วรรณกรรมนำใจ Lite Literature

ระบำเวท ๑๒


cover rabamvej

ชลนิล




(ต่อจากฉบับที่แล้ว)



             อาจารย์ใหญ่ในความคิดทรงกลดควรจะเป็นชายชรามีอาคมกล้าแกร่ง ดวงตาเปี่ยมอำนาจ บารมี อายุมากกว่า ฮันเตอร์ คิม ประมาณหนึ่ง น่าจะแข็งแรง ไปไหนมาไหนได้สะดวก ไม่ต้องพึ่งพาใคร รูปร่างอาจไม่สูงใหญ่เท่าอาจารย์ของเขา แต่อย่างน้อยคงมีลักษณะน่าเกรงขามตามธรรมชาติ คนทั่วไปเห็นแล้วเกิดความเกรงกลัวโดยไม่ต้องทำอะไร

             ทรงกลดนึกวาดภาพเช่นนี้ก่อนเดินเข้าสตูดิโอ และทันทีที่ประตูปิด ไฟเปิดสว่าง ภาพภายในสตูดิโอกระจ่างแก่สายตา ร่างของอาจารย์ใหญ่ปรากฏเด่นอยู่ตรงหน้า

             อาจารย์ใหญ่ตัวจริงผู้นี้ตรงข้ามกับการคาดเดาของทรงกลดอย่างสิ้นเชิง!

             ‘เธอ’ มีเรือนร่างสูงระหง สวมชุดสีขาวสะอาดตา ผิวขาวนวลกระจ่างราวกับงาช้างชั้นดี ดวงตาโตกลมสวยบาดตา โครงหน้าถูกปั้นแต่งงดงาม สันจมูกโด่งชัด ริมฝีปากสีแดงอมชมพูได้รูปสวย เส้นผมของเธอเป็นสีน้ำตาลอมทองกระจ่าง ขับใบหน้าให้ผุดผาด สว่าง มีริ้วรอยเพียงเล็กน้อยบอกว่าเธอมิได้อยู่ในวัยสาวรุ่น ถึงอย่างนั้นมันก็ไม่อาจกลบเกลื่อน บดบังความงามอันแปลกตาของเธอได้เลย

             อาจารย์ใหญ่เป็นผู้หญิง...สวย...หนำซ้ำยังเป็นชาวตะวันตก ไม่ใช่ชาวเอเชีย

             สิ่งที่อยู่เหนือความงาม สง่า สะกดสายตานี้ คือพลังอำนาจที่แผ่ออกมา สามารถสัมผัสชัด จนไม่อาจไม่ยอมรับ นี่คือผู้ทรงอาคมระดับสูง ชนิดไม่มีใครกล้าแตะต้อง ดูแคลน

             เพียงทรงกลดสบสายตาเธอ สติ สมาธิ ก็ถูกโยกคลอน หวั่นไหว ไม่ใช่เพราะความสวยบาดจิต ความงามบาดตา แต่ด้วยกระแสอำนาจ มหามนตรา ซึ่งกระจายรายล้อมขณะเธอเริ่มต้นพิธีกรรม

             นี่คือ ‘อาจารย์ใหญ่’ ผู้ถ่ายทอดอาคมแก่ ฮันเตอร์ คิม

             ต่อให้ย้ำกับตัวเองขนาดนี้ ทรงกลดยังปักใจเชื่อไม่ลง

             อาจารย์ใหญ่เป็นผู้หญิง...สาว...สวย เธอไม่ใช่สาวน้อยวัยกำดัด แต่ไม่มีใครกล้ามองเธอเป็นหญิงชราเด็ดขาด

             ทรงกลดคาดเดาว่า เธอควรมีอายุน้อยกว่า ฮันเตอร์ คิม ร่วมสิบปี วัยน่าจะอยู่ที่เลขสี่ปลายๆ ไม่ก็เลขห้าต้นๆ

             แต่ถ้าหากถามคนทั่วไป คงไม่มีใครคิดว่าผู้หญิงคนนี้มีอายุเกินเลขสามแน่นอน!

             ความงามอ่อนกว่าวัย รวมกับพลังมนตราซึ่งคนมีอาคมสัมผัสได้ ยิ่งมีเหล่าสมุนภูตผี รายล้อมเป็นชั้นๆ เช่นนี้ กลับก่อให้เกิดเสน่ห์ประหลาด เกินคาดเดา จนทำอะไรไม่ถูก

             ทรงกลดตะลึงงัน ขาดสติชั่วขณะ ก่อนรู้สึกตัว เขาเห็นพิธีเริ่มต้นแล้ว เหล่าภูตผีที่ล้อมรอบอาจารย์ใหญ่ต่างขยับ ขับเคลื่อนกระแสพลังงานด้านมืดขึ้นมาทีละน้อย พิธีกรรมนี้ไม่มีข้าวของเครื่องใช้ ไม่มีวัสดุ อุปกรณ์บรรจุเชื้อไวรัส มีเพียงพลังงานปิศาจเป็นชั้นๆ เว้นว่างตรงกลางให้ผู้เป็นประธานร่ายมนตร์

             ชายหนุ่มขยับตัวเข้าไปเพื่อจะฝ่าเหล่าภูตผีให้ถึงตัวอาจารย์ใหญ่ ทว่าก้าวขาได้ไม่เกินสามก้าวก็ชะงัก เมื่อเผชิญกับกำแพงมนตราไร้รูป ไร้สีสันขวางกั้น

             ทำอย่างไรถึงจะยับยั้งการปล่อยไวรัสอาคมครั้งนี้?

             สายตาทรงกลดมองทุกสิ่งรอบตัวเพื่อหาวิธีหยุดยั้งพิธี

             สมองครุ่นคิด...ถ้าปล่อยไวรัส...ต้องสกัดกั้นไวรัส...แล้วเชื้อไวรัสที่ปล่อยนั้นอยู่ไหน?

             ชายหนุ่มตั้งคำถาม และเห็นคำตอบในไม่ช้า

             ปิศาจที่ยืนเรียงเป็นวงกลมหลายชั้น พวกมันล้วนเหม่อซึม ไม่รู้เนื้อรู้ตัว ง่ายต่อการควบคุม ใช้งาน หากมีเวทมนตร์ อาคมเฉพาะ พิเศษ สามารถนำไวรัสจริงผนึกแทรกเข้าไปในพวกมัน แล้วสั่งการ กำหนดเป้าหมายให้มันจู่โจม ทำร้ายบุคคลตามประเภทกำหนด ก็ไม่ยากเลยที่จะแปลงภูตผีปิศาจเหล่านี้ให้กลายเป็นพาหะ เพื่อนำไวรัสอาคมร้ายไปสู่บุคคลที่อาจารย์ใหญ่เลือกสรร ต้องการ

             เป้าหมายของอาจารย์ใหญ่เป็นบุคคลที่เลวร้าย พร้อมจะก่อกรรมชั่ว

             ฉะนั้นจึงไม่น่าแปลกใจว่าเหตุใด ผู้ที่บังเกิดจิตใจเหี้ยมโหด อำมหิต ถึงขั้นฆ่าคนได้ จึงโดนไวรัสชนิดนี้

             นั่นเพราะอาจารย์ใหญ่ได้สั่งการ ควบคุม ตั้งโปรแกรมกับเหล่าพาหะปิศาจเรียบร้อยตั้งแต่ต้นแล้ว

             หนำซ้ำยิ่งมีมหามนตราหนุนเสริม ไวรัสอาคมที่มีพาหะเป็นปิศาจเช่นนี้ จึงกลายเป็นสุดยอดอาวุธชีวภาพที่โลกคาดไม่ถึง และไม่เคยมีมาก่อน!

             “เพิ่งมาถึงหรือ?” เสียงใสกังวานก้องในใจทรงกลด

             ชายหนุ่มสะดุ้ง สบตาอาจารย์ใหญ่อีกครั้ง เห็นเธอไม่ขยับริมฝีปากสักนิด คาดไม่ถึง จะได้รับการติดต่อสนทนาทางจิตกันเช่นนี้

            “อาจารย์ใหญ่...” ทรงกลดเรียกขานผ่านภาษาทางใจเช่นกัน

             “เรียกฉันว่า...ไลลา” คำแย้งแม้ห้วน ยังเจือความหวาน

             “คุณเป็นอาจารย์ของอาจารย์ผมจริงหรือ?” ทรงกลดต้องการการยืนยันเพื่อความแน่ใจ

             “ถ้าเธอคิดว่า การสอนเวทมนตร์ไม่กี่บท แล้วนับว่าเป็นอาจารย์กันได้...ฉันก็น่าจะเป็นอาจารย์ของเขา”

             ทรงกลดอึ้ง เขารู้จักอาจารย์ตนเองดี หากคนผู้นี้ขอเรียนเวทมนตร์ ‘ไม่กี่บท’ จากใคร แสดงว่าเวทมนตร์นั้นต้องทรงอานุภาพ ไม่ธรรมดา

             “แล้ว...อาจารย์...เอ่อ...ไลลา” เขาไม่สะดวกใจในคำเรียกขานนั้น “คุณทำเรื่องพวกนี้ไปเพื่ออะไร”

             “เธอเรียนอาคม เวทมนตร์ จากฮันเตอร์ไปเพื่ออะไร”

             คำเรียกขาน ‘ฮันเตอร์’ ฟังคุ้นเคยเหมือนกล่าวถึงคนที่เสมอกัน หรือต่ำกว่าจริงๆ

             ทรงกลดนิ่งชั่วอึดใจก่อนเอ่ยปากตอบ

             “แก้แค้น”

             ไลลายิ้มน้อยๆ กับคำตอบของเขา

             “จุดประสงค์ฉันก็ไม่ต่างจากเธอ” คำตอบนุ่มนวล อ่อนเบา

             “คุณมีความแค้นกับใคร” ทรงกลดสงสัย

             “คนชั่ว ที่เบียดเบียน สร้างความเดือดร้อนแก่คนอื่น”

             คำตอบลักษณะนี้ เคยได้ยินมาแล้วจากฮันเตอร์ คิม

             “พวกเขาสร้างความเจ็บแค้นอะไรให้กับคุณ”ทรงกลดพยายามถาม เพื่อหาช่องทางโน้มน้าวใจอีกฝ่าย

             “ฮันเตอร์เคยบอกเหตุผลกับเธอไหม ว่าเขาชังคนชั่วเพราะอะไร?”

             ทรงกลดนิ่ง ฮันเตอร์ คิม ไม่เคยเล่าอดีตของตนเองให้เขาฟังก็จริง แต่ชายหนุ่มรับรู้ได้พอสมควร

             “อาจารย์ผมเขาจะเลือกเหยื่อที่เลวร้ายจริงๆ เป็นรายๆ ไม่เคยคิดฆ่าคนชั่วแบบหว่านแหอย่างคุณ”

             “ตายทีละราย กับตายทีละมากๆ มันก็ตายเหมือนกัน”

             “แต่ไวรัสอาคมของคุณอาจทำร้ายคนที่ไม่ได้เลวร้ายจริง ๆ”

             “อย่างแม่ผู้หญิงที่กำลังเอาน้ำกรดไปสาดหน้าคนอื่นนั้นหรือ?” ไลลาย้อน

             “ใช่...ผกาแก้ว...ผู้หญิงคนนั้นไม่ใช่คนเลวร้าย เธอถูกบีบคั้น กดดันให้ทำเรื่องเลวร้าย”

             “แล้วถ้ามี ‘คนดี’ บางคนถูกสถานการณ์กดดัน บีบคั้นให้กดปุ่มปล่อยระเบิดนิวเคลียร์ออกไป ทำให้คนตายเป็นจำนวนเรือนล้าน คนคนนั้นสมควรถูกฆ่าให้ตายก่อนปล่อยระเบิดฆ่าคนไหม”

             คำพูดของไลลาทำให้ทรงกลดตอบโต้ไม่ได้

             “เธอคอยดูไวรัสอาคมของฉันครั้งนี้”ไลลาบอกด้วยสีหน้าเหมือนเด็กอยากอวดของเล่น“คราวนี้เป้าหมายของฉันจะกว้างขึ้น ละเอียดลึกซึ้งกว่าเดิม พวกคนชั่ว คนเลวร้ายที่มีหน้ากากเป็นนักบุญ จะไม่มีทางรอดจากไวรัสครั้งนี้เด็ดขาด”

             ทรงกลดหนาวเยือกไปทั้งร่าง คำพูดไลลาฟังแสนธรรมดา หากในจิตใจเขากลับรับรู้ถึงความน่าสะพรึงกลัวที่ไม่เคยเห็นจากใครมาก่อน

             พิธียังคงดำเนินต่อไป ชายหนุ่มรีบคิดหาวิธีหยุดยั้งอย่างเร่งด่วน



             ...ไม่ทันจริงหรือ? พิธีเริ่มแล้วแน่หรือ?

            เอื้อกานต์และหมากมองหน้ากัน ต้องการให้อีกฝ่ายยืนยันสังหรณ์ สัมผัสในใจตนเอง

            “แล้ว...เราจะทำยังไงต่อไปดี” เอื้อกานต์ถาม

            “ไปโรงพยาบาล” หมากตอบ

            “ทำไม” เอื้อกานต์สงสัย

            “ถ้าเราไม่สามารถสกัดกั้นตรงต้นเหตุได้ ก็ควรไปเตรียมตัวรับที่ปลายเหตุ”

            คำพูดหมากบอกชัด พวกเขาไม่มีทางยับยั้งการปล่อยไวรัสอาคม สิ่งที่พอทำได้ตอนนี้คือเตรียมพร้อมช่วยรักษาคนป่วยที่จะมาถึง

            “เราทำได้แค่นี้จริงใช่มั้ย” เอื้อกานต์ยังค้างคาใจ

            “ครับ” หมากตอบตามความรู้สึกจริง

            หญิงสาวระบายลมหายใจยาว นำความอึดอัดออกจากใจ

            “งานหนักแน่” เอื้อกานต์บ่น

            “เหนื่อยด้วยกันน่า” หมากพูดยิ้มๆ แววตาจริงใจ

            เขารู้ หญิงสาวบ่นไปอย่างนั้นเอง ส่วนตัวเขาพร้อมเสมอที่จะอยู่เคียงข้าง...ไม่ใช่แค่เรื่องช่วยเธอที่โรงพยาบาลครั้งนี้เท่านั้นหรอก



            พลังมืดในวงกลมปิศาจเพิ่มความเข้มข้นขึ้น ขณะร่างขาวโพลนของไลลายิ่งโดดเด่น สว่างเรือง กรอบความมืดขับเน้นความสว่าง สองสิ่งขัดแย้งคนละขั้ว ก่อให้เกิดขุมพลังงานอันน่าตระหนก

            ทรงกลดไม่อาจฝ่ากำแพงที่มองไม่เห็น หรือต่อให้ทำได้ เขาก็ไม่คิดหักหาญ รุนแรงกับผู้เป็นอาจารย์ของอาจารย์...ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่เธอเป็นผู้หญิง

            พิธีเริ่มแล้ว ยับยั้งไม่ทัน สิ่งที่พอทำได้คือขัดขวางสกัดกั้นไม่ให้ไวรัสอาคมออกไปนอกสตูดิโอนี้

            หากเจาะจงมองเหล่าภูตผีที่เป็นพาหะไวรัสอาคมให้เห็นจริง จะรู้ว่ามันเป็นกลุ่มพลังงานที่มีเจตจำนงประเภทหนึ่ง

            ไลลาสามารถควบคุม ใช้งานมันเป็นพาหะไวรัส สั่งการให้เสาะหาเป้าหมาย แล้วส่งพวกมันแทรกในคลื่นสัญญาณโทรทัศน์ เพื่อกระจายในวงกว้าง

            ทรงกลดมองดูเจ้าหน้าที่มนุษย์ซึ่งถูกควบคุมด้วยปิศาจ พวกเขากำลังถ่ายทอดภาพพิธีของไลลาออกไป เพียงแต่ขณะนี้ คลื่นความถี่ยังไม่ถูกแทรกด้วยพลังงานแฝงไวรัสอาคม

            ไลลาใช้คลื่นความถี่สัญญาณโทรทัศน์เป็นสื่อ นำเหล่าพาหะปิศาจกระจายออกกว้างไกลกว่าเคย พลังงานปิศาจหนึ่งตนสามารถแพร่ไวรัสอาคมได้เป็นจำนวนมาก ต่อให้ผู้คนไม่ได้เปิดดูทีวีดาวเทียมช่องนี้ แต่คลื่นความถี่ สัญญาณโทรทัศน์ก็ยังกระจายอยู่รอบตัว ฉะนั้นเหล่าคนที่ถูกหมายหัว เป็นกลุ่มเป้าหมาย ไม่มีทางรอดพ้นไปได้

            ถ้าจะจำกัดการกระจายไวรัส ต้องทำลายเครื่องส่งสัญญาณไปก่อน!

            ทรงกลดจ้องเขม็งไปยังเจ้าหน้าที่ควบคุมเครื่องส่งสัญญาณภาพและเสียง สำรวมจิตนิ่ง แผ่พลังของตนออกไปกระแทกพลังปิศาจที่ควบคุม บังคับร่างนั้น

            ผลัวะ...ความรู้สึกเหมือนสิ่งสกปรกหลุดจากตัว เจ้าหน้าที่มนุษย์ทรุดฮวบ

            คนหนึ่งหมดสติ อีกคนที่อยู่ใกล้รีบเข้ามาทำงานแทน ทรงกลดขยับตัวเข้าใกล้ พร้อมจัดการคนต่อไป สมุนปิศาจในร่างมนุษย์ต่างกรูเข้ามาขัดขวาง ป้องกัน

            ทรงกลดกำหนดความคิดในหัว...เขาต้องทำลายเครื่องส่งสัญญาณให้ได้!

            พวกมันรู้ทันความคิดนั้น ต่างทุ่มเทกำลังขัดขวางเต็มที่ ชายหนุ่มลำพังคนเดียว กับฝ่ายตรงข้ามเกือบสิบ ต่อให้ทรงอาคมแค่ไหน ร่างกายยังเป็นคนปกติ ไม่ใช่ยอดมนุษย์ การต่อสู้จึงต้องอาศัยมือเท้าคล่องแคล่ว ว่องไว พอมีจังหวะ โอกาส ค่อยใช้อาคมขับไล่พลังปิศาจจากร่างมนุษย์ทีละคน

            ทรงกลดเข้าใกล้เครื่องส่งสัญญาณทีละนิด ศัตรูลดทอนลงเกือบครึ่ง ที่เหลือล้วนสลบเหมือด หมดสติ ปิศาจไม่อาจควบคุมบังคับได้อีก

            ตรงหน้า ห่างไม่กี่ก้าวจะถึงเครื่องส่งฯ พวกมันยืนเรียงแถวหน้ากระดานขัดขวางเต็มที่ รวมกำลังเปล่งกระแสเป็นเกราะสีดำเข้มข้นจนเขาไม่อาจใช้อาคมขับไล่พลังงานปิศาจออกจากร่างคนเหล่านั้นได้

            ทรงกลดเหลียวมองไลลาแวบเดียว รู้ว่าเธอแบ่งพลังของตนมาช่วยลูกสมุน เพื่อไม่ให้เขาทำลายเครื่องส่งสัญญาณได้ นัยน์ตาชายหนุ่มทอประกายประหลาด ก่อนจะกระโจนไปอีกทิศทางหนึ่งซึ่งไม่มีสมุนไลลาขวางทาง

            ที่จุดนั้นเป็นคัตเอาต์ สะพานไฟหลักที่ใช้ในสตูดิโอ!

            เขาใช้เวลาไม่กี่วินาทีก็ถึงสะพานไฟ ยกมือสับคัตเอาต์อย่างรวดเร็วพร้อมกับคว้าเก้าอี้ไม้ใกล้ตัว ฟาดไปที่แผงสะพานไฟเต็มแรง

            เสียงดังบึ้ม..ไฟทั้งสตูดิโอดับพรึ่บ มีสะเก็ดประกายไฟจากคัตเอาต์เปล่งประกายขึ้นมาแวบหนึ่ง

            อาศัยจังหวะที่ไลลาคาดไม่ถึง พลังที่ส่งมาช่วยลูกสมุนชะงักงัน ทรงกลดหันไปทางเจ้าหน้าที่ผีสิงที่เหลือ เปล่งอาคมระลอกใหญ่ซัดใส่ ขับไล่พลังงานปิศาจออกจากร่างผู้คนจนหมดสิ้น

            ไฟสำรองสว่างขึ้นริบหรี่ มองเห็นกันรางๆ ไม่เพียงพอสำหรับการใช้งานเครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์หลายชิ้น สะพานไฟเสียหายหนัก กว่าจะซ่อมเสร็จต้องเสียเวลาหลายชั่วโมง

            การปล่อยไวรัสอาคมโดยอาศัยคลื่นสัญญาณโทรทัศน์ครั้งนี้...น่าจะล้มเหลว



            “เก่ง...ที่หลอกฉันได้” เสียงไลลาดังขึ้นในหัว

            ทรงกลดหันขวับไปกลางห้องสตูดิโอ เห็นไลลายืนนิ่ง สายตามองตรงมา มีแววรู้เท่าทัน

            ตั้งแต่พิธีเริ่ม ทรงกลดคิดหาทางขัดขวางการส่งอาคมแต่แรก เขามุ่งหน้าไปยังเครื่องส่งสัญญาณฯ กำหนดความคิดซ้ำๆ ในหัวว่าจะต้องทำลายเครื่องส่งสัญญาณให้ได้ ไลลาอ่านความคิดเขาออกจึงหลงกล ส่งสมุนแห่ไปดักกันตรงนั้น ทั้งที่เจตนาจริงของเขาอยู่ที่สะพานไฟหลัก

            เครื่องมือที่นี่แทบทุกชิ้นต้องอาศัยไฟฟ้า ถ้าไม่มีไฟ อุปกรณ์เกือบทั้งหมดก็จะกลายเป็นอัมพาต ใช้งานไม่ได้ ไม่สามารถช่วยส่งไวรัสอาคมตามกระแสคลื่นสัญญาณโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมออกไปในวงกว้าง

            ทรงกลดทำสำเร็จ แต่เขารู้ว่างานยังไม่จบ พิธียังคงดำเนินต่อ เหล่าภูตผีกำลังขยับเขยื้อน ร่ายระบำตามจังหวะเวทมนตร์ สะสมพลังมืดให้กล้าแข็งขึ้นเรื่อยๆ

            “เธอหลอกฉันได้ แต่ไม่สามารถยับยั้งการส่งไวรัสอาคมครั้งนี้แน่”

            ไลลาบอกด้วยความมั่นใจเปี่ยมล้น

            ถูกต้อง...ต่อให้ไม่มีเครื่องส่งสัญญาณโทรทัศน์ ไวรัสอาคมยังถูกปล่อยได้อยู่ดี เพียงแต่ถูกจำกัดวงให้แคบลง เฉพาะในกรุงเทพฯ และจังหวัดใกล้ๆ ไม่สามารถครอบคลุมทั่วประเทศ กวาดรวมไปถึงประเทศข้างเคียงเหมือนผ่านสัญญาณดาวเทียมได้

            “ไลลา ผมขอร้อง อย่าทำเรื่องที่จะทำให้คุณต้องมานึกเสียใจภายหลังเลย” ทรงกลดอ้อนวอนผ่านความคิด

            “ฉันไม่มีวันเสียใจที่เห็นคนชั่วช้าตกตายไป” คำตอบชัดเจน “เธอก็รู้...คนชั่วหนึ่งคน สามารถทำให้คนดีๆ ต้องพบความลำบาก เจอเรื่องร้ายๆ ได้มากมายแค่ไหน”

            “แต่คุณไม่มีสิทธิ์ตัดสินประหารชีวิตพวกเขา” ทรงกลดค้าน

            “ดูต่อไปสิ ว่าฉันมีสิทธิ์ทำได้หรือไม่”

            จบคำพูด ทรงกลดสัมผัสได้ถึงกลุ่มก้อนพลังดำมืด ก่อตัวหนาแน่น เตรียมพร้อมกระโจนออกสู่ภายนอก

            โดยไม่คิดอะไรมาก เขาสำรวมจิตมั่น รวบรวมอาคม พลังอำนาจแห่งจิตตน แผ่กระแสคลื่นอันเข้มข้นออกไปสกัดกั้น ขัดขวาง

            การต่อสู้ระหว่างผู้ทรงอาคมทั้งสองเริ่มขึ้นอย่างแท้จริงแล้ว!



            สร้อยข้อมือเอื้อกานต์บังเกิดความร้อนขึ้นมาวูบหนึ่ง หญิงสาวสะดุ้ง ก้มมองมันอย่างแปลกใจ ก่อนใช้ปลายนิ้วลูบคลำเบา ๆ

            “มีอะไรหรือหมอเอื้อ” หมากหันมาถาม

            เขากำลังขับรถพาหญิงสาวไปเตรียมพร้อมรับมือที่โรงพยาบาล

            “บอกไม่ถูก...” เอื้อกานต์พึมพำ สบตาชายหนุ่มพลางยิ้มเพื่อให้เขาสบายใจ “แต่ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงหรอก”

            “แน่นะ” หมากยังไม่วางใจ

            “ค่ะ” คุณหมอสาวรับคำ อดเหลือบตาดูสร้อยบนข้อมือไม่ได้

            ความร้อนวูบนั้นหายไปแล้ว เหลือเพียงกระแสอ้อยอิ่งเจือจาง เอื้อกานต์เกิดความรู้สึกเป็นห่วงอย่างบอกไม่ถูกโดยไม่รู้เหตุผล

            เธอไม่รู้...กำลังเป็นห่วงใคร...ห่วงเขาด้วยเหตุใด?

            รู้แค่หัวใจมันวูบไหวยามปลายนิ้วสัมผัสสร้อยข้อมือ กระแสที่ถ่ายทอดออกมา ทำให้จิตใจเกิดอาการกระวนกระวาย เป็นห่วง อยากช่วยเหลือ อยากทำอะไรสักอย่าง

            แล้วจู่ ๆ ความรู้สึกเหล่านั้นกลับว่าง...โล่ง ราวกับสะพานเชื่อมใจถูกตัดขาด ไม่มีเยื่อใย



            ทรงกลดนั่งขัดสมาธิ หลับตา ไลลายืนนิ่ง เด่นสง่ากลางวงล้อมความมืดทะมึนของพลังงานสีดำที่สงบนิ่งเช่นกัน สภาพในสตูดิโอเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น นอกจากสะพานไฟที่ห้อยร่องแร่ง เหล่าเจ้าหน้าที่นอนสลบไสล ไม่รู้เรื่องราว

            แสงจากไฟฉุกเฉินริบหรี่ สลัวลง ภายในห้องสงบ เงียบงัน ไม่มีเหตุการณ์ร้ายแรง ไม่เกิดการต่อสู้ห้ำหั่นใดๆ เสมือนผิวน้ำราบเรียบ ไร้ระลอกคลื่น

            ทว่าหากใครมี ‘ตาใน’ เห็นเหมือนที่ทรงกลดกำลัง‘เห็น’อยู่ในขณะนี้ จะรู้ว่าสภาพการหักหาญ ต้านยันด้วยอาคม สรรพเวทมนตรา ที่ปรากฏในอีกมิติหนึ่ง มันชวนให้ขนลุกเกรียวด้วยความหวาดหวั่นเพียงใด

            พลังมืดของไวรัสอาคมเข้มข้นถึงขั้นสูงสุด เหล่าภูตผีต่างแสยะเขี้ยว ส่งเสียงร้องดังกระหึ่ม กระเหี้ยนกระหือรือพร้อมกระโจนทะยานออกไปตามแรงเวทที่เสริมส่งของไลลา

            เพียงแต่ด้านบน เหนือพวกมัน เป็นกำแพงอันหนาแน่น กอปรสร้างด้วยอาคมอันกร้าวแกร่ง ทั้งยังมีตาข่ายมนตราอันเผ็ดร้อนซึ่งถูกถักทอด้วยกำลังสมาธิอันเข้มข้นของทรงกลดกางกั้นอยู่

            มันต่อต้าน ค้ำยันขบวนภูตผีปิศาจและพลังอำนาจของไลลาอย่างเต็มกำลัง ประกายแลบแปลบสีเงินยวง พร้อมเสียงดังครืนครั่น บังเกิดขึ้นทุกครั้งที่ปิศาจตนหนึ่งตนใดหักหาญ พุ่งขึ้นชนกำแพงอาคมนี้

            ไลลายืนนิ่งเป็นรูปสลัก สงบงันไม่ขยับแม้กระทั่งริมฝีปาก ทว่าอำนาจมนตราของเธอกลับยิ่งทวีความแกร่งกล้า รุนแรงขึ้นทุกขณะ ปรากฏเป็นพายุแสงสว่างเรือง หมุนวนกระแทกกำแพงอาคม ตาข่ายมนตรา เป็นระยะ โดยมีเหล่าสมุนกระหน่ำเสียงโห่ร้องไม่ขาดสาย

            ทรงกลดรู้ว่าการประลองกำลัง ต่อต้าน แข็งขืนด้วยอำนาจสมาธิ มนตราเช่นนี้ ย่อมมีเวลาที่ต่างฝ่ายอ่อนล้า พลาดพลั้ง อาจเป็นเขาหรือไลลาพอๆ กัน ทิ้งเวลาเนิ่นนานไม่เกิดประโยชน์ จำต้องหาแผนเผด็จศึกโดยเร็ว บังคับให้ไลลาถอนอาคมกลับ หรือไม่ก็ทำลายเหล่าภูตผี รวมทั้งไวรัสอาคมทั้งหมดนี้ในคราวเดียว

            วิธีตรงไปตรงมา ลัดสั้น คือใช้อาคมขั้นสูงสุดที่เขาเคยก้าวไปถึง เป็นอาคมร้ายกาจ ขนาด ฮันเตอร์ คิม ยอมเอ่ยปากว่าตนเองก็ไม่อาจต้านทาน รับมือ

            แต่หากใช้อาคมขั้นนั้น เขาจะกลายเป็น ‘อสูรทรงกลด’ ขาดสติ หมดความรู้สึกผิดชอบของมนุษย์ ไม่สามารถควบคุมตัวเอง พลังเกินหยั่งคาดจะทำลายทุกคนรอบตัว ไม่ว่าจะเป็นไลลา สมุนปิศาจ ผู้คนที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่ สุดท้าย...กระทั่งตัวเขาเอง

            อาคมชนิดนี้เป็นเสมือนสัตว์ร้ายที่ใครก็ควบคุมไม่ได้ ปล่อยออกมาเมื่อไร ย่อมเกิดโศกนาฏกรรมร้ายแรง

            ทรงกลดไม่ยอมใช้มัน...ต่อให้ตายเดี๋ยวนี้ก็ไม่ใช้!

             ขณะไตร่ตรองตัดสินใจ เขาพบว่าไลลาส่งกระแสพลังอันแหลมคมพุ่งตรงมาอย่างคาดไม่ถึง เขาก่อพลังต้านรับ สะท้านเยือก กำแพงอาคมโยกคลอน อ่อนกำลัง

             สิ่งที่ทรงกลดคาดไม่ถึงอีกเรื่อง...คือภูตผีในห้องนี้ไม่ได้เป็นพาหะไวรัสอาคมทั้งหมด ยังมีพวกที่ควบคุมเจ้าหน้าที่มนุษย์ ซึ่งถูกเขาฟาดจนหลุดออกมา ไม่อาจเข้าควบคุมร่างกายคนซ้ำได้

             พวกมันยังไม่หนีไปไหน เพียงรอจังหวะ โอกาสเหมาะสม เพื่อจู่โจม ซ้ำเติม

             ...เวลานั้นมาถึงแล้ว...

             เมื่อทรงกลดต้านพลังมนตร์แฝงของไลลา จิตกังวลต่อการโยกคลอนของกำแพงอาคม เหล่าปิศาจจึงแห่มาด้านหลัง ใช้กระแสมืดมาสะกด ครอบงำ เพื่อควบคุมเขา เช่นเดียวกับที่เคยควบคุมมนุษย์คนอื่น

             ทรงกลดรับรู้ถึงกระแสชั่วร้ายที่จู่โจมมาด้านหลังในเสี้ยววินาที เขารีบดึงพลังอาคมแผ่เป็นเกราะป้องกันออกมาต้านรับโดยอัตโนมัติ

             นั่น...ทำให้เกิดข้อผิดพลาดครั้งสำคัญ

             กำแพงอาคมถูกกระแทกด้วยพายุเวทมนตร์ครั้งใหญ่จนสะเทือนไหวแรง ตาข่ายมนตราเกิดช่องว่างขนาดใหญ่ชั่วขณะ เหล่าภูตผี พาหะไวรัสอาคมกลุ่มหนึ่ง ฉวยโอกาสรับแรงหนุนเสริมของไลลาพุ่งทะยานหลุดรอดออกไปได้

             ทรงกลดต้องรีบตัดสินใจครั้งสำคัญ

             เขาควรใช้อาคมขั้นสูงสุดทำลายเหล่าปิศาจทั้งห้อง รวมถึงไลลา ในคราวเดียว เพื่อหยุดยั้งไม่ให้ไวรัสอาคมที่ออกไปแล้วทำงานสัมฤทธิผล

             หรือ...ใช้อีกวิธี...ที่เสี่ยงยิ่ง และไม่สมบูรณ์พร้อม?

             เขาต้องเลือก!



             ไลลาเห็นสมุนปิศาจกลุ่มแรกหนีรอดสำเร็จ กำแพงอาคมสะเทือนหนัก อ่อนแรงแทบต้านทานพายุเวทของตนไม่อยู่ ตาข่ายมนตรามีช่องโหว่มากมาย แสดงถึงกำลังอ่อนด้อย ขาดความต่อเนื่อง

             เธอยิ้มในใจ เปล่งพลังในตัวหนุนเสริมขบวนพาหะปิศาจทั้งหมด ให้กระแทก ทะลุกำแพงอาคมออกไปในคราวเดียว

             ดูซิว่าหลานศิษย์คนนี้จะต้านทานไหวหรือไม่?

             กำแพงอาคมพังครืน ตาข่ายมนตราฉีกขาด เหล่าปิศาจทั้งหลายรีบทะลุ เล็ดลอดหลบหนีหมดสิ้นในคราวเดียว

             ไลลาเผยรอยยิ้มยินดี ทว่า...รอยยิ้มนั้นกลับค้างคา แปรเปลี่ยนเป็นประหลาดใจยิ่ง

             สมุนปิศาจของเธอผ่านกำแพงตาข่ายมนตราได้จริง แต่ไวรัสอาคมที่อยู่กับพวกมันกลับสูญหาย ราวกับถูกดูดกลืนจนไม่เหลือร่องรอย



             ทรงกลดลืมตาจากสมาธิ ใบหน้าซีดขาวจนเผือด เหงื่อเม็ดใหญ่ผุดพราวเต็มใบหน้า เขายอมให้สมุนของไลลาผ่านกำแพงของตนก็จริง แต่ยังมีมนตราอีกบทที่ดูดซับไวรัส เชื้อโรคร้ายของมัน มาจนเกลี้ยง

             ต่อให้พวกมันออกไปอาละวาดภายนอก ก็ไม่อาจแพร่ไวรัสอาคมกับมนุษย์คนใดได้อีกแล้ว

             ไลลาถอนใจแผ่วเบา โบกมือให้เหล่าปิศาจหลีกเร้น หนีหาย ก่อนเยื้องกรายช้าๆ ตรงเข้ามาหาเจ้าของร่างที่นั่งขัดสมาธิอยู่

             หยุดยืนห่างกันราวสามก้าว ผู้เป็นอาจารย์ ฮันเตอร์ คิม มองหลานศิษย์ด้วยแววตาพินิจพิเคราะห์ ริมฝีปากเรียวงามขยับยิ้ม ยอมเอ่ยปากเจรจาเป็นครั้งแรก

             “ทำอย่างนี้เพื่ออะไร” เสียงถามภาษาอังกฤษกังวานเพราะ

             “ผมบอกแต่แรกแล้วว่า ไม่ต้องการให้คุณปล่อยไวรัสอาคม” ทรงกลดไม่ขยับปาก ยังคงสื่อสารทางจิตเช่นเคย

             “เธอบ้าหรือโง่กันแน่!” ไลลาถามต่อ

             ทรงกลดยิ้มให้ พร้อมก้มศีรษะคารวะ ดังผู้น้อยแสดงความเคารพต่อผู้อาวุโสกว่า

             “คิดว่าทำอย่างนี้แล้วฉันจะหยุดอย่างนั้นหรือ?” หญิงผู้ทรงอาคมถาม

             ชายหนุ่มไม่ตอบ ใครก็รู้ ไลลาไม่หยุดแค่นี้ แต่การขัดขวางพิธีของเธอสำเร็จ ก็ทำให้คนถือดีในอัตตา ความสามารถ อย่างไลลา ต้องหยุดพักชั่วระยะ หาวิธีสร้างและปล่อยไวรัสอาคมที่เหนือชั้นกว่าเดิม จนไม่มีใครขัดขวาง ต้านทาน พอมั่นใจแล้วค่อยเริ่มอีกครั้ง

             ทรงกลดหวังว่า...เมื่อถึงเวลานั้น เขาจะมีวิธีทำให้เธอเปลี่ยนใจ

             ใบหน้าสวยราวรูปปั้นมองเขาอย่างสังเวชแกมดูแคลน ก่อนหันหลังเดินจากไปด้วยท่วงท่าสง่างาม



             ทรงกลดรอจนไลลาพร้อมด้วยเหล่าสมุนทั้งหมดออกจากสตูดิโอ จึงค่อยระบายลมหายใจยาว คลายเกราะกำแพงอาคมที่โอบล้อมป้องกันตนเองออก ใบหน้าซีดขาวเริ่มปรากฏสีแดงซ่าน เหงื่อผุดพราวมากกว่าเดิม

             ชายหนุ่มขบริมฝีปากแน่น ขยับขา คลายออกจากท่านั่งขัดสมาธิอย่างลำบาก ฝืนลุกขึ้นยืน ร่างกายเซน้อยๆ ก้าวขาแทบไม่ออก ตัวเบาหวิว ขณะที่หัวหนัก มึนตึ้บ

             ‘เธอบ้าหรือโง่กันแน่!’...เสียงไลลาก้องมาในความทรงจำ

             ทรงกลดตอบไม่ได้ว่าเขาโง่หรือบ้า ที่ยอมใช้แผนสอง ให้ตาข่ายมนตราดูดซับไวรัสอาคมมาทั้งหมด แทนการใช้อาคมขั้นสูงสุดทำลายล้างเหตุแห่งเภทภัยจนสิ้นซาก

             การดูดซับไวรัสอาคมเหล่านั้น เท่ากับเป็นการทำร้ายตัวเอง!

             ไวรัสที่ไลลาเตรียมแพร่ให้แก่เหล่าคนชั่ว เป็นเชื้อโรคร้ายแรง ควบคุมด้วยอาคมกล้า ถ้าใช้เพียงตาข่ายมนตราดูดซับมาเฉยๆ มันยังสามารถกระจายออกมาทำร้ายพวกเจ้าหน้าที่ซึ่งสลบไสลไม่รู้เรื่องราวในสตูดิโอนี้ได้อีก

             ทรงกลดจึงยอมรับไวรัสทั้งหมดนั้นไว้ด้วยตัวเอง เขาเลือกที่จะให้ตนเป็นผู้รับเคราะห์ มากกว่าทำร้ายผู้บริสุทธิ์

             ถึงอย่างนั้น เขาก็รู้ว่ายังไม่อาจสกัดกั้นไวรัสอาคมได้ทั้งหมด พวกพาหะปิศาจชุดแรกที่แหกกำแพงสำเร็จ ต้องทำหน้าที่ตามคำสั่งไลลาโดยไม่ขัดขืน

             อะไรจะเกิดขึ้น...เขาไม่กล้าคิด...โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ไลลายืนยันแล้วว่า ไวรัสชุดนี้ร้ายกาจลึกซึ้งกว่าครั้งแรกหลายช่วงตัว...

             ทรงกลดมัวแต่ห่วงคนอื่น โดยลืมไปว่า เขาโดนไวรัสหนักกว่าใคร อาจรักษาชีวิตไว้ไม่ได้ด้วยซ้ำ...

             นี่เอง...ไลลาจึงเอ่ยปากถามอย่างสงสัย...ว่าเขาบ้าหรือโง่กันแน่...ที่ทำอย่างนี้



             หมากพาเอื้อกานต์มาเกือบถึงโรงพยาบาล สองหนุ่มสาวมีสังหรณ์ในใจคล้ายกัน นั่นคือจะเกิดเรื่องร้ายแรง สัญญาณเตือนภัยในหัวสั่นระรัว

             สัญญาณนั้นยังร้องเตือนเป็นระยะ เร่งเร้ากระตุ้นอยู่ภายใน ทั้งคู่ไม่กล้าเอ่ยปากพูดจา ไม่กล้าไถ่ถามกัน กลัวว่าพูดเมื่อไร สิ่งที่สังหรณ์จะเกิดขึ้นจริง

             ภายในรถมีแต่ความเงียบงัน กระแสความคิด ความกังวลไหลเวียน ชวนอึดอัด...จนกระทั่ง...

             ...ปังงง...เอี๊ยดดด...โครมมม...โครมมม...โครมมม...

             เสียงดังสนั่น ลั่นเป็นทอดๆ ดังมาจากถนนข้างหน้า ก่อให้เกิดความตกใจ หวั่นกลัวขึ้นมาทันที

             หมากตั้งสติอย่างรวดเร็ว มองหาที่จอดรถ พอดีเห็นห้างเล็กๆ อยู่ใกล้ จึงรีบเลี้ยวรถเข้าไปจอดทันที

             “จอดทำไมคะ” เอื้อกานต์ไม่เข้าใจความคิดของเขา

             “ผมว่าข้างหน้าจะต้องเกิดรถติดชนิดวินาศสันตะโรแน่” หมากตอบ

             “เพราะอะไร?” หญิงสาวถามแล้วฉุกใจคิดได้ “เสียงนั่น...”

             “ผมว่าข้างหน้าเราเกิดอุบัติเหตุ แล้วก็ไม่ใช่อุบัติเหตุธรรมดาแน่ ไม่งั้นเสียงมันไม่ดังเป็นทอดๆ รุนแรงขนาดนี้หรอก” ชายหนุ่มวิเคราะห์ให้ฟัง

             “งั้นเรา...” เอื้อกานต์เอ่ยปาก ยังไม่ทันพูดจบชายหนุ่มก็พยักหน้าพูดแทรกขึ้น

             “เรารีบลงไปดูกันเถอะ เผื่อมีอะไรช่วยพวกเขาได้”

             เอื้อกานต์เห็นดวงตาของหมากทอประกายขึ้น ความรู้สึกที่สัมผัสได้เป็นความเมตตาอย่างใหญ่หลวง ที่เกิดขึ้นยามเห็นคนอื่นกำลังลำบาก เดือดร้อน

             “ค่ะ...เราไปด้วยกัน” เอื้อกานต์พูดหนักแน่น

             ข้างหน้าเกิดอุบัติเหตุแน่นอน อุบัติเหตุเช่นไรถึงมีเสียงดังสนั่นติดกันแปลกๆ แบบนี้

             สองคุณหมอลงจากรถโดยไม่ลังเล ไม่สนใจคิดถึงด้วยซ้ำว่าพวกตนจะต้องไปเจอสภาพอุบัติเหตุร้ายแรงแค่ไหน ใจพวกเขามีความคิดอย่างเดียว คืออยากจะช่วยเหลือ



(โปรดติดตามต่อฉบับหน้า)



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP