วรรณกรรมนำใจ Lite Literature

ระบำเวท ๑๓


cover rabamvej

ชลนิล




(ต่อจากฉบับที่แล้ว)



บทที่ ๑๑



             ช่วงเวลาใกล้เคียงกับการเกิดอุบัติเหตุใหญ่ ที่โรงเรียนอนุบาลแห่งหนึ่ง คุณครูประจำชั้นและพี่เลี้ยงต่างตกใจ วุ่นวาย เมื่อใกล้ถึงเวลาเลิกเรียนแล้ว นับจำนวนนักเรียนไม่ครบ ขาดน้องบุ้งกี๋ เด็กหญิงแก้มใส ตาโต ช่างพูด ขวัญใจของคุณครูทุกคน

             พี่เลี้ยงถูกสั่งให้คอยเฝ้าดูแลเด็กในห้อง ไม่ให้แอบหนีออกไปไหน จากนั้นพวกคุณครูก็ชวนกันออกตามหาน้องบุ้งกี๋กันทุกซอกทุกมุมในโรงเรียน

             ใกล้เวลาเลิกเรียนเต็มที อีกไม่นานผู้ปกครอง รวมถึงคุณแม่ของน้องบุ้งกี๋ จะมารับลูกสาว หากถึงเวลานั้นยังตามตัวหนูน้อยไม่เจอ อะไรจะเกิดขึ้นบ้าง พวกครูไม่กล้าคิด

             เวลากระชั้น เหล่าคุณครูต่างหน้าซีด ใจสั่น วิตกกังวลกันหมด ห้องต่างๆ ในโรงเรียนถูกค้นจนทั่ว สนามเด็กเล่น ห้องน้ำทุกห้อง กระทั่งในห้องเก็บของก็ยังไม่พบวี่แวว

             ประตูโรงเรียนปิดสนิท ไม่มีทางที่เด็กจะแอบหนีออกไปได้

             ถ้าเช่นนั้น น้องบุ้งกี๋หลบอยู่ไหน...หรือว่ามีใครพาไป!

             สถานที่สุดท้ายที่ทุกคนนึกถึง นั่นคือห้องครูใหญ่ ซึ่งถูกปิด ล็อคกุญแจไว้ เนื่องจากเจ้าของห้องไปประชุมต่างจังหวัด

             โชคดีที่คุณครูเวรประจำโรงเรียนมีพวงกุญแจสำรอง สามารถไขเข้าไปได้

             ทันทีที่ประตูห้องครูใหญ่เปิดออก ภาพภายในห้องทำให้เหล่าคุณครูต้องตกตะลึง ประหลาดใจ ทำอะไรไม่ถูกครู่ใหญ่

             นายสมลักษณ์ นักการภารโรงของโรงเรียนที่เพิ่งโดนไล่ออกเมื่อวาน กำลังนอนชักแหง็ก ตาค้าง มือเท้าเกร็ง แสดงอาการทุกข์ทรมานสุดขีด

             เด็กหญิงบุ้งกี๋นั่งขดตัวอยู่มุมห้อง ตัวสั่น แววตาตื่นตกใจจนพูดไม่ออก ร้องตะโกนให้ช่วยไม่ได้

             พอแม่หนูน้อยเห็นคุณครูประจำชั้นที่ตนเองคุ้นเคยเข้ามาในห้อง จึงค่อยรู้สึกตัว น้ำตาไหลพราก พอคุณครูเข้าไปอุ้ม กอดไว้แนบอก หนูบุ้งกี๋ก็ร้องไห้จ้า ระบายความอัดอั้น หวาดกลัวออกมา

             “ลุง...ลุง...” เด็กหญิงพูดพลางสะอื้น “บอกว่าห้องครูใหญ่มีตุ๊กตาซ้วยสวย...ลุง...ชวนบุ้งกี๋เข้ามา...”

             ได้ยินอย่างนี้พวกผู้ใหญ่ก็ตัวเย็นวาบ รีบสำรวจเสื้อผ้า ริ้วรอยตามตัวแม่หนูน้อย แล้วแอบโล่งอก ถอนใจเบาๆ ที่ไม่พบร่องรอยการถูกลวนลาม ทำร้าย

             “พอ...พอเข้ามา...ลุง...ก็มองบุ้งกี๋แปลก ๆ ...ไม่เห็นมีตุ๊กตา ไม่มีของเล่น ลุงเดินเข้ามาหา...บุ้งกี๋กลัว...กลัว...แล้ว...แล้ว...ลุงก็ชัก...ดิ้นแหง็กๆ บุ้งกี๋กลัว...กลัวลุง...กลัว...ฮือ...ฮือ...”

             เด็กหญิงเล่าพลางร้องไห้พลาง เสียงขาดเป็นห้วงๆ คุณครูปะติดปะต่อ แล้วปลอบเด็กเบาๆ ให้คลายจากอาการแตกตื่น ขวัญเสีย

             เหตุที่ภารโรงสมลักษณ์ถูกไล่ออก เนื่องจากไม่มีความรับผิดชอบในการทำงาน แอบนำสุรามาดื่มในโรงเรียน โดนว่ากล่าวตักเตือนก็โต้เถียง ไม่ยอมปรับปรุงตัวเอง จนโดนไล่ออกเมื่อวาน

             นึกไม่ถึง เขาจะตั้งใจกลับมาทำเรื่องเลวร้ายในโรงเรียนนี้อีก โชคดีที่ทำไม่สำเร็จ

             พวกคุณครูคิดว่า คงจะมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์คอยช่วยปกป้อง คุ้มครองแม่หนูน้อยผู้บริสุทธิ์ ทำให้ภารโรงใจทรามคนนั้นเกิดโรคปัจจุบันอะไรสักอย่างขึ้นมา

             หากสิ่งศักดิ์สิทธิ์นั้นได้รับทราบ ก็โปรดรับรู้ว่าคุณครูทุกคนพร้อมใจกราบคารวะด้วยความสำนึกในบุญคุณอย่างเปี่ยมล้นหัวใจ



             ภายในห้องพิจารณาคดี ระหว่างที่ศาลกำลังอ่านคำพิพากษา

             นายโตมร จำเลย กำลังฟังคำพิพากษาด้วยสีหน้าสงบราบเรียบ คอตกน้อยๆ แสดงอาการสำนึกผิด เสียงอ่านคำพิพากษาดังกังวาน แววตาเขาแจ่มจำรัสทีละน้อย

             ...กูรู้ กูต้องพ้นข้อหาแน่! นายโตมรบอกตนเองในใจ

             ...จะไม่พ้นได้ยังไง กูยัดเงินไปตั้งเท่าไหร่ กูมีทนายมือหนึ่งระดับประเทศช่วยว่าความ ลูกน้องกูก็ช่วยปิดปาก เก็บหลักฐานพยานจนแทบไม่เหลือ อย่างนี้จะเอาผิดกูได้ยังไง

             เขาหัวเราะในใจ พยายามเก็บสีหน้า แววตา ไม่แสดงอาการลิงโลดมากนัก เหลือบตามองฝ่ายเจ้าทุกข์ที่ใบหน้าเริ่มซีดลงเรื่อยๆ

             ...ไอ้เวรเอ๊ย...คิดว่าจะเอากูเข้าตารางได้เหรอ... นายโตมรเยาะเย้ยในใจ

             ...หน็อย...ทำเก่ง คิดว่ามีพยานหลักฐานพร้อม แล้วเป็นไงล่ะ เจอทนายกูตอกหน้าให้ หลักฐานพยานมึงก็อ่อนยวบ ใช้การในศาลไม่ได้

             ชายผู้อยู่ในคอกจำเลยก้มหน้า ซ่อนรอยยิ้มเหี้ยมเกรียม

             ...คอยดูนะมึง กูออกไปเมื่อไหร่ จะไล่เช็คบิลรายตัวให้สาสม เอาแบบเนียนๆ ตำรวจหาหลักฐานไม่ได้ ตามรอยไม่เจอ จ้างไอ้พวกไม่มีประวัติแหละดี เสร็จงานก็ส่งพวกมันออกชายแดน ไม่ก็เก็บมันฝังดิน ทิ้งทะเลไปเลย

             ขณะนายโตมรวางแผน ‘เช็คบิล’ เอาคืนจากฝ่ายฟ้องร้อง นำเขาขึ้นศาล ผู้พิพากษาก็อ่านคำพิพากษามาถึงประโยคสุดท้าย

             “จำเลยไม่มีความผิด พิพากษายกฟ้อง”

             ฝ่ายโจทก์ เจ้าทุกข์ ต่างหน้าเสีย แววตาตระหนก เหลือบมอง ‘อดีตจำเลย’ ที่อยู่ในคอกแล้วเสียวสันหลังวาบ แววตาที่ฝ่ายนั้นส่งมา มีความอาฆาต มาดร้าย หวังเอาคืนเต็มเปี่ยม

             นับจากวินาทีนี้ พวกเขาไม่มีโอกาสอยู่เป็นสุขอีกแล้ว

             ‘คนร้าย’ ทำผิดขนาดที่ใครๆ ก็รู้เช่นนี้ กลับลอยนวล พ้นข้อกล่าวหา เนื่องจากหลักฐาน-พยาน ฝ่ายโจทก์อ่อนเกินไป และทนายจำเลยเชี่ยวเกม มีความสามารถหาข้อหักล้าง หาช่องโหว่ทางกฎหมาย ช่วยมันได้

             พวกเขารู้ นับจากนี้จะมีการเช็คบิล เอาคืน...แล้วคนธรรมดาสามัญ ไม่มีเงิน ไม่มีอิทธิพล จะรับมือกับ ‘เจ้าพ่อ’ เช่นนี้ได้อย่างไร

             นายโตมรถูกปล่อยตัว เดินเข้ามาขอบคุณทนายความ พร้อมกับส่งสายตา รอยยิ้มแสนดีให้กลุ่มเจ้าทุกข์ เพื่อสร้างภาพ เรียกศรัทธา

             ทว่า...รอยยิ้มเขากลับชะงักค้าง ร่างกายกระตุกเฮือกใหญ่ คล้ายโดนสิ่งที่มองไม่เห็นพุ่งเข้ามาปะทะเต็มแรง ก่อนหงายหลังล้มตึง มือเท้าเกร็ง ชัก ใบหน้าบิดเบี้ยว แสดงอาการเจ็บปวดเกินบรรยาย

             ความวุ่นวายโกลาหลเกิดขึ้น ฝ่ายโจทก์ เจ้าทุกข์ มีสีหน้าประหลาดใจในแวบแรก ก่อนผ่อนคลายแกมยินดีเมื่อแน่ใจว่าสิ่งที่เกิดเป็นเรื่องจริง ไม่ใช่การแกล้งทำเพื่อเรียกคะแนนสงสาร

             พวกเขาแอบลงความเห็นในใจกันเงียบๆ ว่า...นี่แหละ กฎแห่งกรรม ต่อให้กระบวนการยุติธรรมไม่อาจเอาผิด แต่ผู้พิพากษาจากศาลกรรมวิบากได้ตัดสิน ทำหน้าที่รวดเร็วทันใจแล้ว

             ...ความคิดพวกเขา ใช่เป็นความจริงหรือไม่?



             เสร็จจากการเป็นประธานเปิดงาน ‘ท่าน’ แวะทักทายคณะผู้จัด เดินชมบูธต่างๆ ซักถามพูดคุย แสดงความสนใจตามมารยาท

             พอใกล้เวลา เลขาฯ เข้ามากระซิบเตือน ‘ท่าน’ จึงบอกลาคณะผู้จัดงาน ก่อนขึ้นรถประจำตำแหน่ง พร้อมด้วยนายตำรวจและคณะผู้ติดตาม

             ทันทีที่รถแล่นออกจากบริเวณงาน ใบหน้าสุขุม เมตตา เป็นมิตรของ ‘ท่าน’ ก็เลือนหาย หัวคิ้วขมวดมุ่น ถอนใจหนัก เอ่ยถามเสียงเครียดปนเบื่อหน่าย

             “หลังจากนี้ ฉันมีงานอะไร”

             “ท่านต้องเข้าทำเนียบครับ บ่ายสามมีประชุมพิจารณา... ซึ่งต้องโหวตให้เสร็จภายในวันนี้”

             “จริงสิ ฉันลืมงานสำคัญนี้ได้ยังไง”

             “ช่วงนี้งานท่านยุ่งมาก ไม่แปลกหรอกครับ”

             “เรื่องที่ให้โหวตวันนี้...ทางนั้นว่ายังไง”

             “เขายอมให้ท่านตามที่เรียกเพิ่มครับ”

             เสียงหัวเราะหึๆ ของ ‘ท่าน’ บอกถึงความพอใจแกมดูแคลน

             “ก็ลองไม่ยอมดูสิ จะได้รู้ว่าหนึ่งโหวตของฉัน มันชี้เป็นชี้ตายได้แค่ไหน”

             “ครับ...ผมยังว่าท่านเรียกเพิ่มน้อยไป ถ้าข้อพิจารณานี้ผ่าน...ทางนั้นเขาจะได้ประโยชน์มหาศาล”

             “นั่นสิ...” ‘ท่าน’ ตอบรับ ยิ้มกริ่มแม้จะเสียดายเล็กน้อย

             ...การก้าวมาสู่จุดนี้ ไม่ใช่เรื่องง่ายดาย ต้องมีการลงทุนลงแรงมากมาย เมื่อทำสำเร็จ จึงไม่แปลกที่ ‘ท่าน’ จำเป็นต้องเรียกร้อง เอาทุนคืนบวกผลกำไร โดยไม่คิดถึงความลำบาก เดือดร้อนของประชาชนที่จะได้รับ

             ‘ท่าน’ คิดถึงเพียงความร่ำรวย มั่งคั่งของตนเอง หากมีสำนึกดีในใจตักเตือน ‘ท่าน’ ก็จะบอกตัวเองง่ายๆ

             ...เรื่องอย่างนี้ใครๆ เขาก็ทำกันโว้ย

             ขณะที่ ‘ท่าน’ เอนหลัง พักผ่อน ก่อนรถถึงทำเนียบ จู่ๆ ก็มีอะไรบางอย่างพุ่งจู่โจมโดยไม่ทันตั้งตัว

             สิ่งนั้นไม่อาจเห็นได้ด้วยตา รู้สึกเพียงลักษณะเป็นเส้นชอนไช แหลมคม เสียดแทงจนปวดแปลบไปทั่วร่าง ‘ท่าน’ กระตุกเฮือก ชักเกร็ง ร่างกายบิดเบี้ยวทรมาน แสบร้าวไปทุกส่วนของร่างกาย ทุกข์ทรมานที่สุดในชีวิต

             เป็นความทุกข์ทรมานที่ต่อให้มีเงินทองมากเท่าใด ก็ไม่อาจทำให้มันหายไปได้...



             บนทางด่วน เหนือท้องถนนที่รถราไม่จอแจติดขัดมากนัก

            นิกขับรถด้วยความเร็วสูง จิตใจอึดอัด ร้อนรุ่ม กระวนกระวายด้วยไฟโทสะ นัยน์ตาจับจ้อง เกาะติดรถเก๋งสีแดงคันหน้าโดยไม่ให้คลาดสายตา

            เขาไม่รู้หรอกว่าเจ้าของเก๋งสีแดงเป็นใครมาจากไหน รู้แค่เมื่อครู่ เจ้ารถเก๋งคันนี้บีบแตรไล่ เหตุเพราะเขาขับรถช้าขวางเลน จากนั้นมันยังขับแซงปาดหน้าในระยะกระชั้นชิด ให้เขาหวาดเสียวเล่น

            พอได้สติ มันก็พุ่งไกลออกไปจนแทบไม่เห็นไฟท้าย นิกโกรธจนลมออกหู โกรธที่ถูกบีบแตรไล่ โกรธที่ถูกขับปาด หยามกันซึ่งหน้า

            เขายอมไม่ได้...ยอมไม่ได้เด็ดขาด!

            นิกเร่งความเร็วรถ ขับพุ่งทะยานตามออกไปด้วยจิตใจรุ่มร้อน คุกรุ่นด้วยโทสะ เหมือนมีไฟมารุม เผาทรวงอก พอท้ายรถสีแดงของมันปรากฏในสายตา โทสะยิ่งพลุ่งพล่าน ความคิดในหัวกระโจนออกมาเป็นฉากๆ

            ...ไอ้เลว ไอ้สันดาน! คอยดู...กูจะชนท้ายแม่งให้ยับ!

            ความคิดแรกผุดออกมา จิตใจเกิดความเมามัน ความตั้งใจ ‘เอาคืน’ วิ่งพล่านเป็นฉากๆ สะใจ

            ...คอยดู กูจะเบียดรถแม่งให้ตกจากทางด่วนเชียว!

            ...คอยดู กูจะกระชากมึงลงมากระทืบให้หนำใจ!

            ...มึงคิดว่ากูอ่อนนักใช่มั้ย ถึงกล้ามาบีบแตรไล่ ขับแซงปาดหน้าแบบนี้!

            ...อย่าให้กูลากคอมึงลงมาได้เชียว กูจะอัดมึงให้น่วม เอาให้กระอักเลือดนอนโรงพยาบาลเป็นเดือน

            ยิ่งคิด ไฟแค้นยิ่งโหมรุมเร้า จินตนาการ ความคิด เข้าปรุงแต่งจิตใจจนเกิดความเมามัน ขาดสติ มองเห็นแต่การแก้แค้น เอาคืน ด้วยวิธีโหดเหี้ยมสารพัดเพื่อให้สาแก่ใจ

            ยิ่งจิตใจปรากฏภาพความคิดร้ายๆ มากเท่าไร ไฟโทสะยิ่งลุกโชน กระพือรุนแรง ไม่ผิดกับไฟได้เชื้อชั้นดี

            ความคิดแค้นเตลิดเปิดเปิงไกลสุดกู่ กระทั่งเห็นท้ายรถสีแดงอยู่ห่างไม่เกินสามเมตร นิกบีบแตรไล่มัน เสียงดังลั่นถนน

            ...แม่ง! ดูซิมึงจะหลบให้กูมั้ย ถ้าไม่หลบ กูจะเอาปืนยิงกบาลแม่งเลย!

            ความคิดตรงนี้ ถึงขั้นสังหารผลาญชีวิตกันแล้ว

            ทันใดนั้น นิกก็รู้สึกเจ็บแปลบไปทั้งร่าง คล้ายมีหนามแหลมเล็กๆ นับร้อยนับพันเข้าทิ่มแทง ชอนไชลึกถึงอวัยวะภายใน ตัวเกร็ง สะท้านเยือก ลมหายใจติดขัด มือไม้แข้งขาไม่ทำตามคำสั่ง ไม่อาจขับรถตรงทางได้อย่างใจ

            ปัง!

            รถของนิกพุ่งชนราวกั้นทางด่วน หลุดทะยานลงไปยังท้องถนนเบื้องล่างที่รถรากำลังแล่นไปมาอย่างรวดเร็ว คล่องตัว

            ปัง!

            อุบัติเหตุครั้งนี้ไม่ได้เกิดกับนิกคนเดียว เมื่อรถของเขาพุ่งลงมาชนรถบัสคันใหญ่อย่างจัง ส่งผลให้รถบัสเสียหลัก พลิกคว่ำกลางถนน โดยมีผู้โดยสารเต็มคันรับเคราะห์ไปด้วย

            ...เอี๊ยดดด...

            เสียงเบรกจากรถหลายสิบคันที่วิ่งตามหลังดังลั่น ตามด้วยเสียงโครมสนั่นดังขึ้นติดๆ กันอย่างน่ากลัว

            โครม! โครม! โครม!

            สุดท้าย รถที่ตามหลังมาหลายสิบคันทั้งรถใหญ่รถเล็กก็ชนท้ายต่อกันอย่างหยุดไม่อยู่ เกิดเป็นมหาวินาศสันตะโรบนท้องถนนครั้งใหญ่ครั้งหนึ่ง

            ส่วนนิก...เขาไม่รับรู้อะไรอีกแล้ว เพราะทันทีที่รถพุ่งลงมาชนรถบัส แรงกระแทกอย่างรุนแรงก็ส่งผลให้เขาคอหัก ตายคาที่!

            บางที...นี่อาจเป็นโชคดีในโชคร้ายของเขา ที่จะได้ไม่ต้องทนทุกข์ทรมานแสนสาหัสกับไวรัสอาคม



            ชั่วเวลาเพียงแค่หมากจอดรถ แล้วเดินกลับมาถึงริมถนน เอื้อกานต์ก็พบว่า คำพยากรณ์ของเขาได้รับการพิสูจน์ ว่ามันเป็นความจริง

             ถนนตรงหน้าอยู่ในสภาพติดขัดขั้นรุนแรง ไม่สามารถขยับเขยื้อนไปไหนได้ เนื่องจากข้างหน้าเกิดอุบัติเหตุใหญ่ รถหลายสิบคันชนกันระนาว ปิดถนน จนไม่มีใครขับผ่าน เคลื่อนที่ได้เลย

             เสียงร่ำร้อง บอกต่อๆ กันถึงอุบัติเหตุครั้งใหญ่ดังไม่ขาดสาย สองหนุ่มสาวเร่งฝีเท้าจนเกือบเป็นวิ่งเพื่อไปให้ถึงจุดเกิดเหตุ สวนกับหลายคนที่วิ่งผ่านมา พร้อมมีข่าวใหม่

             “รีบหลบไป ข้างหน้ามีรถแก๊สคว่ำ อันตราย...หลบไป!”

             เสียงบอกเช่นนี้ไม่อาจทำให้สองคุณหมอนึกหวาดกลัว ถอดใจ ถอยหลังกลับ หนำซ้ำยิ่งเร่งฝีเท้ากว่าเดิม เพื่อรีบช่วยผู้คนให้ออกมาจากเขตอันตรายโดยด่วน

             สองคุณหมอมือเปล่า ไม่มีหยูกยา เครื่องมือ จะช่วยอะไรได้?

             ...ช่วยเท่าที่ช่วยได้ก่อน...สองหนุ่มสาวคิดตรงกัน

             อย่างน้อยช่วยรักษาชีวิตคนได้สักคนสองคน ก่อนทีมกู้ภัยมาถึงก็ยังดี

             ภาพตรงหน้าเอื้อกานต์และหมากไม่ต่างจากที่เคยเห็นในภาพยนตร์ ความวุ่นวาย โกลาหล เสียงร้องเรียกขอความช่วยเหลือดังระงม รถยนต์หลายสิบคันชนกันระเนระนาด เศษกันชน กระจกข้าง แตกเกลื่อน มีพลเมืองดีหลายคนเข้าไปช่วยบ้างแล้ว เพียงแต่ยังละล้าละลัง ทำตัวไม่ถูก ไม่รู้จะเริ่มจากจุดไหนก่อน

             ด้านหน้าสุดเป็นรถบัสคันใหญ่เสียหลักพลิกตะแคงเกยเกาะกลางถนน ความยาวของตัวรถกีดขวางถนนเต็มเลน ตามมาด้วยรถเก๋งอีกคันที่สภาพพังยับเยินไม่เหลือชิ้นดี คนที่เห็นเหตุการณ์บอกว่า เพราะเจ้ารถคันนี้พุ่งลงมาจากทางด่วน ชนรถบัส จึงเกิดอุบัติเหตุใหญ่ขนาดนี้

             ส่วนรถยนต์ที่ตามหลังมาต่างชนกันเป็นทอดๆ สภาพหนักเบาต่างกัน ที่ร้ายแรงสุดน่าจะเป็นรถบรรทุกขนแก๊สที่พยายามหักหลบรถคันหน้าจนขึ้นไปเสยฟุตบาท ชนเข้ากับเสาไฟฟ้า ไม่มีใครกล้าเข้าใกล้ หวั่นใจว่าอาจเกิดเหตุแก๊สรั่วและมีการระเบิดตามมา

             เจ้าของรถคันท้ายๆ ที่ชนไม่หนักหนานัก พยายามเปิดประตูออกมาด้วยตนเอง พอเห็นสภาพบนท้องถนน ถึงกับเข่าอ่อน ทำอะไรไม่ถูก

             เอื้อกานต์อยู่ในอาการมึนชั่วขณะ มองเห็นแต่ซากรถพังยับ ผู้คนบาดเจ็บ เลือดแดงอาบใบหน้า เปรอะเปื้อนเสื้อผ้า เสียงร้องขอความช่วยเหลือดังมาจากทางโน้นทางนี้จนมือไม้ปั่นป่วน ไม่รู้จะช่วยใคร ไม่รู้ควรทำอะไรก่อนหลัง

             ประสบการณ์ผ่านห้องฉุกเฉินแทบลบเลือนจากหัวเมื่อเจองานภาคสนามของจริงในขณะที่ไม่มีเครื่องมือช่วยชีวิตสักชิ้น

             “ทำเท่าที่ทำได้” เสียงหนึ่งกระซิบเรียกสติ

             คุณหมอสาวยืนคว้าง ตะลึงงัน ทำตัวไม่ถูกเพียงไม่กี่วินาที เสียงหมากก็ดังขึ้นใกล้ๆ

             “หมอเอื้อ มาช่วยผมหน่อย ต้องรีบเอาคนเจ็บออกจากรถคันนี้ก่อน”

             หมากตั้งสติเร็ว สมกับเคยผ่านประสบการณ์ภาคสนามมาอย่างโชกโชน เขากวาดตามองสภาพโดยรวม คัดแยกผู้บาดเจ็บด้วยสายตา แล้วปรี่เข้าไปช่วยรายที่จำเป็นเร่งด่วนที่สุดก่อน

             เอื้อกานต์ได้สติ รีบตามไปช่วยหมอหมาก พาคนเจ็บที่อาการน่าเป็นห่วงสุดออกจากรถ...จากนั้น ทุกอย่างก็ขับเคลื่อนโดยอัตโนมัติ

             ความรู้ ความสามารถทั้งหมด ที่เคยผ่านประสบการณ์จากห้องฉุกเฉินโรงพยาบาล ถูกนำมาใช้บนถนน ท่ามกลางวิกฤติอุบัติเหตุขนาดใหญ่อย่างคล่องแคล่ว ชำนาญ

             หมากเข้าไปหากลุ่มพลเมืองดี บอกว่าตนเองเป็นหมอ แล้วแนะนำ ชี้แนวทางการช่วยเหลือผู้ป่วยอย่างคร่าวๆ หลายคนมีความรู้พื้นฐานอยู่แล้ว พอได้รับการชี้แนะจากหมอที่เคยผ่านงานภาคสนามมา ทำให้เกิดความไว้วางใจ ยอมทำตามคำแนะนำโดยไม่ลังเลสงสัย

             แค่ได้ยินว่ามีคุณหมอจริงๆ อยู่ที่นี่ถึงสองคน ผู้คนแถวนั้นต่างก็ใจชื้น อบอุ่นใจ ใครมีความสามารถแค่ไหน ก็ทุ่มเทช่วยกันเต็มที่ ไม่มีการเกี่ยงงอน

             หมากสั่งการให้พลเมืองดีที่มีความรู้ กระจายกันช่วยเหลือผู้บาดเจ็บในรถแต่ละคันตามลำดับความเร่งด่วน ส่วนตนเองก็วิ่งไปช่วยพยาบาลดูแลคนเจ็บทางโน้นทางนี้ พร้อมกับคัดแยกอาการผู้ป่วยอย่างชำนาญ ชัดเจน

             เอื้อกานต์ดูแลอาการคนเจ็บอยู่ใกล้ๆ มองชายหนุ่มอย่างทึ่ง นึกไม่ออก เขามีพลังงานเหลือเฟือแบบนี้มาจากไหน ทั้งแนะนำผู้ช่วย ทั้งคัดแยกคนเจ็บ ทั้งดูแลอาการคนเจ็บบางคนไม่ให้หนักกว่าเดิม

             หมอหมากช่วยเหลือผู้คนอย่างไม่เห็นแก่เหน็ดแก่เหนื่อย ตะโกนร้องขอเครื่องมือปฐมพยาบาลเท่าที่หาได้จากร้านรวงริมถนน แล้วนำมาช่วยเหลือคนเจ็บอย่างรวดเร็วฉับไวเหลือเชื่อ

             บางรายที่ติดอยู่ในรถบัส จำเป็นต้องใช้เครื่องมือหนักงัดออก เขาก็จะทิ้งไว้ก่อน เลือกรายที่พอช่วยนำออกจากรถได้ง่ายกว่ามาดูแลพยาบาลเพื่อไม่ให้เสียเวลา

             ครู่ใหญ่ทีมกู้ภัยก็มาถึง ส่วนหนึ่งรีบไปกู้รถแก๊ส ตรวจเช็คสภาพความปลอดภัย อีกส่วนเข้ามาช่วยงัดกระจกรถบัส พาคนเจ็บที่ติดอยู่ข้างในออกมา

             ทุกอย่างดำเนินไปอย่างรวดเร็ว กระชับ เพื่อช่วงชิงเวลาให้แก่คนเจ็บ

             ถนนถูกเคลียร์ รถพยาบาลหลายคันมาถึง คนบาดเจ็บสาหัสถูกส่งไปก่อน หมาก เอื้อกานต์ เห็นทีมกู้ภัยมาช่วยดูแลทางนี้แล้ว ประกอบกับคนเจ็บถูกคัดแยกเรียบร้อย ไม่สามารถทำอะไรได้มากกว่านี้แล้ว สองคุณหมอจึงอาศัยรถพยาบาลตามไปรักษาคนบาดเจ็บหนักต่อ...



             ถึงโรงพยาบาล หมอ พยาบาล เครื่องมือหยูกยาพร้อม ความเหน็ดเหนื่อย วุ่นวาย เริ่มต้นอีกครั้ง ผู้บาดเจ็บอีกหลายรายทยอยตามมาเรื่อยๆ หมอ พยาบาล ทำงานกันหัวหมุน

             หมาก เอื้อกานต์ ไม่มีเวลาพัก พอถึงโรงพยาบาลก็ตรงเข้าห้องฉุกเฉิน ร่วมมือกับแพทย์เวรช่วยรักษาผู้บาดเจ็บสาหัสทันที

             รายแรกผ่านไป รายที่สอง สาม สี่...ตามมาไม่ขาดสาย ช่วงเวลาแห่งการต่อสู้ ยื้อชีวิตคนเจ็บจากความตายมีไม่มากเลย หากพลาดพลั้ง ย่อมพบกับความสูญเสียที่ไม่อาจเรียกคืน

             เอื้อกานต์อดลอบสังเกตนายแพทย์หนุ่มที่อยู่ใกล้ไม่ได้

             หมอหมากกลายเป็นอีกคนหนึ่ง ไม่ใช่ชายหนุ่มเคราเขียว มาดเซอร์ๆ ขี้เล่น พูดจาหยอกล้อไร้สาระอย่างเคย เขานิ่งสงบ สติ สมาธิเฉียบคม ฉับไว เต็มไปด้วยพลัง รักษาคนเจ็บอย่างรวดเร็ว ไม่ผิดพลาด ขนาดมือข้างหนึ่งบาดเจ็บ พันแผลอยู่ เขาก็ไม่แสดงอาการเจ็บของตนให้คนอื่นรู้สักนิด

             แววตาทอประกายเจิดจ้า แฝงความเมตตาอันอบอุ่น คล้ายดวงตะวันทอแสงละลายความเหน็บหนาวจากใจผู้คนที่กำลังวิตก หวาดกลัว ดูโดดเด่นท่ามกลางหมอและพยาบาลที่อยู่รายรอบทั้งหมด

             เอื้อกานต์นึกถึงคำ...เทพเจ้าแห่งการรักษา...ดูเป็นคำจำกัดความที่เหมาะที่สุดสำหรับเขาเวลานี้

             พลังการช่วยเหลือผู้คนชนิดสุดตัวของเขา ช่วยเพิ่มพลัง เรี่ยวแรงแก่เอื้อกานต์ขึ้นมาอีกเป็นทวีคูณ หญิงสาวไม่เคยมีสมาธิตั้งมั่นในการรักษาคนเจ็บยาวนานขนาดนี้ ร่างกาย จิตใจ ทำงานประสานกันโดยอัตโนมัติ สัมผัสพิเศษถูกนำมาใช้กว้างขวางลึกซึ้ง สามารถวินิจฉัยอาการบาดเจ็บได้ถูกต้อง แม่นยำ ไม่ผิดพลาด

             กระทั่งผู้บาดเจ็บบางรายแสดงอาการคลุมเครือ มีอาการบาดเจ็บแฝง ซ่อนเร้น เอื้อกานต์ก็สามารถรับรู้ มองออกอย่างง่ายดาย

             คุณหมอทั้งสองไม่มีโอกาสพูดจากันมากนัก แต่หากเงยหน้าจากคนเจ็บขึ้นมาสบตากันครั้งใด ก็จะมีรอยยิ้มน้อยๆ ส่งถึงกัน ปลุกเรี่ยวแรง กำลังใจ ให้ฮึดขึ้นต่อสู้ชนิดไม่ถอย

             หัวใจเอื้อกานต์อบอุ่น ชุ่มเย็น ความเหน็ดเหนื่อยอ่อนล้าในร่างกายเป็นเพียงความรู้สึกภายนอก ใจเธอสุกสว่างยิ่งกว่าเคยสว่าง อิ่มเต็ม กว้างขวางจนคาดไม่ถึง เหมือนจิตแห่งเมตตาของตนได้ก้าวขึ้นมาอีกขั้น เป็นก้าวย่างครั้งใหญ่ที่หญิงสาวไม่คิดว่าจะมีได้...



             ตกค่ำ...ผู้บาดเจ็บทั้งหมดได้รับการดูแลรักษาเรียบร้อย หมอ พยาบาล แทบหมดแรง แยกย้ายกันไปพักผ่อน

             หมากนั่งพักบนเก้าอี้ยาว หลับตา เอนหลังพิงพนัก ไม่สนใจเสื้อผ้าที่มอมแมมเปื้อนฝุ่น หรือคราบโลหิตที่กระเซ็นเปรอะ ชายหนุ่มระบายลมหายใจเข้าออกยาวๆ ผ่อนคลายร่างกาย กล้ามเนื้อทุกส่วน ระลึกรู้สายลมเข้า-ออกด้วยจิตใจปลอดโปร่ง ชั่วเวลาไม่นาน จิตใจก็กลับแจ่มใสกระปรี้กระเปร่าอีกครั้ง

             ลืมตาขึ้นมา เห็นเอื้อกานต์หย่อนตัวลงนั่งที่เก้าอี้อีกด้าน ส่งรอยยิ้มให้ พร้อมยกถ้วยเครื่องดื่มควันกรุ่นให้ดู

             “ดื่มนมอุ่นๆ มั้ยคะหมอ จะได้มีแรง”

             “แหม...น่ารักจัง” หมากไม่อิดเอื้อน

             เอื้อกานต์ขยับเข้าใกล้ ในมือมีผ้าพันแผล พร้อมอุปกรณ์ครบ

             “ใครเป็นอะไรหรือหมอเอื้อ” หมากจิบนมพลางถาม

             “หมอนั่นแหละ” หญิงสาวบอก

             “หือ?” เขาทำหน้าสงสัย

             เอื้อกานต์จับมือข้างที่พันแผลของเขาขึ้นชู ผ้าที่พันไว้หลุดลุ่ย รุ่งริ่ง เนื่องจากการใส่ๆ ถอดๆ ถุงมือยางหลายครั้ง

             “ไม่เป็นไรหรอก” ชายหนุ่มไม่สนใจตัวเอง

             “ไม่เป็นไรได้ยังไง” หญิงสาวดุเสียงอ่อน “มือข้างนี้ของหมอ ช่วยชีวิตคนมาตั้งเท่าไหร่แล้ว”

             เอื้อกานต์กุมมือของเขาเบาๆ

             “เอื้ออยากขอบคุณมือของหมอ...แทนผู้บาดเจ็บทุกคนที่หมอช่วยเหลือเอาไว้”

             หมากยิ้ม กำซาบกระแสอบอุ่นจากมือหญิงสาวผ่านเข้ามาสู่หัวใจเขาอย่างอิ่มเต็ม

             “ผมไม่ได้ทำคนเดียว หมอเอื้อก็ช่วย หมอและพยาบาลที่นี่ก็ช่วยกันเต็มที่ทั้งนั้น ผมทำคนเดียวไม่ได้หรอก”

             ผู้ชายคนนี้ไม่ยอมเอาความดีเข้าตัวเองคนเดียวเด็ดขาด

             “เดี๋ยวเอื้อพันแผลให้ใหม่” เอื้อกานต์ค่อยๆ แกะผ้าพันแผลอย่างเบามือ

             ชายหนุ่มดื่มนมที่หญิงสาวนำมาฝากจนหมด แล้วปล่อยให้เธอพันแผลโดยไม่ทัดทาน แววตาที่ทอดมองมีความอ่อนหวาน อบอุ่น หัวใจชายหนุ่มที่เคยกางปีกโบยบิน เริงร่ากับอิสระกว้างไกล คล้ายได้พบรวงรังที่ร่มเย็น ชวนพักพิง แตกต่างจากทุกแห่งที่เคยผ่านมา

             มันมีสายใยเล็กๆ อันงดงาม ถักทออยู่รอบๆ เป็นสายใยแห่งการเอื้อเฟื้อ เกื้อกูล พร้อมยืนหยัดอยู่เคียงข้าง ไม่สร้างภาระ แต่ก็ไม่ทอดทิ้งให้เหน็บหนาว เป็นความรู้สึกที่ไม่เคยเกิดกับใครมาก่อน จนหมากอยากยืดช่วงเวลาเล็กๆ นี้ออกไปให้ยาวนานกว่าที่เป็น

             แผลที่ข้อมือหนักกว่าที่เจ้าตัวบอกหญิงสาว มันมีทั้งบาดแผลฉีกขาด ร่องรอยฟกช้ำจากการกระแทกรุนแรง ยังดีที่เลือดหยุดไหลแล้ว เหลือแค่ซึมมาเล็กน้อย น่าจะเกิดจากการที่เขาใช้มือข้างนี้ช่วยรักษาคนเจ็บแบบไม่ห่วงตัวเอง

             ขณะพันแผล หญิงสาวก็ชวนชายหนุ่มคุย

             “เราตั้งใจรีบกลับมารับมือคนป่วยที่โดนไวรัสอาคมแท้ๆ คิดไม่ถึงเลยว่าจะเจออุบัติเหตุระหว่างทาง”

             “ผมว่าอุบัติเหตุนี่อาจเกี่ยวกับไวรัสนั่นก็ได้” หมากตั้งข้อสังเกต

             “คะ?” หญิงสาวส่งสายตาแทนคำถาม

             “จำรายผกาแก้วได้มั้ย นั่นแค่คิดจะสาดน้ำกรด ก็โดนไวรัสแล้ว ลองคิดเล่นๆ การจราจรในกรุงเทพฯ มันเครียดแค่ไหน ผมเคยเห็นข่าวคนยิงกันเพราะขับรถปาดหน้าด้วยซ้ำ”

             “หมอหมายความว่า...คนขับรถที่มีโทสะแรงๆ ถึงขนาดโกรธจนฆ่าคนได้ อาจเป็นสาเหตุให้เกิดอุบัติเหตุครั้งนี้หรือคะ” เอื้อกานต์ย้ำข้อสงสัย

             “ผมว่าช่วงเวลามันเหมาะเจาะกันเกินไป...ทางนั้นปล่อยไวรัสอาคม เรารีบกลับมา...ไม่เท่าไหร่ก็เกิดอุบัติเหตุกลางทางซะแล้ว คิดดู อะไรมันจะบังเอิญได้ขนาดนี้”

             เอื้อกานต์พันแผลเสร็จเรียบร้อย ตั้งใจขยายประเด็นเกี่ยวกับเหยื่อของไวรัสอาคม ทั้งคู่ก็ได้ยินเสียงไซเรนจากรถพยาบาลที่แล่นเข้ามา เห็นเจ้าหน้าที่รีบเข็นเตียงออกไปรับคนป่วย

             “หมอว่า...คราวนี้เป็นอุบัติเหตุหรือเป็นคนไข้ที่ถูกไวรัสอาคมมากันแน่คะ” เอื้อกานต์ตั้งคำถาม

             หมากไม่ทันตอบ สติ ร่างกาย เตรียมพร้อมโดยอัตโนมัติ ความรู้สึกข้างในกระตุ้นเตือนว่า คนไข้ที่จะมาถึง อาการไม่ธรรมดา

             เสียงเตียงเข็นเลื่อนมาอย่างรวดเร็ว มีเสียงหญิงสาวร้องไห้สะอึกสะอื้นตามมา

             “ช่วยลูกฉันด้วยนะคะหมอ...ช่วยลูกฉันด้วย”

             เสียงคุ้นหู หมากและเอื้อกานต์มองหน้ากันอย่างแปลกใจ รีบลุกขึ้นยืนทันทีเมื่อเห็นหญิงสาวที่เกาะเตียงคนป่วยตามมาด้วยน้ำตานองหน้า

             “ข้าว...” หมากอุทาน

             ข้าวหอม...พี่สาวหมอหมาก...แม่ของหนูผักกาด!

             “เกิดอะไรขึ้น” ชายหนุ่มก้าวพรวดถึงเตียงคนป่วย พอเห็นร่างเล็กๆ ที่นอนนิ่งอยู่ ใจก็หายวาบ ตัวชาไปชั่วขณะ

             “หมาก...ช่วยหลานด้วย อย่าให้ผักกาดเป็นอะไรไปนะ”

             ข้าวหอมเห็นน้องชายเหมือนได้เจอหลักยึดเหนี่ยวท่ามกลางความเคว้งคว้าง

             หมากยืนนิ่งดูพี่สาว และมองหลานสาวบนเตียง เพียงแวบแรกที่เห็นสีหน้าอาการเจ้าตัวน้อย สัมผัสในใจก็บอกอาการของโรคขึ้นมาทันที

             เพียงแต่...เขาไม่อยากเชื่อสัมผัสของตัวเอง

             “ข้าว...ผักกาดโดนอะไรมา” เขาถามเสียงหนัก เรียกสติพี่สาว

             ตอนนี้แพทย์เวรนำผักกาดเข้าห้องฉุกเฉินไปแล้ว

             “อุบัติเหตุ รถนักเรียนชนกับรถเมล์ คนอื่นไม่เป็นอะไรมาก แต่ทำไมผักกาดสลบไม่ฟื้น ข้าวกลัวนะหมาก...บอกหน่อยสิว่าหลานไม่เป็นอะไร...ผักกาดไม่เป็นไรมากใช่มั้ย”

             คนเป็นพี่สาวเร่งเร้า อยากได้ยินคำพูดเพื่อให้คลายใจ หมากพูดอะไรไม่ออก ส่งสายตาให้เอื้อกานต์ช่วยเข้าไปดูอาการหลานสาวแทนตัวเอง

             เอื้อกานต์พยักหน้าอย่างเข้าใจ รีบผละเข้าไปในห้องฉุกเฉินโดยไม่ทันให้ข้าวหอมสังเกตเห็น

             “ใจเย็นๆ ข้าว...ให้หมอเขาตรวจดูอาการก่อน อีกเดี๋ยวคงรู้ อย่าเพิ่งตีโพยตีพายไปก่อนเลย” ชายหนุ่มปลอบใจให้พี่สาวอารมณ์เย็นลง

             ข้าวหอมหน้าซีด ตัวสั่น มือเย็นเฉียบ พยายามฝืนตั้งสติ ข่มอารมณ์ หมากพาพี่สาวมานั่งรอตรงเก้าอี้หน้าห้องฉุกเฉิน มือโอบไหล่ไว้ ลูบเบาๆ เพื่อให้ผ่อนคลาย

             ครู่หนึ่งเอื้อกานต์เดินออกมา ยิ้มให้ข้าวหอมแล้วหันไปมองหมอหมาก

             “เอื้อขอตัวหมอหมากสักเดี๋ยวนะคะ”

             เวลานี้ข้าวหอมใจเย็นลงแล้ว จึงรู้สึกดีที่เห็นน้องชายช่วยเข้าไปดูอาการหลานสาว คิดว่าถ้ามีหมอหลายคนช่วยกัน ผักกาดน่าจะปลอดภัย เบาใจได้



(โปรดติดตามต่อฉบับหน้า)



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP