นั่งเฝ้าข้างเตียงแทบไม่ยอมไปไหน หญิงสาวคาดว่าน้องชายคงช่วยเยียวยาอาการถูกพิษอาคมให้เธอแบบชั่วครั้งชั่วคราว โดยไม่สามารถถอนอาคม รักษาให้หายขาดได้

             แล้วจู่ๆ ทีเกื้อก็หายไป พร้อมกับที่เธอฟื้นจากอาการเจ้าหญิงนิทราราวกับปาฏิหาริย์!

             มันเป็นปาฏิหาริย์แน่หรือ?

             คำถามต่อมา...ใครกันแน่เป็นคนถอนอาคม ช่วยให้เธอฟื้นจากการเป็นเจ้าหญิงนิทราอย่างแท้จริง

             ในช่วงเวลานั้น มีเหตุการณ์มากมายแทรกเข้ามา ทำให้เอื้อกานต์ลืมตั้งข้อสงสัยนี้

             วันนี้ พอมานั่งใคร่ครวญ อ่านข้อมูลทั้งหมด จึงฉุกใจ นึกได้...

             เอื้อกานต์หลับตา...หัวอกสะท้อน เมื่อคำตอบปรากฏแก่หัวใจ

             คิดง่ายๆ ทำไม ‘คิม’ ไม่ลงดาบอาคมซ้ำกับคุณหญิงอัปสร...นั่นเพราะเอื้อกานต์เป็นคนลงทุน เอาชีวิตเข้าแลกเพื่อรักษาใช่หรือไม่

             คิมเห็นแก่หน้าของเธอ เห็นแก่ความทุ่มเทของเธอ จึงยอมปล่อยคุณหญิงไป

             และเมื่ออาคมย้อนเข้ามาสู่ร่างเอื้อกานต์จนเจ็บสาหัส เจียนตาย คิมนั่นเองเป็นคนกลับมาถอนอาคมให้

             ถ้าไม่ใช่ผู้ชายคนนี้...จะมีใครแก้ไขอาคมร้ายขนาดนั้นได้

             เอื้อกานต์ไม่สงสัย คิมหายไปไหนมาห้าปีกว่าจะกลับมาแก้แค้น

             เอื้อกานต์ไม่ใส่ใจ เหตุใดคิมมีวิชาอาคมกล้าแกร่ง ฆ่าคนได้อย่างโหดร้าย ไร้ร่องรอยเช่นนั้น

             คำถามสองข้อนั้นล้วนไม่จำเป็น...

             เพราะถ้าใครสักคนรอดจากเครื่องบินตกเพราะถูกวางระเบิดอย่างนั้นได้...ยังมีเรื่องราวใดเป็นไปไม่ได้อีก!

             มาถึงปัญหาอีกข้อ ทำไมคิมยอมวางมือ ไม่สังหารนายศักดิ์ชาย ผู้อยู่เบื้องหลังแผนการทั้งหมด?

             อาจเป็นได้ ที่เขารู้ว่าเหยื่อรายนี้ป่วยหนัก ใกล้ตายเต็มที จะฆ่าหรือไม่ฆ่าก็ไม่ต่างกัน หรืออาจเป็นได้ ที่ทีเกื้อเข้าไปขัดขวาง จนคิมยอมเปลี่ยนใจ ทำให้เหตุการณ์คลี่คลาย

             เบื้องหลังคำตอบนี้ทีเกื้อคงให้ได้ แต่เชื่อเถอะว่า...ต่อให้เค้นคอถามเขาอย่างไร ก็คงไม่มีประโยชน์

             ไม่แน่...คิมอาจเกิดเมตตาต่อคนใกล้ตายขึ้นมา เพื่อให้คนคนนั้นได้มีโอกาสทำสิ่งดีๆ สักครั้งในชีวิตก็ได้

            ก่อนนายศักดิ์ชายจะเสียชีวิต เขาได้เขียนจดหมายปิดผนึก สารภาพความผิด พร้อมกับช่วยล้างมลทินให้แก่ท่านทรงพลจนขาวสะอาด อีกทั้งยังนำทรัพย์สินส่วนตัวจำนวนมากมาใช้เป็นทุนก่อตั้งมูลนิธิทรงพลขึ้นมา เพื่อช่วยเหลือคนดีที่ถูกใส่ความ และเพื่อเป็นการให้เกียรติ ชดเชยแก่ผู้ที่ถูกตนเองบิดเบือนความจริง ทำร้ายจนตาย

             การที่คิมยอมไว้ชีวิตนายศักดิ์ชาย กลับทำให้คดีของท่านทรงพลเกิดความกระจ่าง คนทั่วไปได้รู้ความจริงที่ถูกปิดบังมาหลายปี

             ตอนนี้ คงมาถึงคำถามสุดท้าย...คิมคือใคร?

             ใครที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับท่านทรงพลขนาดนี้

             ใครที่เห็นแก่หน้าเธอจนยอมละเว้นเหยื่อที่ตนเองแค้นจับใจ

             ใครที่ย้อนกลับมาช่วยรักษา ถอนอาคมให้แก่คนที่ประกาศตัวว่าเป็นฝ่ายตรงข้าม

             หากตั้งคำถามนี้เมื่อเดือนก่อน เอื้อกานต์คงไม่มีวันคาดเดาถูก แต่วันนี้ เธอให้คำตอบแก่ตนเองได้อย่างชัดเจน ไม่ลังเลเลยว่า...

             คิมคือทรงกลด!

             เอื้อกานต์เคยพบคิมครั้งหนึ่ง หน้าตาเขาไม่เหมือนทรงกลดเลย แต่มันจะแปลกอะไร ถ้าใครสักคนมีอาคมร้ายกาจขนาดนั้น คิดจะปลอมแปลงโฉมตัวเองจนคนคุ้นเคยจดจำไม่ได้

             ไม่ใช่แค่ปลอมแปลงโฉมหน้า จนจำไม่ได้ ขนาดจิตใจ ก็ยังปลอมแปลง ตบตา...มองเห็นหน้าตาเหมือนเดิมชัดๆ ยังปฏิเสธเต็มปาก โดยจิตใจไม่กระเพื่อมหวั่นไหวสักนิด ไม่มีกระทั่งร่องรอยเยื่อใยความสัมพันธ์ให้เห็นเลย

             คิม...ทรงกลด...ชามาร์...ล้วนเป็นคนคนเดียวกัน

             ผู้ชายคนนี้อาจทำให้เธอสับสน สงสัยได้อีกนาน ถ้าหากเขาไม่ได้ฟังเพลง ‘Scarborough fair’ ซึ่งเรียกความทรงจำแต่เก่าก่อนกลับมาพร้อมๆ กันกับเธอ

             เอื้อกานต์นึกถึงสมัยเป็นนักศึกษาแพทย์ ออกค่ายอาสาฯ ล้อมวงรอบกองไฟ...

             ค่ำคืนนั้น พวกนักดนตรีประจำรุ่นกำลังเล่นกีตาร์ ร้องเพลงสร้างความเพลิดเพลิน และหนึ่งในเพลงที่ร้องกันคือเพลง ‘ชื่นรัก’ ซึ่งท่วงทำนอง การบรรเลงกีตาร์ในท่อนอินโทร รวมทั้งท่อนร้องประสานเสียง ไม่ผิดเพี้ยนจาก ‘Scarborough fair’ เวอร์ชัน Simon&Garfunkel เลย

             ขณะเอื้อกานต์ได้ยินเพลงนี้เมื่อวันนั้น เธอรู้สึกถึงสายตาที่จับจ้องใบหน้าเธอเนิ่นนานจนพวงแก้มร้อนผ่าว โชคดีที่มีแสงจากกองไฟช่วยอำพรางไม่ให้เขาเห็นสีหน้าเธอชัดเจนนัก

             เอื้อกานต์ไม่กล้าหันไปสบตา เพราะรู้ว่าใครเป็นคนมอง ผู้ชายคนนั้นเป็นรุ่นพี่ที่เธอสะดุดตาตั้งแต่แรกเห็น แอบชอบอยู่ในใจเงียบๆ โดยไม่แสดงออก

             กระทั่งสายตาที่เขามองมา ความรู้สึกที่เข้ามากระทบสัมผัสพิเศษ บอกให้รู้ว่า...เธอกับเขามีความรู้สึกเช่นเดียวกัน...

             มาเย็นวันนี้...ความรู้สึกภายในของชามาร์มันชัดเจน ตรงกับทรงกลดเมื่อวันวานไม่ผิดเพี้ยน

             เมื่อเอื้อกานต์รับความรู้สึกนั้นได้ เธอก็ถึงกับอึ้ง พูดอะไรไม่ออก ได้แต่จ้องหน้าเขานิ่ง พยายามตั้งสติ ไม่ให้จิตใจหวั่นไหว กระเจิดกระเจิง

             กลับมาบ้าน รื้อค้นเอกสารข้อมูลในคดีของคิมมาอ่าน เพื่อเป็นหลักฐานยืนยันให้แก่สัมผัสพิเศษภายใน ว่าความสงสัย เข้าใจของเธอไม่ผิดพลาดจริงๆ



(โปรดติดตามต่อฉบับหน้า)



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP