วรรณกรรมนำใจ Lite Literature

ระบำเวท ๑๘


cover rabamvej

ชลนิล




(ต่อจากฉบับที่แล้ว)



             หมากยืนอยู่หน้าประตูห้อง มองเอื้อกานต์ทุกอิริยาบถ ตั้งแต่หยุดยืนกลางห้อง หลับตา จนกระทั่งจิตเข้าสู่สมาธิ

             หลังจากนั้น เขาเห็นพลังงานสีขาวแผ่ออกมาจากเธอ เป็นพลังงานการรักษาชนิดเดียวกับที่เคยช่วยชีวิตผกาแก้ว เพียงแต่มันเข้มข้น คมกล้า เฉิดฉายกว่าที่เคยเห็นครั้งก่อนจนเทียบไม่ได้

             ทุกอย่างดูราบรื่นไม่ต่างจากที่รักษาผกาแก้ว ถึงอย่างนั้นหมากก็ยังไม่วางใจ คราวนั้นเขาเห็นเอื้อกานต์ใช้พลังในตนขับไล่อาคมที่ควบคุมไวรัสร้าย แม้พลังจะอ่อนด้อยกว่านี้ เขาก็ยังรู้สึกไม่เป็นอันตรายอย่างใด ร้ายสุดแค่รักษาไม่สำเร็จ...พอได้พลังของพลูมาช่วย ก็เพิ่มอำนาจการชะล้างจนสำเร็จในที่สุด

             แต่ครั้งนี้หมากรู้สึกผิดจากเคย จิตเอื้อกานต์สว่างเจิดจ้า เข้มข้น ตั้งมั่นกล้าแข็งกว่าเดิมก็จริง แต่มีบางสิ่งผิดปกติ...บางสิ่งที่คล้ายกับดักซ่อนเร้น มองไม่เห็นง่ายๆ

ด้วยความที่ไม่เห็นมัน ใจจึงกังวล ห่วงใย

             หมากเกือบส่งเสียงเรียกพลูเพื่อซักถามตามความเคยชิน แต่ก็ชะงัก...พลูเคยพูดถึงคำว่า ‘ศักยภาพ’

             เขาจะหาศักยภาพของตัวเองได้อย่างไร ถ้ามัวแต่เรียกพลูทุกครั้งที่เกิดเหตุคับขัน

             คุณหมอหนุ่มระบายลมหายใจแผ่วเบา สติเกาะที่ลมหายใจ มองเห็นภาพในห้องปลอดเชื้อผ่านนิมิตภายในซึ่งแตกต่างจากการเห็นด้วยตาเนื้อ

             พลังความสว่างเจิดจ้าของเอื้อกานต์เข้าชะล้าง ขับไล่หมอกมืด อาคมที่ควบคุมไวรัสร้ายในร่างกายคนป่วย แสงสว่างแปรเป็นเส้นเรียวเล็กนับร้อย ชอนไชเข้าไปในร่างด้วยกำลังบาดตามากกว่าเคย

             ผู้ป่วยแต่ละคนมีอาการกระตุกเล็กน้อย ขณะที่หมอกอาคมดำถูกขับออกมากระจายอยู่ภายนอก

             ถึงตรงนี้หมากน่าจะโล่งใจที่หญิงสาวถอนอาคมจากร่างผู้ป่วยทั้งหมดสำเร็จ ทว่าในใจกลับรู้สึกตรงข้าม สังหรณ์ลึกๆ ในใจร้องเตือน...ภัยร้ายใกล้มาถึง

             จิตของหมากยังตั้งมั่น มองเห็นผ่านนิมิต จึงเห็นว่ากลุ่มควันอาคมที่หลุดมาจากร่างคนป่วยไม่ได้กระจาย ละลายหายไปไหน มันเริ่มเกาะตัวหากันอย่างแช่มช้า ทีละน้อย จนควันเข้มขึ้นเป็นสีเทาจึงลอยขึ้นจับตัวเป็นก้อนหนา แออัดยัดเยียดอยู่บนเพดานห้อง

             รัศมีการรักษาจากเอื้อกานต์ไม่อาจขจัด ชะล้างมนตร์ดำครั้งนี้ให้จางหายไปได้เหมือนตอนช่วยผกาแก้ว หนำซ้ำกลับเป็นการช่วยให้อาคมร้ายรวมตัวกันภายนอก กล้าแข็งกว่าเดิม

             จิตเอื้อกานต์ยังนิ่งดิ่งอยู่ในความสงบ ไม่รับรู้สถานการณ์ รัศมีสีขาวแห่งสมาธิเมตตาโอบคลุมเป็นเกราะแก้วกำบัง ป้องกันภยันตรายทั้งปวง

             แต่...มันจะอยู่ได้นานเพียงใด?

             ใจหมากเต้นระทึกโดยไม่มีสาเหตุ เขาสัมผัสสัญญาณบางอย่างที่ปล่อยออกมาจากกลุ่มหมอกมนตราเหล่านั้น

             มันเป็นสัญญาณชักชวน เรียกร้อง เร่งเร้า!

             ชักชวน เรียกร้องสิ่งใด...คำตอบมาถึงในเวลาไม่นานนัก

             แรงสะเทือนครืนๆ สะท้อนเข้ามาในความรู้สึก ในนิมิตปรากฏเงาสีดำสนิท เคลื่อนขยับแปรสภาพเป็นรูปร่างน่าเกลียด น่าขยะแขยง แข้งขายาวยุ่บยั่บไต่มาตามผนัง คลานมาตามพื้นอย่างอหังการ ย่ามใจ

             พวกมันแห่แหนกันมาเป็นร้อย จนผนังกับพื้นมืดกลายเป็นสีดำ ขุ่นคลั่ก เห็นแล้วไม่กล้าขยับตัว

             หมากรู้...มันเป็นภาพในนิมิต แค่ลืมตาก็จะหายไป แต่ใจยังรู้อีกว่า ต่อให้เห็นหรือไม่เห็น ลืมตาหรือหลับตา พวกมันก็ยังคงอยู่ และพร้อมเข้ามาทำร้ายทันทีที่มีโอกาส

             แสงสว่างจากกำลังสมาธิเอื้อกานต์ยังเฉิดฉาย เจ้าตัวน่าขยะแขยงเหล่านั้นยังไม่อาจยื่นขาเข้ามาใกล้ แต่ถ้าเมื่อไรจิตของเอื้อกานต์ถอนออกมา เกราะแห่งสมาธิจางหาย อสุรกายที่ถูกเรียกจากหมอกอาคมเหล่านี้จะพร้อมจู่โจม ทำร้าย โดยไม่ลังเล

             มันเป็นกับดัก วางไว้สำหรับคนที่อาจหาญมาถอนไวรัสอาคม!

             หมากนิ่งงัน ทำอะไรไม่ถูก ถึงเขาเป็นหมอที่มีสัมผัสพิเศษกว่าหมอทั่วไป แต่ยังไงก็ไม่ใช่หมอผี ให้กำจัด ขับไล่ปิศาจ เหล่าอสุรกาย หรือมนตร์ดำร้ายเหล่านี้คงไม่ได้

             รัศมีจากสมาธิเอื้อกานต์เริ่มหรี่ลง เป็นสัญญาณบอกว่า สมาธิกำลังถอน จิตคืนสู่ความปกติ

             ชายหนุ่มตัวเย็นเฉียบ นึกหาวิธีช่วยหญิงสาวโดยเร็ว!



             หลังจากได้เห็นภาพการพบกันครั้งแรกระหว่างไลลากับ ฮันเตอร์ คิม สิ่งต่อไปที่ทรงกลดต้องการรู้ ขุดค้น คือความสัมพันธ์หลังจากนั้น เบื้องหลังพลังอำนาจของไลลา เหตุผลที่เธอปล่อยไวรัสอาคม

             ชายหนุ่มระบายลมหายใจ เลื่อนความทรงจำแรกออกไป เตรียมค้นหาความทรงจำที่ตนต้องการรู้

             ทันใดนั้น กระแสสัมพันธ์ที่เชื่อมโยงระหว่างจิตเขากับสร้อยข้อมือเอื้อกานต์ก็กระตุกวูบ แจ้งเตือนเหตุร้าย

             ทรงกลดวางความทรงจำของ ฮันเตอร์ คิม ไว้ชั่วคราว หันมาใช้สมาธิจิตตามสายใยที่เชื่อมโยงกับสร้อยข้อมือเพื่อให้รู้เรื่องราวของเอื้อกานต์

             เขาเห็นห้องปลอดเชื้อ คนป่วยนับสิบรายโดนไวรัสอาคม เอื้อกานต์ถอนอาคมออกมาได้ แต่คลื่นมนตร์ดำเหล่านั้นกลับรวมตัว ส่งสัญญาณเรียกร้อง ดึงดูดเหล่าปิศาจ อสุรกายร้าย มาแทนที่

             ...กับดักของไลลา!

             วูบแรกในใจทรงกลดเกิดโทสะ คิดไม่ถึง ไลลาจะวางกับดักร้ายกาจแบบนี้กับคนที่มาถอนอาคม ทั้งที่เธอก็รู้ คนตั้งใจถอนอาคมล้วนเจตนาดี ใจเป็นกุศล

             ถ้าจะทำผิด ก็แค่ข้อเดียว คือขัดขวางเส้นทางของเธอ

             สำหรับไลลา ใครที่ขัดขวางเธอ คนผู้นั้นจะถูกยึดถือเป็นฝ่ายตรงข้ามทันที

             โทสะลดลง ยามนี้เขาต้องหาทางช่วยเอื้อกานต์ กำลังสมาธิของเธออ่อนลงเรื่อยๆ ด้วยความไม่ชำนาญ ไม่เคยฝึกสมาธิขั้นสูงเป็นประจำอย่างเขา

             ชายหนุ่มขยับตัวนั่งในท่าสบาย ริมฝีปากขยับ สาธยายมนตร์ เพื่อส่งอำนาจพิเศษไปยังสร้อยข้อมือเอื้อกานต์เพิ่มเติม หวังใช้มันเป็นเครื่องราง คุ้มกันภัยชนิดแข็งแกร่ง ไม่ให้เหล่าปิศาจ หมอกมนตราเข้าควบคุม ทำร้ายเธอได้

             มนตราผ่านจากปากเพียงไม่กี่คำ ขยับสวดไม่ถึงประโยค ทรงกลดก็เกิดอาการมวนท้อง ปวดแปลบ มีลมขับดันขึ้นมาอย่างแรง ส่งผลให้เขากระอักเลือดออกมากองใหญ่

             เสียงสาธยายมนตราขาดหาย สมาธิแตกซ่าน ทรงกลดหอบหายใจถี่ แขนขาอ่อนเปลี้ย รู้ทันที ทั้งหมดเกิดจากฝีมือไลลา เสียงดนตรีผสานสมุนไพรที่เธอใช้รักษาคนป่วยในโรงพยาบาลนั้น เป็นผลดีต่อคนธรรมดาทั่วไป แต่มีผลตรงข้ามกับผู้ใช้อาคม!

             หากทรงกลดอยู่เฉย พักผ่อน ไม่ทำอะไร ร่างกายจะฟื้นตัวเร็วกว่าปกติ หรือต่อให้ใช้สมาธิออกรู้ ออกดูเรื่องราวภายนอก ก็ยังไม่มีปัญหา

             แต่ถ้าเมื่อไรเขาสวดสาธยาย ใช้มนตราอาคมบทใดก็ตาม เมื่อนั้นยาที่ใช้รักษาโรคจะกลายเป็นยาพิษทันที!

             ช่วงเวลาวันสองวันนี้ ไลลาไม่ต้องการให้เขาใช้เวทมนตร์ อาคม เพื่อกระทำการใด ๆ ทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นการถอนไวรัสอาคม หรือนำไปใช้ช่วยเหลือใครก็ตาม

             ลมหายใจทรงกลดขาดเป็นห้วง สติคืนมาเป็นวูบ พยายามฝืนร่างกายเพียงใดก็ไม่ไหว ยารักษาที่แปรสภาพเป็นยาพิษของไลลาอาจไม่รุนแรงถึงขั้นคร่าชีวิต แต่มันก็สร้างความเจ็บปวดทรมานแก่เขาเกินทน อีกทั้งทำให้ไม่อาจขยับเขยื้อนร่างกาย ไม่สามารถใช้อาคม และสุดท้าย จิตแตกกระจาย ยากจะรวบรวมสมาธิเพื่อออกรู้ หาทางช่วยเอื้อกานต์ได้

             ทรงกลดถูกมัดมือมัดเท้าเช่นนี้ เอื้อกานต์จะรอดได้อย่างไร?



             กำลังสมาธิเอื้อกานต์อ่อนลง แสงสีขาวริบหรี่ เหล่าปิศาจร้ายคืบคลานทีละนิด หมากเห็นเช่นนั้นจึงตัดสินใจก้าวเข้าไปหาหญิงสาว ฝ่าร่างสีดำที่คลานยุ่บยั่บบนพื้นโดยไม่เกรง พยายามคิดว่ามองไม่เห็น ไม่รู้สึกถึงการมีอยู่ของพวกมัน

             น่าแปลก เจ้าปิศาจตัวดำกลับขยับหนี หลีกทางเป็นช่องให้หมากเดินไปโดยสะดวก ชายหนุ่มชะงัก เพิ่งสังเกต ตั้งแต่เจ้าอสุรกายน่าเกลียดเหล่านี้โผล่มา พวกมันก็ไม่กล้าเข้าใกล้เขา เช่นเดียวกับที่ไม่กล้าเข้าใกล้รัศมีสมาธิของเอื้อกานต์

             หมากได้สติ รู้ตัวว่าตนมัวแต่ส่งจิตออกนอก เป็นห่วง ระวังหญิงสาว โดยไม่คิดถึงตัวเอง ไม่นึกห่วงว่าเจ้าปิศาจจะวกมาทำร้ายเขาเหมือนกัน

             ตอนนี้รู้แล้ว ต่อให้ไม่มีรัศมีสมาธิครอบคลุม เจ้าพวกนั้นก็ไม่กล้าเข้าใกล้เขาเกินคืบ นี่เพราะมีบางสิ่งมาช่วยปกป้องโดยเขาไม่ทันรู้ตัว

             ‘พลู’ น้องชายคนละภพส่งพลังมาคุ้มครอง

             “ขอบใจว่ะ...” หมากพึมพำ ไม่คิดขอร้องให้พลูส่งพลังมาช่วยเอื้อกานต์อีกแรง

             เขาเชื่อว่าตนเองปกป้องหญิงสาวได้!



             หมากเข้ามายืนในรัศมีสีขาวที่อ่อนโรยของเอื้อกานต์ จิตใจสงบ ปลอดจากความกระวนกระวาย

             ชั่วขณะนั้น เขารู้สึกชัด ว่าพลังที่พลูส่งมาคุ้มครองถูกถอนออกไปแล้ว

             ไม่จำเป็นต้องกล่าวด้วยวาจา พลูต้องการให้สถานการณ์ตรงหน้าทดสอบศักยภาพพี่ชาย ว่าจะปกป้อง ช่วยเหลือหญิงสาวที่มีความสำคัญต่อจิตใจตนได้หรือไม่?

             หมากยืนมองใบหน้าสงบนิ่ง นัยน์ตาคู่สวยที่หลับสนิทของเอื้อกานต์ ดวงหน้าเธอฉาบฉายประกายเมตตา อ่อนโยน กระตุ้นให้เขารู้สึกถึงความเมตตาในจิตใจตน

             วกกลับมาดูเหล่าปิศาจทั้งหลาย เมื่อมองข้ามลักษณะวิกลวิกาลผิดเพี้ยนของพวกมันออกไป จะสัมผัสถึงสภาวะจิตที่เหม่อซึม ไม่รู้เนื้อรู้ตัว คิดแต่จะกระโจนไปข้างหน้าอย่างไม่มีเหตุผล แรงจูงใจ

             พวกมันแค่ต้องการวิ่งหาอะไรบางอย่างตามเสียงเรียก ตามสัญชาตญาณรุมเร้า ขับดันให้ตะกายไปข้างหน้า ไม่รู้ว่าสิ่งที่ตนตะบึงเข้าไปหาคืออะไร มีประโยชน์แค่ไหน

             หมากสัมผัสหมอกมืดดำมัวในใจที่หนาแน่นด้วยกิเลสของพวกมัน รับรู้ถึงความทุกข์ที่ปิศาจเหล่านี้ได้รับ...ทุกข์ที่จำต้องดิ้นรน ตะเกียกตะกาย ทุกข์ที่ไม่อาจรู้ ไม่อาจเห็นว่าสิ่งใดคือความสุข ทุกข์ที่ต้องโดนความอยากในใจกระตุ้น ไล่จี้ให้กระโจนไปข้างหน้าอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย

             จิตเกิดความเข้าใจเกินกว่าเคยเข้าใจ กระแสความเมตตา สงสาร รินไหลจากใจโดยไม่จำเป็นต้องสั่งการ บังคับ

             หมากรู้สึกตนเองเป็นเหมือนจุดกึ่งกลางวงกระเพื่อมของสายน้ำใจขนาดใหญ่ คลื่นที่กระเพื่อมออกจากจิตเมตตา ขยายเป็นวงกว้าง เข้าสัมผัส รินรด ไหลผ่านเหล่าอสุรกายระลอกแล้วระลอกเล่า

             รอบตัวบังเกิดความเย็นสดชื่นขึ้นมาทั้งที่ไม่มีใครปรับอุณหภูมิลง เหล่าปิศาจทั้งหลายต่างตกอยู่ในอาการสงบ นิ่งงัน คล้ายสัมผัสรับรู้ถึงกระแสเมตตาอันมากมายที่พวกตนยังไม่เคยพบพานมาก่อน

             หมากคลายใจ เห็นเหตุการณ์คลี่คลายไปในทางที่ดีขึ้น คิดว่ากับดักของผู้ส่งไวรัสอาคมคงมีแค่นี้

             แต่เขาคิดผิด!



             รัศมีสมาธิเอื้อกานต์อ่อนโรย จางหาย จิตถอนจากสมาธิช้าๆ ประสาทสัมผัสค่อยคืนสู่การรับรู้เป็นปกติ จิตแช่มชื่น อิ่มเต็ม ราวกับได้นอนพักเต็มอิ่มครั้งแรกในชีวิต

             ลืมตาขึ้นมาเห็นหมอหมากยืนอยู่ใกล้ ก้มหน้ามองมาด้วยแววตาอ่อนโยน เป็นห่วง กระแสอบอุ่น สดชื่น เย็นสบาย กระจายมากระทบ ชวนให้รู้สึกเหมือนอยู่อีกโลกหนึ่งซึ่งปราศจากมลทิน มีแต่ความสว่างไสว ชุ่มเย็น ไม่มีผัสสะร้อนรุ่มทั้งภายนอก ภายใน มากล้ำกราย

             หมากคลี่ยิ้มน้อยๆ เอื้อกานต์ยิ้มตอบ โลกของคนสองคนหยุดนิ่งชั่วครู่ ก่อนหญิงสาวจะรู้สึกตัว หันมองไปรอบๆ เห็นคนป่วยที่นอนอยู่บนเตียงปราศจากเงาทะมึนของอาคมที่ควบคุมไวรัสแล้ว

             “สำเร็จ” เอื้อกานต์บอกหมากด้วยประกายตาสว่างใส

             “ยินดีด้วยหมอเอื้อ” หมากตอบ

             “หลังจากนี้ เราบอกให้อาจารย์หมอรักษาคนป่วยตามปกติได้แล้ว” หญิงสาวโล่งใจ อยากรีบออกไปบอกนายแพทย์อาวุโสโดยเร็ว เพราะอาจช่วยชีวิตคนป่วยเพิ่มขึ้นได้อีกหลายราย

             หมากพยักหน้าเห็นด้วย รอยยิ้มเขาจางลง หากเอื้อกานต์ไม่ทันสังเกต เพราะมัวแต่ดีใจ และอยากออกไปบอกข่าวดีเต็มที

             “รีบไปบอกอาจารย์หมอกันเถอะค่ะ” หญิงสาวก้าวนำออกจากห้อง

             หมากเดินตามช้าๆ แต่ละก้าวที่เดินคล้ายมีก้อนหินมาถ่วง ใบหน้าขาวดูซีดกว่าเดิม เหงื่อเม็ดเล็กๆ ผุดบนหน้าผาก เขาจงใจเดินตามหลัง ไม่ให้เอื้อกานต์เห็นสีหน้า กิริยาของเขา

             ชายหนุ่มคิดในใจ...ได้เห็นเธอมีความสุข ยินดีกับการที่สามารถช่วยชีวิตคนป่วยนับสิบรายได้ก็ดีแล้ว...เรื่องที่เป็นปัญหานอกจากนั้น เขาจะรับไว้เพียงคนเดียว







บทที่ ๑๖



             พออาจารย์หมอได้รับฟังข้อเสนอจากเอื้อกานต์เรื่องขอให้เจาะเลือดคนไข้ไปตรวจอีกที ผู้อาวุโสก็มีทีท่าลังเล ไม่แน่ใจ เพราะเพิ่งเจาะเลือดตรวจตอนเช้า เวลาไม่กี่ชั่วโมง ผลเลือดไม่น่าเปลี่ยนแปลงมาก

             กระทั่งเห็นสีหน้ากระตือรือร้น จริงจัง ของคุณหมอสาว และการแสดงความเห็นในแนวทางเดียวกันจากศัลยแพทย์หนุ่มชื่อดังอย่างหมาก ผู้สูงวัยกว่าจึงยอมคล้อยตาม สั่งให้พยาบาลเจาะเลือดคนป่วยในห้องปลอดเชื้อมาตรวจอีกครั้ง พร้อมรอฟังผลด่วน

             เอื้อกานต์ หมาก ตั้งใจรอฟังผลตรวจเลือด แต่โทรศัพท์ในกระเป๋าคุณหมอสาวก็ดังขึ้นพอดี

             “เอื้อกานต์ค่ะ” หญิงสาวรับสาย

             “คุณหมอคะ รีบมาดูคนป่วยที่โรงพยาบาลด่วนเลยค่ะ” เสียงจากพยาบาล

             “คนป่วยรายไหน” เอื้อกานต์ถาม

             “คุณชามาร์ค่ะ จู่ๆ แกก็กระอักเลือด อาการน่าเป็นห่วงค่ะ”

             “ชามาร์!” เอื้อกานต์อุทานอย่างตกใจ สีหน้าซีดเผือด เปลี่ยนแปลงฉับพลัน

             ชามาร์...ชายผู้มีใบหน้าคล้ายทรงกลด คนรักเก่า อาการเขาดีขึ้นมากแล้ว เหตุใดจึงทรุดหนักลงอีก

             “ได้ หมอจะไปเดี๋ยวนี้ละ” เอื้อกานต์ตอบรับทันที

             หมากยืนอยู่ใกล้ เห็นสีหน้าท่าทีหญิงสาวแล้วรู้สึกแปลบในใจ ความตกใจ เป็นห่วง ที่เอื้อกานต์แสดงออกมา มันเกินความรู้สึกของหมอที่มีต่อคนไข้ทั่วไป

             “คุณชามาร์กระอักเลือด อาการทรุดลง หมอจะไปดูกับเอื้อมั้ยคะ” หญิงสาวมีแก่ใจเอ่ยชวน

             จิตใจหมากรู้สึกตึงๆ ขัดใจลึกๆ จึงตอบเรียบๆ

             “หมอเอื้อไปเถอะ ผมจะอยู่รอฟังผลเลือดที่นี่”

             “งั้นฉันไปนะคะ” เอื้อกานต์ไม่เซ้าซี้ถามซ้ำ ก้าวยาวๆ จากไปทันที

             หมากเบือนหน้าหนีจากเงาหลังของเธอ ใจหงุดหงิดอย่างไม่มีเหตุผล ถ้าเอื้อกานต์สังเกตอาการเขาสักนิด ถามชักชวนอีกสักคำสองคำให้เขาเห็นว่าเขามีความหมายต่อเธอบ้าง จิตใจคงไม่เจ็บปวด หดหู่ขนาดนี้

             พอจิตใจเจ็บปวด อาการทางกายยิ่งปรากฏแรง ชายหนุ่มก้มมองมือที่ยังพันแผลตั้งแต่หลังผ่าตัดผักกาด ความเจ็บร้าว ปวดแสบปวดร้อนทวีขึ้นสูง ได้แต่กัดฟัน ทนลากขาขึ้นลิฟต์ไปยังดาดฟ้าโรงพยาบาล

             ร่างกายอ่อนแรง ฝืนเก็บงำความเจ็บปวดทรมานไม่ให้ใครเห็น กระทั่งอยู่คนเดียว ความอดทนทั้งปวงก็พังทลาย



             บนดาดฟ้า

             หมากนั่งลงตรงเก้าอี้ยาว มุมพักผ่อนของหมอ พยาบาล และเจ้าหน้าที่ ซึ่งในเวลานี้ว่างโล่ง ไม่มีใคร คุณหมอหนุ่มจึงนั่งพิงเก้าอี้เดียวดาย

             ความเจ็บปวดที่มือใต้ผ้าพันแผลทวีขึ้นกว่าเดิม ทั้งยังลามมาถึงหัวไหล่ หมากพับชายแขนเสื้อขึ้น เห็นสีผิวที่พ้นผ้าพันแผลเริ่มเป็นสีเทาดำจัดตา

             ...มันเป็นเช่นนี้ได้อย่างไร หรือแผลจากวันก่อนกลับกำเริบขึ้นอีกครั้ง?

             ไม่ใช่ บาดแผลที่เกิดก่อนอุบัติเหตุใหญ่วันก่อนนั้น มันหายดีเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์แล้ว

             รอยสีเทาดำที่ลามขึ้นมาทั้งแขนมันเกิดจากสาเหตุอื่น

             ในห้องปลอดเชื้อเมื่อครู่ หลังเอื้อกานต์ถอนอาคมที่ควบคุมไวรัสสำเร็จ เหล่ามนตร์ดำ อาคมร้าย ก็รวมตัวหนาแน่น ส่งสัญญาณเรียกร้อง เชิญชวนเหล่าปิศาจ อสุรกาย ให้แห่แหนกันเข้ามา

             จิตเอื้อกานต์ยังแนบอยู่กับสมาธิ แสงสว่างแห่งการรักษา จึงไม่รับรู้ สำเหนียกถึงอันตรายที่รายล้อม หาจังหวะจู่โจม

             หมากซึ่งเฝ้าดูอยู่ เห็นเหตุการณ์ทั้งหมด จึงเข้าไปช่วย ใช้พลังเมตตาของตน แผ่เมตตา ความเย็นฉ่ำเป็นมิตรแก่เหล่าอสุรกาย ซึ่งพวกมันรับรู้ได้ จิตคลายจากความกระวนกระวายดิ้นรนชั่วคราว ก่อนแยกย้ายจากไปตามหนทางของตัวเอง

             เมื่อเหตุการณ์คลี่คลายเช่นนี้ หมากจึงคลายใจ คิดว่าผ่านพ้นอันตรายมาแล้ว แต่กับดักของผู้ส่งไวรัสอาคมยังไม่หมด ต่อให้ไม่มีพวกปิศาจ อสุรกาย เป็นเครื่องมือ ทว่ามนตร์ดำ อาคมที่ครอบคลุมอยู่บนเพดาน ก็ยังเป็นไม้ตายสุดท้าย

             พอเหล่าอสุรกายหนีหาย หมอกมืดแห่งมนตราก็ไหลเทลงมาเป็นกระแสกราดเกรี้ยว เชี่ยวกราก จู่โจมสองคุณหมอที่อยู่เบื้องล่างโดยไม่ทันให้ตั้งตัว

             ยังดีที่จิตหมากตื่นพร้อมอยู่แล้ว เขาเห็นหมอกมนตร์ดำดูคล้ายปิศาจร้าย ไร้ชีวิตจิตใจ บิดตัวเป็นเกลียวพุ่งลงมาใส่ชนิดไม่เหลือเส้นทางให้ถอยหนี

             ใจกอปรด้วยเมตตาเสมือนแม่น้ำกว้างยังคงอยู่ ส่งผลให้จิตตั้งมั่น มีกำลังพอ หมากจึงไม่ลังเลเลยที่จะยกมือออกไปต้านรับ และกำหนดความรู้สึก ดึงดูดหมอกมนตราเข้ามาไว้ที่เขาแต่เพียงผู้เดียวโดยไม่ให้กระทบถูกเอื้อกานต์แม้กระทั่งเส้นผม

             พลังมนตร์มืดที่เกรี้ยวกราด แสบร้อน ถูกดึงดูดให้พุ่งตรงมายังมือข้างที่เจ็บของหมากทั้งหมด เสมือนสายโคลนดำเมื่อม เหม็นคลุ้ง ไหลเข้าไปในร่าง

             ปฏิกิริยาในตัวชายหนุ่มบังเกิดการต่อต้านโดยอัตโนมัติ มนตร์ดำทั้งหมดถูกกักเก็บไว้เฉพาะมือข้างที่เจ็บ ทว่าความหนาแน่นรุนแรงของมันก็ทำให้มนตร์ร้ายรุกคืบ ขยายตัวขึ้นมาเรื่อยๆ จากข้อมือถึงท่อนแขน และกำลังลามสู่หัวไหล่

             หมากพยายามสะกดกลั้นความเจ็บปวดทรมาน แม้อาคมร้ายจะถูกกักไว้ที่แขนข้างเดียว ผลสะท้อนของมันก็ยังทำให้ร่างกายอ่อนเปลี้ย สะบัดร้อนสะบัดหนาวไม่ต่างจากเป็นไข้สูง

             สิ่งที่ซึมเข้าสู่ร่างหมากเวลานี้ ไม่ใช่ไวรัส เชื้อโรคร้าย แต่เป็นพลังงานมืดที่มีกระแสเผ็ดร้อน ดุดัน เหมือนสัตว์ร้ายที่ไม่มีขนาด รูปร่าง ไม่มีตัวตน แต่อาละวาด สร้างความโกลาหล ก่อความวินาศรุนแรงได้เช่นกัน

             ตอนเอื้อกานต์ถอนจากสมาธิ หมากสะกดกลั้นอาการเจ็บปวด ฝืนแสดงกิริยาปกติ อาศัยที่หญิงสาวมัวห่วงคนป่วย จึงลืมสังเกตผู้ชายตรงหน้า

             กระทั่งออกมาจากห้องปลอดเชื้อ ปรึกษาแสดงความเห็นต่ออาจารย์หมอ หมากก็เกือบคุมอาการตัวเองไม่ไหว เกือบแสดงความเจ็บปวดออกมา แต่เพราะเอื้อกานต์ได้ข่าวคนป่วยของเธอพอดี จึงรีบตรงรี่ไปโรงพยาบาล ไม่ทันสังเกตว่า คนที่เจ็บหนักกว่า และต้องการพลังของเธอช่วยเหลือ ยืนอยู่ข้างๆ

             เวลานี้พลังงานมืด อาคมร้าย ขยายตัวมาถึงหัวไหล่ ร่างกายหมากแสดงปฏิกิริยาต่อต้าน โดยเจ้าตัวเองก็ไม่ทันสำเหนียก

             หมากไม่รู้เลยว่า ถ้าเขาเป็นคนธรรมดาทั่วไป คงไม่มีทางต้านทานอาคมร้ายนี้ได้นานเกินสองสามนาทีแรก

             ที่หมากสามารถทนอยู่ได้ เพราะมีพลังงานพิเศษบางอย่างไหลเวียนอยู่ในตัว พลังงานนั้นเป็นมรดกที่พลูทิ้งไว้ให้ก่อนตาย เพื่อช่วยรักษาชีวิตเขา และมันค่อยฟูมฟัก เติบโตเงียบๆ โดยที่หมากไม่เคยรู้

             แต่เพราะมรดกพลังงานจากพลูยังไม่ผสานเป็นหนึ่งเดียวกับจิตใจหมาก มันจึงยังไม่แกร่งกล้า พอจะต้านทานอาคมร้ายได้นานนัก การที่หมากหลบขึ้นมานั่งพักบนดาดฟ้าคนเดียว ก็เพื่อรวบรวมสมาธิ จิตใจ หาวิธีขับพลังร้ายออกจากตัว

             ลมหายใจเข้าออกของหมากร้อนระอุ แขนทั้งข้างปวดแสบปวดร้อนจนชาด้าน ยกไม่ขึ้น มนตร์มืดลามจากหัวไหล่มาถึงไหปลาร้า ไม่นานก็จะคืบคลานถึงหน้าอก

             หมากตัดใจ ตายเป็นตาย ไม่สนใจอะไรจะเกิดขึ้น ใจคอยเฝ้าสังเกตลมหายใจเข้าออกที่ร้อนผ่าวนั้นเป็นหลัก เพื่อให้จิตใจที่กระจัดกระจายรวมตัวเข้ามาเป็นสมาธิ หาทางเอาตัวรอด

             ความอบอุ่น ชุ่มเย็น ก่อตัวขึ้นกลางหน้าอก แล้วแผ่กระจายบางเบาราวสายลมไหว โชยพลิ้วผ่านกระไอร้อน พัดพาความแผดกล้าให้เจือจาง อ่อนคลาย

             จิตตั้งมั่น ทรงตัวมีกำลัง มองเห็นนิมิตตนเองเป็นร่างกลวงๆ มีแขนขายืดออกมาไม่ต่างจากหุ่นยนต์ตัวหนึ่ง ที่กึ่งกลางหน้าอก มีแสงสีขาวอ่อนละมุนก่อตัวช้าๆ ขณะที่บริเวณตั้งแต่ไหปลาร้าลงไปถึงปลายแขนเป็นสีแดงจัดจ้า

             “เมตตาคนอื่นได้ ทำไมไม่รู้จักแผ่เมตตาให้ตัวเอง”

             เสียงหนึ่งผุดขึ้นกลางใจ จุดประกายความคิดเจิดจ้า ทำให้เกิดความเข้าใจตลอดสาย

             แสงสว่างสีขาวกลางอกนั้น เกิดจากจิตเมตตาที่มีกำลังสมาธิหนุนส่ง เขาเคยใช้พลังแห่งเมตตานี้แผ่ให้แก่เหล่าปิศาจ อสุรกาย จนจิตใจพวกมันคลายรุ่มร้อน กระวนกระวายชั่วคราวมาแล้ว ทำให้พวกนั้นพากันแยกย้ายจากไปโดยไม่มีการเบียดเบียนซึ่งกันและกัน

             แล้วเหตุใดเขาจึงไม่ใช้แสงสว่างจากเมตตานี้รักษาตนเอง รักษาร่างกายที่เห็นเป็นเหมือนหุ่นยนต์อยู่ในขณะนี้

             เมตตาตน เห็นร่างกายตนเป็นแค่ธาตุสี่ มีดิน น้ำ ลม ไฟ มาประชุมรวมกัน แค่สัตว์โลกชีวิตหนึ่ง ไม่มีความเป็นเรา ของเรา อยู่ในนั้น

             ใช้พลังแห่งเมตตาแผ่ให้แก่ธาตุสี่ รูปขันธ์ที่เห็นอยู่ตรงหน้า แยกความเป็นเราออกมา รู้สึกเหมือนกำลังรักษาคนไข้ แผ่เมตตาให้แก่คนอื่น สัตว์โลกที่เกิด แก่ เจ็บ ตาย ทั่วไป!

             จิตของหมากตั้งมั่น แยกจิตกับกายออกมาเป็นคนละส่วน เห็นร่างกายนี้เป็นอื่น เป็นแค่ร่างมนุษย์ที่กำลังเกิดทุกข์เวทนาจากอาคมร้าย

             จิตเกิดความเมตตาบริสุทธิ์ แสงสว่างจากกลางหน้าอกเรืองรอง เฉิดฉายเป็นทวีคูณ หมากเหนี่ยวนำให้แสงสว่างนั้นไหลเป็นสาย ขึ้นไปบนหัวไหล่ ชโลมชะล้างความร้อนเร่าของอาคมเพลิงสีแดงฉานอย่างอ่อนโยน เชื่องช้า ทว่าหนักแน่น ต่อเนื่อง ไม่ขาดระยะ

             ลำแสงสีขาวอ่อนละมุนคล้ายลำธารอันชุ่มเย็น มิยอมเหือดแห้งแม้เผชิญกับตะวันกล้า...มันยังรินไหลซอกซอนตามเส้นประสาท เส้นเลือด กระดูกในร่างช้าๆ ช่วยลดอุณหภูมิความร้อนเร่าลงไป

             แสงสีขาวกลบกลืนแสงสีแดงทีละน้อย ที่ปลายนิ้วพ้นผ้าพันแผลของหมาก มีกระไอสีเทาขุ่นไหลออกมาเป็นสาย มันรวมตัวเป็นควันดำ ก่อตัวเป็นก้อนหนาแน่นประมาณลูกพุทรา จากนั้นก็พุ่งลับจากไปราวกับมีแรงดึงดูดรุนแรงมากระชากให้มันกลับคืนบ้านเดิมของตน



             ไลลาพักอยู่ชั้นบนสุดของโรงแรมห้าดาวกลางกรุงเทพฯ ซึ่งเธอเหมาทั้งชั้นไว้สำหรับตนเองและคณะผู้ติดตาม

             ช่วงเวลานี้ไลลากำลังดื่มชา ใช้ช้อนเล็กคนน้ำชาในถ้วย เตรียมจิบเพื่อผ่อนคลาย จู่ๆ มือที่คนชาก็ชะงัก หยิบช้อนมาวางบนจานรอง นัยน์ตาเพ่งลงไปยังน้ำชาในถ้วยทันที

             ฉับพลัน น้ำชาสีอ่อนใสชวนดื่ม กลับกลายเป็นสีดำสนิทเหมือนมีใครเอาหมึกดำเทลงทั้งขวด!

             ไลลาเลื่อนถ้วยชานั้นออกห่างจากตัว ส่งเสียงไม่ดังไม่เบา

             “เอาไปทิ้ง”

             หญิงสาวที่เป็นผู้ติดตามดูแล เดินออกมาจากมุมห้อง หยิบน้ำชาถ้วยนั้นไปเททิ้งตามคำสั่งโดยไม่เอ่ยปากถามสักคำ ไม่แม้กระทั่งก้มหน้าดูน้ำชาในถ้วย

             ประกายตาไลลาคมปลาบ วาววับ มือเรียวสวยยกขึ้นประสานบนหัวเข่า ครู่หนึ่งริมฝีปากค่อยเหยียดรอยยิ้มแปลกๆ ออกมา

             ...ไม่น่าเชื่อ กับดักที่เธอวางไว้จัดการกับคนถอนไวรัสอาคมอย่างแยบยล หลายชั้น จะมีคนแก้ตก หนำซ้ำทำให้อาคมร้ายดีดตัวกลับคืนสู่เจ้าของได้

             นี่เป็นครั้งที่สองแล้วที่อาคมย้อนกลับ ครั้งแรกมันทำให้เธอรู้จักเอื้อกานต์ ครั้งนี้เป็นคุณหมออีกคน ไลลาไม่ยี่หระต่ออาคมย้อนกลับ พลังของเธออยู่เหนือกว่าแรงอาคมพวกนี้ไม่รู้กี่เท่า

             แต่นั่นทำให้เธอบอกตัวเองว่า บางที...การปล่อยไวรัสอาคมครั้งที่สาม เธออาจต้องใช้ความสามารถทั้งชีวิต สติปัญญาทั้งหมดที่มี สร้างสรรค์ขึ้นมาใหม่ ให้ร้ายกาจ รุนแรงกว่าเดิม ทั้งต้องไม่เหลือช่องโหว่ใดให้ใครมาขัดขวาง ทำลาย ได้อีก

             การปล่อยไวรัสอาคมครั้งที่สามต้องสมบูรณ์พร้อมทั้งแผนการ ความรุนแรง ต่อให้ ฮันเตอร์ คิม ร่วมมือกับทรงกลด ก็ไม่อาจหยุดยั้งได้

             อีกทั้ง...คราวนี้...ไม่ว่าพลังพิเศษของสองคุณหมอจะยิ่งใหญ่แค่ไหน ก็ไม่มีทางถอนมันได้อีกแล้ว

             ไลลาหลับตาลง ระบายลมหายใจแผ่วเบา...

             ...ฮันเตอร์...หลังจากปล่อยไวรัสอาคมครั้งที่สาม เธอคงจะได้รู้เสียทีว่า...ผู้หญิงอย่างฉัน ไม่มีอะไรที่ทำไม่ได้!



(โปรดติดตามต่อฉบับหน้า)



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP