วรรณกรรมนำใจ Lite Literature

ระบำเวท ๑๖


cover rabamvej

ชลนิล




(ต่อจากฉบับที่แล้ว)



             “ชามาร์...”

            เสียงเรียกคุ้นหู ถึงรู้ว่าไม่ใช่ชื่อตนเอง กระนั้นน้ำเสียงผู้เรียกยังกระทบใจอย่างแรง

            “ได้ยินหมอมั้ย...”

            น้ำเสียงนั้นสะท้อนความทรงจำ...เสียงของเอื้อกานต์

            ทรงกลดไม่อาจลืมตา แต่ด้วยจิตที่ยังตั้งมั่น แยกออกมาเห็นกาย เห็นความเจ็บปวดทรมานแต่แรก ทำให้มีกำลังพอเห็นภาพใบหน้าคุณหมอที่กำลังรักษาตนเองในนิมิต

            เอื้อกานต์อยู่ห่างแค่ยกมือสัมผัส ใกล้จนไม่กล้าลืมตามองเธอ

            ทรงกลดนิ่งงัน ว้าวุ่น จิตที่ตั้งมั่นกลับคลอนคลาย ความรู้สึกหลากหลายประเดประดังทับถมใจพร้อมกันภายในชั่วเวลาสั้นๆ

            ใจอยากพบ...แต่ไม่อยากเห็น อยากเอื้อมมือสัมผัส...กลับไม่กล้าลืมตามอง ใจหนึ่งอยากเอ่ยปากทักทาย บอกให้เธอรับรู้...อีกใจอยากถอยหนีให้ห่างไกล ไม่ต้องการพบหน้ากันอีก

             ทรงกลดทำอะไรไม่ถูก ตัดสินใจไม่ได้ จิตวิ่งพล่าน พะวักพะวน กลับไปกลับมา จนทำให้สมาธิ ความตั้งมั่น สูญสลาย พิษไข้จู่โจมทำร้าย ความเจ็บป่วยรุมเร้าเต็มที่ ไม่ผิดจากคนธรรมดาทั่วไป

             สัมผัสเล็กๆ ที่ยังเชื่อมความรู้สึกตัว บอกแก่ตนเองว่า...อาคมไลลาถูกขจัดออกหมดแล้ว พิษไข้ อำนาจของไวรัส ต่างทำงานตามปกติ ตามธรรมชาติของมัน ไม่มีเกราะคุ้มกันให้มีฤทธิ์ร้ายกาจจนไม่อาจเยียวยารักษาได้

             ...นับจากวินาทีนี้ ชีวิตเขาจะรอดหรือไม่ ขึ้นอยู่กับการรักษาของแพทย์แผนปัจจุบันแล้ว!



             ใบหน้าเอื้อกานต์ซีดเซียว ขอบตาคล้ำ ตลอดวันและหนึ่งคืนหลังจากถอนอาคมคนป่วยสำเร็จ เธอก็พยายามรักษาคนป่วยด้วยศาสตร์ทางการแพทย์อย่างเต็มที่ เพื่อให้พิษไข้ เชื้อไวรัสถูกขจัดทำลายไป

             ผลเจาะเลือดหลังถอนอาคมยังน่าเป็นห่วง ร่างกายเขามีเชื้อไวรัสในปริมาณมาก...มากเกินกว่าคนปกติธรรมดาจะรับได้ ไม่น่าเชื่อ...เขาจะมีชีวิตรอดถึงตอนนี้

             เอื้อกานต์พยายามลดอุณหภูมิร่างกายเขาจนเป็นผลสำเร็จ อาการไข้ลดลง ผื่นแดง จ้ำเลือด ยังปรากฏให้เห็น

             จากนั้นเธอก็รักษาตามอาการอย่างสุดกำลังความสามารถ นั่งเฝ้าดูความเปลี่ยนแปลงในอาการของเขาทั้งวันและคืน หวังว่าจะมีช่วงเวลาใดที่เขาฟื้นตื่น รู้สึกตัว เธอจะได้มีโอกาสถามคำถามที่คาใจมาตลอด

             ...คุณคือใคร?...

             หญิงสาวรอถามชายที่มีใบหน้าละม้ายคนรักเก่า แต่เขาก็ไม่ยอมฟื้น ลืมตามีสติพอจะพูดจาโต้ตอบได้เลย...



             สายๆ หมอหมากเข้ามาหา พอเห็นสภาพเอื้อกานต์ดูอ่อนเพลียขนาดนั้น ก็ไล่ให้เธอกลับคอนโดฯ เพื่อพักผ่อน

             “ไม่เป็นไรค่ะ เอื้อยังมีงานต้องทำอีก” คุณหมอสาวตอบ ไม่รู้สึกอยากอธิบายอะไรมากกว่านี้

             หมากรู้แล้ว หญิงสาวตรงหน้าดื้อรั้นขนาดไหน แต่เขาก็ไม่สามารถทำอะไรได้นอกจากกลับไปดูแลอาการหลานสาว แล้วแวะเวียนมาดูเอื้อกานต์เป็นระยะ

             เอื้อกานต์รู้ว่าหมากเป็นห่วง และมีความรู้สึกพิเศษต่อเธออย่างไร ตัวเธอเองก็มีความรู้สึกดีๆ ให้เขาไม่น้อยกว่ากัน เพียงแต่...เวลานี้มีปัญหาคาใจ คือคนป่วยหน้าตาเหมือนทรงกลดที่ยังไม่ได้สติ

             ตราบใดที่ยังไม่ได้รับคำยืนยันให้แน่ใจ...เธอคงไม่อาจให้ความมั่นใจแก่ใครได้

             วูบหนึ่งแห่งความรู้สึก...เอื้อกานต์คิด...ถ้าชายคนป่วยเป็นทรงกลดจริง ความรู้สึกที่มีต่อหมอหมากจะเปลี่ยนไปหรือไม่?

             หรือว่า...เธอจะยินดีอย่างยิ่ง ถ้าชายคนนี้เป็นเพียงผู้ป่วยแปลกหน้า ที่บังเอิญหน้าตาเหมือนคนรักเก่าของเธอเท่านั้น

             เอื้อกานต์ไม่มีคำตอบ ไม่คิดจะตอบ เพียงรอให้ความจริงเปิดเผยตัวเอง

             นาทีนั้น...หัวใจเธอคงมีคำตอบแท้จริงให้เช่นกัน



             ช่วงบ่าย เอื้อกานต์เสร็จจากการตรวจคนไข้ใน เข้ามาดูแลคนป่วยพิเศษที่กำลังรอให้ฟื้น เห็นอาการยังทรงตัว ไม่ได้สติ แต่เชื้อไวรัสในร่างลดน้อยลงเรื่อยๆ แล้ว

             หญิงสาวนั่งพักบนเก้าอี้ เอนหลัง ศีรษะพิงผนัง หลับตา พักผ่อนชั่วขณะ แต่แล้วประสาทสัมผัสกลับแว่วเสียงดนตรีไพเราะ กังวานมาแต่ไกล

             ขยับตัว ลืมตา มองหาที่มาของเสียง ไม่น่าเชื่อว่าจะมีใครมาเล่นดนตรีเสียงดังในโรงพยาบาลจนได้ยินมาถึงห้องคนป่วยได้

             พอสงบใจ สดับฟัง ถึงรู้ว่าเสียงนั้นไม่ได้ดังมาแบบธรรมดาทั่วไป มันเป็นเสียงที่กังวานในประสาทสัมผัสพิเศษของเธอ นอกจากเสียงดนตรี ยังมีเสียงขับร้องดังไพเราะด้วยบทเพลงที่เธอเคยผ่านหูสมัยวัยรุ่น

             Are you going to Scarborough fair?

             Parsly, Sage, Rosemary and Thyme

             Remember me to one who lives there

            He once was a true love of mine.

            เสียงของผู้หญิง กังวานไพเราะเหลือเชื่อ

            เอื้อกานต์ลุกจากเก้าอี้ เดินจากห้องคนป่วย ตามหาเจ้าของเสียงนั้น...เธอรู้สึกว่าต้องมีคนร้องเพลงนี้จริงๆ อยู่ในโรงพยาบาล มันไม่ใช่เพลงที่เกิดจากประสาทหลอน หูแว่วแน่ๆ

            คุณหมอสาวลงลิฟต์ เดินไปยังชั้นล่างซึ่งเป็นล็อบบี้กว้าง ตกแต่งสวย สะดวกสบาย สำหรับให้คนป่วยมานั่งพักผ่อน มีเวทีเล็กๆ เผื่อมีอาสาสมัครมาขับกล่อมบทเพลง ให้คนป่วยเบิกบานใจ

            การคาดการณ์ของเธอไม่ผิด เจ้าของเสียงเพลงมีตัวตนจริง กำลังนั่งดีดกีตาร์ร้องเพลงแบบปล่อยอารมณ์สบายๆ อยู่บนเวที

            ที่ผิดคาดคือ บริเวณล็อบบี้มีคนป่วยมานั่งฟังเพลงเต็มไปหมด หนำซ้ำยังมีกล้องโทรทัศน์มาถ่ายทำ บันทึกเทป

            เอื้อกานต์รู้จักพิธีกรสาวสวยที่ยืนข้างตากล้องกับโปรดิวเซอร์รายการ เธอคือ สัตตบงกช หรือ ‘หนูดี’ แฟนทีเกื้อ เห็นอย่างนี้แล้วมั่นใจว่าคงมาบันทึกเทปรายการอะไรสักอย่าง และผู้หญิงที่กำลังร้องเพลงอยู่นั้นต้องไม่ใช่คนธรรมดาทั่วไป

            คุณหมอสาวสะดุดตานักร้องคนนี้ตั้งแต่แรกเห็น เธอเป็นผู้หญิงสวย รูปหน้า สีผม บอกได้ว่าเป็นชาวตะวันตก สังเกตดีๆ จะเห็นว่าเธอไม่ได้อยู่ในวัยสาวแล้ว แต่ความสวยและราศีของเธอข่มสาวๆ อย่างสัตตบงกชจนแทบเทียบไม่ได้

            เอื้อกานต์ฟังเพลง มองนักร้องอย่างเพลิดเพลิน จนกระทั่งเธอคนนั้นเงยหน้าขึ้น หันมาสบตา และยิ้มอย่างเจาะจงมายังเธอ

            คุณหมอสาวตัวชาวาบตั้งแต่หัวจดเท้า รับรู้ถึงกระแสพลังงานที่พุ่งดิ่ง ตรงมาอย่างแรงกล้า

            “Are you going to Scarborough fair?”

            เสียงเพลงยังบรรเลงต่อไป เอื้อกานต์เริ่มรู้แล้วว่า นักร้องผู้มีเสียงเปี่ยมมนตร์ขลังคนนี้ไม่ใช่ธรรมดา...เส้นผมสีน้ำตาลทอง รูปหน้าอันงดงาม ดวงตากลมสวย เป็นแค่ภาพลวง ซ่อนสิ่งเร้นลับภายใน

            ถ้ามีใครบอกเอื้อกานต์ว่า ผู้หญิงบนเวทีมีคาถาอาคม...เธอจะไม่คัดค้านเลยสักคำ







บทที่ ๑๔



             ‘Scarborough fair’

            น้ำเสียงอันมีมนตร์ขลัง นำพาบทเพลงผ่านท่วงทำนองสูงๆ ต่ำๆ ทุกถ้อยคำแฝงความรู้สึกลึกล้น เส้นเสียงแต่ละสายชักพาจิตใจผู้ฟังให้รื่นไหล ดื่มด่ำไปกับเสน่ห์แห่งคีตกวี

            แต่ละท่อนของบทเพลงบ่งบอกความในใจผู้ขับขาน ที่กระซิบจากดินแดนแสนไกล ฝากสายลมพลิ้วไหว ล่องลอยผ่านริ้วเมฆขาว เกาะละอองของเกลียวคลื่น กระซิบฝากถึงใครบางคน

            ...He once was a true love of mine.

            คนที่เธอเชื่อเหลือเกินว่าเขาคือรักแท้

            เอื้อกานต์เคลิบเคลิ้มไปกับเสียงเพลง ดนตรี ถ้อยคำแสนไพเราะ รู้สึกคล้ายกำลังยืนอยู่บนหน้าผาสูง สัมผัสสายลมอันอบอุ่น แว่วเสียงเกลียวคลื่นซัดสาด ยอดหญ้าโอนไหว สายลมกระซิบผ่านใบไม้ใบน้อยๆ

            เพียงชั่วเวลาที่จิตเผลอ หลงใหลไปกับมนตร์แห่งเสียงเพลง สติก็กระตุ้นเตือนให้รู้สึกตัว

            เอื้อกานต์กวาดสายตามองไปรอบๆ พบว่าทุกคนในบริเวณนี้ ไม่ว่าจะเป็นคนป่วย หมอ พยาบาล กระทั่งเจ้าหน้าที่โรงพยาบาล ต่างหยุดฟังเพลงด้วยอาการนิ่ง เงียบกริบ เคลิบเคลิ้ม ลืมตัว

            ‘เธอ’ บนเวทียังขับขานบทเพลงโดยไม่สนใจใคร ราวกับร่างกาย จิตวิญญาณ ถูกหล่อหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับดนตรีแล้ว

            เอื้อกานต์รู้สึกได้ว่าในบทเพลงนี้มีกระแสคลื่นบางอย่างถูกถ่ายทอดออกมา เป็นกระแสอันอบอุ่น เข้มข้น แฝงกลิ่นจางๆ ของสมุนไพรที่ไม่รู้จัก เมื่อสูดดมแล้วรู้สึกหัวโปร่ง โล่ง อาการอ่อนเพลียจากการเฝ้าไข้คนป่วยพิเศษจนขอบตาคล้ำ ล้วนเลือนหาย ร่างกายกระชุ่มกระชวยราวกับได้พักผ่อน นอนหลับเต็มตื่น

            หญิงสาวหลับตา ไม่มองหน้านักร้อง ตั้งสมาธิมั่น ใช้จิตออกสัมผัสกระแสคลื่น กระสากลิ่นที่ผสานอยู่ในบทเพลงนั้น นิมิตในหัวปรากฏเป็นภาพกลุ่มควันสีขาวละเอียด กระจายไปทั่วตั้งแต่ห้องล็อบบี้ แล้วลอยสูงขึ้นไปยังห้องผู้ป่วยบนชั้นต่างๆ ของโรงพยาบาล

            คุณหมอสาวใช้สมาธิเพ่ง จ่อเข้าไปดูยังกลุ่มควันนั้น แลเห็นอณูของมันเป็นผลึกใส เบา ก่อตัวเป็นควันบางๆ กระจายตามอำนาจเสียงดนตรีและพลังจิตอันกล้าแข็งของผู้ขับร้อง

            เอื้อกานต์ลืมตา เกิดความรับรู้ชัด สตรีตรงหน้ามีอาคมกล้า เธอกำลังใช้เวทมนตร์ อาคมบางอย่าง ผสมด้วยสมุนไพรตัวยาบางชนิด แล้วส่งมันแพร่กระจายไปทั่วโรงพยาบาลเพื่อรักษา เยียวยาคนเจ็บป่วย

            มันเป็นการรักษาที่เอื้อกานต์ไม่เคยเห็นมาก่อน ไม่คิดว่ามีในโลก เธออาจร่วมชื่นชม ยินดีต่อการกระทำนี้ ถ้าหากไม่เกิดความสงสัยขึ้นมาก่อนว่า...นักร้องชาวต่างชาติคนนี้ตั้งใจใช้เวทคีตามาบำบัดผู้ป่วยที่นี่ด้วยเหตุผลใด?



            เสียงบทเพลง ผสานดนตรีแสนหวาน นุ่มนวล ล่องลอยซึมแทรกเข้ามาในความรู้สึกของทรงกลด ช่วยเยียวยา รักษาอาการเจ็บปวดทรมานจากพิษไข้ให้ดีขึ้น ร่างกายผ่อนคลาย มีเรี่ยวแรงมากกว่าเดิม

            ชายหนุ่มลืมตา จมูกสัมผัสกลิ่นสมุนไพรที่คุ้นเคยจางๆ จำได้ว่ากลิ่นสมุนไพรเช่นนี้เป็นตัวยาหายาก อาจารย์ของเขาบอกว่าเป็นยาที่ช่วยรักษาอาการของโรคได้เกือบครอบจักรวาล คนทั่วไปไม่มีใครรู้จัก หรือต่อให้รู้จักก็ไม่รู้วิธีสกัด นำมาใช้

            เหตุใดเขาจึงได้กลิ่นของมันที่นี่ เวลานี้?

            ทรงกลดสลัดความสงสัยออกไป เมื่อพบว่าตนเองอยู่บนเตียงโรงพยาบาล พยายามนึกทบทวนความทรงจำขึ้นมา...เขามาอยู่ที่นี่อย่างไร ตั้งแต่เมื่อไร

            จำได้ว่าเผชิญหน้ากับไลลา อาจารย์ใหญ่ผู้ทรงอาคมกล้า แล้วยอมเอาตัวเข้ารับไวรัสอาคมจนเกือบตาย โซซัดโซเซไปคลินิกคนยาก จากนั้นน่าจะถูกส่งตัวมาโรงพยาบาล

            คิดถึงตรงนี้ทรงกลดชะงัก...ทบทวนความทรงจำล่าสุด เขารู้สึกตัวแล้วครั้งหนึ่ง ได้ยินเสียงเรียกชื่อ...ชามาร์...พอจิตรู้ว่าคนเรียกเป็นเอื้อกานต์ เขาก็ตัดสินใจไม่ถูก ควรทำอย่างไร

            สลบไสลด้วยพิษไข้จนถึงตอนนี้ มารู้สึกตัวเพราะเสียงดนตรีและกลิ่นยาที่คุ้นเคย

            ดนตรีและยา...สองคำนี้ทำให้เขาคิดถึงคนสองคน ฮันเตอร์ คิม กับไลลา

            สองคนผู้เชี่ยวชาญศาสตร์เร้นลับมากที่สุดเท่าที่เขาเคยรู้จัก อาจารย์อาจลอบมาช่วยเหลืออยู่ห่างๆ ไม่ให้ไลลา อาจารย์ใหญ่รับรู้ เพื่อให้เขาหายป่วย ฟื้นฟูเรี่ยวแรงเร็วที่สุด

            ทรงกลดตั้งสติ สำรวจสภาพภายในร่างกายตน พบว่ายังมีพิษไข้ เชื้อไวรัสหลงเหลือ เป็นคนธรรมดาอาจต้องนอนโรงพยาบาลต่ออีกเป็นสัปดาห์ แต่สำหรับเขา แค่นี้พอทนไหว มีเรี่ยวแรงพอจะหนีได้

            ‘หนี’ ความคิดนี้ผุดขึ้นมาตั้งแต่รู้ว่าอยู่ในโรงพยาบาลที่เอื้อกานต์ทำงานแล้ว

            เขาขยับตัวจากท่านอนมานั่งเอนๆ บนเตียง เหลียวมองรอบห้อง พบว่าปลอดคน ไม่มีใครคอยเฝ้าควบคุม เป็นช่วงเวลาเหมาะที่จะหนีออกไปเพื่อไม่ต้องพบกับเอื้อกานต์

            ก้มมองแขน เห็นมีเข็มน้ำเกลืออยู่ จึงเอื้อมมือตั้งใจจะดึงมันออก เป็นจังหวะเดียวกับที่ได้ยินเสียงประตูเปิดออก ใจหายวาบ ลอบถอนใจเบาๆ ละมือจากเข็มน้ำเกลือ รีบตั้งสติหันมาเผชิญหน้าผู้มาเยือน

            “ฟื้นแล้วหรือคุณชามาร์” เสียงทักเป็นภาษาอังกฤษ

            ทรงกลดโล่งใจ ผู้มาเยือนไม่ใช่คนที่เขากลัว

            คนที่เดินเข้ามาเป็นชายหนุ่ม เคราเขียว นัยน์ตาเรียวรี ลักษณะท่าทีบอกถึงความมั่นใจ เป็นตัวของตัวเองสูง ทรงกลดจำได้ว่าเคยพบปะพูดจากับเขาเมื่อเร็วๆ นี้เอง

            “จำผมได้มั้ย” อาคันตุกะหนุ่มถามพลางนั่งบนเก้าอี้โดยไม่รอคำเชื้อเชิญ

            ทรงกลดเกือบตอบว่า ‘จำไม่ได้’ เป็นการตัดปัญหา ถ้าไม่สังเกตว่าดวงตาเรียวรีคู่นั้นฉายแววฉลาด เฉียบคม และฉับไวในการอ่านคนขนาดไหน

            “จำได้ครับ เราเพิ่งเจอกันเมื่อไม่กี่วันก่อน ตอนนั้นหมอเป็นคนทักผม” ทรงกลดตอบเสียงแหบๆ อย่างคนไม่ทันสร่างไข้ ประโยคคำพูดบอกชัด ว่าจำได้กระทั่งเรื่องที่คุยกัน

            “คุณไปโดนอะไรมา ถึงป่วยหนักขนาดนี้” หมากถาม

            “ไม่ทราบครับ” คำตอบง่าย

            “อาการตอนนี้เป็นยังไงบ้าง” คุณหมอหนุ่มถามด้วยความเป็นห่วง

            “ดีขึ้นแล้ว” ทรงกลดหยุดนิดนึง ก่อนถามกลับ “ผมมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง”

            เขาแกล้งทำมึน เบลอ เอ่ยปากถามเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายสงสัย

            “อาจารย์หมอพาคุณมาส่ง เราเห็นหลักฐานจากพาสปอร์ตของคุณ เลยรู้ว่าชื่อชามาร์ แต่ยังหาวิธีติดต่อกับครอบครัวหรือญาติของคุณไม่ได้เลย...คุณมีญาติที่เมืองไทยมั้ย” หมากถาม

            “ไม่มี...แต่ไม่เป็นไร อาการผมดีขึ้นแล้ว ขอออกจากโรงพยาบาลเลยดีกว่า” เขาไม่คิดว่าหมากจะยอมปล่อยตัวง่ายๆ แต่อย่างน้อยก็ขอลองเชิงดูสักหน่อย

            “เฮ้ย...ยังไม่ได้หรอก ถึงผมไม่ใช่เจ้าของไข้คุณ ก็บอกได้เลยว่าคุณต้องอยู่ดูอาการก่อน อย่างน้อยสองสามวัน ผลเลือดล่าสุดของคุณบอกว่าไม่ได้เป็นโรคไข้เลือดออกก็จริง แต่จ้ำเลือด ผื่นแดงที่เหลือพวกนี้ มันก็ยังไว้ใจไม่ได้ อาจเป็นไวรัสตัวอื่นก็ได้”

            “ผมไม่เป็นไรแล้ว” ทรงกลดพูดพร้อมรวบรวมอำนาจจิต ส่งกระแสสะกดเพื่อลบความทรงจำของหมอหมากเกี่ยวกับตนเองออกไป อย่างเช่นที่เคยทำมาแล้วครั้งหนึ่งที่อเมริกา

            กระแสสะกดถูกส่ง แต่ยังไม่ทันขยับปากร่ายเวทสำทับ ทรงกลดก็เห็นอำนาจอาคมของตนสูญสลาย คล้ายเผชิญเกราะป้องกันชั้นเลิศ ทำให้มนตร์เสื่อมถอย ไร้ประสิทธิภาพ

            ทรงกลดนิ่งอั้น เขาเคยใช้อาคมสะกดหมอหมากสำเร็จมาแล้วเมื่อหลายปีก่อน แต่คุณหมอหนุ่มกลับจำได้ตอนมาเจอกันที่โรงพยาบาลแห่งนี้ มาครั้งนี้ เขาใช้มนตร์สะกดนั้นซ้ำอีกครั้งในยามที่ตบะการฝึกปรือของเขาแกร่งกล้ากว่าเดิม ทว่ามันกลับสูญสลาย ไร้ผล

            หมอหมากมีอะไรดีในตัว?

            ทรงกลดพยายามใช้อำนาจจิต สแกนตรวจสอบคุณหมอหนุ่มตรงหน้า ร่างกายกลับอ่อนล้า พาให้จิตใจอ่อนกำลัง หนำซ้ำอาการป่วยที่ยังไม่หายดี ยิ่งกดถ่วงจิตใจ ทำให้รวบรวมสมาธิยาก

            “คุณจะไม่เป็นไรได้ไง หน้าซีดขนาดนี้” หมากบอกกึ่งดุ ก่อนความคิดหนึ่งแวบขึ้นมาในหัว

            “จริงสิคุณชามาร์...พูดไทยได้มั้ย?”

            หมากตั้งคำถามโพล่งแบบไม่ให้รู้เนื้อรู้ตัว คาดว่าอีกฝ่ายอาจเผลอแสดงพิรุธ

            ทรงกลดพยักหน้า ท่าทางปกติ ไม่หลุดกิริยาพิรุธใดให้เห็น

            “ได้ครับ” คำตอบเป็นภาษาไทยชัดเจน

            หมากยิ้มกริ่ม พูดไปอีกเรื่องด้วยภาษาไทย

            “เดี๋ยวผมจะให้พยาบาลเข้ามาดูแลคุณ แล้วจะไปตามหมอเอื้อ...คุณหมอเจ้าของไข้ บอกว่าคุณฟื้นแล้ว เธอน่าจะดีใจ ตอนนี้คุณพักผ่อนก่อนเถอะ รอให้ค่อยยังชั่ว เรามีเรื่องอยากถามเกี่ยวกับคุณเยอะเลย”

            หมากพูดทิ้งท้ายขณะกดกริ่งเรียกพยาบาลให้เข้ามาดูแลต่อ

            ลับร่างคุณหมอหนุ่ม ทรงกลดแอบถอนใจ โอกาสหลบหนีน่าจะหมดแล้ว หากเขาสะกดลบความทรงจำพยาบาลที่เข้ามาดูแล แล้วหนีออกไป มันยิ่งสร้างพิรุธ ข้อสงสัย เช่นเดียวกับการแกล้งทำเป็นพูดภาษาไทยไม่ได้

            เขารู้ทันเจตนาตั้งแต่หมอหมากจู่โจมถามแล้วว่า พูดภาษาไทยได้หรือไม่...จึงมีสติ ตอบแบบเนียนๆ เพื่อไม่ให้มีข้อสงสัย หรือการวางแผนจับผิด จับโกหกกันภายหลัง

            หากเขาหลบหนีตอนนี้ เอื้อกานต์ยิ่งปักใจเชื่อว่าเขาเป็นทรงกลด หนทางดีที่สุด คือยอมอยู่เผชิญหน้ากับเธอ แล้วยืนยันความเป็นชามาร์จนถึงที่สุด

            ทรงกลดคิดว่าเขาต้องทำให้ได้!



            เพลงจบแล้ว ผู้ฟังตกอยู่ในภวังค์ครู่หนึ่ง ก่อนรู้สึกตัว พร้อมใจปรบมือดังเกรียว นักร้องลุกขึ้นรับเสียงปรบมือ บอดี้การ์ดเข้ามารับกีตาร์ จากนั้นเธอก็ขอตัวไปพัก รอเจ้าหน้าที่จัดเวทีใหม่เตรียมการสัมภาษณ์

            สัตตบงกชเห็นเอื้อกานต์ยืนอยู่ด้านหลัง จึงเดินเข้ามาหา ยิ้มแย้มทักทาย

            “สวัสดีค่ะพี่เอื้อ...หนูดีคิดอยู่แล้วว่าต้องเจอกันที่นี่” พิธีกรสาวเอ่ยทักพี่สาวคนรัก

            “พี่ก็เพิ่งรู้เหมือนกัน ว่าวันนี้มีนักร้องดังมาร้องเพลงให้ฟังถึงโรงพยาบาล”

            “พี่เอื้อรู้จักเธอหรือคะ”

            “เปล่าหรอก แต่เห็นมีบอดี้การ์ดยืนคุมข้างเวที มีทั้งกล้องโทรทัศน์ ทั้งพิธีกรชื่อดังมาอยู่นี่ แสดงว่านักร้องคนนี้ต้องไม่ธรรมดาแน่”

            “คุณไลลาไม่ธรรมดาอยู่แล้วค่ะ เธอเป็นนักร้องแนวโฟล์ก มีชื่อเสียงโด่งดังตั้งแต่ก่อนหนูดีเกิดอีกมั้งคะ”

            “อ๋อ...” เอื้อกานต์พึมพำ พยายามนึกถึงชื่อนักร้องคนนี้ แต่ยอมรับว่าไม่เคยผ่านหูจริงๆ

            “เพลงที่ร้องตะกี้เป็นเพลงดังของเธอหรือจ๊ะ” เอื้อกานต์หาข้อมูลเพิ่ม

            “ ‘Scarborough fair’ เป็นเพลงที่เธอร้องคัฟเวอร์ค่ะ เพลงนี้มีนักร้องเอาไปร้องหลายคน แต่ที่คนไทยรู้จัก น่าจะเป็นเวอร์ชันของ Simon&Garfunkel”

            พอพูดถึงนักร้องดูโอแนวคันทรีโฟล์กชื่อดังในอดีต เอื้อกานต์ค่อยนึกออก นักร้องคู่นี้มีเพลงดังที่นักฟังเพลงคนไทยรุ่นเก่ารู้จักหลายเพลง ที่เด่นสุดน่าจะเป็นเพลง ‘The sound of silence’

            “พี่นึกได้แล้วจ้ะ เอ...คุณไลลาเธอเป็นนักร้องรุ่นเดียวกับ Simon & Garfunkel หรือจ๊ะ”

            “น่าจะรุ่นหลังสักหน่อยค่ะ เธอมีชื่อเสียงเมื่อประมาณสามสิบกว่าปีที่แล้ว ตั้งแต่อายุยังไม่ถึงยี่สิบเลยด้วยซ้ำ” สัตตบงกชเล่าอย่างคนหาข้อมูลมาดี

            “นักร้องดังขนาดนี้ ทำไมมาร้องเพลงที่โรงพยาบาลล่ะ มีโอกาสพิเศษอะไรหรือเปล่า” เอื้อกานต์เข้าประเด็นที่อยากรู้

            สัตตบงกชกำลังจะตอบ โปรดิวเซอร์รายการก็เข้ามาสะกิด บอกว่าเวทีจัดเตรียมเรียบร้อย พร้อมสัมภาษณ์นักร้องดังแล้ว

            พิธีกรสาวของตัวไปทำงาน เอื้อกานต์จึงเดินไปนั่งเก้าอี้แถวหน้าเวที ตั้งใจฟังเนื้อหา เรื่องราวการสัมภาษณ์



            ไลลาสวมเสื้อคลุมยาวสีขาว ทับชุดที่ใช้ร้องเพลงเมื่อครู่ ชายผ้าสะบัดพลิ้ว ช่วยเสริมให้เห็นถึงสง่าราศี ชวนมองจนไม่อาจละสายตา

            กล้องพร้อม เวทีพร้อม สัตตบงกชเริ่มต้นสัมภาษณ์

            เนื้อหาที่สัมภาษณ์เป็นภาษาอังกฤษ ซึ่งทางรายการจะใส่ซับไตเติลทีหลัง พูดคุยถึงตัวนักร้องเป็นเชิงเกริ่นให้คนดูรู้จักตัวตน ผลงานที่เคยโด่งดังในอดีตของไลลา และพูดถึงจุดประสงค์ในการมาเยือนเมืองไทยครั้งนี้

            “ดิฉันมาร่วมงาน ‘คอนเสิร์ตกลางสวน’ ค่ะ” ไลลาตอบด้วยภาษาอังกฤษฟังง่าย

            สัตตบงกชอธิบายรายละเอียดเกี่ยวกับคอนเสิร์ตกลางสวนให้ผู้ชมฟังสั้นๆ ว่าเป็นคอนเสิร์ตการกุศลซึ่งจัดขึ้นโดยสมาคมแห่งหนึ่ง มีนักร้องคุณภาพชื่อดังในเมืองไทยหลายคนร่วมงานด้วย

            ความที่งานนี้เป็นคอนเสิร์ตกลางสวน แวดล้อมด้วยบรรยากาศสวนอันสวยงาม ร่มรื่น เพลงที่นำมาร้องจึงเป็นแนวฟังสบาย ประเภทเพลงป๊อบเบาๆ โฟล์กซอง อะคูสติก ผู้สนใจสามารถขอบัตรเพื่อเข้าร่วมงานได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย

            คอนเสิร์ตนี้จะถ่ายทอดออกอากาศทั่วประเทศ เปิดโอกาสให้ผู้ชมทางโทรทัศน์ได้ร่วมบริจาคเงินสมทบทุน ทำบุญร่วมกับทางสมาคมด้วย

            สัตตบงกชถามถึงเหตุผลที่ไลลาสนใจมาร่วมงานนี้

            “คุณหญิงอัปสร...ประธานสมาคมฯ เป็นแฟนเพลงของดิฉัน เธอได้ข่าวว่าปีนี้ดิฉันจะมีทัวร์คอนเสิร์ตเล็กๆ ในแถบเอเชีย เลยเชิญดิฉันให้ร่วมงานนี้ด้วยค่ะ”

            ถึงไลลาจะตอบเป็นภาษาอังกฤษ แต่ยามที่ออกเสียงชื่อคนเป็นภาษาไทย น้ำเสียงก็ชัดเจน ไม่แปร่งแปลกเหมือนชาวตะวันตกทั่วไป

            พอได้ยินชื่อ ‘คุณหญิงอัปสร’ เอื้อกานต์ก็แอบอมยิ้ม คิดไม่ถึง คนที่เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงจัดงานคอนเสิร์ตครั้งนี้กลับเป็นคุณหญิงอัปสร...มารดาเลี้ยงของเธอเอง

            ด้วยความที่เอื้อกานต์ ทีเกื้อ ไม่ถูกกับมารดาเลี้ยงไฮโซคนนี้มาตั้งแต่เล็ก พอโตขึ้น สองพี่น้องจึงแยกตัวออกมาอยู่ต่างหาก ความสัมพันธ์ค่อนข้างห่างเหิน เพิ่งจะพูดจากันได้โดยไม่โดนจิกกัด ค่อนขอด ก็เมื่อไม่นานมานี้เอง

            สัตตบงกชถามถึงเหตุผลที่ไลลามาร้องเพลงให้ผู้ป่วยในโรงพยาบาลนี้ฟัง

            “ดิฉันได้เห็นข่าวอุบัติเหตุครั้งใหญ่เมื่อวันสองวันก่อน ได้ทราบว่าผู้บาดเจ็บส่วนใหญ่มารักษาตัวอยู่โรงพยาบาลแห่งนี้ ก็เลยอยากมาช่วยเหลือ ร้องเพลงให้กำลังใจ หวังว่าเมื่อได้ยินเพลงของดิฉัน พวกเขาจะมีความสุข หายเจ็บเร็วๆ”

            เอื้อกานต์ฟังแล้วสะดุดหู

            ไลลารู้ว่าเกิดอุบัติเหตุใหญ่ในกรุงเทพฯ รู้ว่าคนเจ็บส่วนใหญ่รักษาตัวที่นี่ และ...ตั้งใจมาร้องเพลงให้คนเจ็บเหล่านั้นฟัง

            ...บทเพลงที่มีกระแสคลื่นแห่งการรักษา กลิ่นสมุนไพรของการเยียวยา...

            เอื้อกานต์นึกถึงบทเพลงของไลลา ดนตรีที่เสมือนเวทมนตร์แห่งคีตา สามารถรักษาผู้ป่วยได้ด้วยอำนาจจิตและสมุนไพรบางอย่างที่หมออย่างเธอไม่เคยรู้จักมาก่อน

            ไลลาตั้งใจมารักษาผู้บาดเจ็บจากอุบัติเหตุวันก่อนเพราะอะไร?

            เอื้อกานต์ตั้งคำถาม และนึกถึงคำตอบที่ชวนสะดุ้งมองนักร้องชื่อดังอย่างไม่เชื่อสายตา

            หมากเคยบอกว่า อุบัติเหตุครั้งนั้นอาจมีส่วนมาจากการปล่อยไวรัสอาคม ต้นตอของมันอาจเกิดจากจิตของใครสักคนที่กำลังขับรถด้วยอารมณ์โทสะรุนแรง จนถูกไวรัสอาคมจู่โจม แล้วทำให้เกิดอุบัติเหตุต่อกันเป็นทอดๆ เกินกว่าจะระงับ ควบคุม

            หากผู้ทรงเวทมนตร์ระดับที่เล่นดนตรีรักษาอาการเจ็บป่วยได้ง่ายๆ ยอมลงทุนมารักษาคนเจ็บด้วยตัวเองแบบนี้ แสดงว่า...ถ้าไลลาไม่ใช่ผู้ปล่อยไวรัสอาคม ก็ต้องรู้จักคนผู้นั้นเป็นอย่างดี มิเช่นนั้นคงไม่ตามมาแก้ไขข้อผิดพลาดที่เกิดขึ้นแน่ๆ

            สมมุติว่าข้อสันนิษฐานของเธอเป็นความจริง เบื้องหลังของไลลาเป็นเช่นไร นักร้องชื่อดังเป็นใคร มีเจตนาแท้จริงในการมาเมืองไทยครั้งนี้อย่างไรกันแน่!

            การสัมภาษณ์บนเวทีดำเนินอย่างราบรื่น ไม่มีข้อติดขัด สัตตบงกชทำหน้าที่สมบูรณ์แบบไม่มีข้อบกพร่อง เธอพูดคุย เปลี่ยนภาษาไปมาอย่างชัดเจน ไม่ผิดเพี้ยน มีลูกหยอด ลูกเล่นชวนฟัง แทรกอารมณ์ขันได้อย่างน่าเพลิดเพลิน

            สุดท้าย สัตตบงกชพูดถึงคอนเสิร์ตกลางสวนที่จะจัดแสดงในเวลาอันใกล้นี้เป็นการปิดท้าย เน้นย้ำถึงวันเวลา สถานที่อย่างชัดเจน ก่อนจบการสัมภาษณ์ ปิดการบันทึกเทป

            แฟนเพลงหลายคนทั้งที่รู้จักและเพิ่งรู้จักไลลา ต่างต่อคิวเข้าไปขอลายเซ็น ถ่ายรูปกับนักร้องดัง โดยมีบอดี้การ์ดคอยดูแลอยู่ห่างๆ

            สัตตบงกชได้โอกาสมานั่งคุยกับเอื้อกานต์ต่อ

            “คุณหญิงท่านทำยังไงถึงเชิญนักร้องดังขนาดนี้มาร่วมงานได้น่ะหนูดี” เอื้อกานต์ถามกึ่งชวนคุย

            “หนูดีไม่ทราบเหมือนกันค่ะ จะว่าไปอย่าประมาทฝีปากท่านนะคะ กับพวกเราท่านอาจจะพูดจาอย่างนั้น แต่ถ้าท่านต้องการให้ใครช่วยเหลือละก็ หวานเป็นเหมือนกัน ยิ่งเป็นงานการกุศลแบบนี้ ช่วงหลังท่านก็ทำเต็มที่ จริงจังกับทุกงาน”

            เอื้อกานต์อมยิ้ม พยายามนึกถึงใบหน้าของมารดาเลี้ยงตอนเข้าไปพูดจาอ่อนหวาน เชิญชวนขอร้องคนดังระดับโลกให้มาร่วมงาน

            “พี่ดูแล้วคุณไลลาไม่น่ายอมมางานแบบนี้ง่ายๆ เลยนะ เคยได้ยินว่าพวกศิลปินฝรั่งบางคนนี่เขี้ยวๆ กันน่าดู”

            “หนูดีว่าเธอคงชอบทำบุญด้วยมั้งคะ เห็นว่างานนี้นอกจากจะไม่เอาค่าตัวแล้ว ยังไม่ขอให้เราออกค่าใช้จ่ายสักบาท ขนาดเธอพักโรงแรมห้าดาว เหมายกชั้นด้วยซ้ำ ยังใช้เงินตัวเองเลย...อย่างว่านะพี่เอื้อ นักร้องระดับนี้เขารวยมหาศาลกันอยู่แล้ว ถึงไม่มีผลงานใหม่ๆ มาเป็นสิบปี แค่อาศัยกินบุญเก่ามันก็เหลือกินเหลือใช้แล้วละ”

            คุณหมอสาวมองดูแถวแฟนเพลงที่หดสั้นลงจนเหลือไม่กี่คน ก่อนถามสัตตบงกช

            “ขอพี่เข้าไปคุยกับคุณไลลาได้มั้ยจ๊ะ บอดี้การ์ดเขาเข้มงวดมากหรือเปล่า”

            “ไม่หรอกค่ะ เธอทำตัวสบายๆ บอดี้การ์ดพวกนี้แค่มาช่วยจัดระเบียบแฟนๆ นิดหน่อยเท่านั้น แฟนเพลงเธอจริงๆ ก็อายุไม่ใช่น้อยกันแล้ว อีกอย่างเธอไม่ใช่นักร้องเกาหลีนี่คะ ที่ต้องระดมบอดี้การ์ดมาเป็นร้อย แค่แตะมือกันยังไม่ได้เลย”

            เอื้อกานต์พยักหน้ารับทราบ รอจนคิวแฟนเพลงเหลือแค่สองคนสุดท้าย เธอก็ลุกขึ้นไปต่อแถวเหมือนคนอื่น เพียงแต่ไม่พกโทรศัพท์มือถือไปถ่ายรูป ไม่มีสมุดมาให้เซ็น

            ทันทีที่แฟนเพลงคนข้างหน้าลงจากเวที เอื้อกานต์ก็ยกมือไหว้ทักทาย ไลลาเงยหน้าขึ้นยิ้ม พร้อมคำพูดที่ทำให้คุณหมอสาวแทบสะดุดขาตัวเอง

            “สวัสดีจ้ะ เราได้พบกันสักทีนะ” เสียงพูดไม่ดัง ไม่เบา เอื้อกานต์ได้ยินชัด แค่นี้ก็แทบตอบปัญหา ข้อสงสัยของเธอจนหมดสิ้น

            “นั่งคุยกันตรงนี้ก็ได้” ไลลาชี้มือทางเก้าอี้ที่สัตตบงกชเพิ่งนั่งสัมภาษณ์เมื่อครู่

            “ได้พบกันสักที...” เอื้อกานต์ทวนคำฝ่ายตรงข้าม

            “ฉันอยากพบเธอเหมือนกัน แล้วเธอ...ไม่ได้ตามหาฉันหรอกหรือ?” อีกฝ่ายยิ้มหวาน ทั้งที่คำถามพุ่งแทงสู่ใจ เข้าประเด็นโดยไม่อ้อมค้อม

            ไลลาพูดราวกับรู้ว่า เอื้อกานต์กำลังติดตามหาบุคคลหนึ่ง...คนที่ก่อความวุ่นวายขนาดหนัก

            อีกทั้งไลลาก็บอกชัด ว่าต้องการพบหน้าคนที่สามารถถอนอาคม แก้ไขความวุ่นวายนั้นได้เช่นกัน

            “คุณ...” เอื้อกานต์เอ่ยปากแค่คำเดียว อีกประโยคดังก้องในใจ “...คุณเป็นคนปล่อยไวรัสอาคมใช่มั้ยคะ”

            ไลลายิ้มละไม ตอบด้วยน้ำเสียงปกติ

            “ใช่” ไม่มีอารมณ์ขุ่นมัว ไม่แฝงรอยเยาะหยันในวาจานั้น

            “ทำไม” เอื้อกานต์ถามด้วยอาการจุกอก การเผชิญหน้าฆาตกรที่ยอมรับการกระทำของตนโดยไม่สะทกสะท้านเช่นนี้ เป็นเรื่องที่ทำใจยากจริงๆ

            “เธอรู้จักเพลงที่ฉันร้องเมื่อครู่มั้ย” ไลลาถามอีกเรื่อง

            เอื้อกานต์นิ่งคิดชั่วขณะ นึกได้ว่าสัตตบงกชเพิ่งบอกชื่อเพลงให้ได้ยิน

            “Scarborough fair” หญิงสาวตอบ

            ไลลายิ้มแปลก ดวงตาฉายประกายวับ

            “ถ้าเธอเข้าใจความหมายเนื้อเพลงนี้อย่างลึกซึ้ง เธอก็อาจเข้าใจความคิด จิตใจของฉัน”

            คำตอบที่ได้ทำให้เอื้อกานต์พูดอะไรไม่ออก ไม่รู้ควรซักถามอย่างไรดี

            เวลาเดียวกัน บอดี้การ์ดเข้ามากระซิบไลลา บอกว่าถึงเวลาต้องกลับแล้ว

            ไลลาโบกมือไล่บอดี้การ์ด แล้วหันมาพูดทิ้งท้าย

            “เมื่อไหร่ที่เธอเข้าใจความหมายของบทเพลงนี้ และคิดว่ารู้ใจฉันแล้ว ฉันจะให้โอกาสเธอได้พบอีกครั้ง”

            ไลลาขยับตัวแล้วชะงัก นึกได้ว่าควรบอกหญิงสาวตรงหน้าอีกเรื่อง

            “ขอเตือนเธอด้วยความหวังดีนะ...อาคมของฉันครั้งนี้ไม่เหมือนคราวก่อน อย่าสุ่มสี่สุ่มห้าไปถอนเข้าให้ล่ะ มันอันตรายถึงชีวิตเชียว”

            เอื้อกานต์มองตามหลังนักร้องดังที่เดินจากไป ทิ้งเพียงรอยพลิ้วไหวของชายผ้าสีขาวไว้ให้เห็นเป็นภาพจำ

            คุณหมอไม่อาจรู้เลยว่า...

            พอไลลาเดินลับเหลี่ยมอาคาร พ้นจากสายตาทุกคน แววตาเธอก็เปลี่ยนไป ไม่ทอประกายหวานหยาดเยิ้มสะกดผู้พบเห็นอีกแล้ว นัยน์ตานั้นวาววับ คมกล้า เข้มข้น เปี่ยมด้วยพลังเร้นลับเกินหยั่งถึง

            ในห้วงความคิดของเธอ ส่งกระแสคำพูดออกไป หวังว่าใครคนหนึ่งจะรับทราบได้

            “ฮันเตอร์...นอกจากลูกศิษย์เธอจะเก่งกาจแล้ว แฟนเก่าของเขาก็ไม่ธรรมดาเลยนะ ฉันเตือนเขาแล้ว...เพราะฉะนั้น ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น จะมาโทษว่าเป็นความผิดของฉันไม่ได้”

            ประโยคนั้นบอกชัด นอกจากไลลาจะต้องการพบเอื้อกานต์แล้ว ยังรู้จักเบื้องลึกเบื้องหลังของคุณหมอคนนี้เกินกว่าเจ้าตัวจะรู้เสียอีก



(โปรดติดตามต่อฉบับหน้า)



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP