วรรณกรรมนำใจ Lite Literature

ระบำเวท ๑๕


cover rabamvej

ชลนิล




(ต่อจากฉบับที่แล้ว)



             หลังจากผักกาดพ้นขีดอันตราย ย้ายเข้าพักฟื้นในห้องคนป่วย หมากก็อาสานอนเฝ้าดูแลหลานสาว ไม่กลับคอนโดฯ

             ชายหนุ่มหลับยาวรวดเดียวยันสาย พยาบาลเข้ามาตรวจวัดอุณหภูมิ ดูแลผักกาดเรียบร้อยแล้ว เขาเพิ่งรู้สึกตัว

             “ขอโทษค่ะหมอที่ปลุกให้ตื่น” พยาบาลรีบพูดเมื่อเห็นคุณหมอหนุ่มลุกจากที่นอนคนเฝ้าไข้

             “ไม่เป็นไรหรอก ผมต้องขอโทษเหมือนกัน ตั้งใจเฝ้าหลานแท้ๆ กลับหลับยาวซะได้”

             “เมื่อวานคุณหมอเจอแต่งานหนักทั้งนั้นนี่คะ” พยาบาลกล้าพูดมากขึ้น

             “อาการผักกาดเป็นยังไงบ้าง” เขาถาม

             “ปกติดีค่ะ ไม่มีอาการแทรกซ้อน” พยาบาลตอบ คุณหมอหนุ่มพยักหน้ารับทราบ

             หลังจากทำธุระเรียบร้อย พยาบาลก็ออกจากห้อง หมากลุกขึ้นไปล้างหน้าล้างตาแล้วกลับมาดูหลานสาว หยิบชาร์ตคนป่วยขึ้นมาอ่าน พอเห็นไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงค่อยโล่งอก

             ก้มหน้าบอกกับใบหน้าเซียวๆ ของแม่หนูน้อย

             “หมดปัญหาแล้วนะเจ้าผักกาด อีกไม่กี่วันก็ออกไปซนเหมือนเดิมได้แล้ว”

             ขณะพูดก็ได้ยินเสียงเคาะประตูเบาๆ บานประตูเปิดออก บุคคลที่ก้าวมาในห้องเป็นคนที่หมากคิดไม่ถึง

             “สวัสดีครับอาจารย์หมอ มาเยี่ยมหลานสาวผมหรือครับ” หมากทักทายแกมหยอก

             “ผมเพิ่งรู้จากพยาบาลตะกี้เอง ว่าหมออยู่ที่นี่...เอ่อ...หลานสาวปลอดภัยดีมั้ย”

             “ครับ” หมากเลือกตอบคำถามหลัง ทั้งที่แน่ใจว่าอาจารย์หมอมีธุระอื่นกับเขามากกว่ามาเยี่ยมเจ้าผักกาด

             “อาจารย์มีธุระกับผมหรือเปล่าครับ” หมากถาม

             “เธอจำคนป่วยที่โดนไวรัสแปลกๆ จนเสียชีวิตได้หรือเปล่า” หมอใหญ่เข้าประเด็นทันที

             “จำได้ครับ” หมากชะงัก นึกบางเรื่องขึ้นได้

             จริงสิ...ไวรัสอาคมถูกปล่อยออกมาตั้งแต่เมื่อวาน แสดงว่าต้องมีผู้รับเคราะห์จำนวนไม่น้อย เขามัวแต่ยุ่งเรื่องอุบัติเหตุ จนมาถึงผ่าตัดเจ้าผักกาด เลยลืมเรื่องไวรัสอาคมไปชั่วคราว

             “ตอนนี้มีคนไข้อาการแบบนั้นเข้ามาที่นี่หรือครับ” หมากถาม

             “ที่นี่มีรายนึง แต่ผมได้ยินมาว่า ที่โรงพยาบาลอื่น เจออาการแบบนี้อีกหลายรายทีเดียว”

             หมากใจหายวาบกับคำว่า ‘หลายราย’ ของอาจารย์หมอ

             ขนาดเขากับเอื้อกานต์เจอแค่ผกาแก้วคนเดียวยังเกือบแย่ ถ้ามาหลายรายพร้อมกันคงทำอะไรไม่ถูก

             “แล้วรายที่มาที่นี่ ถูกส่งมาจากไหนครับ” หมากสงสัย

             “มาจากคลินิกผมเอง” อาจารย์หมอตอบ

             หมากอึ้ง จ้องตาผู้อาวุโส บอกชัดว่ากำลังรอคอยคำอธิบายอย่างละเอียด

             “เอาอย่างนี้ ผมจะพาคุณไปดูคนไข้รายนี้ด้วยกัน ระหว่างทางผมจะเล่ารายละเอียดให้ฟัง ว่าเจอเขายังไง อาการเป็นแบบไหน”

             “ได้เลยครับ” หมากรับคำ

             ทั้งสองออกจากห้อง จุดหมายอยู่ที่ผู้ป่วยไวรัสอาคมรายเดียวในโรงพยาบาล



             หมากอาจลืมเรื่องไวรัสอาคม แต่เอื้อกานต์ไม่ลืม เธอรู้ว่าหลังจากไวรัสถูกปล่อย ต้องมีเหยื่อไวรัสหรือผู้ป่วยจากไวรัสอาคมตามมาอีกแน่ๆ เพียงแต่เมื่อวานโรงพยาบาลรับผู้ป่วยฉุกเฉินจากอุบัติเหตุจำนวนมาก จึงไม่สามารถรับผู้ป่วยฉุกเฉินอื่นๆ ที่ตามมาได้อีก

             ถึงอย่างนั้น เอื้อกานต์เชื่อว่าต้องมีผู้ป่วยจากไวรัสอาคมหลุดมาถึงโรงพยาบาลนี้แน่นอน ก่อนกลับคอนโดฯ เธอจึงบอกพยาบาลให้คอยสังเกตคนป่วยที่มีอาการคล้ายผกาแก้วให้ด้วย

             วันนี้หญิงสาวจึงมาโรงพยาบาลทั้งที่เพิ่งได้พักผ่อนไม่เกินสองสามชั่วโมง และเพียงเดินผ่านเคาน์เตอร์พยาบาล เธอก็ได้ยินเสียงเรียก

             “หมอเอื้อคะ”

             “ว่าไงจ๊ะ” เอื้อกานต์หันไปตามเสียง ...พยาบาลคนที่เธอให้สังเกตคนป่วยนั่นเอง

             “หนูเจอคนป่วยที่มีลักษณะอย่างที่หมอบอกแล้วค่ะ”

             “เป็นใคร? อาการเขาเป็นยังไงบ้าง?” คำถามกระตือรือร้น

             “เป็นผู้ชาย...อาการคล้ายคุณผกาแก้วค่ะ แต่มีไข้สูงกว่า มีจ้ำแดงแบบไข้เลือดออกเหมือนกัน รักษายังไงอาการไข้ก็ไม่ลดเหมือนกัน น่าแปลกก็ตรงที่ไข้สูงขนาดนั้นคนไข้กลับยังไม่ช็อก”

             “คนไข้ชื่ออะไรรู้ไหม”

             “น่าจะเป็นชาวต่างชาตินะคะ อาจารย์หมอท่านส่งมาจากคลินิกคนยาก หน้าตาดีเชียวค่ะ ดูจากพาสปอร์ตที่ติดตัวแล้ว รู้สึกว่าจะชื่อ...ชามาร์”

             “ชามาร์...” เอื้อกานต์ทวนคำ

             “เขาอยู่ห้องไหน หมอขอไปดูหน่อย”

             “ค่ะ” พยาบาลรับคำ พร้อมบอกหมายเลขห้องที่ผู้ป่วยรายนี้เข้าพักรักษาตัวให้คุณหมอทราบทันที



             เอื้อกานต์เดินมาถึงหน้าห้องผู้ป่วยพิเศษ...ชามาร์...เกือบพร้อมกับหมากและอาจารย์หมอ

             “หมอเอื้อ...มาทำงานทำไม น่าจะพักผ่อนก่อน” หมากทักอย่างเป็นห่วง น้ำเสียง แววตาที่มีต่อกัน ลึกซึ้งแปลกไป ไม่ใช่เพียงแค่คนรู้จักอย่างเคย

             “สวัสดีค่ะอาจารย์หมอ” เอื้อกานต์เอ่ยทักนายแพทย์อาวุโส ก่อนยิ้มสดใสให้ชายหนุ่ม “เอื้อไม่ได้ลานี่...แถมงานก็เยอะขนาดนี้ อู้ไม่ได้หรอก”

             “เธอมาก็ดีแล้ว มีคนไข้อยากให้เข้าไปดูด้วยกัน” หมอใหญ่บอก

             “เป็นชาวต่างชาติชื่อชามาร์ใช่มั้ยคะ” หญิงสาวถาม

             “รู้เร็วดีนะ...ถูกแล้วละ เขาเป็นคนไข้ที่คลินิก มาถึงไข้ก็ขึ้นสูง ลุกไม่ไหว ต้องแบกเข้าไปดูแล แต่ทำยังไงอุณหภูมิก็ไม่ลด อาการท่าจะหนักขึ้นเรื่อยๆ ฉันเลยต้องพามาส่งที่นี่ก่อน”

             “เขาไม่ใช่คนไทยหรือครับอาจารย์” หมากเพิ่งได้ข้อมูลใหม่

             “เท่าที่ดูจากพาสปอร์ตในกระเป๋า เขาเป็นคนอเมริกันเชื้อชาติอินเดีย...ชื่อชามาร์”

             “ชามาร์...” หมากทวนคำก่อนนึกได้

             ชามาร์...ใช่แล้ว ผู้ชายรูปหล่อเหมือนแขกขาว เคยเจอกันที่อเมริกา ล่าสุดเจอกันที่โรงพยาบาลแห่งนี้ ที่จำแม่นเพราะพลูสั่งให้เขาเข้าไปทักทายพูดคุยด้วย

             “หมอรู้จักเขาหรือคะ” เอื้อกานต์สังเกตเห็นกิริยานั้น จึงเกิดความสงสัย

             “เคยเจอครั้งสองครั้ง” หมากตอบก่อนผลักบานประตูเข้าไป



             ชายที่นอนป่วยหมดสติบนเตียง เป็นคนเดียวกับที่หมากเคยเห็น ทักทายพูดคุยเมื่อคราวก่อน...อย่างนี้นี่เอง พลูถึงให้เขาเอ่ยปากเตือนผู้ชายคนนี้

             ...ไม่น่าเชื่อ ผู้ชายหน้าตาดี พูดจาดี จะโดนไวรัสอาคมที่เจาะจงจู่โจมเฉพาะคนร้ายได้

             หมากมัวแต่สนใจคนป่วยบนเตียงและเรื่องราวเมื่อครั้งที่พบกันคราวก่อน จนลืมสังเกต สนใจหญิงสาวข้างกาย ที่ตั้งแต่เข้ามาในห้องก็ยืนนิ่ง เงียบ จ้องชายคนป่วยแบบตาไม่กะพริบ

             ใบหน้าเอื้อกานต์ซีดเผือด ตัวชา หูลั่นดังวิ้งๆ ตกใจ คาดไม่ถึง ทำอะไรไม่ถูกไปชั่วขณะ เมื่อพบว่าชายต่างชาติที่เข้ามารักษาตัวในโรงพยาบาลคนนี้ มีใบหน้าไม่ผิดแผกจากอดีตชายคนรักของตน

             ผู้ชายที่เสียชีวิตจากเครื่องบินตกเมื่อหลายปีก่อน...ผู้ชายที่อยู่ในความทรงจำของเธอเสมอ...

             ...ทรงกลด...







บทที่ ๑๓



             ชามาร์...ชายสัญชาติอเมริกัน เชื้อชาติอินเดีย ป่วยด้วยไวรัสไม่ทราบชื่อ อาการไข้ขึ้นสูง ตามตัวมีจ้ำเลือด ผื่นแดง หากยังไม่สามารถลดอุณหภูมิร่างกายผู้ป่วยลงได้แบบนี้ มีโอกาสช็อกสูงมาก

             เอื้อกานต์ได้ยินทุกถ้อยคำที่อาจารย์หมอพูดถึงผู้ป่วยซึ่งนอนหมดสติตรงหน้า ทว่าคำพูดเหล่านั้นล้วนลอยผ่านหู ไม่เข้าสมอง ไม่เกิดการรับรู้ใดๆ

             สายตาเธอจับจ้องเพียงใบหน้าของเขา ความคิดในหัววนเวียน สับสน กับสองถ้อยคำ...ใช่...หรือไม่ใช่...

             เขาคือทรงกลดใช่หรือไม่?

             ถ้าใช่...เขารอดจากเครื่องบินตกได้อย่างไร หลบอยู่ที่ไหนมาหลายปี

             ถ้าไม่ใช่...ทำไมรูปร่าง หน้าตา คล้ายคลึงกันขนาดนี้?

             นี่เป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่เอื้อกานต์พะวักพะวน สับสน ไม่เป็นตัวของตัวเอง ควบคุมอาการ ความรู้สึกของตนไม่ได้ถึงขนาดนี้

             เธออยากโผเข้าไปกอดเขา อยากปลุกชายหนุ่มที่อยู่ในห้วงนิทราให้ฟื้นตื่น เพื่อซักถามให้รู้เรื่อง

             ...คุณเป็นใครกันแน่? ทำไมถึงหน้าตาเหมือนชายคนรักของฉันขนาดนี้?

             ทว่าสิ่งที่ทำได้คือยืนนิ่ง จ้องมอง ทำอะไรไม่ถูก แววตาฉายแววสับสน ความรู้สึกหลากหลายอารมณ์สะท้อนผ่านดวงตาภายในเวลาไม่กี่นาที

             รู้สึกตัวอีกครั้งตอนได้ยินอาจารย์หมอสรุปอาการปัจจุบันของเขา

             “อุณหภูมิร่างกายเขาอยู่ในเกณฑ์สูงตลอด พยายามหาวิธีลดอุณหภูมิ รักษาตามอาการแบบไหนก็ไม่เป็นผล เจาะเลือดไปตรวจก็พบไวรัสแบบครั้งนั้น ซึ่งเราไม่มีวัคซีนหรือยาต้านไวรัสตัวนี้ได้เลย ถ้าปล่อยไว้แบบนี้...เขาอาจไม่รอดเกินวันนี้”

             ประโยคสุดท้ายกระตุ้นเอื้อกานต์ให้เอ่ยปาก

             “ขอให้เอื้อเป็นเจ้าของไข้เขาได้มั้ยคะ...เอื้อจะหาวิธีรักษาเขาเอง”

             “ได้สิ...นี่เป็นเหตุผลที่ผมอยากให้คุณสองคนมาดูอาการเขา เผื่อวิธีที่พวกคุณเคยใช้กับคนไข้คราวก่อน จะนำมาใช้กับเขาได้ผลเหมือนกัน”

             หมากลอบสบตาเอื้อกานต์...การรักษาผกาแก้วครั้งนั้นน่าจะให้เครดิตหมอเอื้อกานต์ไปเต็มๆ เขากับพลูมีส่วนเล็กน้อยเท่านั้น แต่วิธีการช่วยเหลือคนไข้แบบนี้จะบอกให้อาจารย์หมอเข้าใจได้อย่างไร

             “ค่ะ เอื้อจะลองดู” หญิงสาวพูดหนักแน่น

             “ดี...ถ้าคุณช่วยรักษาเขาสำเร็จ ก็อาจช่วยอีกหลายรายที่กำลังนอนโคม่าอยู่ในโรงพยาบาลอื่นได้เหมือนกัน” อาจารย์หมอบอก

             หมากถอนใจเบาๆ แค่รายตรงหน้ายังไม่รู้จะไหวหรือเปล่า นี่เล่นพูดถึงคนป่วยอีกหลายรายที่รออยู่โรงพยาบาลอื่นเสียแล้ว

             เขารู้ว่าเอื้อกานต์ใช้ ‘พลังพิเศษ’ ถอนอาคมจากไวรัส ทำให้ผู้ป่วยเหลือแค่อาการของโรคทั่วไป สามารถรักษาด้วยการแพทย์ตามปกติได้ แต่พลังของเอื้อกานต์จะสามารถถอนอาคมให้ผู้ป่วยได้กี่คน มากน้อยแค่ไหน ยังตอบไม่ได้

             “พลู...” หมากแอบเรียกหาน้องชายในใจ “พอช่วยไหวมั้ย”

             เขาถามโดยหวังให้พลูใช้พลังช่วยเอื้อกานต์เหมือนตอนรักษาผกาแก้ว

             ...เงียบ...ไม่มีคำตอบ พลูตั้งใจตัดสัญญาณ แสดงว่าต้องการให้เขาจัดการเอง

             “ถ้าหมอเอื้อรับเป็นเจ้าของไข้ ผมจะขอไปดูคนไข้อาการเดียวกันที่โรงพยาบาลอื่นก่อน เผื่อได้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ จะได้ช่วยกัน”

             “ค่ะ” เอื้อกานต์รับคำ

             อาจารย์หมอพยักหน้าเป็นเชิงบอกลาก่อนออกจากห้อง ทิ้งให้คุณหมอทั้งสองอยู่กับคนป่วยที่ยังไม่ได้สติ

             เอื้อกานต์ละสายตาจากใบหน้าผู้ป่วยมามองหมอหมาก เอ่ยคำพูดสั้นๆ

             “หมอออกไปก่อนได้มั้ยคะ เอื้อต้องการใช้สมาธิ”

             “ผมอยู่ด้วยอาจพอช่วยเหลือได้” หมากหวังว่าพลูจะเปลี่ยนใจ ช่วยเอื้อกานต์อย่างคราวก่อน

             “ไม่เป็นไร ขอเอื้อลองดูก่อน ถ้าไม่ไหวจริงๆ จะขอแรงหมออีกที” หญิงสาวพูดเรียบๆ ทว่าเด็ดขาด หนักแน่น

             “หมอเอื้อ...” หมากจ้องตาเธออย่างแปลกใจ

             แววตาเอื้อกานต์ตอนนี้ไม่เหมือนเมื่อคืน ที่ถ่ายทอดความรู้สึกดีๆ จากเบื้องลึกของหัวใจออกมาให้รับรู้ หญิงสาวกลายเป็นอีกคนที่อยู่ห่างออกไป เป็นผู้หญิงที่เขาไม่รู้จัก ไม่เคยพบเจอ

             ชายหนุ่มสังหรณ์ใจ รู้สึกเหมือนกำลังจะสูญเสีย ทั้งที่เธอก็ยืนอยู่ตรงหน้า อยากเอ่ยปากถามถึงความผิดปกติ แต่รู้ว่าพูดมากกว่านี้ก็ไม่มีประโยชน์

             “งั้นผมจะออกไปรอข้างนอก หมอเอื้อมีอะไรก็เรียกได้เลย”

             เอื้อกานต์ใช้อาการนิ่งสงบแทนการตอบรับ ชายหนุ่มเริ่มทำตัวไม่ถูก ได้แต่ยอมถอยหลังออกไปเงียบๆ



             เมื่อในห้องคนป่วยเหลือเพียงเอื้อกานต์กับเจ้าของร่างไร้สติ หญิงสาวก็เอื้อมมือไปลูบใบหน้าคนป่วยเบาๆ จมูก ปาก คิ้ว คาง สัมผัสที่ได้รับแทบไม่ผิดเพี้ยนจากชายคนรักคนเดิม ต่างกันแค่เขาดูซูบผอมลงเล็กน้อยเท่านั้น

             ในหัวเอื้อกานต์อื้ออึงด้วยความสงสัยนานัปการ จิตใจดิ้นพล่านด้วยความรู้สึกทั้งสุขทั้งเศร้า สับสนปนเป จนไม่อาจมีสติ ตั้งมั่น เกิดสมาธิได้อย่างเคย

             หญิงสาวสูดลมหายใจเข้าลึก แล้วระบายออกยาว ทำซ้ำๆ สามสี่ครั้ง หากจิตใจก็ยังดิ้นพล่าน ไม่ยอมสงบ ยิ่งอยากใช้พลังพิเศษมากเท่าไร จิตยิ่งไม่ยอมเชื่อฟังเท่านั้น

             เวลานี้ อย่าว่าแต่จะใช้พลังพิเศษดึงอาคมออกมาเลย แค่จะใช้ ‘สัมผัส’ เข้าตรวจสอบอาการอย่างที่เคยทำจนช่ำชอง ก็ไม่อาจทำได้ง่าย ๆ แล้ว

             เอื้อกานต์ถอยไปยืนชิดหน้าต่าง หันหลังให้คนป่วย มองออกไปนอกหน้าต่าง เงยหน้าดูฟ้ากว้าง ริ้วเมฆขาว แวบหนึ่งของสติ เตือนให้หาผู้ช่วยเหลือ...

             คุณหมอสาวรีบหยิบโทรศัพท์กดเบอร์น้องชาย โดยไม่สนใจว่าเขาจะว่างรับสายเวลานี้หรือไม่

             สัญญาณดังสามสี่ครั้ง ก่อนทีเกื้อจะรับสาย

             “เกื้อ...มีเรื่องสำคัญ ช่วยหน่อยสิ”

             น้ำเสียงร้อนรนเช่นนี้ ต่อให้คนไม่มีสัมผัสพิเศษก็รู้สึกได้

             “ว่าไง?” สองคำสั้นๆ จากคนคุ้นเคย ทำให้หญิงสาวเกิดความอุ่นใจขึ้นมา

             “เอื้อเจอคนป่วยรายนึง...หน้าตาเขาเหมือน...” หญิงสาวหายใจขัด รู้สึกยากที่จะพูดชื่อนี้ออกมา

             “เหมือนใครเอื้อ”

             น้ำเสียงเรียบๆ แฝงกระแสใจหนักแน่นของทีเกื้อ ช่วยให้คนฟังผ่อนคลายลง

             “เหมือน...พี่กลด!” หญิงสาวตอบ

             ทีเกื้อนิ่งไปครู่ใหญ่ ก่อนเอ่ยปากถาม

             “เห็นเขาแล้ว...รู้สึกยังไง?”

             แทนที่ชายหนุ่มจะซักถามเกี่ยวกับรายละเอียด ที่มาที่ไปของคนป่วยรายนี้ เขากลับย้อนถามด้วยประโยคที่คาดไม่ถึง หนำซ้ำน้ำหนักเสียง กระแสใจที่พุ่งตรงมา ไม่มีวี่แววว่าล้อเล่น

             เอื้อกานต์สะดุ้งวาบ เกิดสติขึ้นมาแวบหนึ่ง ...เธอรู้สึกอย่างไร?

             “ตกใจ” หญิงสาวตอบคำถามน้องชาย

             “แล้วยังไง” ทีเกื้อถามต่อ

             “คิด...สงสัย” เอื้อกานต์ตอบ

             “แล้วไงอีก” สารวัตรหนุ่มจี้ถามแบบติดๆ

             “อยากรู้” เธอนึกถึงอารมณ์ที่เกิดจริงก่อนตอบ

             “ตอนนี้ล่ะ” ทีเกื้อถามสภาวะความรู้สึก อารมณ์ ในปัจจุบัน

             “หดหู่” เอื้อกานต์ ‘เห็น’ ภาพรวมในจิตใจตนก่อนตอบ

             “เอาละ ตอนนี้เล่าได้แล้วว่าเขาเป็นใคร มานอนป่วยที่นี่ได้ยังไง” ทีเกื้อถามเรียบๆ

             จิตใจเอื้อกานต์ผ่อนคลายลงโดยไม่ได้บังคับ ใจเบามีกำลังอย่างเป็นธรรมชาติ

             หลังจากโดนทีเกื้อไล่จี้ให้ดูสภาวะทางใจของตน จนเกิดสติ เห็นสภาวะจิตเกิด-ดับเป็นขณะๆ ม่านหมอกที่มืดทึบในหัวค่อยจางหาย โปร่งเบา สามารถเล่ารายละเอียดเกี่ยวกับผู้ชายที่หน้าตาเหมือนทรงกลดให้น้องชายฟังโดยไม่เกิดอาการทุรนทุราย เป็นทุกข์ เหมือนตอนแรก

             ทีเกื้อถือสายฟังพี่สาวเล่าตั้งแต่ต้นจนจบโดยไม่เอ่ยขัด ซักถาม สัมผัสได้ว่าจิตใจที่กระจัดกระจายของเอื้อกานต์ถูกจัดระเบียบแล้ว ไม่มีอาการซัดส่าย หวั่นไหว หดหู่ เหมือนขณะแรกที่โทร. มาหา และเชื่อว่าหลังจากนี้พี่สาวคงจัดการเรื่องของตัวเองได้ไม่ยาก

             “เกื้อว่ายังไง” เอื้อกานต์ถามหลังจากเล่าจบ

             “ตอบไม่ได้ ต้องไปเห็นตัวจริงกับตาก่อน” สารวัตรหนุ่มบอก

             “พอจะปลีกตัวลงมาได้มั้ย” คนเป็นพี่สาวถามอย่างหวังหาแนวร่วม

             “ไม่ได้เลย ช่วงนี้เป็นเวลาสำคัญด้วย...ตะกี้ ถ้าเกื้อไม่รู้สึกว่าเอื้อมีเรื่องเดือดร้อน ลำบากใจ ต้องการขอความช่วยเหลือจริงๆ ก็คงไม่รับสายเหมือนกัน”

             “ขอบใจนะ” เอื้อกานต์พูดอย่างรู้ใจน้องชายดี

             “เกื้อว่า หลังจากนี้เอื้อคงหาคำตอบด้วยตัวเองได้แล้วละ”

             “นั่นสิ...” เอื้อกานต์คิดเช่นนั้น

             “อย่าให้อคติปิดบังความจริงก็แล้วกัน” ทีเกื้อแนะนำส่งท้าย

             “จ้ะ” หญิงสาวรับคำ

             วางหูจากน้องชาย จิตใจปลอดโปร่ง ผ่อนคลายกว่าเดิม ความหวั่นไหว แส่ส่าย ลดลง จิตใจเริ่มมีความตั้งมั่นเป็นขณะ เกิดความสงบ เย็นใจพอจะใช้สัมผัสพิเศษได้แล้ว

             หันกลับไปยังเตียงคนไข้อีกครั้ง ร่างกายผ่อนคลาย จิตใจอ่อนเบา มองใบหน้าที่คลับคล้ายอดีตคนรักเป็นแค่คนป่วยผู้หนึ่งซึ่งรอการรักษา ไม่มีอะไรมากกว่านั้น

             เอื้อกานต์ยืนอยู่ข้างเตียง ใช้ปลายนิ้วแตะข้อมือเขาแผ่วเบา...



             บนยอดตึกสูง เสาส่งสัญญาณโทรทัศน์ตั้งเด่นพุ่งเสียดฟ้า มองจากที่ไกลจะเห็นร่างหนึ่งยืนเป็นจุดเล็กๆ ร่างนั้นยืนสงบนิ่งราวรูปศิลา เห็นความเคลื่อนไหวเพียงชายผ้าสีขาวปลิวสะบัดตามลม

             เมื่อมองลงใกล้ แลเห็นเส้นผมสีน้ำตาลทองทอประกายระยับจับแสงแดดกล้า ผิวขาวนวลกระจ่างตา เค้าโครงหน้าคล้ายรูปปั้นชาวตะวันตก ริมฝีปากแดงอมชมพู ดวงตากลมโตงามบาดตา กำลังมองไกลออกไปยังฟ้ากว้าง หมู่ตึก เมืองใหญ่เบื้องล่าง

             ดวงจิตอันทรงอานุภาพแผ่กระจายครอบคลุมถี่ยิบ แสนไกลยิ่งกว่าสายตาแลเห็น

             ไลลากำลังตรวจสอบผลงานของตน ไวรัสอาคมส่วนใหญ่โดนทรงกลดสกัดกั้นสำเร็จ แต่ยังมีส่วนหนึ่งหลุดรอดไปได้ แม้เพียงเล็กน้อย พิษร้ายของมันมิได้น้อยเท่าปริมาณ

             ผู้ทรงอาคมกล้าต้องการรู้ สิ่งที่ส่งออกไป สร้างผลงานใดกลับมาบ้าง

             เธอหลับตา ใช้ดวงตาภายในเคลื่อนตามกระแสจิตที่แผ่กว้าง ครอบคลุม รับรู้ผลงานของตนทีละเรื่อง ทีละราย

             รอยยิ้มผุดขึ้น เมื่อเห็นผลงานตนได้ช่วยเด็กน้อยให้พ้นจากชายใจทราม ทำให้คนผิดได้รับโทษตามจริง โดยไม่อาจออกไปทำร้ายใครได้อีก...

             ความพอใจของไลลาเพิ่มพูนขึ้นเรื่อยๆ ตามภาพนิมิตผลงาน จนกระทั่งเห็นรอยด่างบางเรื่องที่เกิดขึ้นอย่างควบคุมไม่ได้

             คิ้วขมวดเล็กน้อย ส่งให้เห็นริ้วรอยแห่งวัยชัดขึ้น ไลลาระบายลมหายใจออกอย่างอึดอัด ไม่พอใจ สุดท้ายก็ลืมตา ดวงตาคู่งามเปล่งประกายฉุนเฉียว

             อารมณ์โทสะเล็กๆ เกิดขึ้นในใจ ก่อนถูกขับสลายออกไป ด้วยการปล่อยวาง ไม่สนใจ

             คิดง่ายๆ...การจะทำงานใหญ่ มันต้องมีการเสียสละ...ยอมรับข้อผิดพลาดที่เกิดขึ้นบ้าง

             ท้ายสุด เธอคิดตก...ไม่เป็นไร...เมื่อเกิดข้อผิดพลาด คาดไม่ถึง ก็ไปช่วยเหลือ แก้ไขมันเสีย ไม่ใช่เรื่องยากลำบากเลย...

             รอยยิ้มปรากฏบนริมฝีปากไลลา ร่างในชุดขาวเคลื่อนจากไป ก่อนกลืนหายไปกับพยับแดดจ้าบนดาดฟ้าตึกแห่งนี้



             ขณะปลายนิ้วสัมผัสข้อมือ จิตสัมผัสถูกส่งออกไปตามรอยสัมผัสที่เกิด นัยน์ตาหลับลง สำรวมจิตมั่นจนเกิดสมาธิ ใช้สัมผัสเหนี่ยวนำ เกิดภาพนิมิตภายในร่างกายผู้ป่วย เห็นเส้นประสาทแต่ละจุดถูกบีบให้ตีบตัน มีสิ่งแปลกปลอมจำนวนมากในเส้นเลือด ตามอวัยวะในร่าง กระแสอาคมบางๆ ก่อเป็นควันสีเทาอ่อน ครอบคลุมตามจุดสำคัญในร่างจนหมดสิ้น

             จิตนึกเปรียบเทียบกับแรงอาคมที่ควบคุมไวรัสในร่างผกาแก้ว เห็นว่าคราวนี้มันเบาบางกว่า แต่พิษไข้ เชื้อโรคที่ได้รับ กลับรุนแรงกว่าหลายเท่าตัว

             คลื่นอาคมที่เห็นเป็นรูปควันสีเทาจาง กำกับไวรัส เชื้อโรคในร่างให้ดื้อยา ต่อต้านการรักษาทุกชนิด ทำให้อุณหภูมิคนป่วยสูง เชื้อโรคร้ายเข้าแทรกซึม ทำลายอวัยวะสำคัญในร่างกายทีละน้อย จนสุดท้ายอาจเกินกำลังเยียวยา รักษา

             เอื้อกานต์ตั้งสติ ระลึกถึงพลังสีขาวภายในตน จิตอันกอปรด้วยเมตตาอารี หวังจะช่วยเหลือ แปรพลังงานเป็นเส้นสีขาว ถ่ายทอดผ่านปลายนิ้ว ซึมแทรกเข้าทางข้อมือคนป่วย ไหลไปตามเส้นเลือด เส้นประสาท ขับไล่คลื่นอาคม ควันสีเทาจาง ที่ครอบคลุมจุดสำคัญในร่างกาย

             จิตใจคุณหมอเกิดความสว่างไสว ไม่ใส่ใจว่าร่างตรงหน้าเป็นใคร รับรู้เพียงแค่ นี่คือหนึ่งชีวิต...ชีวิตที่เธอหวังช่วยเหลือให้พ้นทุกข์ ไม่มีอื่นใดมากกว่านี้

             ความสว่าง อบอุ่น แผ่ปกคลุมร่างผู้ป่วยไว้ ค่อยๆ สลายเงาสีเทาของอาคมที่ปกคลุม จนกระทั่งไม่เหลือร่องรอยของมันให้เห็น

             เอื้อกานต์ลืมตา จิตใจอิ่ม ความอบอุ่นเต็มล้นหัวอก จิตเกิดปีติเมื่อรู้ว่าสามารถช่วยชีวิตได้อีกหนึ่งชีวิต

             จิตหญิงสาวตั้งมั่น เห็นปีติในใจ สว่าง อบอุ่น พองคับอก แล้วค่อยหรี่ลงจนกลับเป็นปกติ เกิดความรับรู้ว่า...ไม่ว่าสภาวะใดก็ตาม เมื่อเกิดขึ้นแล้ว ย่อมตั้งอยู่ไม่นาน สุดท้ายก็ดับหายไป

             ความชุ่มชื่นปลอดโปร่งเกิดขึ้นในใจ ดวงตามองชายหนุ่มบนเตียง สติและความรู้ตัวกลับคืนมา จิตไม่มีความขุ่นมัว กังวล สงสัย เศร้าหมอง เหมือนวินาทีแรกที่เห็นเขา

             รอยยิ้มปรากฏบนริมฝีปากหญิงสาว เมื่อเห็นคนป่วยขยับตัว คล้ายรู้สึกตัวขึ้นมาบ้าง

             ใจกระโจนออกไป อยากร้องเรียกปลุกเขาว่า...พี่กลด!

             สติเกิด เห็นจิตที่พุ่งออกไปแล้วดับหาย ความรู้ตัวเกิดขึ้นชั่วขณะ

             คราวนี้หญิงสาวเอ่ยปากเรียกเขาด้วยเสียงไม่ดัง ไม่เบา มีความอ่อนโยน เมตตา อยู่ในนั้น

             “คุณชามาร์...ได้ยินเสียงหมอมั้ย...คุณชามาร์”



             ผักกาดยังหลับอยู่บนเตียง พยาบาลบอกว่าเด็กหญิงรู้สึกตัวขึ้นมาครู่หนึ่ง แล้วหลับต่อ หมากก้มมองหลานสาวตัวน้อยด้วยจิตใจอ่อนโยน ปลายนิ้วเขี่ยแก้มซีดนั้นเบาๆ ก่อนทรุดตัวนั่งบนเก้าอี้ข้างเตียง ยกมือข้างที่พันแผลขึ้นมาดู เห็นมันบวมกว่าเมื่อคืน

             พยายามขยับปลายนิ้วมือข้างที่เจ็บ ยังแทบทำไม่ได้ อาการบวมลามขึ้นมาถึงนิ้ว ทำให้ตึง ชา ...ไม่น่าเชื่อว่ามือข้างนี้จะแสดงอาการบาดเจ็บเต็มที่ถึงขนาดนี้

             แล้วเมื่อคืน...เขาสามารถผ่าตัดในเคสที่ยากอย่างผักกาดได้อย่างไร?

             หมากหลับตานึกทบทวนเหตุการณ์หลังจากโดนพลูกระตุ้นให้มีกำลังใจ เข้าไปผ่าตัดด้วยแรงฮึด ตั้งใจมั่น ...ต้องทำให้สำเร็จ!

             พอเข้าไปในห้อง เห็นทุกอย่างถูกเตรียมไว้พร้อมสรรพ ไฟสว่างจ้า ร่างของผักกาดนอนอยู่บนเตียง ใบหน้าเล็กๆ ของหลานสาวเด่นชัดอยู่ใกล้จนเขาเกิดอาการใจฝ่อทันที

             ...ถ้าผ่าตัดพลาด...ผักกาดจะเป็นอย่างไร?

             ขณะความคิดผุดขึ้น มือเริ่มสั่นระริก ความเจ็บปวดลามจากข้อมือขึ้นสู่ต้นแขน อาการบวมปรากฏชัด

             ‘หมอคะ’ เสียงพยาบาลผู้ช่วยดังขึ้น หมากได้สติ

             มีดผ่าตัดเล่มแรกถูกยื่นมาให้ตรงหน้า หมากรู้สึกเหมือนเป็นช่วงเวลาอันแสนยาวนาน

             ...กูจะทำยังไงดีพลู... เขาร้องเรียกน้องชายในใจ

             ไม่มีคำตอบจากพลู

             หมากอึ้ง พลูตั้งใจทิ้งให้เขาต่อสู้ตามลำพัง

             ...ได้...เขาตะโกนก้องในใจ...กูต้องทำได้!

             หมากต้องการตะโกนร้องบอกพลู และตะโกนขับไล่ความกลัวในใจตนเอง

             ก้มมองใบหน้าน้อยๆ ของหลานสาวอีกครั้ง หัวใจอบอุ่นขึ้นด้วยความรัก ความเมตตาต่อร่างตรงหน้า ก่อให้เกิดกระแสอ่อนโยนขึ้นมาหล่อเลี้ยง โอบล้อมจิตใจ

             หมากรู้สึกถึงความสว่างกว้างขวางแผ่ออกมาจากกลางอก ความสว่างนั้นแปรเป็นเส้นสีขาวเล็กๆ ชอนไชไปตามเส้นประสาททั่วร่างกาย เกิดความปลอดโปร่ง ผ่อนคลาย

             เมื่อเส้นแสงสีขาวไหลไปถึงมือข้างที่เจ็บ มันก็ช่วยกรุยจุดที่ตีบตัน ขับไล่ความเจ็บปวดจนกระจายหาย ช่วยให้นิ้วมือขยับตามปกติราวกับไม่เคยเกิดอาการบาดเจ็บใดมาก่อนเลย

             คุณหมอหนุ่มเอื้อมมือรับมีดด้วยใจมั่นคง ไม่มีอาการสั่นหลงเหลือ นิ้วแต่ละนิ้วขยับไหวอ่อนพลิ้วได้อย่างใจ

             การผ่าตัดดำเนินไปอย่างราบรื่น ทุกขั้นตอนไม่มีอุปสรรค ติดขัด อาจช้ากว่าปกติบ้าง แต่เป็นการทำงานที่ละเอียด เน้นความแม่นยำสูง ไม่ปล่อยให้เกิดข้อผิดพลาดแม้สักเล็กน้อย

             หมากรู้สึกเหมือนผู้ผ่าตัดไม่ใช่ตนเอง ทว่าเป็นอีกคนที่มีทักษะ ความชำนาญแบบเดียวกับเขา หนำซ้ำยังแข็งแรง คล่องแคล่ว ใจเย็น และมีความประณีตมากกว่า

             การผ่าตัดผ่านพ้น ใช้เวลามากกว่าเคย เป็นการผ่าตัดที่สำเร็จงดงาม ขนาดเขาเห็นแล้วยังอดชื่นชมไม่ได้

             ทันทีที่วางมีด ปิดแผลเรียบร้อย พลังงานในร่างหมากก็ถูกสูบออกไปจนหมดสิ้น อ่อนเพลีย ไม่มีเรี่ยวแรง คล้ายพลังชีวิตที่มีถูกทุ่มลงไปใช้ในการผ่าตัดครั้งนี้แล้ว

             หมากออกจากห้องผ่าตัดอย่างอิดโรย มือข้างที่เจ็บยิ่งแสดงอาการปวดบวมหนักกว่าเก่า จนกระทั่งหมอเอื้อกุมมือข้างนั้นไว้ แววตา ความรู้สึกที่ถ่ายทอดออกมาแทนวาจา ทำให้หัวใจอ่อนล้า กลับกล้าแกร่ง แข็งแรง แทบจะขยับปีกโบยบิน

             เอื้อกานต์ไม่พูดอะไรสักคำ เขาก็รู้ว่าเธอมีความรู้สึกเช่นไร ความรู้สึกนั้นถ่ายทอดจากมือสู่มือ จากใจสู่ใจ ทำให้หัวใจเต็มตื้น ต่อให้ไม่ได้ยินคำบอก ‘รัก’ จากเธอ ใจก็เป็นสุขเหลือล้นแล้ว

             ไม่น่าเชื่อ...ผ่านไปแค่คืนเดียว เอื้อกานต์กลับมีท่าทีเปลี่ยนแปลงเมื่อพบคนป่วยชาวต่างชาติซึ่งถูกไวรัสอาคม

             เขาไม่รู้ว่าเธอแปลกเปลี่ยนไปเพราะพบไวรัสอาคม หรือเพราะชายคนป่วยผู้นั้น!

             ส่วนลึกในใจ เกิดสังหรณ์เร้นลับที่ไม่อาจยอมรับ นั่นคือ...เขารู้สึกว่าเอื้อกานต์น่าจะเคยพบชายคนนั้นมาก่อน หนำซ้ำความรู้สึกที่มีต่อกันอาจไม่ธรรมดา พอมาเจอกันครั้งนี้ ผู้หญิงที่ควบคุมตัวเองได้ดีมาตลอด จึงเกิดความผิดปกติบางอย่างจนเขาสัมผัสได้

             หมากตอบไม่ได้เช่นกันว่า ‘สัมผัส’ เช่นนี้มันชัดเจนตั้งแต่เมื่อไร

             สำหรับเขา...ไม่อยากเชื่อสัมผัสพิเศษของตัวเอง...เพราะ...

             ...เรื่องบางเรื่อง ถ้ารู้แล้วไม่สบายใจ สู้อย่ารู้เลยดีกว่า...

             คุณหมอหนุ่มระบายลมหายใจยาว ไล่ความฟุ้งซ่านออกจากหัว เกิดความโปร่ง โล่งเบาขึ้น...ในชั่วขณะนั้น จิตเกิดความตั้งมั่น ‘สัมผัส’ ถึงบางสิ่งบางอย่างที่อยู่ใกล้ๆ...ใกล้ขนาดที่ว่า นั่งอยู่ตรงหน้าเขาด้วยซ้ำ

             “พลู...” หมากเอ่ยเสียงแผ่ว

             ‘สัมผัส’ นั้นบอกเขาว่า พลูกำลังนั่งอยู่ตรงหน้าเขา อาจมองไม่เห็นชัดแบบตัวเป็นๆ แต่ความที่จิตเคยสื่อสารกันมาตลอด สามารถรับรู้ถึงกลิ่นอาย ความมีอยู่ของกันและกัน หมากจึงแน่ใจว่าสัมผัสนั้นไม่ได้หลอกตนเอง

             เขาไม่เคย ‘สัมผัส’ พลูในลักษณะเช่นนี้ แต่เขาไม่นึกสงสัย แปลกใจ

             “พลู” หมากเอ่ยปากอีกครั้ง สายตาเพ่งความว่างตรงหน้าเขม็ง

             “เออ...กูได้ยินแล้ว ไม่ต้องเพ่งใส่กูขนาดนั้นก็ได้ กูไม่ใช่ผี ไม่ต้องมาเพ่งขับไล่กัน”

             เสียงทุ้มนุ่มดังกังวานในหัว หมากผ่อนคลาย จิตถูกปล่อยเป็นธรรมชาติ

             “กูรักมึงจะตาย ใครจะไปไล่ลง” คราวนี้เขาตอบอย่างขำขันด้วยภาษาใจเช่นที่เคย

             “รักกูจะตาย...หน็อย...เมื่อคืนกูเห็นมึงเกือบตายจริงๆ นั่นแหละ” พลูบอกกึ่งบ่น

             “เออ...ขอบใจว่ะ เรื่องผ่าตัด ถ้าไม่ได้พลังของมึงมาช่วย กูคงแทบผูกคอตาย ถ้ารักษาผักกาดไม่ได้”

             หมากคิดว่าพลังงานสีขาวที่ชอนไชทั่วร่างเขา จนมีแรงผ่าตัดสำเร็จ มาจากพลู

             “เปล่า กูไม่ได้ช่วยมึง” พลูบอก

             “อ้าว แล้วพลังสีขาวนั่นมาจากไหน?” หมากสงสัย

             “กูจะไปรู้กับมึงมั้ยล่ะ” พลูเฉไฉ

             “ไอ้พลู” หมากเรียกเสียงหนัก ด้วยต้องการคำตอบแท้จริง

             “กูพูดจริง จะโกหกมึงหาหอกอะไร” พลูยืนยัน

             หมากนึกทบทวน...คำพูดของพลูก่อนผ่าตัดย้อนคืนมาในความทรงจำ

             “ศักยภาพของตัวเอง...เมื่อคืนมึงพูดคำนี้” หมากยกคำมาอ้าง แทนการตั้งคำถาม

             “เออแล้วไง”

             “มึงหมายความว่าไง” หมากถาม

             “กูก็หมายความตามนั้น สมองมึงไม่ได้มีแต่ขี้เลื่อยนี่หว่า คิดเอาเองสิ”

             “ไอ้พวกที่ตายไปแล้วชอบพูดกำกวมเหมือนมึงทุกตัวหรือเปล่าวะ” หมากหมั่นไส้

             “มึงก็ลองตายดูบ้างสิ” อีกฝ่ายย้อนทันควัน

             “ไม่เอาละ...เดี๋ยวมึงก็จัดรับน้องกูซะอ่วมน่ะสิ”

             พลูหัวเราะเบาๆ ความสดชื่น แจ่มใส แผ่มาถึงหมากด้วยเช่นกัน

             หมากหลับตา จิตสงบ อ่อนเบา เห็นนิมิตร่างของพลูนั่งยิ้มอยู่ตรงหน้า

             “กูคิดถึงมึงว่ะพลู” หมากส่งเสียงอ่อนโยนบอกทางใจ

             “กูก็ไม่ได้ทิ้งมึงไปไหน” พลูตอบ

             หมากเกิดความอบอุ่นขึ้นในใจ พลูไม่เคยทิ้งเขาไปไหน พลังการรักษาครั้งสุดท้ายที่พลูถ่ายทอดให้เพื่อช่วยชีวิตเขาไว้ มันยังวนเวียนอยู่ในร่างกาย จิตใจ...รอเวลาให้มันได้เพาะบ่ม ฟักตัว เพื่อเติบกล้าขึ้นมาเต็มที่อีกครั้ง...หมากจะได้รับรู้ สัมผัสถึงพลังนั้นด้วยตัวเอง

             และนั่นคือ ‘ศักยภาพ’ ที่พลูทิ้งไว้ให้เป็นมรดกแก่พี่ชายฝาแฝดก่อนตาย



(โปรดติดตามต่อฉบับหน้า)



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP