ดังตฤณวิสัชนา Dungtrin's Answer

วิธีการใดที่จะช่วยให้จิตที่ดื้อมาก อ่อนน้อมลงได้



ถาม – ดิฉันเป็นคนดื้อมาก จิตก็ดื้อด้วย บางเรื่องฟังครูบาอาจารย์สอน สมองเข้าใจแต่จิตดื้อและไม่ยอมเชื่อฟังค่ะ พอจะมีอุบายหรือวิธีที่ทำให้จิตว่านอนสอนง่ายหรือดื้อน้อยลงได้บ้างไหมคะ



เอาละ ปัจจุบันนี้ คุณก็อยู่บนเส้นทางของคนที่พัฒนาตัวเอง
แล้วก็พร้อมที่จะดื้อน้อยลงแล้ว
เพราะว่าคำถามนี้บอกอยู่ด้วยตัวของมันเองหลายประการ
คือคุณมีใจที่อยากจะดื้อน้อยลง รู้ว่าคำสอนของครูบาอาจารย์ดี
รู้ว่าใจของตัวเองดื้อแพ่งแข็งขืนไม่ยอมนะ


ขอให้ทราบว่าคำถามนี้ที่ตั้งใจถาม แล้วก็อยากจะพัฒนาตัวเอง อยากที่จะหัวอ่อนว่าง่าย
หมายถึงว่าง่ายในทางธรรม ว่าง่ายในทางที่จะสว่างขึ้นนะ
แล้วก็หัวอ่อนให้กับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ หัวอ่อนให้กับครูบาอาจารย์ที่เราเคารพรัก
มันเป็นเส้นทางของคนที่กำลังจะดื้อน้อยลงอยู่แล้ว ไม่ต้องเป็นห่วง
ที่ผมบอกว่าเป็นเส้นทางของคนที่กำลังจะดื้อน้อยลง เพราะอะไร
เพราะว่าการที่คนคนหนึ่งที่มีความดื้อมากๆ มีความรั้นมากๆ เนี่ยนะ
ไม่มีทางเลยที่จะใช้อุบายใดอุบายหนึ่ง
หรือว่าใช้คำ ใช้โวหาร ใช้อะไรที่มันเป็นของแหลมนะ ทิ่มโป๊ะเดียวแตก
อาการดื้อรั้น มันไม่ใช่สิ่งที่จะอ่อนลงได้จากเหตุปัจจัยภายนอก
แต่ว่าจะต้องอ่อนกำลังลง ละลายลงด้วยความมีปัญญาจากภายในเท่านั้น
และปัจจุบันนี้ ปัญญาที่ว่ามันเกิดขึ้นแล้วนะ
ความต้องการที่จะดื้อน้อยลงไม่ใช่สิ่งที่มันจะเกิดขึ้นเองได้ลอยๆ
ไม่ใช่สิ่งที่มันเกิดขึ้นด้วยความบังเอิญ
แต่ต้องมีเหตุปัจจัยผลักดันให้เห็นทุกข์เห็นโทษจากความดื้อรั้น



หลายครั้งที่ผ่านมาเราอาจจะเห็นโทษของอาการดื้อรั้น
ของอาการไม่ฟังครูบาอาจารย์ หรือว่าไม่ยอมก้มหัวให้ใครๆ มาบ้างแล้วนะ
แล้วก็ความทุกข์มันได้สอนเราว่าดื้อไปไม่มีประโยชน์อะไรเลย
แต่ไอ้ตัวใจเนี่ยนะที่มันถูกปรุงแต่งด้วยนิสัยหรือความเคยชิน
ที่จะรั้น ที่จะตั้งกำแพงขวางความเจริญให้กับตัวเอง มันยังอยู่
เหมือนกับคนที่รู้แล้วละว่าตัวเองถูกขังคุก
เหมือนกับคนคนหนึ่งที่เริ่มตาสว่าง เห็นแล้วละว่าตัวเองอยู่ในที่มืด
แต่ว่าความมืดมันยังไม่หายไป เพราะว่าแสงสว่างมันยังเข้ามาไม่พอ
หรือว่ากำแพงนี่นะเราเห็นอยู่แล้วแหละว่ามันกั้นเราจากโลกภายนอก
ที่มันสว่างกว่านี้ ที่มันดีกว่านี้ ที่มันมีความเจริญมากกว่านี้
แต่เรายังไม่มีกำลังมากพอที่จะปีนออกไป
อย่างไรก็ตาม เราคิดไว้แล้วว่าเดี๋ยวจะปีนออกไป หรือจะต้องทำลายกำแพงให้ได้



วิธีที่จะทำลายกำแพงความดื้อนี่นะ
ง่ายๆ ที่สุดเลย พอเรามีความต้องการที่จะอ่อนลงแล้ว
ทุกครั้งที่เกิดความดื้อ เราเห็นให้ชัดเลยว่ามันจะมีกำแพงอัตตา กำแพงทิฐิมานะ
ความรู้สึกไม่อยากก้มให้ใคร ไม่อยากอ่อนให้ใคร ปรากฏขึ้นในใจ

มันจะเหมือนกับมีอาการตั้งท่า มีอาการแบบที่งูมันชูคอขึ้นฟ่อๆ น่ะ
คือชูขึ้นไว้ก่อนโดยอัตโนมัติด้วยนิสัย ด้วยความเคยชินที่สั่งสมมาว่า
อะไรเข้ามาใกล้ ระแวงภัยไว้ก่อนหรือว่าจะต้องป้องกันตัวไว้ก่อน


อันนี้ก็เหมือนกัน ความดื้อนะ
คนเราพอมันเคยแผลงฤทธิ์ เคยมีความรู้สึกว่าตัวเองไม่ต้องไปฟังใคร
จะเอาอะไรเอาอย่างใจให้ได้ แล้วก็ได้อย่างใจมาโดยตลอดแบบนี้
มันกลายเป็นความรู้สึกที่เหมือนกับตัวเรามีความเป็นใหญ่

เพื่อที่ตัวจะเล็กลง จำเป็นที่ชีวิตจะต้องเคยกดดันเรามา
ผ่านความทุกข์ ผ่านความเดือดเนื้อร้อนใจอะไรก็แล้วแต่ แล้วมาเจอธรรมะ


รู้สึกว่าธรรมะเป็นของที่ดีกว่าตัวเดิมของเรา
ธรรมะเป็นอะไรที่ใหญ่กว่าชีวิตของเรา

ธรรมะเป็นอะไรที่สว่างกว่าความมืด สว่างกว่าห้องมืดที่เราเคยอยู่มา
ตัวนี้แหละที่มันจะทำให้ทุกครั้งที่เรารู้สึกตัวว่าดื้อขึ้นมา
เห็นเลยว่าอันนี้เป็นของเก่าที่มันไม่ดี
แล้วก็สติที่มันเกิดขึ้น ณ เวลานั้นน่ะแหละ
มันจะทำให้เกิดการเปรียบเทียบว่าถ้าอ่อนลงนะ มันจะดีขึ้น
ถ้าหากว่าเราค้อมศีรษะลงศิโรราบ จิตวิญญาณเราจะเชิดสูงขึ้น
เหมือนกับความรู้สึกนะที่ ตอนที่...ลองๆ นึกดู
ตอนที่เรากราบพระปฏิมา ตอนที่เรามีความรู้สึกว่าเป็นสุขที่สุด
ก็คือตอนที่เรากราบด้วยอาการอ่อนน้อมจริงๆ


ถ้าหากว่านึกไม่ออกว่าอาการกราบพระปฏิมามีความสุขอย่างไรนะ
ก็ขอให้ลองซ้อมดูด้วยความตั้งใจ
คือมันต้องตั้งใจไว้ล่วงหน้านะ
ตื่นเช้ามา เอาเลย ลองเลย ไปที่หน้าหิ้งพระ
แล้วก็กราบลงด้วยอาการอ่อนโยนที่สุด ด้วยอาการนอบน้อมที่สุด
แล้วจำไว้ว่าตอนที่ศีรษะของเรา หน้าผากของเราลงไปแนบจรดพื้น
ความรู้สึกในอัตตามานะตรงนั้นมันหายไป
กลับกลายเป็นความรู้สึกเบ่งบานที่มีความสุข ที่เราได้กำจัดอัตตาออกไปแทนที่ขึ้นมา
เหมือนกับพอตัวตนมันเหลือศูนย์
คือพอตัวมันเล็กลง ใจมันก็เกิดความยิ่งใหญ่

จากความอ่อนน้อม จากความเยือกเย็นที่ได้ก้มศีรษะลงศิโรราบให้กับสิ่งศักดิ์สิทธิ์



อาการเดียวกันนั้นนะ ถ้าหากว่าเรารู้สึกว่ามันดี มันมีความสุข มันเยี่ยม
มันวิเศษกว่าความดื้อ มันวิเศษกว่าความรั้นที่ผ่านมา
ก็ให้จดจำไว้ว่าถ้าหากเมื่อไหร่เราดื้อรั้นกับธรรมะ
เมื่อไหร่รู้ทั้งรู้ด้วยความคิดว่า อันนี้ฟังแล้วจะดีขึ้นนะ
รับแล้วจะมีแต่ความเจริญ มีความสุข มีความรุ่งเรือง
แล้วมันยังมีอาการแข็งขืนอยู่ ก็ให้นึกถึงตอนที่เรากราบพระปฏิมา
ถ้ากราบทุกเช้าได้จะยิ่งดี เพราะว่ามันมีเครื่องเตือนความจำไง
ตื่นเช้ามาพอกราบแล้ว มันได้ตัวอย่างของจิตที่อ่อนน้อมที่สุดในชีวิตแล้วในวันนั้น
พอระหว่างวันที่เหลือ ถ้าหากว่าเราจะต้องมีอันไปดื้อดึง
หรือว่าอย่างตอนนั่งรถไปทำงานตอนเช้า อาจจะฟังธรรมะไปด้วยอย่างนี้นะ
แล้วเกิดจิตที่มันมีความดื้อแพ่งขึ้นมาอีก
เราก็นึกถึงตัวอย่างตอนเช้าที่เราได้กราบพระปฏิมา
จนอัตตามานะมันเหลือศูนย์ไว้แล้วเป็นตัวอย่าง
ตรงนี้ก็จะค่อยๆ พัฒนาขึ้นไปเรื่อยๆ



อันนี้สรุปทบทวนนะ ขึ้นต้นขึ้นมาเรามีความปรารถนาที่จะเลิกดื้อแพ่งอย่างไร้สาระ
จะสวนทางกับของเก่าของเราละ
อันที่สองคือเรารู้จักสังเกตว่าอาการดื้อๆ อาการแข็งๆ ของจิต
ณ เวลาที่เกิดขึ้น มันเหมือนกำแพง มันเหมือนความมืด
มันเหมือนอะไรที่กั้นเราไว้จากความสุข ความเจริญ ความสว่าง
และอันที่สามคือเราสร้างตัวอย่างขึ้นมาชัดๆ เลยในแต่ละวัน
ตอนเช้าขึ้นมาตอนเรายังไม่ได้ทันได้ตั้งท่าดื้อกับใครนั่นแหละ
เอาตัวอย่างเป็นความอ่อนน้อม เป็นความอ่อนโยนที่สุดในชีวิตไว้นะเป็นทุน
แล้วก็ใช้ทุนนั้นต่อยอดไปในระหว่างวันนะครับ



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP