วรรณกรรมนำใจ Lite Literature

ระบำเวท ๑๗


cover rabamvej

ชลนิล




(ต่อจากฉบับที่แล้ว)



             คนป่วยกลับห้องพัก เจ้าหน้าที่ หมอ พยาบาล ต่างแยกย้ายกันไปทำหน้าที่ของตัวเอง สัตตบงกชและทีมงานรีบกลับไปทำงานส่วนที่เหลือ

             เอื้อกานต์บอกลาสัตตบงกช แล้วรอลิฟต์ เพื่อขึ้นไปชั้นที่คนป่วยพิเศษของเธอนอนพัก

             ประตูลิฟต์เปิด เอื้อกานต์ก้าวขาแทบจะสวนกับชายหนุ่มข้างในที่เดินออกมา

             “หมอเอื้อ” หมากทักหญิงสาวอย่างโล่งอก ถอยหลังเข้าลิฟต์ รอจนเอื้อกานต์เข้ามาเรียบร้อยจึงถามเป็นเชิงบ่น

             “คุณลงมาข้างล่างก็ไม่บอก ผมหาตามห้องคนป่วยซะเกือบทุกห้อง”

             “เอื้อลงมาฟังเพลงที่ล็อบบี้ มีนักร้องดังมา...หมอไม่รู้หรือคะ” หญิงสาวถาม

             “ผมอ่านแต่การ์ตูน ฟังเพลงซะที่ไหน” หมากยิ้มมีเลศนัย “ผมมีข่าวดีจะบอกหมอเอื้อนะ”

             “ข่าวดีอะไรคะ” เอื้อกานต์มองรอยยิ้มนั้นก็นึกขัน เห็นหมากเป็นเหมือนเด็กหนุ่มสิบเจ็ดสิบแปด มีเรื่องมาอวดสาว

             “คนไข้ของหมอฟื้นแล้ว” หมากบอก

             “จริงหรือคะ!” เอื้อกานต์อุทานเสียงดัง มือบีบต้นแขนหมากแน่นเพื่อย้ำความแน่ใจ

             หมากอึ้ง พูดอะไรไม่ออก แววตาหญิงสาวแจ่มจรัส เปี่ยมความยินดีอย่างไม่เคยเห็นมาก่อน ชวนให้ไม่อยากพูดอะไร จิตใจห่อเหี่ยวขึ้นมาเฉยๆ

             “ครับ” เขาตอบสั้น จงใจไม่สบตาเธอ

             มือเอื้อกานต์ยังเผลอบีบต้นแขนเขาอยู่ ดวงตา ริมฝีปาก บ่งบอกว่ากำลังข่มความยินดีอย่างที่สุด

             ถึงตอนนี้ไม่จำเป็นต้องตอกย้ำ ยืนยันอะไรมากกว่านี้แล้ว ผู้ชายคนนั้นมีความสำคัญกับเอื้อกานต์เกินกว่าจะคาดถึง...ไม่ใช่เป็นแค่คนไข้โดนไวรัสอาคม แต่เขาน่าจะเป็น ‘ใคร’ สักคนที่เอื้อกานต์เฝ้ารอคอยมาแสนนาน

             “อ๋อ...ผมมีอีกข่าวจะบอก” หมากเอ่ยปากพูดเพื่อไม่ให้มีช่องว่างความเงียบระหว่างลิฟต์เลื่อนขึ้นนานเกินไป

             “ผักกาดก็ฟื้นแล้วนะครับ อาการดีขึ้นเหลือเชื่อเชียว” ชายหนุ่มหวังจะเห็นอาการดีใจของเอื้อกานต์ไม่น้อยไปกว่าข่าวแรก

             “ดีใจด้วยค่ะ” หญิงสาวยิ้มยินดี รู้สึกตัว คลายมือที่บีบต้นแขนเขาออก

             หมากรู้สึกชัดเจน ความดีใจครั้งแรกของหญิงสาว ต่างกับความยินดีครั้งหลังชนิดเปรียบเทียบกันไม่ได้ เขาจึงคร้านที่จะบอกว่า นอกจากผักกาดจะฟื้น พูดจาได้แล้ว คนไข้อีกหลายคนในโรงพยาบาลก็มีอาการดีขึ้น โดยเฉพาะผู้ป่วยจากอุบัติเหตุครั้งใหญ่นั่น

             ชายหนุ่มอดคิดไม่ได้ว่า ต่อให้คนไข้ทั้งโรงพยาบาลหายป่วยเป็นปลิดทิ้ง เอื้อกานต์อาจไม่ดีใจเท่าเห็นชายคนนั้นมีสติ ลุกขึ้นมาคุยกับเธอแน่ๆ

             ลิฟต์เปิด เอื้อกานต์รีบก้าวนำหน้า ตรงไปห้องคนป่วยอย่างรวดเร็ว หมากถอนใจ ดวงตาฉายแววฉุนเฉียว ไม่รู้ควรขัดใจ โมโหเรื่องอะไร

             เป็นครั้งแรกที่เขานึกอยากให้คนไข้หนุ่มรูปหล่อคนนั้นสลบอีกสักครั้ง หรือไม่ก็แอบหนีกลับบ้านอย่างที่ร้องขอสักที...ถ้ามันเป็นจริง เขาคงนึกขอบคุณสวรรค์อย่างยิ่ง



             คนไข้ยังไม่สลบ หรือหนีกลับบ้านตามที่หมอหมากนึกภาวนาในใจ หนำซ้ำเขายังปรับเบาะขึ้นนั่งเอนหลังด้วยสีหน้าสดใส มีเลือดฝาดยิ่งกว่าตอนหมากเห็นเขาฟื้นขึ้นมาเสียอีก

             “คุณ...” เอื้อกานต์ไม่อาจเรียกชื่อ ‘ชามาร์’ ได้อีก เมื่อมองหน้า สบตากันตรงๆ แบบนี้

             “คุณชามาร์...นี่หมอเอื้อกานต์ เป็นหมอเจ้าของไข้ของคุณ” หมากเอ่ยปากแนะนำอย่างจำใจเป็นภาษาอังกฤษ

             “สวัสดีครับ” คนป่วยทักทายกลับเป็นภาษาไทย

             เอื้อกานต์อึ้ง ผิดคาด ...ไหนตามหลักฐานบอกว่าเขาเป็นชาวต่างชาติ?

             “เออ...จริงสิ ตะกี้คุณก็บอกผมเองว่าพูดภาษาไทยได้” หมากบอกกึ่งประชด

             ชายหนุ่มมองคุณหมอทั้งสองด้วยแววตาปกติ ไม่รู้สึกกับคำพูดกึ่งประชดของหมอหมาก ไม่ตอบรับแววตายินดีจนพูดไม่ออกของเอื้อกานต์

             “ครับคุณหมอ ผมพูดภาษาไทยได้” คนป่วยสบตา พูดกับเอื้อกานต์ตรงๆ โดยไม่มีร่องรอยแปร่งแปลกในแววตา น้ำเสียงปกติแบบคนไข้คุยกับหมอ

             “คุณ...” เอื้อกานต์พยายามเรียกชื่อเขาอีกครั้ง คำพูดนั้นยังจุกตันในลำคอ

             “ชามาร์ครับ” ชายหนุ่มตอบ “ขอบคุณหมอจริงๆ ที่ช่วยดูแล รักษาผม”

             เขาพูดด้วยภาษาไทยชัดเจน ไม่มีแปร่งเพี้ยนเช่นชาวต่างชาติทั่วไป

             “คุณพูดภาษาไทยชัดจัง” เอื้อกานต์ไม่รู้จะพูดเรื่องอะไรกับเขา

             “แม่ผมเป็นลูกครึ่งอินเดีย-ไทย พ่อเลี้ยงผมเป็นอเมริกัน ผมเลยพูดได้หลายภาษา” เขาตอบ

             “คุณมีญาติที่เมืองไทยมั้ยคะ เผื่อยังไงทางโรงพยาบาลจะช่วยติดต่อให้” เอื้อกานต์พูดยาวขึ้น

             “ญาติทางแม่ผมที่เป็นคนไทย ไปตั้งรกรากอยู่อเมริกากันหมดแล้ว ผมมาเที่ยวเมืองไทยเพราะญาติๆ เขาแนะนำ” ชายหนุ่มอธิบายไม่ติดขัด

             “แล้วพอจะนึกออกไหมคะว่าไปทำอะไรมาถึงได้ไข้ขึ้นสูงแบบนี้” เอื้อกานต์ถาม

             “ไม่ทราบครับ” เขาตอบด้วยท่าทางงงๆ “จู่ๆ ก็รู้สึกเหมือนโดนอะไรแหลมๆ เล็กๆ แทงเข้ามาเต็มไปหมด ปวดหัว ปวดไปทั้งตัว อาการเหมือนไข้ขึ้น ผมเลยพยายามหาโรงพยาบาล คลินิกที่อยู่ใกล้สุด พอไปถึงก็แทบไม่รู้สึกตัวอีกเลย”

             หมากฟังมาถึงตรงนี้ก็หันหน้ามามองเอื้อกานต์ รู้ว่าตลอดเวลาที่หญิงสาวคุยกับคนไข้รูปหล่อรายนี้ เธอมีคำถามสำคัญคาใจอยากเอ่ยปาก แต่ไม่มีจังหวะ โอกาส จึงทำให้อยู่ในสภาพอึดอัด อยากพูด อยากถาม แต่ต้องยั้งใจ ชวนคนไข้คุย ซักถามอาการตามแบบของหมอ จนกว่าความอดทนจะถึงจุดสิ้นสุด

             “อาการตอนนี้เป็นยังไงบ้างคะ” เอื้อกานต์ถามต่อ

             “ดีขึ้นเยอะแล้วครับ คุณหมอจะให้ผมออกจากโรงพยาบาลได้เมื่อไหร่” เขาถามกลับ

             “หมอขอดูอาการอีกสักสองสามวันค่ะ” เอื้อกานต์ตอบคำถามคนไข้ ก่อนยิงคำถามสำคัญที่เธออยากรู้ทันที

             “คุณเคยได้ยินชื่อ ‘ทรงกลด’ มั้ยคะ”

             เอื้อกานต์ถามในจังหวะที่คาดว่าเขาเผลอตัว หากมีสิ่งใดซ่อนเร้น ย่อมหลุดออกมาทางสีหน้า แววตา

             “ทรงกลด” คนไข้ทวนคำ “หมายถึงอะไรครับ”

             “ชื่อคนค่ะ”

             “ไม่เคยครับ เคยได้ยินแต่ศัพท์ภาษาไทย อย่างพระจันทร์ทรงกลด อะไรแบบนี้”

             คุณหมอสาวถอนใจด้วยความอึดอัด คาใจ เขาสามารถตอบคำถามทุกข้ออย่างเป็นปกติ ธรรมชาติ ไม่มีร่องรอยผิดปกติทั้งทางสีหน้า แววตา กิริยา หรือกระทั่งหลุดออกมาผ่านสภาวะทางจิต!

             ตลอดเวลาการพูดคุย เอื้อกานต์ใช้สัมผัสพิเศษเข้าตรวจสอบคนป่วยตรงหน้า หากเขาเป็นทรงกลดจริง ข้างในจิตใจย่อมมีความกระเพื่อม หวั่นไหวผิดปกติให้รู้สึกได้บ้าง โดยเฉพาะกับคำถามสำคัญนั้น

             ทว่าสิ่งที่เอื้อกานต์สัมผัสได้ คือสภาวะจิตปกติแบบคนป่วยทั่วไป ไม่มีวี่แววความผูกพัน ระลึกได้ ไม่มีกระทั่งกระแสใจเชื่อมโยง...เช่นคนเคยรู้จักกัน

             ถึงตอนนี้หญิงสาวรู้สึกเหนื่อยใจ อ่อนล้าขึ้นมาเฉยๆ ชายตรงหน้ามีรูปร่างหน้าตาเหมือนทรงกลดเท่านั้น เรื่องราว สภาวะจิตของเขา กลับไม่ใช่เลย

             เมื่อพูดคุย ใช้จิตสัมผัสตรวจสอบขนาดนี้แล้ว เธอควรถอดใจ ยอมรับความจริงว่าเขาไม่ใช่ทรงกลด ทว่าส่วนลึกในใจยังดิ้นรน คัดค้าน ไม่ยอมเชื่อ

             มันมีอะไรบางอย่างคาใจ...บางอย่างที่ไม่ใช่แค่รูปร่างหน้าตาของเขา บางอย่างที่อยู่ลึกสุดขั้ว ลึกลงไปถึงข้างใน...ซึ่งเอื้อกานต์ยอมรับว่าไม่อาจมองเห็น

             ก่อนการสนทนาจะดำเนินไปสู่ความน่าอึดอัดมากกว่านี้ ประตูห้องคนป่วยก็ถูกเคาะเบาๆ ผู้ที่เข้ามาคืออาจารย์หมอ

             เอื้อกานต์ หมาก หันไปทักทายนายแพทย์อาวุโส ฝ่ายนั้นเดินยิ้มเข้ามา มองทรงกลดอย่างไม่เชื่อสายตา

             “คนไข้ของคุณอาการดีขึ้นแล้วนี่ สีหน้าเกือบเป็นปกติแล้ว” อาจารย์หมอบอกกับเอื้อกานต์

             “ค่ะ” เอื้อกานต์รับคำ แล้วหันไปแนะนำอาจารย์หมอกับคนไข้ “คุณ...ชามาร์คะ นี่อาจารย์หมอ เจ้าของคลินิกที่คุณไปหา ท่านเป็นคนส่งคุณมาที่โรงพยาบาลแห่งนี้”

             “ขอบคุณครับ” คนป่วยยกมือไหว้ “ถ้าไม่ได้คุณหมอ ผมคงแย่”

             หลังจากการทักทาย อาจารย์หมอก็เข้ามาคุยกับคนป่วย ซักถามเรื่องอาการ ที่มาที่ไปของโรค ซึ่งก็ได้รับคำตอบเช่นเดียวกับที่หมากและเอื้อกานต์ได้ยิน



             ครู่หนึ่งอาจารย์หมอจึงชวนสองคุณหมอออกจากห้องคนไข้ มายืนคุยกันที่ริมระเบียง สีหน้าอึดอัด เคร่งเครียด คล้ายมีเรื่องสำคัญต้องการความช่วยเหลือเร่งด่วน

             “ตอนนี้คนป่วยอาการแบบเดียวกับคุณชามาร์ที่อยู่ที่โรงพยาบาลศูนย์ เสียชีวิตไปสี่ห้าคนแล้ว เรายังหายาต้านไวรัสตัวนี้ไม่ได้เลย ถ้าเอาไม่อยู่อาจต้องประกาศเป็นภาวะโรคระบาด ตอนนี้คนไข้ที่อาการเพียบหนักอีกหลายรายถูกกักไว้ในห้องปลอดเชื้อ พวกคุณช่วยไปดูกันหน่อยได้มั้ย เผื่อวิธีการที่คุณใช้รักษาคนป่วยรายนี้จะใช้รักษาคนป่วยที่นั่นได้”

             ตั้งแต่พบไวรัสชนิดนี้ และเอื้อกานต์รักษาผกาแก้วหาย เธอก็ยังไม่เคยเอ่ยปากบอกใครถึงวิธีการรักษาแบบพิเศษนี้ ได้แต่บอกข้อมูลบางอย่างเท่าที่พอจะบอกได้ เพราะถึงบอกไปทั้งหมด หมอคนอื่นก็ทำอย่างเธอไม่ได้อยู่ดี หนำซ้ำเธออาจจะดูเป็นตัวประหลาดด้วยซ้ำ

             ครั้งนี้อาจารย์หมอไม่ได้ถามถึงวิธีการรักษามากไปกว่าที่เคยถาม และไม่ได้รู้มากไปกว่าที่เอื้อกานต์เคยบอก สิ่งเดียวที่นายแพทย์อาวุโสพอจะเห็นความหวังรำไร ก็คือพาตัวคุณหมอทั้งสองไปพบคนป่วยที่ยังรอดชีวิตอยู่

             “ได้ค่ะ” เอื้อกานต์รับปากโดยไม่ต้องคิด

             “ผมไปด้วยครับ” หมากตอบรับ เชื่อว่าครั้งนี้พลูคงไม่ดูดาย อาจส่งพลังมาช่วยเอื้อกานต์อีกทีก็ได้

             “งั้นก็ดี ขอบใจมาก เราไปด้วยกันเลยมั้ย ผมเป็นห่วงคนไข้ทางนั้นเหมือนกัน แต่ละรายเพียบหนักทั้งนั้น”

             สองหนุ่มสาวรับคำ พร้อมตามอาจารย์หมอไปแบบไม่ลังเล

             มีอยู่แวบหนึ่ง เอื้อกานต์คิดถึงคำเตือนของไลลา

             ‘...อาคมของฉันครั้งนี้ไม่เหมือนคราวก่อน อย่าสุ่มสี่สุ่มห้าไปถอนเข้าให้ล่ะ มันอันตรายถึงชีวิตเชียว’

             แต่แล้วหญิงสาวก็สลัดทิ้งมันไปอย่างรวดเร็ว เมื่อนึกขึ้นได้ว่าเธอสามารถถอนอาคมให้ชามาร์ได้สำเร็จโดยไม่เกิดอันตรายใดๆ เป็นไปได้ว่าไลลาอาจพูดจาข่มขู่ไปอย่างนั้นเอง

             เอื้อกานต์คงไม่เคยรู้...วาจาของผู้ทรงอาคมระดับนี้ย่อมหนักแน่น จริงจัง ไม่เอ่ยคำลวงพล่อยๆ แน่นอน







บทที่ ๑๕



             หลังเอื้อกานต์ หมาก อาจารย์หมอ ลับร่างจากห้อง แววตาทรงกลดค่อยเปลี่ยน กิริยาท่าทางของชามาร์เลือนหาย กลายเป็นทรงกลดผู้ครุ่นคิด แบกความรู้สึกเจ็บปวดไว้เพียงผู้เดียว

             การแสดงเป็น ‘คนอื่น’ ต่อหน้าผู้หญิงที่ตนเองรักมากที่สุดเป็นเรื่องง่ายดายนักหรือ?

             ยิ่งผู้หญิงคนนั้นมีจิตสัมผัส รับรู้ได้แม้แต่ความกระเพื่อมไหว ผิดปกติเล็กน้อยภายในใจ

             ทรงกลดต้องแสดงเป็นคนอื่นทั้งภายนอกและภายใน เป็นชามาร์ทั้งกิริยา แววตา รวมถึงความรู้สึกข้างในใจ

             ยังดี ที่ครั้งหนึ่งเคยถูกฝึกให้เป็น ‘คิม’ ชายผู้มีความมุ่งมั่นต่อการแก้แค้น ครั้งนั้นเขาสามารถแปลงเป็น ‘คิม’ ได้ทั้งกายและใจ ทำไมคราวนี้จะกลายเป็นชามาร์จริงๆ ไม่ได้

             ครั้งนี้เขาขาดเพียงหน้ากากหนังปลอมตัว แต่หน้ากากหนังนั้นยังไม่สำคัญเท่าสภาวะจิตที่ปรุงแต่งขึ้นมาหลอกลวงคนมีจิตสัมผัสอย่างเอื้อกานต์

             พอการปรุงแต่งภายนอกภายในถูกวางลงชั่วคราว ทรงกลดค่อยรับรู้ถึงความว่างเบา เป็นตัวของตัวเอง เห็นว่าการเป็น ‘คนอื่น’ นั้นเหนื่อยหนัก สาหัสแค่ไหน

             ใจผ่อนคลาย เอนหลังเพื่อพักผ่อน ทว่าเพียงครู่เดียว จิตสัมผัสก็กระตุ้นเตือนถึงการมาเยือนของใครบางคนที่เขาจิตเขารับรู้ได้อย่างรวดเร็ว

             ทรงกลดขยับตัวขึ้นนั่ง บานประตูเปิดออก ร่างสูงใหญ่ ใบหน้าเรียบๆ ไม่สะดุดตา เดินเข้ามาอย่างคนที่รู้ว่าเจ้าของห้องต้องลุกขึ้นมานั่งรอ

             “อาจารย์” ทรงกลดเอ่ยทัก

             ร่างสูงใหญ่ ใบหน้าเรียบๆ ปกปิดด้วยหน้ากากหนัง ยังเห็นริ้วรอยความชรา นัยน์ตามีประกายลึกยากหยั่งถึง แลตรงมาที่อดีตลูกศิษย์ด้วยแววตายากเข้าใจ

             “อาการดีขึ้น?” ฮันเตอร์ คิม เอ่ยทักก่อนทรุดนั่งบนเก้าอี้ข้างเตียง

             “ขอบคุณอาจารย์ที่ช่วยรักษาผม” ทรงกลดจำเสียงดนตรี กลิ่นสมุนไพรเมื่อครู่ใหญ่ได้

             “ไม่ใช่ฝีมือฉัน” ฮันเตอร์ คิม บอก

             ทรงกลดชะงัก ไม่เอ่ยถามว่าเป็นฝีมือใคร นัยน์ตาบอกชัดว่าเข้าใจ

             “ไลลา...อาจารย์ใหญ่มาที่นี่หรือครับ” คนที่สามารถใช้สมุนไพรรวมกับเวทมนตร์มารักษาอาการบาดเจ็บได้ ถ้าไม่นับ ฮันเตอร์ คิม ก็น่าจะมีไลลาคนเดียว

             ผู้เป็นอาจารย์ไม่ตอบ ขณะผู้เป็นศิษย์เกิดความสงสัย

             “ไลลา...เอ่อ...อาจารย์ใหญ่มาช่วยรักษาผมทำไม”

             ชายหนุ่มยังกระดากใจที่จะเรียกผู้หญิงที่ดูสาวขนาดนั้นว่า ‘อาจารย์ใหญ่’

             “เธอไม่ใช่ลูกศิษย์ฉันแล้ว เรียกเขาว่าไลลาก็พอ” ฮันเตอร์ คิม บอกอย่างรู้ใจอีกฝ่าย

             ทรงกลดพยักหน้ารับ และนิ่งรอฟังคำตอบในข้อสงสัยของตน

             ฮันเตอร์ คิม เอ่ยปาก

             “เขาไม่ได้มารักษาเธอ...เขามาแก้ไขความผิดพลาดจากการปล่อยไวรัสอาคมครั้งนี้”

             ถึงตรงนี้ทรงกลดไม่ถามต่อ เขาเพียงหลุบนัยน์ตาลง สงบนิ่ง ใช้กำลังสมาธิออกรู้ ดูสิ่งที่เกิดขึ้นหลังการปล่อยไวรัสอาคมครั้งล่าสุด

             ภาพอุบัติเหตุใหญ่บนท้องถนนปรากฏขึ้นในนิมิต!

             ไลลาต้องการสังหารคนที่มีจิตใจชั่วร้ายด้วยอาคม แต่ปิศาจที่เป็นพาหะนำไวรัสไม่มีความคิดเป็นของตัวเอง ทำหน้าที่ตามโปรแกรมแห่งเวทมนตร์ที่กำกับ มันจึงพุ่งเข้าหาเหยื่อทุกรายที่อยู่ในข่าย ‘จิตมืดบอด’ ขุ่นคลั่กด้วยกิเลสรุนแรง

             เวทมนตร์ของไลลาปิดกั้นสัมผัส ความรู้สึกของเหล่าพาหะปิศาจทั้งมวล พวกมันจึงไม่ต่างจากอาวุธร้ายแรงที่รับคำสั่งให้พุ่งชนเป้าหมายอย่างเดียว ไม่ยอมให้มีปัจจัยอื่นมาแทรกแซง

             พอเกิดเหตุเกินควบคุมเช่นนี้เข้า ไลลาจึงพยายามแก้ไข ชดเชยความผิดพลาดเท่าที่จะทำได้

             “หลังจากนี้ ไลลาคงหยุดปล่อยไวรัสอาคมได้เสียที” ทรงกลดถอนใจ

             “ไม่” ฮันเตอร์ คิม ตอบแทนอีกฝ่ายอย่างไม่ลังเล

             “ทำไมครับ?” ทรงกลดถาม “ทำไมเขาถึงต้องทำเรื่องพวกนี้ด้วย”

             ผู้เป็นอาจารย์ไม่ตอบ ทรงกลดหนักใจ จึงเปลี่ยนคำถามใหม่

             “อาจารย์หยุดเธอได้มั้ยครับ”

             คำตอบของผู้สูงวัยคือรอยนิ่งลึกในดวงตา ไม่มีคำพูด ไม่แสดงความรู้สึก

             “ถ้าอย่างนั้น ผมจะหยุดเธอได้อย่างไร” ชายหนุ่มเปลี่ยนคำถามอีกครั้ง

             แววตา ฮันเตอร์ คิม แลตรง นิ่ง ซ่อนการประเมิน เปรียบเทียบอยู่ข้างใน ครู่หนึ่งจึงเอ่ยปากช้าๆ

             “หากผู้ทรงอาคมกล้าสองคนปะทะกันอย่างจริงจัง มันจะเกิดการสูญเสียขั้นร้ายแรง”

             ฮันเตอร์ คิม พูดเช่นนี้ ย่อมมีความหมายว่า ไลลากับทรงกลดมีความสามารถแท้จริงไม่ห่างกัน หากทรงกลดตั้งใจขัดขวางไลลาด้วยการปะทะรุนแรง ชนิดเต็มกำลัง ไม่อ่อนข้อเหมือนคราวก่อน ย่อมเกิดความเสียหายเกินคาดคำนวณ

             “ถ้าอย่างนั้น ผมจะเปลี่ยนใจเธอได้ยังไง” ทรงกลดตั้งคำถามใหม่

             “เธอต้องเข้าใจ รู้ใจเขา”

             “แล้วอาจารย์...” ทรงกลดตั้งใจเอ่ยปากถาม ...อาจารย์ไม่เข้าใจ ไม่รู้ใจไลลาหรือ?

             “เพราะฉันเข้าใจ รู้ใจเขาดีกว่าใคร ถึงทำอะไรไม่ได้” ฮันเตอร์ คิม ตอบคำถามในใจทรงกลด

             “ถ้าอย่างนั้น ขอโอกาสให้ผมได้มั้ย” ชายหนุ่มถามด้วยน้ำเสียงจริงจัง หนักแน่น

             ฮันเตอร์ คิม เบือนหน้ามองออกไปนอกหน้าต่าง สายตาบอกรอยรำลึกอันยาวนาน สุดท้ายเกิดประกายฉายวับขึ้นมาชั่วขณะ แสดงการตัดสินใจเด็ดขาด

             ผู้อาวุโสหันกลับมา ใช้ปลายนิ้วแตะกึ่งกลางหน้าผากชายหนุ่มบนเตียง นัยน์ตาสองคนหลับลงพร้อมกันโดยไม่ต้องนัดหมาย

             ฝ่ายหนึ่งถ่ายทอดความทรงจำ อีกฝ่ายวางใจเฉกเช่นภาชนะว่าง ซึมซับความทรงจำของผู้ถ่ายทอด

             ครู่ใหญ่ ฮันเตอร์ คิม ค่อยดึงปลายนิ้วกลับ ทรงกลดลืมตาหลังจากนั้นไม่นาน พบว่าห้องคนป่วยโล่งว่าง ไม่มีแม้เงาของผู้เป็นอาจารย์เหลืออยู่

             บางที นี่เป็นเจตนาในการมาของผู้ทรงอาคมกล้า บางสิ่งที่ผู้เป็นอาจารย์ไม่สามารถกระทำ ย่อมหวังให้อดีตลูกศิษย์เช่นเขากระทำแทน

             ความทรงจำของ ฮันเตอร์ คิม ไหลเวียนอยู่ในหัวทรงกลด

             ผู้เป็นอาจารย์ไม่ต้องการให้เขาใช้การปะทะรุนแรงเพื่อหยุดยั้งไลลา แต่หวังให้เขาเปลี่ยนใจไลลาแทน

             หลังจากเรียบเรียงความทรงจำใหม่แล้ว ทรงกลดก็ตระหนักว่าความหวังของ ฮันเตอร์ คิม เช่นนี้ มันยากกว่าให้เขาใช้อาคมขั้นสูงสุดเข้าปะทะไลลาเสียอีก



             เบื้องหน้าเอื้อกานต์ หมาก คือผู้ป่วยที่ยังรอดชีวิตจากไวรัสอาคม พวกเขาอยู่ในห้องปลอดเชื้อ ตามร่างกายมีสายระโยงระยางเพื่อยื้อชีวิตไว้ให้นานที่สุด

             เสียงอาจารย์หมออธิบายแว่วๆ

             “ทีแรกมีคนป่วยส่งเข้ามาที่นี่ยี่สิบคน มีอาการคล้ายกันคือไข้ขึ้นสูง มีผื่นแดง แต่อาการหนักเบาต่างกัน เวลานี้พวกที่อาการหนักเสียชีวิตไปเจ็ดรายแล้ว เป็นอดีตภารโรงของโรงเรียนอนุบาล...”

             อาจารย์หมอพูดถึงผู้ป่วยที่เสียชีวิตจากไวรัสอาคมทีละราย หมากได้ยินรายละเอียดสั้นๆ เกี่ยวกับผู้ป่วยแต่ละคน อดรู้สึกไม่ได้ว่าการที่ผู้ป่วยเจ็ดรายนั้นเสียชีวิตไป อาจเป็นผลดีกับคนอื่นอีกหลายคนก็ได้

             ขณะหมากคิดถึงผู้ป่วยที่เสียชีวิต เอื้อกานต์กลับมองผู้ป่วยที่รอดชีวิต สัมผัสภายในบอกว่า คนป่วยเหล่านี้มีโอกาสรอดเกือบครึ่ง ส่วนที่ไม่น่ารอด น่าจะเป็นด้วยอวัยวะภายในถูกทำลายจนเกินเยียวยาแล้ว

             “พวกคุณจะเข้าไปดูข้างในมั้ย” อาจารย์หมอถาม

             “ค่ะ” เอื้อกานต์รับคำ

             หมากเกือบตอบรับตาม ทว่าสังหรณ์กระตุ้นเตือนถี่ผิดปกติ ลางบอกเหตุในใจส่งสัญญาณประหลาด ไม่อาจแปลความหมายเป็นภาพหรือคำพูดได้

             เขาเอื้อมมือไปจับ รั้งข้อมือเอื้อกานต์ไว้ ตั้งใจเข้าไปคนเดียว สำหรับเขาไม่เคยห่วงตัวเอง ส่วนหญิงสาวใกล้ตัวคนนี้ จิตใจต้องการปกป้องเธอจนถึงที่สุด

             เอื้อกานต์หยุด เงยหน้ามองเขา ดวงตาสองคู่มองสบกัน แววตาหญิงสาวบอกชัด...รู้สึกเช่นเดียวกัน เพียงแต่...เธอไม่เข้าไปไม่ได้ เธอเป็นหมอที่จะไม่ยอมหันหลังให้คนไข้เด็ดขาด

             หมากยอมปล่อยมือ เกิดความเข้าใจขึ้นมาทันที ถ้าเขาจะรักเอื้อกานต์ เขาต้องไม่เอาความคิด ความรู้สึกของตัวเองไปกำหนด ตัดสินการกระทำของเธอ แม้มันจะเป็นการกระทำด้วยความรัก ต้องการปกป้องก็ตามที



             ความทรงจำของ ฮันเตอร์ คิม ถูกเรียบเรียงในหัวของทรงกลดแล้ว

             ความทรงจำเหล่านี้ทำให้ทรงกลดรู้จักอาจารย์ตนลึกซึ้งกว่าเดิม อีกทั้งยังได้เห็นไลลาในอีกมุมที่คนอื่นยากจะรู้จัก พบเห็นง่ายๆ...

             ประเทศอเมริกา...ที่สวนสาธารณะ ริมบ่อน้ำพุ เมื่อสามสิบกว่าปีก่อน

             สาวน้อยผมสีน้ำตาลทองนั่งไขว่ห้าง กีตาร์พาดบนตัก ดีดบรรเลงบทเพลงซึ่งเป็นที่นิยมของนักร้องดูโอชื่อดัง Simon & Garfunkel เพลงที่เธอกำลังร้องคือ ‘The Sound of silence’

             “Hello darkness, my old friend

             I’ve come to talk with you again”

             น้ำเสียงของเธอไพเราะ หวานจับใจ แฝงเสน่ห์ มนตร์ขลังประหลาด ผู้คนที่มาเดินเล่นพักผ่อนในพาร์คต่างหยุดยืนฟังเพลงของเธอราวถูกสะกด

             ขณะใครๆ เคลิบเคลิ้ม หลงใหลในเสียงเพลง ฮันเตอร์ คิม มองเห็นสิ่งที่อยู่ลึกซึ้งไปกว่านั้น ผู้หญิงตรงหน้าไม่ใช่คนธรรมดา เธอมีพลังความสามารถยิ่งใหญ่อยู่ภายใน หนำซ้ำในจิตใจยังมีความเจ็บปวด ดำมืด ซ่อนเร้นมาเนิ่นนาน

             เธอร้องเพลงไม่ใช่เพื่อให้ผู้ฟังมาชื่นชม หลงใหลในน้ำเสียง พรสวรรค์ด้านดนตรี แต่เธอกำลังบอกเล่าถึงความรู้สึก การเฝ้าตามหาใครสักคนที่มองเห็นตัวจริงข้างในของเธอ รับรู้ความทุกข์ ความลับที่ถูกซุกซ่อนอยู่ในหัวใจ รอใครสักคนเข้าใจ กล้าเปิดหัวใจต่อเธอโดยไม่จำเป็นต้องร้องขอ

             “People talking without speaking

             People hearing without listening”

             คนที่เธอตามหา ย่อมสามารถสนทนากันเข้าใจโดยไม่ต้องเอ่ยปากกล่าววาจา ได้ยินเสียงของเธอโดยไม่เงี่ยหูฟัง...เขาคนนั้นจะมีจริงในโลกนี้หรือไม่?

             ฮันเตอร์ คิม รับสารคำพูด ความรู้สึก จากเธอชัดเจนโดยไม่จำเป็นต้องพูดจา ไม่ต้องให้เธอบอกกล่าว ฟังเพลงของเธอด้วยใจที่เข้าไปสัมผัสความรู้สึก มองเห็นความเงียบเหงาเดียวดายของเธอ รู้ว่าต่อให้อยู่ท่ามกลางคนมากมายแค่ไหน เธอก็ยังโดดเดี่ยวอยู่ดี

             ‘The Sound of silence’ จบเพลง ไลลาเงยหน้าขึ้น กวาดตามองผู้คนที่ปรบมือ ยิ้มแย้มชื่นชมกับบทเพลงอันแสนไพเราะของเธอ จิตใจห่อเหี่ยว เมื่อไม่เห็นใครสักคนรู้จริงถึงสิ่งที่เธอบอกผ่านบทเพลง

             จนกระทั่งสายตาปะทะเข้ากับดวงตาโต คมลึก ฉายประกายเหมือนห้วงน้ำสีน้ำตาลเข้ม ลึกจนยากจะหยั่งถึง

             เขาเป็นชายร่างสูงใหญ่ เส้นผมดกหนา เค้าโครงหน้าบอกว่าเป็นชาวเอเชีย คล้ายพวกแขก อาหรับ ดูโดดเด่นกว่าทุกคนที่ยืนล้อมวงฟังเพลงของเธอ

             ที่ไลลาสะดุดไม่ใช่เพราะรูปร่างหรือดวงตายากหยั่งคะเนของเขา แต่เพราะกระแสใจที่สื่อออกมา มันมีพลังบางอย่างแฝงความกร้าวแกร่งและอ่อนโยนในเวลาเดียวกัน นอกเหนือจากนั้น ไลลายังมองเห็นความดำมืด เจ็บปวด ซุกซ่อนข้างในนั้น...ซึ่งมันไม่ต่างจากเธอเลย

             ทั้งสองเพียงสบตากันนิ่ง เนิ่นนาน กระแสใจเชื่อมโยงโดยไม่ต้องเรียกร้อง บงการ ความรู้สึก ความเข้าใจต่อกันเป็นไปโดยธรรมชาติ

             ริมฝีปากของไลลาคลี่ยิ้ม เป็นรอยยิ้มยินดี เปิดกว้างรับความรู้สึกที่ให้มา ชายคนนั้นยิ้มตอบ ไม่จำเป็นต้องมีบทสนทนา ไม่จำเป็นต้องกล่าววาจาพร่ำเพรื่อ ไร้ประโยชน์ สองคนต่างที่มา ต่างเรื่องราว แต่ต่างก็รู้...ตนเองแตกต่างจากคนทั่วไป

             ความรู้สึกของคนแปลกแยกสองคน เชื่อมต่อกันสนิทแนบแน่น...เพียงแค่สบตา



             ห้องปลอดเชื้อ

             หมาก เอื้อกานต์ แต่งชุดป้องกันเชื้อโรคทั้งที่รู้ว่ามันไม่จำเป็น ทั้งคู่ตามอาจารย์หมอเข้ามาดูอาการคนป่วยที่ยังรอดชีวิตอย่างใกล้ชิด

             อาจารย์หมอหยิบชาร์ตผู้ป่วยแต่ละรายยื่นให้คุณหมอทั้งสอง หวังว่าทั้งคู่จะมีความเห็น วิถีทางใดพอจะช่วยเหลือคนป่วยได้บ้าง

             ตื๊ด...ตื๊ด...

             เสียงโทรศัพท์ในกระเป๋าเสื้ออาจารย์หมอดังขึ้น

             “ผมขอตัวเดี๋ยว” นายแพทย์อาวุโสบอกหนุ่มสาวทั้งสอง ก่อนออกไปรับโทรศัพท์นอกห้องปลอดเชื้อ

             เมื่ออยู่กันสองคน หมากกับเอื้อกานต์สบตากัน ไม่จำเป็นต้องเอ่ยปากก็พอรู้ ต่างสัมผัสได้ถึงพลังอาคมที่ควบคุมไวรัสคนป่วยในห้องนี้อย่างหนาแน่น

             “ผมจะไปเฝ้าที่หน้าประตู”

             หมากรู้ว่าถึงอย่างไรเอื้อกานต์ก็ต้องใช้พลังพิเศษถอนอาคมควบคุมไวรัส ต่อให้เสี่ยงกับอันตรายใดๆ ก็ยอม เขาทำได้เพียงคอยอยู่ดูแล ระวังความปลอดภัยอยู่ห่างๆ

             “ขอบคุณค่ะ” เอื้อกานต์พูด แววตาบอกความรู้สึกแทนใจ

             เธอไม่ได้ขอบคุณที่เขาช่วยดูต้นทางให้ แต่ขอบคุณ...ที่เขาเข้าใจ ยอมให้เธอทำในเรื่องเสี่ยงอันตราย

             เอื้อกานต์รู้สึกถึงอันตรายตั้งแต่ก่อนเข้าห้องปลอดเชื้อ สร้อยข้อมืออุ่นระอุกว่าปกติ สัญชาตญาณระวังภัยกระซิบเตือนเป็นระยะ

             กระทั่งเสียงของไลลายังก้องในความทรงจำ

             ‘อาคมของฉันครั้งนี้ไม่เหมือนคราวก่อน อย่าสุ่มสี่สุ่มห้าไปถอนเข้าให้ล่ะ มันอันตรายถึงชีวิตเชียว’

             ...ถ้าเธอไม่ถอนอาคม ไลลาจะยอมถอย ไว้ชีวิตคนพวกนี้หรือ?

             ในเมื่อไม่มีทางเลือก เอื้อกานต์ได้แต่ทำหน้าที่ของตนเองให้ดีที่สุด เมื่อรู้ว่ามีหนทางรักษา เธอย่อมไม่ลังเลที่จะยื่นมือออกไปช่วย

             ภายในห้องมีคนเจ็บอยู่ราวสิบกว่าราย อาการเพียบหนักไม่น่ารอดจริงๆ มีเกือบครึ่ง ส่วนที่เหลือยังพอมีหวังรอดชีวิต เอื้อกานต์ตั้งใจช่วยคนเหล่านี้

             จำนวนคนมาก หญิงสาวไม่สามารถไล่ถอนอาคมทีละคน เพราะไม่อาจเลือกช่วยใครบางคน แล้วปล่อยให้อีกคนหมดโอกาส

             หญิงสาวตัดสินใจ ทดลองใช้พลังของตนถอนอาคมทั้งหมดในคราวเดียว ถึงจะสัมผัสความหนาแน่นของมนตราที่ครอบคลุมคนทั้งหมดนี้ว่าไม่เบาเลยก็ตาม

             ...ช่วยได้แค่ไหนก็แค่นั้น ขอเพียงทำให้สุดกำลัง เธอจะไม่มีวันนึกเสียใจภายหลังเด็ดขาด

             เอื้อกานต์ยืนกลางห้อง รายล้อมด้วยเตียงคนป่วย หลับตาลง กำหนดแสงสว่างในใจจนเกิดดวงนิมิตรวดเร็ว จิตที่มีเมตตา หวังช่วยเหลือคนจำนวนมากขนาดนี้ ย่อมโน้มนำให้เกิดสมาธิง่าย และยิ่งฝึกฝนเป็นประจำ ยิ่งเกิดความตั้งมั่นเข้มแข็ง รวดเร็ว

             อากาศในห้องปลอดเชื้อค่อนข้างเย็น เงียบสงบ ถึงมีชายหนุ่มอีกคนยืนอยู่หน้าประตู เขาก็แทบไม่ขยับตัว ส่งเสียงรบกวนสมาธิ

             จิตใจที่มีเมตตา หวังจะช่วยเหลือผู้คนนับสิบชีวิต ก่อให้เกิดพลังงานใหญ่ กำลังสมาธิตั้งมั่น แข็งแรงยิ่งกว่าเคยมี ความอบอุ่นก่อตัว ควบแน่นในใจ ก่อให้เกิดพลังสีขาวเข้มข้น สว่างจ้ายิ่งกว่าดวงอาทิตย์นับสิบดวงรวมกัน

             ครั้งนี้เอื้อกานต์ไม่จำเป็นต้องใช้สัมผัสทางกายเพื่อเหนี่ยวนำให้จิตรู้จุดหมาย ชักนำพลังพิเศษออกไปรักษา เธอเพียงแผ่ความสว่างเจิดจ้าที่อัดแน่นกลางทรวงอกให้กระจายออกครอบคลุมภายในห้องปลอดเชื้ออย่างเต็มกำลังก็พอ

             แสงสว่างสามารถขจัดเงามืดได้ฉันใด พลังแห่งเมตตาที่เกิดจากจิตมีสมาธิกล้า ย่อมสามารถขับไล่อาคม มนตร์ดำ ที่เกาะกุมควบคุมไวรัสจากร่างผู้เคราะห์ร้ายได้ฉันนั้น

             จิตของเอื้อกานต์ดิ่งลึกลงสู่สมาธิ ตัดการรับรู้โดยรอบ แน่วนิ่งอยู่กึ่งกลางแสงสว่างแห่งดวงนิมิต เปล่งพลังงานสีขาวออกชะล้างคราบอาคม



(โปรดติดตามต่อฉบับหน้า)



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP