วรรณกรรมนำใจ Lite Literature

ระบำเวท ๑๔


cover rabamvej

ชลนิล




(ต่อจากฉบับที่แล้ว)



             หมากเข้าไปดูอาการผักกาด ใบหน้าเด็กหญิงเผือดซีด ไม่มีบาดแผลที่ทำให้เลือดตกยางออก แพทย์เวรชี้ให้ดูบริเวณศีรษะ หมากใช้ปลายนิ้วเกลี่ยเส้นผมเจ้าตัวเล็ก มองเห็นรอยบวมนูนขึ้นมาเนื่องจากถูกกระแทก

             เอื้อกานต์หยิบไฟฉายยื่นให้ คุณหมอหนุ่มใช้ไฟฉายส่องตรวจดูรูม่านตาหลานสาว ก่อนถอนใจหนักหน่วง หันมาบอกกับแพทย์เวรและหญิงสาว

             “ผมรบกวนหมอเอื้อช่วยพาผักกาดไปตรวจด้วยเครื่องซีทีสแกน...แล้วขอดูผลอย่างเร็วด้วยครับ”

             เอื้อกานต์พยักหน้า เข้าใจ หันไปบอกเจ้าหน้าที่ให้พาเด็กหญิงไปตรวจตามคำขอ ก่อนเอื้อมมือไปบีบมือเขาอย่างนุ่มนวล อ่อนโยน

             “ไม่เป็นไรนะคะหมอ...อาการผักกาดต้องรักษาได้”

             หมากพยักหน้ารับ ไม่อยากบอกเธอว่าเขารู้อาการของหลานสาวตั้งแต่แวบแรกที่เห็น เพียงแต่ไม่อยากยอมรับมัน ไม่กล้าเข้ามาตรวจด้วยตนเอง รอจนกระทั่งให้เอื้อกานต์เข้ามาเรียก

             ถึงอย่างนั้น เขาก็อยากเห็นผลการตรวจจากเครื่องมือทางการแพทย์อย่างละเอียดให้แน่ใจ...



             การรอคอยสิ้นสุดลงเมื่อผลการตรวจซีทีสแกนมาถึง...

             “เลือดคั่งในสมอง” ผลออกมาเป็นเช่นนี้

             ทั้งที่รู้แต่แรก หมากกลับไม่อยากยอมรับ คนที่ตั้งสติได้เร็วคือเอื้อกานต์

             “เรียกหมอวิภูด่วนเลย” หญิงสาวบอกแพทย์เวรให้ติดต่อศัลยแพทย์สมองของทางโรงพยาบาล

             “คุณหมอท่านไปต่างประเทศเมื่อเช้านี้เองครับ” แพทย์เวรบอก

             “งั้นพอจะตามจากโรงพยาบาลอื่นได้มั้ย” เอื้อกานต์รีบคิด ผลจากซีทีสแกนบอกว่า ผักกาดจำเป็นต้องได้รับการผ่าตัดโดยด่วน ไม่เช่นนั้นอาจเสียชีวิต

             “ตอนค่ำอย่างนี้ท่าจะลำบากครับ...แต่ผมจะลองดู” แพทย์เวรรีบไปหยิบสมุดรายชื่อศัลยแพทย์สมองที่พอจะติดต่อได้มาเปิดดู ค้นหาอย่างเร่งด่วน

             “ไม่เป็นไร...ไม่ต้องหาหรอก” หลังจากเห็นผลการตรวจ หมากเพิ่งเอ่ยขึ้นเป็นประโยคแรก

             “หมอ...” เอื้อกานต์เรียกเสียงอ่อน เข้าใจเจตนาคุณหมอหนุ่มคนนี้

             “ผมจะผ่าตัดเอง” หมากบอกเรียบๆ

             แพทย์เวรมองหน้าหมอหมาก เขาพอจะรู้ฝีมือ กิตติศัพท์ความเป็นอัจฉริยะของคุณหมอเคราเขียวคนนี้ การช่วยเหลือผู้บาดเจ็บจากอุบัติเหตุในวันนี้นับเป็นข้อพิสูจน์ได้

             แต่หมอหมากเพิ่งผ่านการรักษาคนเจ็บจำนวนมากจนแทบไม่ได้พักขนาดนี้ จะสามารถทำการผ่าตัดที่ละเอียดอ่อนเช่นการผ่าตัดสมองไหวหรือ?

             “ไหวหรือครับหมอ” แพทย์เวรไม่แน่ใจ

             “ช่วยเตรียมห้องผ่าตัดให้ผมที ขอเสื้อผ้าใหม่สักชุด ผมจะไปเตรียมตัวผ่าตัด” หมากพูดเรียบๆ ขณะสบตาหมอหนุ่มแพทย์เวร สายตานั้นทำให้อีกฝ่ายเกิดความเชื่อถือ ไว้วางใจ

             “ครับ...ผมจะจัดการขออนุญาต เตรียมห้องผ่าตัดให้”

             แพทย์เวรออกไปจากห้องฉุกเฉิน เอื้อกานต์จ้องตาหมาก ก่อนพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง

             “มือของหมอยังเจ็บแบบนี้ เสี่ยงผ่าตัดให้ผักกาดไม่ไหวหรอกค่ะ”

             “ผมผ่าตัดได้” เขาพูดสั้นๆ แววตาเปลี่ยนเป็นอีกคน

             “อย่าดื้อสิหมอ” เอื้อกานต์ทัดทาน

             “อาการของผักกาดรอช้าไม่ได้ ศัลยแพทย์สมองไม่ได้หาง่าย กว่าคุณจะหาหมอมาผ่าตัดให้ได้ มันอาจสายเกินไป”

             เอื้อกานต์นิ่ง ส่วนหนึ่งยอมรับในคำพูดเขา

            “หมอเอื้อ...” หมากพูดเสียงอ่อน “ไว้ใจผมมั้ย”

            พอเขาพูดเช่นนี้ เอื้อกานต์รู้สึกถึงพลังแฝงที่ซ่อนเร้นอยู่ในตัวคุณหมอผู้เหลือเชื่อคนนี้

            “เอื้อเชื่ออยู่อย่างนึงว่า...” หญิงสาวเงยหน้าตอบเขา “หมอคงไม่ยอมเอาชีวิตหลานสาวคนเดียวมาเสี่ยงแน่ๆ”

             “ครับ” หมากรับคำสั้นๆ แววตาอย่างที่เคยปรากฏยามทุ่มเทรักษาผู้บาดเจ็บในอุบัติเหตุใหญ่กลับมาอีกครั้ง

            “เอื้อเชื่อใจหมอค่ะ”

            เพียงคำนี้...ที่เขาต้องการได้ยิน เพียงคำนี้...ที่ช่วยกระตุ้นพลังแฝงภายในให้ลุกโชน ต่อให้หมากหมดเรี่ยวแรง แทบล้มประดาตาย หากได้ยินคำพูดเช่นนี้จากผู้หญิงตรงหน้า ก็ไม่มีอะไรที่เขาจะทำไม่ได้อีกแล้ว







บทที่ ๑๒



             ความโง่กับความบ้า ห่างกันแค่เส้นบางๆ

             การกระทำของทรงกลดไม่ได้เกิดจากความโง่ และยิ่งไม่ใช่ความบ้าบอ เสียสติ

             เขายอมเอาตัวเองเข้าแลก รับไวรัสอาคมแทนคนที่ไม่รู้จัก เพราะเห็นว่า หนึ่งชีวิตมนุษย์มีค่า ไม่ว่าคนนั้นจะดีหรือเลว

             หนึ่งชั่วชีวิตคนเรานี้ มีโอกาสทำดีทำเลวสลับกัน ความเปลี่ยนแปลงในใจคนเกิดขึ้นได้เสมอ

            หากใช้หนึ่งชีวิตของเขา แลกกับผู้คนนับร้อยนับพันชีวิต นับว่าคุ้มค่าอย่างยิ่ง

            ความคุ้มค่าเช่นนี้ จำเป็นต้องมีสิ่งแลกเปลี่ยนเช่นกัน

            ไวรัสอาคมจากปิศาจหนึ่งตน สามารถทำให้ผู้คนรับความเจ็บปวดทรมานจนตายได้เป็นสิบเป็นร้อย

            ทรงกลดรับไวรัสอาคมจากปิศาจที่เหลือทั้งหมดจากพวกที่เล็ดรอดออกไปกลุ่มแรก ความเจ็บปวดทรมานย่อมทบเท่าทวีคูณ

            ยังดีเขามีตบะกล้า อาคมแกร่ง สามารถสลายอาคมที่แฝงมากับไวรัสได้เกินกว่าครึ่ง ถึงอย่างนั้นร่างกายยังเป็นมนุษย์ปกติ ไม่ใช่เหล็กไหล เมื่อโดนเชื้อโรค ไวรัสจำนวนมากจู่โจม ย่อมเกิดอาการเจ็บป่วย อีกทั้งยังมีฤทธิ์อาคมค้างคา ความทุกข์ทรมานจึงไม่น้อยเลย

             อาศัยที่เขาผ่านการฝึกฝนอย่างเข้มงวดมาหลายปี จึงมีสติ ความอดทน มากเกินกว่าคนธรรมดา สามารถประคองตัวเองออกมาจากสตูดิโอ พยายามเสาะหาที่พักรักษาตัวได้

             ลงจากลิฟต์มาถึงชั้นล่าง หัวมึนเบลอ สติมาเป็นวูบๆ เดินเซนิดๆ ต้องก้าวขาช้าๆ หาทางออกจากตึก จนมานั่งพักที่ป้ายรถเมล์ริมถนนได้สำเร็จ

             ชายหนุ่มระบายลมหายใจยาว รู้สึกถึงความร้อนผ่าวจากข้างในร่างกายผสานออกมากับลมหายใจ พิษไข้เริ่มปรากฏ ไวรัสธรรมดาเช่นไข้หวัด ไข้เลือดออก เมื่อถูก ‘ปรุง’ อย่างเหมาะสม มันจะกลายเป็นไวรัสพันธุ์พิเศษ ยิ่งผสานอาคมกล้า ก็กลายเป็นอาวุธชีวภาพที่ไม่มีในสารบบใดๆ บนโลก

             ทรงกลดตั้งสติ นั่งนิ่งกำหนดสมาธิ พยายามสลายอาคมไลลาที่เหลือ

            ท่ามกลางความจอแจของรถราวิ่งผ่านไปมา และผู้คนที่แวะเวียนมารอรถอย่างไม่ขาดสาย ทรงกลดกระทำตนให้เหมือนอยู่กลางป่าเปลี่ยวเพียงผู้เดียว ไม่ใส่ใจใคร และไม่มีคนสนใจการมีอยู่ของเขา

            ร่วมชั่วโมงเศษ กำลังสมาธิคลายลง อาคมไลลาเหลือเบาบางแล้ว หากเขาก็หมดกำลังสลาย เพราะพิษไข้กำเริบหนัก ใบหน้าซีดสลับแดง สะบัดร้อนสะบัดหนาว ผื่นแดงเริ่มขึ้นตามตัว

             อาคมไลลาพอจะขับออกไปได้ ถ้ามีเวลา แต่พิษไข้จากเชื้อไวรัสจำนวนมาก ต้องรับการรักษาจากแพทย์โดยด่วน

             สติทรงกลดเริ่มหายเป็นวูบๆ พยายามฉุดรั้ง กระตุ้นเท่าไรก็ไม่เป็นผล มนุษย์ธรรมดาโดนไวรัสอาคมไลลาขนาดนี้ รับรองมีชีวิตไม่เกินสิบนาที

             เขาประคองตัวมาถึงตอนนี้ แถมยังสลายอาคมออกไปได้เกือบหมด แทบเป็นเรื่องปาฏิหาริย์ ยากจะหาใครทำได้อีกแล้ว

             พิษไข้กำเริบ บั่นทอนกำลังสติ สมาธิ ทรงกลดแทบไม่รู้สึกตัว อาจล้มพับได้ทุกเมื่อ

             สติและความรู้ตัวเท่าที่หลงเหลือ บอกเขาว่า จำเป็นต้องไปหาหมอ รักษาอาการป่วยโดยเร็วที่สุด ไม่เช่นนั้นเขาคงเสียชีวิตภายในเวลาไม่นาน

             ทว่าความคิดอ่านกลับตีบตัน นึกไม่ออก...จะไปหาหมอที่ไหน...โรงพยาบาล...คลินิก ที่ไหนจะปลอดภัยสำหรับคนไม่มีตัวตนเช่นเขา

             ถ้าไม่ไปหาหมอ ชีวิตคงรอดยาก ควรทำเช่นไร...จะยอมตายง่ายดายแบบนี้หรือ?

             ทรงกลดลุกขึ้นยืน ประคองตัวเท่าที่ทำได้ สมอง ความคิดอ่านว่างโล่ง ตอบไม่ถูกว่าตัวเองจะไปไหน ทำเช่นไร ได้แต่ปล่อยให้สัญชาตญาณเป็นผู้ชี้นำ...ให้ความรู้สึกส่วนลึกในใจเป็นผู้บอกทาง



             คลินิกคนยาก

             หัวค่ำ ฟ้ามืด

             อาจารย์หมอเพิ่งตรวจอาการ จ่ายยาให้คนไข้รายสุดท้ายของวันเสร็จ ก็บอกให้ลุงไม้ คนดูแลคลินิก จัดการปิดคลินิก พร้อมกลับบ้าน

             “คนไข้วันนี้เยอะเหมือนเคยนะครับหมอใหญ่”

             “คนเรามันเจ็บป่วยกันได้ทุกวันนี่ไม้...เรื่องปกติ” หมอใหญ่ตอบอย่างเห็นเป็นเรื่องธรรมดา

             “วันนี้หมอเคราเขียวแกเบี้ยว ไม่ยอมมาคลินิกช่วงบ่าย” ลุงไม้บอกแกมฟ้อง

             “เขามีธุระน่ะ โทร. บอกฉันตั้งแต่เมื่อวานแล้ว” อาจารย์หมออธิบาย

             “อย่างนี้สงสัยจะอยู่ไม่นาน คงเตรียมตัวไปที่อื่นต่อแน่ๆ”

             “ทำไงได้ล่ะไม้ ที่นี่เราไม่ฝืนใจใคร...อยากมาช่วยกันก็มา เบื่อก็ไปได้ ฉันไม่ว่าอะไร”

             “เฮ้อ...หมอใหญ่ก็เป็นซะแบบนี้ ใจดีกับคนเขาไปทั่ว ตัวเองลำบากยังไงไม่ว่า”

             อาจารย์หมออมยิ้ม ไม่ตอบโต้ เก็บของส่วนตัวใส่กระเป๋า เตรียมตัวกลับบ้าน ส่วนลุงไม้ก็เดินออกจากห้องเพื่อไปปิดคลินิกตามคำสั่ง

             สักพักอาจารย์หมอได้ยินเสียงลุงไม้ร้องเรียกมาจากหน้าคลินิก

             “หมอใหญ่ครับ...หมอใหญ่” เสียงแบบนี้แสดงว่ามีคนไข้ฉุกเฉินเข้ามา

             อาจารย์หมอรีบออกไปดู พบคนไข้ฉุกเฉินตามคาด เพียงแต่อาการป่วยที่เห็น ไม่คิดว่าจะเจอในคลินิกแถวนี้

             คนป่วยเป็นผู้ชาย นั่งแปะหมดสภาพบนเก้าอี้หน้าคลินิก ผิวขาวเผือดออกแดง เค้าโครงรูปหน้าคมสวย นัยน์ตาแดงซ่านด้วยพิษไข้ เมื่อเข้าไปดูใกล้ๆ ก็เห็นจุดเลือดสีแดงเด่นชัดบนผิวขาวของเขา

             “คุณ...เป็นยังไงบ้าง?” อาจารย์หมอถามกึ่งเรียกสติคนป่วย

             ชายผู้นั้นไม่ตอบ ร่างกายอ่อนปวกเปียกแทบไร้เรี่ยวแรง นัยน์ตาแดงซ่านไม่ตอบสนองต่อเสียงพูด คำถาม

             “คุณ...” หมอใหญ่เรียกอีกครั้ง เอื้อมมือไปแตะแขนคนป่วยเบาๆ

             กระไอร้อนจัดแผ่วูบจนร้อนวาบ หมอใหญ่รีบหันไปบอกลุงไม้ที่ยืนคอยอยู่ด้านข้าง

             “ไม้...ช่วยประคองคนป่วยเข้าไปข้างในที ไข้ขึ้นสูงขนาดนี้อาจช็อกได้ง่ายๆ”

             ไข้ขึ้นสูง มีจ้ำเลือดแดง อาจติดเชื้อไข้เลือดออก...นี่เป็นข้อสันนิษฐานแรกของนายแพทย์อาวุโส เพียงแต่มีข้อแตกต่างจากคนไข้รายอื่น...ความร้อนจากพิษไข้ในกายผู้ป่วยขณะนี้ มันสูงเกินคนธรรมดาจะรับไหว

             เหตุใดชายผู้นี้ถึงสามารถประคองตัวมาถึงคลินิกได้โดยไม่มีใครช่วยเหลือ



             หมากอาบน้ำ เปลี่ยนเครื่องแต่งตัวใหม่ ร่างกายสดชื่น ความอ่อนเพลียจางหาย ทว่าจิตใจกลับหนักอึ้ง เหมือนกำลังแบกภูเขาที่ไม่อาจวางลงได้

             หยุดยืนตรงหน้ากระจก จ้องเงาสะท้อนของตัวเอง รับรู้ถึงลมหายใจเป็นสาย เกิดความผ่อนคลายชั่วขณะ

             เงาสะท้อนมีรอยยิ้มน้อยๆ แววตาคู่นั้นอ่อนโยน ส่งกระแสใจอบอุ่น เชื่อมโยงสัมผัสได้

             “พลู...” หมากส่งเสียงเรียก

             เงาของชายหนุ่มในกระจกพยักหน้ารับ แทนการทักทาย

             “พลู...ตอนนี้กูอยากมีมือวิเศษอย่างมึง ที่ใช้รักษาคนได้ว่ะ” คำพูดแผ่วเบา บอกความลังเล ไม่มั่นใจตนเอง

             “มือของมึงก็วิเศษ...หมาก” เสียงตอบดังกลางใจ “มือของมึงช่วยรักษาคนมากกว่ากูอีก”

              “แต่กูไม่สามารถรักษาทุกคนหายได้อย่างมึง” หมากเถียง

             “กูก็รักษาทุกคนไม่ได้เหมือนกัน” พลูย้อน

             หมากอึ้ง คนที่พลูรักษาไม่ได้...หรือพูดให้ถูก ไม่ทันได้รักษา...คือตัวของพลูเอง

             “กู...กลัว” หมากบอกความรู้สึกในใจออกมา “มือกูไม่ได้สมบูรณ์ร้อยเปอร์เซ็นต์อย่างที่คิด”

             หมากชูมือที่พันแผลของตนขึ้นโชว์หน้ากระจก

             “แล้ว...จุดที่เลือดคั่งในหัวของผักกาดมันเสี่ยง อันตรายมาก...ถ้ากูพลาดแม้แต่นิดเดียว...กูคงไม่กล้ามองหน้าข้าว...ตลอดชีวิต”

             “มือมึงเจ็บ ไม่ได้แปลว่ามือด้วน ใช้งานไม่ได้ มึงยังไม่ได้ผ่าตัด รู้ได้ยังไงว่าจะพลาด มึงยังไม่ได้ทุ่มเททั้งกายทั้งใจ แล้วจะรู้ศักยภาพตัวเองจริงๆ ได้ยังไง” พลูดุ

             “กูไม่เคยกลัวการผ่าตัดครั้งไหนมากเท่าครั้งนี้เลย” หมากสารภาพ

             “เพราะที่ผ่านมา มึงเชื่อมั่นตัวเองเกินร้อย มึงทำสำเร็จเกือบทุกราย ต่อให้มึงไม่แสดงท่าทางโอ้อวดฝีมือกับใคร ใจมึงก็รู้ว่ามึงเก่ง ฝีมือผ่าตัดขั้นเทพ มึงหลงคำชื่นชมที่ใครเขายกย่องว่ามึงเป็นหมออัจฉริยะ ศัลยแพทย์สมองระดับโลก จนมั่นใจกระทั่งไม่เคยกลัวการผ่าตัดครั้งไหน เพียงแต่มึงไม่เคยแสดงออกมาเท่านั้นเอง”

             หมากสะอึก เถียงไม่ออก หากคนอื่นพูดเช่นนี้ เขาคงค้านหัวชนฝา...หมออย่างเขาไม่เคยหลงใหลได้ปลื้มกับคำชม เยินยอใดๆ เขาคิดว่าตัวเองเป็นหมอธรรมดาคนหนึ่ง ที่พอใจแค่ได้รักษาคนป่วย ช่วยเหลือ สร้างประโยชน์กับผู้คนในถิ่นแสนไกล ที่ไม่มีหมอคนไหนกล้าเหยียบย่างไปถึง...

             พอได้ยินคำพูดของพลู คนที่รู้ใจเขาดีกว่าใครๆ พลูหยิบปมความหลงตัวเองในใจของเขาออกมาตีแผ่...ความหลงเชื่อมั่นตัวเองที่เขาไม่เคยมองเห็นมาก่อน

             หมากไม่เคยแสดงท่าโอ้อวดฝีมือต่อใคร เพราะเขารู้แก่ใจว่าตัวเองเก่ง จะมีคนชมหรือไม่มี ก็ไม่ทำให้ฝีมือ ความสามารถของเขา เพิ่มขึ้นหรือลดทอนลง

             การที่เขาออกไปช่วยรักษาคนในดินแดนอันตราย หมอทั่วไปไม่กล้าไปถึง ก็เพราะมันยิ่งช่วยขับเน้นปมเด่นของเขาว่า...นอกจากฝีมือผ่าตัดเป็นเลิศแล้ว จิตใจยังกล้าหาญ มีคุณธรรมอีกด้วย

             เรื่องเหล่านี้ไม่มีใครเคยเอ่ยตรงๆ ใส่หน้าเขา...ความหลงตัวเอง เชื่อมั่นในตัวเอง มันพอกพูนตามระยะเวลาแห่งความสำเร็จที่ได้รับ

             จนกระทั่งมาเจอเคสที่ ‘พลาดไม่ได้’ ในยามที่มือบาดเจ็บ ใช้งานไม่เต็มร้อยแบบนี้

             ความมั่นใจจึงถูกสั่นคลอน...จะเป็นอย่างไร...ถ้าเขาผ่าตัดพลาด หลานสาวคนเดียวได้รับอันตรายเกินเยียวยารักษา

             แรกที่ประกาศตัวจะผ่าตัด ก็เพราะความมั่นใจในฝีมือตน พอถึงตอนนี้ ตรวจสอบสภาพร่างกายและตรวจเช็คจุดที่ต้องผ่าตัดแล้ว...เขาก็เกิดความลังเลใจ

             หมากกลัว...ไม่กล้าผ่าตัด...เพราะการผ่าตัดครั้งนี้พลาดไม่ได้!

             เขาไม่มีความมั่นใจว่าจะไม่พลาด!

             มือของเขาไม่สมบูรณ์เต็มร้อย แรงกระแทกจากกล่องเครื่องมือเหล็ก รวมกับเครื่องมือช่างในนั้น ทำให้มือเขาฟกช้ำ เป็นแผล ควรพักการใช้มืออย่างน้อยสองสามวัน

             แต่เขากลับใช้มือข้างนี้ช่วยเหลือผู้บาดเจ็บจากอุบัติเหตุตั้งแต่บ่ายยันค่ำชนิดไม่ห่วงตัวเอง อาการบอบช้ำภายในกล้ามเนื้อยิ่งเพิ่มมากขึ้น...พอมันได้พัก ร่างกายจึงแสดงอาการอ่อนล้าให้เห็น

             ยิ่งได้อาบน้ำ ชำระร่างกาย เตรียมตัวผ่าตัด มือข้างนั้นยิ่งแสดงอาการหนักกว่าเดิม มันปวดร้าว แข็งทื่อเหมือนถ่วงด้วยลูกตุ้มหิน นิ้วแทบกระดิกไม่ได้ อย่างนี้จะผ่าตัดสมองช่วยหลานสาวได้อย่างไร?

             ความไม่มั่นใจ ความกลัวการผ่าตัดพลาดพลั้ง จึงจู่โจมทำร้ายจิตใจ...เป็นคนอื่นอาจตั้งสติเร็ว สลัดความรู้สึกเหล่านี้ออกจากหัวไม่ยาก แต่กับหมอหมากที่มั่นใจเกินร้อย ภูมิใจในความสามารถตนเองเต็มที่ เขาจึงตกอยู่ในสภาพก้าวไปข้างหน้าไม่ได้ ถอยหลังยิ่งไม่อาจกระทำ

             จนกระทั่งโดนพลูตอกหน้า เอาความหลงผิดในใจออกมาตีแผ่ชัดๆ หมากจึงมองเห็นตนเองในอีกด้าน สุดท้ายค่อยยอมรับความจริง ตั้งสติสำเร็จ ความมั่นใจกลับคืนมา

             ...มือเจ็บแค่นี้จะเป็นไรไป ต่อให้มันกระดิกไม่ได้ ก็ไม่มีวันทำให้จิตใจที่อยากช่วยเหลือของเขาลดลง

             จริงอย่างที่พลูมันด่าไว้

             ‘มึงยังไม่ได้ทุ่มเททั้งกายทั้งใจ แล้วจะรู้ศักยภาพตัวเองจริงๆ ได้ยังไง’

             หมากจ้องมองใบหน้าที่สะท้อนออกมาจากกระจก รอยยิ้มปลอดโปร่งใจปรากฏบนใบหน้า

             “ขอบใจว่ะ...พลู” หมากพูดเสียงหนักแน่น

             รอยยิ้มในดวงตาของพลู ส่งกระแสกำลังใจมาให้เปี่ยมล้น

             หมากยกมือข้างที่เจ็บทาบกับกระจก...หลับตา...ระลึกถึงมือของพลูที่เคยตบสัมผัส ยามช่วยเหลือผู้คนสำเร็จ

             “กูต้องช่วยผักกาดสำเร็จ” หมากลืมตา มีประกายกล้าฉายในดวงตาคู่นั้น

             “เรามาช่วยหลานด้วยกันนะพลู...”

             คำพูดนี้แสดงชัด เขาไม่เคยคิดว่าพลูจากไปไหน น้องชายฝาแฝดยังอยู่ใกล้ คอยสนับสนุน ร่วมแรงร่วมใจกัน ไม่ต่างกับยามมีชีวิตอยู่



             สติของทรงกลดแหว่งวิ่นเต็มที เขาประคองร่างกายมาถึงคลินิกคนยากด้วยสัญชาตญาณแท้ๆ

             ชายหนุ่มคิดว่าครั้งนี้คงไม่รอดชีวิต เหล่าผู้คนที่เขาเคยสังหาร ปรากฏเป็นปิศาจห้าตนยืนแสยะยิ้มเย้ยหยันในนิมิต...พวกมันรอการชดใช้ และเวลาของการชดใช้คงใกล้เข้ามาเต็มที

             เมื่อคิดว่าต้องตาย ทรงกลดถามตัวเอง...มีเรื่องใดบ้างต้องการสะสาง มีงานชิ้นไหนอยากทำให้สำเร็จ

             ...ไม่มี...ไม่มีอะไรเลย...เขาแค่ต้องการเห็นหน้าผู้หญิงคนหนึ่งเป็นครั้งสุดท้ายเท่านั้น...เอื้อกานต์...

             สมองมึนเบลอ นึกไม่ออกควรไปหาเธอที่ไหน คอนโดฯ โรงพยาบาล...เวลานี้ เอื้อกานต์ควรอยู่ที่ไหน?

             ภาพความทรงจำเกี่ยวกับเอื้อกานต์ช่วงหลัง คือตอนที่เธอมาช่วยอาจารย์หมอดูแลคนป่วยที่คลินิกคนยาก สถานที่ที่เขาแอบลอบมองเธอได้นานๆ โดยเจ้าตัวไม่รู้สึกผิดปกติ

             เมื่อภาพในความทรงจำปรากฏ เขาจึงตะเกียกตะกายมา ไม่มีสติ ความคิดไตร่ตรองสักนิด...เวลาขนาดนี้ เอื้อกานต์ไม่น่าอยู่ที่คลินิกแล้ว

             มาถึงตอนคลินิกใกล้ปิด สติ ความรู้สึกตัวใกล้ดับเช่นกัน สภาพทรงกลดตอนนี้แทบไม่อาจประคองตัวไหว พอไม่เห็นเอื้อกานต์อยู่ในคลินิก ใจก็ท้อ พาลหมดเรี่ยวแรง ต้องฝืนลากขามานั่งแปะอย่างหมดสภาพบนเก้าอี้ที่จัดไว้สำหรับคนไข้ที่มารอพบแพทย์

             หูแว่วเสียงลุงไม้เรียกอาจารย์หมอคล้ายกับฝันไป

             “หมอใหญ่ครับ...หมอใหญ่...”

             เพียงเท่านี้ ความรู้สึกก็ดับวูบ ความสามารถในการกดข่มพิษไข้อาคมล้วนหายสูญ แรงกาย พลังใจ ไม่มีเหลือ ได้แต่ปล่อยให้ความเจ็บปวด ทุกข์ทรมาน ครอบงำ ไม่อาจฉุดรั้ง ช่วยตัวเองได้อีก

             ความร้อนรุ่มภายในกายโหมกระพือ เกิดอาการกระสับกระส่าย ดิ้นรน ร้อนเร่า เผาไหม้ไม่ผิดกับอยู่ในไฟนรก ร่างกายเหมือนถูกฉีกเฉือนเป็นชิ้นๆ...ครั้งแล้วครั้งเล่า ซ้ำแล้วซ้ำอีก

             ความเจ็บปวด ทุกข์ทรมานเช่นนี้ ยืดเยื้อยาวนานราวกับไม่มีที่สิ้นสุด ไม่เหลือสติ ไม่เหลือสมาธิ ไม่มีกระทั่งความรู้สึกเป็นตัวของตัวเอง

             ทรงกลดรู้สึกเหมือนถูกโยนไปโยนมาระหว่างความเจ็บปวดร้อนเร่า กับความเคว้งคว้าง ไม่รู้เหนือใต้ ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นใคร อยู่ที่ไหน รอบตัวประเดประดังด้วยความทุกข์...และทุกข์อย่างไม่มีที่สิ้นสุด

             ภาพของคนทั้งห้าที่เขาสังหารด้วยอาคมลอยวนเวียน แสยะยิ้มสาสมใจ เสียงหัวเราะกังวานก้องไปมา แสดงความยินดีสะใจ

             เวลาแห่งการชดใช้...เวลาแห่งการชดใช้...

             ประโยคนี้สะเทือนชัดในความรู้สึก

             เมื่อเวลาแห่งการชดใช้มาถึง เขายอมรับได้หรือไม่?

             ตั้งแต่ทรงกลดสำนึกในความผิดของตน เขาก็พร้อมสำหรับการชดใช้กรรมอยู่แล้ว

             ยอมรับสิ...เสียงในใจประกาศก้อง

             ยอมรับ...ไม่ว่าจะเจ็บปวดทุกข์ทรมานแค่ไหน ถ้ามันชดใช้ ชดเชยบาปกรรมที่เคยก่อไว้ได้ เขายอมรับเสมอ

             เพราะต่อให้ทุกข์หนักสาหัสปานใด...มันก็ไม่เกินไปกว่ากรรมที่เขาสร้างไว้อยู่ดี!

             ทุกข์ให้รู้

             ไม่มีประโยชน์ที่จะทำอะไรมากกว่านี้

             รู้ทุกข์ตามความเป็นจริง…ความจริงที่บอกว่ามันไม่ทนทาน...ถึงเวลาก็ต้องจากไป



             ความรู้สึกตัวคืนมาเป็นห้วงๆ จิตใจไหลเลื่อน ระลึกถึงอดีต...เหตุการณ์หลังจากเครื่องบินระเบิด

             เขาพบ ฮันเตอร์ คิม จากนั้นลักลอบกลับเมืองไทย แอบสืบเบื้องหลังการตายของครอบครัว ได้เห็นวันที่เถ้ากระดูกพ่อแม่ถูกนำกลับบ้านเกิดเมืองนอน

             วันนั้นเอื้อกานต์ ทีเกื้อ ไปรอรับถึงสนามบิน

             เอื้อกานต์กอดโถกระดูกแล้วร้องไห้ น้ำตาแทบเป็นสายเลือด นอกจากเธอจะคิดว่ามีกระดูกเขาอยู่ในนั้นแล้ว เธอยังรักพ่อแม่เขาไม่ต่างจากบิดามารดาตัวเอง

             ทีเกื้อยืนเป็นหลัก โอบกอดพี่สาวตนเองไว้ ไม่ยอมให้ซวนเซ พูดจาปลอบประโลม เรียกสติ ให้กำลังใจ ช่วยซับน้ำตาพี่สาวด้วยจิตใจอันเข้มแข็งของตน

             วินาทีนั้น ทรงกลดแทบทิ้งทุกอย่างแล้ววิ่งออกไปหาหญิงสาวคนรัก ถ้าหากไม่ถูกผู้เป็นอาจารย์เรียกรั้งเอาไว้ ชี้ให้เห็นถึงความแค้นสุมอก...เรื่องเลวร้ายที่ครอบครัวโดนกระทำ

             ทรงกลดเลือกก้าวสู่ถนนสายชำระแค้น ตระเวนร่ำเรียนวิชาอาคม ศาสตร์เร้นลับกับ ฮันเตอร์ คิม ไปทั่วโลก จนฝีมือกล้าแกร่ง พร้อมกลับมาทวงความยุติธรรม

             เขาปลอมแปลงโฉม สวมหน้ากากหนัง อีกทั้งยังฝังความคิดใหม่ ให้กลายเป็นอีกคน

             “คิม” บุรุษผู้มีชีวิตเพื่อการแก้แค้น

             ฮันเตอร์ คิม อาจารย์เขา ตอกย้ำชัดเจน เมื่อเป็นคิม...ต้องเป็นคิมทั้งกายและใจ แม้กระทั่งฝัน เขาก็ต้องฝันว่าตนเองมีใบหน้าใหม่ ความคิดแบบใหม่ ไม่ใช่ทรงกลดอีกต่อไปแล้ว

             ทรงกลดสามารถเป็นคิมทั้งกายและใจอย่างสมบูรณ์ในตอนแรก

             เขายืนมองเอื้อกานต์อย่างคนไม่รู้จัก ไม่เคยพบหน้า พูดจากับทีเกื้อเช่นคนแปลกหน้า กระทั่งกล้าทำร้าย วางยาน้องชายคนรัก ด้วยเห็นเป็นนายตำรวจ ฝ่ายตรงข้ามที่กำลังเข้ามาขวางเส้นทางแก้แค้น

             เขาสามารถแก้แค้น สังหารเหยื่อได้ถึงห้าราย จากทั้งหมดเจ็ดราย เป็นการสังหารด้วยอาคมอย่างแนบเนียน ไร้ร่องรอย ไม่มีหลักฐาน ไม่มีใครสามารถสืบสาวเอาผิดหรือขัดขวางได้

             ทว่าทีเกื้อกลับตามรอยถึงตัวเขาสำเร็จ กระนั้นนายตำรวจหนุ่มก็รู้ว่าไม่มีวิธีใดเอาชนะเขาได้ จึงพยายามเจรจาอย่างจริงใจ ขอร้องอย่างเปิดอก ขอให้เขาหยุดสังหารเหยื่อรายต่อไปเสีย

             ‘ผมจะฆ่าคุณก็ไม่ได้ จะหยุดคุณก็ไม่ได้ มันเหลือแค่ทางเลือกเดียว...คือขอร้องคุณ’

             คำพูดเปิดอกชนิดที่ทีเกื้อไม่เคยพูดกับใครมาก่อน สั่นคลอนความเป็น ‘คิม’ อย่างแรง จนเขาเผลอใจอ่อน หลุดความเป็น ‘ทรงกลด’ ออกมาเป็นครั้งแรก

             หลังจากนั้น ‘หน้ากาก’ ของคิม ก็หลุดล่อนมาเรื่อยๆ จนถึงเหยื่อรายสุดท้าย ทีเกื้อก็สามารถทำให้เขาตาสว่าง มองเห็นโทษของการโอบกอดความอาฆาตแค้น สำนึกในความผิดของตนจนกล้าเลือกเดินบนถนนสายใหม่...ชื่อถนนสายชำระบาป

             การสร้างคุณงามความดี ไม่อาจลบล้างบาปกรรมที่เคยกระทำ

             บุญคือบุญ บาปคือบาป ลบล้างกันไม่ได้

             สิ่งที่พอจะทำได้ในปัจจุบัน คือสร้างกรรมดีในฝั่งตรงข้ามกับบาปเก่าที่เคยกระทำ เพื่อเพิ่มน้ำหนักตาชั่งฝ่ายกุศลให้มีแรงกำลังมากขึ้นเรื่อยๆ

             เมื่อเขาทำกรรมชั่วด้วยการฆ่าคน เขาก็ต้องทำกรรมดีฝั่งตรงข้ามด้วยการช่วยเหลือผู้คน!

             ช่วงเวลาที่ผ่านมา เขาแอบช่วยเหลือผู้คนแบบเงียบๆ ในเงามืดโดยไม่มีใครรู้

             จนล่าสุดนี้ เขากล้าเอาตัวเองเข้าไปรับไวรัสอาคมทั้งหมด เพื่อไม่ให้ผู้คนจำนวนมากต้องเจ็บป่วย ล้มตาย

             การกล้าใช้หนึ่งชีวิตของตนเองแลกกับชีวิตผู้คนนับร้อยนับพัน...นับเป็นการสร้างกรรมฝั่งตรงข้ามครั้งใหญ่ครั้งหนึ่ง...เพียงแต่...มันจะเป็นการทำความดีครั้งสุดท้ายหรือไม่?

             การกระทำครั้งนี้ เขาเต็มใจ ต่อให้ย้อนเวลาได้ เขาก็จะทำเช่นเดิม ไม่เคยคิดเสียดายชีวิต แม้จะต้องตายไปในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า เขาก็พร้อมยอมรับ...ไม่เคยคิดตัดพ้อ เสียใจ

             จิตใจทรงกลดสงบลงเมื่อระลึกถึงความดีที่ได้กระทำ ความทุกข์ทรมานถูกจำกัดให้รุมเร้าแค่ร่างกาย ขณะที่จิตใจค่อยเยือกเย็น ตั้งมั่น เกิดความรู้สึกตัวทีละน้อย...



             เวลาภายนอกผ่านไปนานเท่าใดตอบไม่ถูก ทรงกลดรู้แค่ความทุกข์ทรมานดูเนิ่นนานชั่วกัปชั่วกัลป์

             รู้สึกตัว หูได้ยินเสียง แต่ไม่มีเรี่ยวแรงกระทั่งลืมตา ร่างกายยังทุกข์ทรมาน ไม่อาจขยับเขยื้อนได้ตามความต้องการ

             จากเสียงที่ได้ยิน คิดว่าเวลาภายนอกไม่ได้ผ่านไปนานเท่าที่คิด

             เขาอยู่ในโรงพยาบาล ไม่ใช่คลินิกคนยาก มีเสียงเรียกดังข้างหูเป็นระยะ

             “คุณชามาร์...ได้ยินเสียงหมอมั้ย...คุณชามาร์...”



             การรอคอยนับเป็นความทุกข์ทรมานอย่างหนึ่ง โดยเฉพาะรอคอยความหวัง

             ข้าวหอม...แม่ของหนูผักกาด นั่งรออยู่หน้าห้องผ่าตัดด้วยความหวังแรงกล้า ไม่ขยับไปไหน ในใจนึกภาวนา อ้อนวอนต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ขอให้ลูกสาวตัวน้อยปลอดภัย การผ่าตัดประสบผลสำเร็จ

             สามีของเธอนั่งอยู่เคียงข้าง คอยให้กำลังใจ สลับกับลุกขึ้นไปหาเครื่องดื่มร้อนๆ มาให้ภรรยา ลูบหลังไหล่พูดจาปลอบโยน ทั้งที่จิตใจตนเองก็กระวนกระวาย เป็นห่วงลูกสาวไม่น้อยไปกว่ากัน

             เอื้อกานต์นั่งมองสองสามีภรรยาด้วยความชื่นชม ร่วมภาวนากับพวกเขา ขอให้แม่หนูน้อยปลอดภัย การผ่าตัดสำเร็จด้วยดี...เธอทำได้เพียงเท่านี้

             สิ่งหนึ่งที่เธอรู้มากกว่าสองสามีภรรยา นั่นคือจุดที่เลือดคั่งในสมองผักกาด เป็นจุดเสี่ยง อันตราย หากศัลยแพทย์ไม่แม่นยำ เก่งจริง ก็ยากจะผ่าตัดสำเร็จ ปลอดภัย

             เอื้อกานต์เชื่อว่า หากหมอหมากร่างกายสมบูรณ์พร้อม การผ่าตัดย่อมไม่มีปัญหา แต่เธอก็รู้อีกว่า มือของเขาเจ็บมากกว่าที่แสดงออกมาให้เห็น...เรียกว่า ถ้าเป็นศัลยแพทย์คนอื่น มีอาการบาดเจ็บแค่ครึ่งเดียวของเขา ศัลยแพทย์ท่านนั้นคงไม่กล้าจับมีดรักษาใครแน่นอน

             เธอทำได้เพียงเอ่ยปากเตือนเขา กระทั่งได้เห็นแววตามุ่งมั่น กระแสความมั่นใจ และพลังข้างในตัวที่แผ่ออกมาโดยเขาไม่รู้ เอื้อกานต์จึงค่อยกล้ายอมรับ ไว้ใจ

             ถึงเวลานี้ การผ่าตัดดำเนินไปอย่างไรสุดรู้ จิตใจคนคอยล้วนกระสับกระส่าย กระวนกระวายนั่งแทบไม่ติดเก้าอี้ ยิ่งรู้ว่าการผ่าตัดควรสิ้นสุดแล้ว ใจยิ่งไม่เป็นสุข

             ไว้ใจก็ส่วนไว้ใจ แต่ความเป็นห่วง กังวลใจ ใช่ว่าจะไม่มี

             เข็มนาฬิกาเดินช้าๆ เวลานี้ การผ่าตัดน่าจะเสร็จแล้ว ยิ่งฝีมือระดับหมอหมากซึ่งใช้เวลาผ่าตัดสั้นกว่าศัลยแพทย์คนอื่นจนเป็นที่ร่ำลือ กลับยังไม่เรียบร้อย จึงน่าเป็นห่วงมากกว่าปกติ

             เอื้อกานต์ประสานมือ ก้มหน้า กลั้นลมหายใจชั่วขณะ วางจิตนิ่ง ก่อนระบายลมออกมาอย่างเป็นธรรมชาติ ช่วยให้จิตใจผ่อนคลาย มีกำลังขึ้นมา

             พอเงยหน้าขึ้นก็เห็นประตูห้องผ่าตัดเปิดออก หมากเดินมาด้วยสีหน้าอิดโรย เรี่ยวแรง พลังกายและใจ ถูกใช้จนแทบไม่มีเหลือ

             พี่สาวกับพี่เขยรีบลุกพรวด รี่เข้าประชิดตัว สีหน้าแววตาเต็มไปด้วยความหวัง

             “ผักกาดเป็นยังไงบ้างหมาก” ข้าวหอมถาม

             “ปลอดภัยดีใช่มั้ย” คนเป็นพ่ออยากได้ยินคำตอบเช่นนี้

             “ใช่” หมากตอบพร้อมรอยยิ้มอ่อนเพลีย “ผักกาดปลอดภัย ไม่ต้องห่วง”

             ข้าวหอมปล่อยโฮอย่างสุดกลั้น ร้องไห้น้ำตาไหลทะลักทลายด้วยความยินดี อิ่มสุข คนเป็นสามีกอดภรรยาแนบแน่น โล่งอก ดีใจ หลังไหล่สั่นด้วยแรงสะอื้นไม่ต่างจากภรรยา

             หมากมองผ่านพี่สาวพี่เขยมายังหญิงสาวที่ยืนอยู่ไม่ห่าง เธอส่งรอยยิ้มอ่อนหวานมาให้เขาแทนรางวัลในผลงาน

             ชายหนุ่มยิ้มตอบ เดินเข้าไปหาช้าๆ และหยุดยืนตรงหน้า นัยน์ตาสองคู่มองสบกันด้วยความเข้าใจลึกซึ้ง

             “ผักกาดปลอดภัยแล้ว” หมากบอกข่าวดีนี้อีกครั้ง

             “เอื้อรู้แต่แรกแล้วว่าหมอต้องทำได้”

             “ผมไม่เก่งขนาดนั้นหรอก...ดูสิ” ชายหนุ่มชูมือข้างที่เจ็บให้ดู มันเริ่มบวมจนเห็นได้ชัด หนำซ้ำยังสั่นน้อยๆ

             “ก่อนผ่าตัด มือผมยังสั่น ไม่มีแรงอยู่เลย...แต่พอได้จับมีด ก็เหมือนมีอะไรมาสิง อาจเป็นวิญญาณของพลู แรงใจของหมอเอื้อ ทำให้มือมันยอมหยุดสั่น มีแรงผ่าตัดจนสำเร็จได้”

             เอื้อกานต์ไม่พูดอะไร รู้สึกว่าการพูดจามากกว่านี้มันเกินจำเป็น หญิงสาวยื่นมือไปเกาะกุมมือข้างที่เจ็บของเขา ขยับตัวเข้าใกล้อีกนิด พอมือที่เธอกุมไว้ไม่มีอาการสั่นหลงเหลือ ก็เงยหน้าขึ้นยิ้ม ดวงตาที่ทอดมองชายหนุ่มทอประกายลึกซึ้ง ความรู้สึกจริงจากใจสื่อถึงกันอย่างชัดเจน

             หัวใจหมากพองฟู รู้สึกรอบกายสะพรั่งด้วยดอกไม้งดงาม ผีเสื้อนับร้อยบินกระจายอยู่รอบตัว หัวอกอบอุ่น เต็มตื้น เอื้อกานต์ไม่พูดอะไรสักคำ ไม่แสดงอาการมากมาย แค่สัมผัสมือต่อมือ และดวงตาคู่สวยคู่นั้นฉายความรู้สึกชัดเจน มันก็ทำให้ใจเขารับรู้ ยินดี ยิ่งกว่าได้ยินคำพูดนับร้อยนับพันคำ

             ทั้งสองรู้สึกราวถูกตัดขาดจากโลกภายนอกชั่วขณะ มีแค่กันและกันสองคน...ในดินแดนแห่งความรู้สึกเฉพาะที่ไม่มีใครล่วงล้ำเข้าไปได้

             ขณะนั้นมีคนไข้ฉุกเฉินรายใหม่เข้ามา สองคุณหมอไม่ได้ยิน ไม่สนใจ

             ผู้ป่วยรายนี้มีอาการไข้ขึ้นสูงจนน่าตระหนก หนำซ้ำยังมีรอยจ้ำ ผื่นแดงตามตัว ไม่ว่าจะรักษาอาการด้วยวิธีใดก็ไม่สามารถทำให้อุณหภูมิในร่างกายลดลง หรือผื่นแดงจางได้เลย

             เขาถูกส่งตัวเข้าโรงพยาบาลโดยด่วน...ทั้งที่เพิ่งรักษาตัวในคลินิกคนยากไม่ทันข้ามคืน



(โปรดติดตามต่อฉบับหน้า)



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP