วรรณกรรมนำใจ Lite Literature

ระบำเวท ๑๑


cover rabamvej

ชลนิล




(ต่อจากฉบับที่แล้ว)



             เอื้อกานต์ปล่อยให้มือตนถูกกุมกระชับอยู่ในมือชายหนุ่ม หนำซ้ำยังบีบตอบสื่อความเข้าใจแก่กัน การบุกฝ่ากำแพงหมอกเข้าไปอาจเป็นการล่วงเข้าสู่ม่านอาคมร้าย สายตาไม่มีประโยชน์ จำเป็นต้องใช้สัมผัสมือต่อมือ ใจต่อใจ สื่อสารกัน

             ก้าวขึ้นบันไดทีละก้าว ทีละขั้น หมอกดำโอบล้อมพร้อมกระไอเย็นเยียบ แปลกประหลาด มันไม่หนาวเย็นเหมือนยามที่อุณหภูมิลดต่ำ หากเป็นความเย็นแบบชวนขนลุก ตัวเห่อชา ความเย็นชนิดนี้สามารถแทรกเข้าสู่ใต้ผิวหนัง พุ่งตรงถึงจิตใจ ก่อให้เกิดความหวั่นไหว สะพรึงกลัว โดยไม่มีสาเหตุ

             ก้าวขึ้นไป...ก้าวขึ้นไป รอบกายมืดจนมองอะไรไม่เห็น อาศัยเพียงสติและความทรงจำที่เดินขึ้นบันไดมายี่สิบห้าชั้นเป็นเครื่องชี้นำ นับก้าวบันไดช้าๆ ทีละก้าว พอถึงขั้นที่เป็นชานบันไดก็ค่อยขยับเลี้ยว เดินขึ้นบันไดขั้นต่อไป

            นัยน์ตาลืมอยู่จริง แต่มองอะไรไม่เห็น หมอกดำไม่คลายตัวสักนิด ไร้แสงสว่างแม้สักปลายก้อย เดินเหมือนงมหาหนทางในความมืด จนคิดว่าควรถึงชั้นที่ยี่สิบหกแล้ว หมากจึงกระตุกมือเอื้อกานต์ให้เดินไปทิศที่มีประตูออกจากบันไดหนีไฟ

             หญิงสาวขยับตามโดยไม่เอ่ยปากซักถาม การเดินขึ้นบันไดมายี่สิบห้าชั้น จะมากจะน้อยก็พอให้จดจำได้ว่าบันไดแต่ละชั้นมีกี่ขั้น ระยะทางจากหัวบันไดถึงประตูมีกี่ก้าว ภาพจำเช่นนี้มีประโยชน์อย่างยิ่งในยามนัยน์ตาไม่อาจมองเห็น

             ยืนตรงจุดที่น่าจะเป็นประตู ไม่เห็นแสงสว่างผ่านกระจก จิตใจนึกสงสัย ถึงอย่างนั้นยังยื่นมือไปข้างหน้า สัมผัสบานประตู เลื่อนมือหาที่จับ หมุนคลายล็อกแล้วเปิดออก

             ประตูเปิดตามมือ หนุ่มสาวก้าวเข้าไปสองสามก้าวแล้วถอนหายใจด้วยความอึดอัด...เบื้องหน้ายังมืดมิด!

             ความมืดเช่นนี้ไม่ใช่เกิดจากกำแพงหมอก พวกเขาเชื่อว่ามันเป็นความมืดที่เกิดจากอำนาจเวทมนตร์บังตา ปิดบังจนมองไม่เห็น หลอกให้เดินวนเวียนไปมา ทั้งที่ความเป็นจริงอาจยังอยู่แค่ชานบันไดก็เป็นได้

             ...พวกเขาต้องหลงงมในความมืดอย่างนี้ตลอดไปหรือไม่...

             ความคิดเช่นนี้ผุดขึ้น ความน่ากลัวสยดสยองจู่โจม ทำร้ายจิตใจ

             หมากบีบมือเอื้อกานต์แรงขึ้น กระตุกให้ตั้งสติ

             “หมอเอื้อ ทำใจดีๆ ไว้” เขาส่งเสียงบอก...โดยไม่มีเสียงตอบรับ

             “หมอเอื้อ” เขาส่งเสียงเรียกอีกครั้ง บีบกระชับมือหญิงสาวแรงขึ้นแทนการส่งสัญญาณ

             ไม่มีเสียงตอบจากเอื้อกานต์ มีเพียงการบีบมือตอบ แสดงอาการรับรู้ในสัมผัส แต่เธอไม่ได้ยินเสียงของเขา

             หมากเย็นยะเยือกจับขั้วหัวใจ คนยืนใกล้กันแค่นี้ มือยังจับกันอยู่ ทำไมถึงมองกันไม่เห็น พูดกันไม่ได้ยิน นี่พวกเขาหลุดเข้ามาสถานที่ใดกันแน่?

             ชายหนุ่มดึงมือหญิงสาวมาใกล้ ขยับกายจนชิด รู้สึกได้ว่ามืออีกข้างของเอื้อกานต์จับมือเขาไว้ ก่อนใช้ปลายนิ้วขีดเขียนตัวหนังสือบนหลังมือเขาช้าๆ

             “หมอ...ได้ยินเอื้อมั้ย” ชายหนุ่มอ่านข้อความได้เช่นนี้

             เขาใช้มืออีกข้าง เขียนตัวหนังสือบนหลังมือหญิงสาวเช่นกัน

             “ไม่ได้ยิน...ผมก็เรียกคุณเหมือนกัน”

             หลังจากส่งข้อความนี้ไป เอื้อกานต์บีบมือเขาหนักๆ สองครั้งแทนการรับรู้...เข้าใจร่วมกัน

             นอกจากถูกปิดตา ทั้งคู่ยังถูกปิดหู ไม่ได้ยินเสียงกันและกัน

             “ทำยังไงต่อ” เอื้อกานต์เขียนถาม

             “นั่ง...รอ” หมากตอบ

             ทั้งคู่มีความเข้าใจตรงกันอย่างหนึ่ง นั่นคือฝ่ายตรงข้ามไม่มีเจตนาทำร้าย เพียงต้องการคุมขังพวกเขาไว้ชั่วคราว ไม่ให้วุ่นวายกับการปล่อยไวรัสอาคม

             หมากกระตุกมือเป็นเชิงให้เอื้อกานต์นั่งลงพักขา เตรียมพร้อมหาจังหวะเอาตัวรอดจากสถานการณ์เช่นนี้

             หญิงสาวเข้าใจ ขยับตัวลงนั่งขัดสมาธิ ผ่อนลมหายใจยาว โดยไม่ยอมปล่อยมือชายหนุ่มเช่นกัน

             ทั้งคู่ไม่อาจเขียนหลังมือปรึกษา สนทนาหาทางรอด เพราะการเขียนข้อความยาวๆ อาจทำให้การสื่อสารผิดพลาด คลาดเคลื่อนง่าย จึงทำได้แค่นิ่งพัก หลับตา ครุ่นคิดหาวิธีเอาตัวรอดตามลำพัง ทั้งที่นั่งหัวเข่าแทบชิดกัน

             หมากหลับตา ระบายลมหายใจออก แล้วจับลมหายใจเข้าเบาๆ จิตผ่อนคลาย ค่อยส่งเสียงเรียกในใจ

             “พลู...พลู...ช่วยกูหน่อยสิ” เสียงในใจแฝงเจตนาแรงกล้า

             “จะให้ช่วยยังไงวะ”

             ได้ยินเสียงตอบ หมากแทบตะโกนก้องด้วยความดีใจ ถ้าไม่เกรงว่าการขาดสติเช่นนี้อาจทำให้มือของเขาหลุดจากมือเอื้อกานต์ได้



             เอื้อกานต์เองก็หลับตาลงในเวลาแทบจะพร้อมกับหมาก จิตผ่อนคลายไม่ดิ้นรน คิดหาหนทางเอาตัวรอดจากโลกมืดที่ไร้เสียงแห่งนี้ จิตที่เคยฝึกฝนด้วยการเพ่งดวงสว่างเป็นอารมณ์ ทำให้ง่ายที่จะกำหนดดวงนิมิตสีขาวมาเหนี่ยวนำให้เกิดสมาธิ

             จิตภายในสว่างเรื่อเรือง เกิดความตั้งมั่นชั่วขณะ มองเห็นภาพตนเองกับหมากกำลังนั่งหันหน้าเข้าหากัน จับมือไว้ไม่คลาย จุดที่นั่งพักคือชานบันไดระหว่างชั้นยี่สิบห้ากับชั้นยี่สิบหก

            การคาดเดาไม่ผิดพลาด ทั้งคู่ถูกอาคมปิดหู บังตา ทำให้หลงคิดว่าขึ้นบันไดมาถึงชั้นยี่สิบหกแล้ว ทั้งที่จริงๆ มาถึงแค่ชานพักระหว่างชั้นเท่านั้น หมอกดำที่ครอบคลุมมีมนตรากำกับ ความเย็นที่แผ่ซ่านก็เจือด้วยยาสั่งแบบไม่มีกลิ่น สัมผัสไม่ได้ด้วยจมูก หลอนให้สัมผัสผิดพลาด รับรู้เพียงความหนาวเย็นแปลกๆ เท่านั้น

             เอื้อกานต์รับรู้สภาพปัจจุบันของตนเองชัดเจน คิดหาทางรอด

             ...จะทำอย่างไรเมื่อตนไม่มีคาถาอาคม พลังพิเศษ มาต่อสู้ ขับไล่มนตร์ร้ายเหล่านี้

             หวนนึกถึงบันทึกคุณตา พยายามหาว่าท่านเคยเจอเหตุการณ์เช่นนี้หรือไม่...ถ้าเจอแล้วเอาตัวรอดได้อย่างไร?

             ...นึกไม่ออก...หาไม่เจอ...

             เอื้อกานต์เปิดอ่านคร่าวๆ ไม่ได้เจาะดูรายละเอียดบางเรื่องที่ไม่สนใจ คิดได้ตอนนี้แล้วอยากเขกกะโหลกตัวเอง ทำไมไม่ศึกษาให้ละเอียดกว่านี้ ทีเกื้ออุตส่าห์แนะนำมาอย่างดี

            ขณะจะบ่นกับตัวเอง ก็ฉุกคิดถึงบางประโยคในบันทึกคุณตาได้

           ความมืดต้องแก้ด้วยแสงสว่าง...แสงสว่างจากไหน ก็ไม่สู้ใจที่สว่าง...”

            หญิงสาวระบายลมหายใจแผ่วเบา...ความสว่างของใจ...เกิดได้หลายทาง เส้นทางหนึ่งที่เธอฝึกฝนประจำคือ การฝึกจิตให้สว่างด้วยสมาธิ

            พอจับหลักทิศทางได้ เอื้อกานต์ก็ค่อยเป่าลมเบาๆ จากปาก กำหนดดวงสว่างขึ้นมาในใจ เหมือนแสงแรกอรุณที่ตนเองใช้เป็นเครื่องเหนี่ยวนำจิตจนเกิดสมาธิ จากนั้นค่อยไขความสว่างให้มากขึ้น มากขึ้นทีละน้อย



            “พลู...” หมากส่งเสียงเรียกย้ำในใจ

            “เออ...กูได้ยินแล้ว ไม่ต้องตะโกนซ้ำซาก...รำคาญ”

            “หน็อย ทำเป็นรำคาญ ไม่เห็นเหรอว่ากูกำลังเดือดร้อน” หมากบ่น

            “ก็ใครใช้ให้มึงหาเรื่องใส่ตัวเล่า”

            “อ้าว...กูอยากช่วยคน มันผิดด้วยเหรอ”

            “เออ แล้วไปช่วยคนภาษาอะไร เสือกมาตะโกนร้องเรียกกูเหยง ๆ แบบนี้” พลูหมั่นไส้

            “แหม คนเรามันพลาดกันได้ บอกทีสิ กูจะออกจากที่นี่ได้ยังไง”

            “ขาไม่หักนี่หว่า...เดินไปก็ได้” พลูไม่สนใจ

            “มึงพูดง่ายนี่ มองอะไรไม่เห็นแบบนี้ จะให้เดินไปไหน เดี๋ยวตกกระไดคอหักตาย”

            “กูเห็นมึงเดินวนเวียนอยู่ตั้งนาน ไม่ยักตกกระไดคอหักนี่หว่า” พลูพูดกลั้วหัวเราะ

            “เออ...ไอ้น้องเลว เห็นกูลำบากอย่างนี้ยังไม่ช่วยอีก”

            “เรื่องอะไร เดี๋ยวมึงก็ด่า...หาว่ากูมาสอด ทำให้พลาดโอกาสจับมือคุณหมอคนสวยนานๆ”

            หมากนึกขัน สัมผัสระหว่างมือต่อมือยังชัดเจน การที่เขาไม่ตื่นเต้นตกใจกว่านี้ อาจเพราะมีเธออยู่ใกล้ๆ

            “ขอร้องละน้องพลูรูปหล่อ ช่วยพี่ชายคนนี้ให้ออกจากที่นี่ทีเถอะ” หมากอ้อน

            พลูหัวเราะกังวานเบาใส ก่อให้เกิดกระแสอบอุ่น ชุ่มเย็นชั่วขณะ หมากลืมตา มองเห็นรอบตัวรางๆ ภาพปรากฏชัดคือร่างเอื้อกานต์นั่งขัดสมาธิตรงหน้า หลับตา สีหน้าละมุน คล้ายมีแสงเรื่อเรืองฉาบทาบางๆ

            แว่วเสียงพลูดังมาแต่ไกล

            “กูช่วยได้แค่นี้แหละ ที่เหลือมึงกับหมอเอื้อต้องหาทางรอดกันเอง กูแนะนำได้อีกอย่าง...เรื่องดีๆ ที่มึงกับหมอเอื้อทำมาตลอดชีวิต จะเป็นเครื่องคุ้มกันภยันตรายได้ดีกว่าคาถาอาคมใดๆ ทั้งนั้น”



            เอื้อกานต์สัมผัสความสว่างเจิดจ้าในใจ แสงอ่อนนวล อบอุ่น แผ่ขยายออกไปรอบตัว ดวงจิตตั้งมั่นมีกำลัง สมาธิทรงตัวเป็นธรรมชาติ ลืมนัยน์ตาขึ้นมา มองเห็นสิ่งต่างๆ รอบตัวชัดเจนกว่าเดิม คลื่นความหนาวเย็นเจือจาง บอกให้รู้ฤทธิ์ยาสั่งคลายตัวลงแล้ว

            สิ่งที่หญิงสาวเห็นเป็นอันดับแรกคือใบหน้าชายหนุ่มที่นั่งใกล้ นัยน์ตาเรียวรีจ้องตรงมาด้วยความห่วงใย ริมฝีปากมีรอยยิ้มน้อยๆ ยามสบตากัน ผิวขาวตัดกับไรหนวดเขียวจนเห็นชัด

            เอื้อกานต์สะดุดใจ เหตุใดเธอจึงเห็นหน้าหมอหมากชัดเจนขนาดนี้ ทั้งที่รอบตัวยังไม่สว่างเท่าไร หรือว่ายังไม่หลุดพ้นจากโลกมนตราจริงๆ

            “ได้ยินผมมั้ยหมอเอื้อ” หมากเอ่ยปากคำแรก

            “ค่ะ” หญิงสาวรับคำ ...น่าจะเข้าสู่โลกปกติบ้างแล้ว

            เพียงเท่านี้ดวงตาคุณหมอหนุ่มก็ฉายประกายยินดี ริมฝีปากคลี่ยิ้มสว่าง และจะโดยเผลอตัวหรือตั้งใจก็ยากจะบอก หมากอดไม่ได้ที่จะดึงร่างหญิงสาวมากอดแนบอก สัมผัสกระชับแน่น อ้อมอกกว้าง อบอุ่น แข็งแรง จังหวะหัวใจเต้นชัด

            หญิงสาวรู้สึกถึงความยินดีปนโล่งอกที่แผ่มาจากใจเขา จึงไม่รีบขืนตัวออกมา ปล่อยให้เขากอดครู่หนึ่ง ก่อนส่งเสียงเรียกเตือนสติ

            “หมอคะ”

            หมากคลายอ้อมกอด มือยังไม่ปล่อยมือหญิงสาว

            “ขอโทษครับ ผมดีใจเกินไปหน่อย”

            ระยะใกล้ชิดขนาดนี้ เอื้อกานต์มองไม่เห็นสีหน้ารู้สึกผิดจริงตามคำพูดของเขาเลยสักนิด

            “ไปต่อเถอะค่ะ” หญิงสาวเตือนสติอีกครั้ง

            หมากขยับตัวลุกก่อน แล้วค่อยดึงมือเธอขึ้นมา เหลียวมองรอบตัว มันยังไม่สว่างอย่างปกติ เพียงแค่หมอกดำจางหาย เหลือเพียงไอบางๆ คลื่นความเย็นประหลาดลดลง บอกได้ว่าพลังอาคมบริเวณนี้อ่อนแรง

            เอื้อกานต์ไม่แน่ใจ เหล่านี้เกิดจากกำลังสมาธิของตน หรือมีพลังภายนอกอื่นมาช่วยเสริม ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่รู้สึกปลอดภัยเต็มที่ หนำซ้ำกลับเกิดความหวาดกลัวลึกๆ

            การขจัดเวทมนตร์ฝ่ายตรงข้ามได้ขนาดนี้ อาจแสดงถึงการท้าทาย อวดเก่ง กระตุ้นให้อีกฝ่ายลงมือรุนแรงกว่าเดิม

            เปรียบเหมือนผู้ใหญ่ที่แข็งแรงย่อมไม่รังแกเด็ก แต่ถ้าเมื่อไรเด็กแสดงท่าทีก้าวร้าว อวดเก่ง ผู้ใหญ่ก็จะใช้ไม้แข็งเพื่อกำราบ แสดงศักดาอำนาจของตน

            หากเธอกับหมากยอมอยู่นิ่ง จนการปล่อยไวรัสอาคมสำเร็จ ฝ่ายนั้นคงเปิดทางออกแบบสะดวกสบายให้ แต่พอเธอใช้กำลังสมาธิขับไล่ ต่อต้านอาคมเช่นนี้ ย่อมกระตุ้นโทสะของเขา

            แล้ว...อะไรจะเกิดขึ้น?



            คำตอบมาถึงในเวลาไม่นาน

            สองหนุ่มสาวเพิ่งยืนมั่นคง เตรียมลงบันไดกลับไปที่ประตูทางออกอีกครั้ง สายตาสะดุดกับร่างดำทะมึนสูงใหญ่ ใบหน้าดำมะเมี่ยม นัยน์ตาแดงจ้าเหมือนมีถ่านติดไฟยัดอยู่ในนั้น พวกมันยืนรอตรงเชิงบันไดชั้นยี่สิบห้า และดักรออยู่บนหัวบันไดชั้นยี่สิบหก มีจำนวนนับรวมกันเกินสิบ

            ที่ร้ายกว่านั้น พวกมันไม่ได้คุมเชิงอยู่เฉยๆ กลุ่มที่อยู่ด้านบนกำลังก้าวลงบันไดมา กลุ่มด้านล่างก็เคลื่อนตัวขึ้นบันไดช้าๆ แฝงอำนาจการคุกคาม กดดัน

            หมากพาเอื้อกานต์ถอยหลังจนชิดผนัง ดันร่างหญิงสาวให้อยู่ด้านหลัง แล้วเอาตัวเองกำบัง มือยังกุมกันไว้ไม่ปล่อย จิตใจครุ่นคิดหาทางเอาตัวรอด

             ปิศาจพวกนี้ไม่ได้อาศัยควบคุมร่างมนุษย์มาคุกคามทำร้ายแบบครั้งก่อน แต่มันปรากฏตัวให้เห็นด้วยพลังมนตรากล้าแกร่ง เช่นนี้จะบุกฝ่าไปตรงๆ ได้หรือไม่?

            คำพูดของพลูแว่วเข้ามาในหู

            ‘...เรื่องดีๆ ที่ทำ...จะเป็นเครื่องคุ้มกันภยันตราย...’

             หมากตอบไม่ถูกว่าสิ่งดีๆ เรื่องราวการช่วยเหลือผู้คนของเขา จะมาคุ้มครอง ป้องกันภยันตรายครั้งนี้ตามที่พลูบอกได้อย่างไร แต่ด้วยความที่ไว้ใจกันมาตลอด ทำให้เขาเชื่อ และนึกถึงเรื่องราวเก่าๆ เรื่องราวที่เคยทุ่มเทช่วยเหลือผู้คนด้วยใจเมตตา กรุณา

             เมื่อจิตระลึกถึงคุณงามความดีที่เคยกระทำ จิตใจหมากเกิดความตั้งมั่น อ่อนโยนขึ้นมาอย่างเป็นธรรมชาติ ก่อให้เกิดพลังอันอบอุ่นขึ้นกลางอก พลังนั้นหนาแน่นขึ้นเรื่อยๆ ภาพเก่าๆ เรื่องราวดีๆ ที่เคยทำ กลายเป็นภาพฉายชัดอยู่ในหัว กระจ่างจ้าในความทรงจำ...



             ถึงเอื้อกานต์จะหลบอยู่หลังหมาก เธอยังมองเห็นเหล่าขบวนปิศาจที่คุกคามเข้าใกล้ชัดเจน จิตมีกำลังเหลือจากสมาธิเมื่อครู่ ทำให้รู้...ปิศาจเหล่านี้มาเพราะได้รับคำสั่ง ไม่ได้มีความอาฆาตแค้นโกรธเคืองเธอกับหมากเป็นการส่วนตัว

             ทางเดียวที่จะเอาตัวรอดสำหรับคนที่ไม่มีเวทมนตร์คาถาอย่างเธอก็คือ...แผ่เมตตา แสดงความเป็นมิตรกับทุกสรรพสัตว์

             ฝูงปิศาจแห่กันมาถึงชานบันไดที่เอื้อกานต์กับหมากยืนหลบกันแล้ว ร่างสูงใหญ่จำนวนเกินสิบเรียงตัวเป็นกำแพงเบียดเสียดกันเข้ามาหา นัยน์ตาแดงก่ำจ้องคุกคามเหมือนไฟปะทุ คนขวัญอ่อนเห็นคงกรีดร้องสุดเสียง เสียสติไม่เป็นผู้เป็นคน

            หมากกับเอื้อกานต์ไม่เป็นเช่นนั้น กึ่งกลางอกหมากมีความสว่าง อบอุ่นหนาแน่น ในหัวปรากฏภาพเรื่องราวการกระทำความดีมากมาย ขับไล่ความหวาดกลัวจากใจจนสิ้น

             จิตเอื้อกานต์มีกำลังความสว่างจากสมาธิอยู่แล้ว เมื่อรู้ว่าปิศาจร่างยักษ์ทั้งหมดไม่มีความเกลียดชัง อาฆาตแค้นเธอ หนำซ้ำยังถูกบงการใช้งาน จิตใจเอื้อกานต์จึงบังเกิดความเมตตาอาทรอย่างง่ายดาย

            ความรู้สึกอ่อนโยน เมตตา รวมกับพลังสมาธิที่มี ช่วยให้จิตใจแผ่กระแสความสว่าง เย็นฉ่ำ ออกไปกว้างขวางโดยไม่มีประมาณ

             อาจเป็นเพราะสถานที่แห่งนี้ยังถูกครอบคลุมด้วยอาคมบางๆ หรืออาจเป็นด้วยมือของหมากและเอื้อกานต์ยังกุมกระชับ ทั้งเชื่อมโยงจิตใจด้วยกระแสเมตตา กรุณา เป็นขั้วเดียวกัน ดวงจิตเอื้อกานต์จึงสามารถมองเห็นภาพในหัวของหมาก คล้ายมันออกมาปรากฏเบื้องหน้า

             ภาพในหัวของหมาก รวมกับกระแสเมตตาของเอื้อกานต์ ทำให้เหล่าปิศาจต่างหยุดชะงักงันโดยไม่ได้นัดหมาย...



             ภาพแรกในความทรงจำหมาก เป็นเด็กชายวัยรุ่นฝาแฝด หน้าใส คมคาย แอบเข้าไปช่วยเหลือ รักษานายตำรวจ ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ที่โรงพยาบาล นายตำรวจคนนี้ถูกยิง อาการโคม่า พอรักษาอาการบาดเจ็บแล้วก็กลับเป็นเจ้าชายนิทรา นอนไม่ฟื้น

             ฝาแฝดคนหนึ่งเฝ้าอยู่หน้าประตู คอยดูต้นทาง ฝาแฝดอีกคนลอบเข้าไปถึงข้างเตียง ใช้มือของตนสัมผัสร่างคนป่วยที่นอนนิ่งเพื่อรักษา ครู่หนึ่งจึงยิ้มออกแล้วรีบกลับ

             “เรียบร้อยมั้ย” หมากถาม

             “มือชั้นนี้แล้ว” พลูตอบ

             สองฝาแฝดตบมือกันแสดงความยินดี

            จิตใจหมากเปี่ยมสุข เสมือนหนึ่งตนเองได้เป็นผู้รักษานายตำรวจผู้นั้นเอง

             “ต่อไปจะช่วยใครดี” หมากถามต่อ

             “เอาไว้พรุ่งนี้เหอะ มึงก็รู้ กูมีแรงช่วยได้แค่วันละคนสองคน...รอให้เก่งกว่านี้ก่อน กูจะช่วยให้ได้วันละสิบคนเลย”

             “เอาจริงนะ” หมากย้ำ

             “เออสิวะ” พลูยืนยัน

             สองหนุ่มวัยรุ่นยิ้มให้กัน ดวงจิตเบิกบาน สว่างไสวไม่แตกต่าง ถึงคนหนึ่งเป็นผู้รักษา อีกคนแค่ดูต้นทาง ความรู้สึกพวกเขากลับไม่มีความแปลกแยก แตกต่าง เพราะคิดว่าคนหนึ่งกระทำก็เหมือนอีกคนได้ทำแล้ว

             พวกเขามีจิตใจอยากช่วยเหลือผู้คนเหมือนกัน ยินดีร่วมกันในความสำเร็จที่ได้...ไม่ว่าใครจะทำหน้าที่ใด ล้วนไม่มีความผิดแผก แตกต่างกันเลย



             ภาพต่อมา...เป็นสถานที่กรุ่นด้วยควันไฟ กองด้วยซากตึกหักพัง ถึงอย่างนั้นยังมีตึกเก่าหลังหนึ่งติดธงเครื่องหมายกาชาด กากบาทแดงเอาไว้ บอกว่าเป็นสถานที่รักษาพยาบาล

             ช่วงเวลานั้นมีเสียงระเบิดดังไม่ห่าง แรงสะเทือนกึกก้อง กระทบถึงตึกพยาบาลที่อาจโดนถล่มง่ายๆ ในเวลาใดเวลาหนึ่ง

            ภายในตึกมีคุณหมอร่างสูง สวมชุดคลุมผ่าตัดซึ่งมีรอยด่างดวงเป็นจ้ำๆ ใบหน้าคาดหน้ากากกันเชื้อโรค เผยให้เห็นนัยน์ตาเรียวรี ฉายแววมุ่งมั่น เอาจริง

             เบื้องหน้าเขามีคนป่วยนอนสลบไสลรับการผ่าตัดครั้งสำคัญ เสียงระเบิดดังลั่น แรงสะเทือนทำให้ตึกเกิดอาการสั่นไหว

            “หมอ...เราอยู่ต่อไม่ได้แล้ว” คนพื้นเมืองที่เป็นผู้ช่วยผ่าตัด บอกด้วยภาษาอังกฤษแปร่งๆ

             คนเป็นหมอไม่ตอบ นัยน์ตาจับจ้องรอยแผลที่ผ่าตัด งานที่เร่งทำให้เสร็จ มือถือมีดคล่องแคล่ว ชำนาญ ไม่มีอาการสั่นไหวให้เห็น

             เสียงระเบิดดังอีกครั้ง คราวนี้ใกล้กว่าเดิม แรงสะเทือนทำให้ฝุ่นร่วงจากเพดาน

             ประตูห้องผ่าตัดจำเป็นเปิดออก ชายในชุดทหารก้าวเข้ามาพูดเสียงรัวเร็ว

             “หมอ มันยิงระเบิดใกล้เข้ามาแล้ว ตึกนี้จะโดนเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ เราต้องไปเดี๋ยวนี้!”

             ‘หมอ’ ยังทำงานโดยไม่หวั่นไหว ไม่สนใจเสียงระเบิด ไม่ใส่ใจคำพูดเร่งเร้า

             “หมอ!” เสียงดังกว่าเดิม เจ้าของร่างสูงใหญ่ก้าวมาเกือบชิดเตียงผ่าตัด

             คราวนี้คนเป็นหมอเงยหน้า สบตาฝ่ายตรงข้ามด้วยประกายกล้าแกร่ง คำพูดตอบมารวดเร็ว ชัดเจนอย่างคนไม่ยอมเสียเวลา

             “ผมไม่ทิ้งคนไข้ อีกห้านาทีผ่าตัดเสร็จ ถ้าคุณรอไม่ได้ก็ไปก่อนเลย!”

             ชายในชุดทหารนิ่งอั้น ทำได้เพียงยืนดูคุณหมอใจเพชรทำงานต่อไป โดยไม่กล้าขยับไปไหน

             ในเมื่อหมอเป็นคนต่างชาติแท้ๆ ยังไม่ถอย ไม่หนี ยอมอยู่เพื่อรักษาคนของเขาจนถึงที่สุด ด้วยจิตเมตตาอย่างเข้มแข็ง แล้วทหารกล้าเช่นเขาจะหลบหนี เป็นคนขี้ขลาดเช่นนั้นหรือ?

             ด้วยใจอันยิ่งใหญ่ของหมาก ไม่ได้เพียงช่วยรักษาคนไข้ที่รับการผ่าตัดเท่านั้น เขายังสร้างแรงบันดาลใจ ปลุกไฟคนกล้าให้แก่นายทหารหนุ่มคนนั้นด้วย



             ภาพในหัวของหมากเลือนหาย จิตใจเอื้อกานต์ร่วมรับรู้ เกิดความรู้สึกเดียวกับเขา ทั้งยังบอกกับตนเองว่า...หากเป็นเธอ...เธอก็จะทำเช่นนั้น ไม่ยอมถอยหลัง หลบหนีเช่นกัน

             ความรู้สึกเมตตาและจิตใจอันเข้มแข็งที่อยากช่วยเหลือผู้คนของหมากกับเอื้อกานต์ถูกรวมเป็นหนึ่งเดียว แผ่กระแสความกรุณาออกกว้างขวางเข้มข้น กระทบถึงกองกำแพงปิศาจที่คืบใกล้ บังเกิดความเปลี่ยนแปลงทีละน้อย

             ดวงตาปิศาจเหล่านั้นอ่อนแสงลง ไม่คล้ายถ่านติดไฟแดงๆ อีก ใบหน้าถมึงทึงคลี่คลาย ไม่เหลืออาการคุกคาม รังสีอำมหิต ก่อนที่ร่างเหล่านั้นจะค่อยๆ จางลงทีละน้อย...ทีละน้อย

             แสงสว่างปรากฏขึ้นตามปกติ บริเวณทางหนีไฟไม่เหลือกลิ่นอายมนตรา อาคม

             สองคุณหมอถอนใจเกือบจะพร้อมกัน หันมองหน้าด้วยรอยยิ้ม เอื้อกานต์ยกมือข้างที่หมากกุมไว้ขึ้นมา เป็นเชิงบอกอีกฝ่ายว่าคงไม่จำเป็นแล้ว หมากปล่อยมือเธออย่างเสียดาย ประสบการณ์ครั้งนี้เป็นที่น่าจดจำ เพียงอาจบอกคนทั่วไปไม่ได้

             สิ่งหนึ่งที่แปลกเปลี่ยนจนเห็นได้ชัด คือความรู้สึกของเอื้อกานต์ที่มีต่อหมาก เมื่อเธอได้เห็นภาพเขาอีกด้าน ได้สัมผัสใจต่อใจในขั้วเมตตาเดียวกัน ทำให้รู้สึกคลับคล้ายคนคุ้นเคย...ที่ตามหากันมานาน

             “ผมว่า เรารีบไปกันเถอะ” หมากบอก

             “ค่ะ” เอื้อกานต์รับคำ

             สิ่งรอบตัวเข้าสู่ภาวะปกติเช่นนี้ คาดว่าคงเปิดประตูทางออกชั้นยี่สิบห้าได้แล้ว

             หยุดยืนหน้าประตู มองหน้ากันเป็นเชิงลุ้นเล็กน้อย ก่อนหญิงสาวจะเป็นฝ่ายยื่นมือออกไปจับบานล็อกแล้วหมุนคลายออก...

             ประตูเปิดตามมือ มองเห็นภายนอกที่เป็นโลกคนปกติ หนุ่มสาวเดินออกจากทางหนีไฟ มองหาศูนย์บริการการแพทย์ พบป้ายติดอยู่ข้างหน้าไม่ไกล

             จิตใจผ่อนคลาย ก้าวยาวๆ หวังไปให้ถึงเร็วที่สุด

             ขณะนั้นเอง ก็มีเสียงคนตะโกนลั่นจากด้านหลัง

             “ระวัง!”

             หมาก เอื้อกานต์ หันไปมองตามเสียง พวกเขาคิดว่าน่าจะรอดจากการสกัดกั้น เล่นงานแล้ว...คาดไม่ถึง ฝ่ายตรงข้ามยังไม่ยอมรามือ...



             เบื้องหน้าคือสตูดิโอบันทึกเทป ที่ใกล้กันถูกแบ่งเป็นห้องส่งสัญญาณออกอากาศ

             ทรงกลดเดินเข้าสตูดิโอด้วยความมั่นใจ กวาดตามองเจ้าหน้าที่ ทีมงาน ที่กำลังเตรียมตัวบันทึกเทปรายการเพื่อออกอากาศ

             คนเหล่านั้นหันมามองทรงกลดเป็นตาเดียว

             ชายหนุ่มสบตาคนเหล่านั้นอย่างไม่พรั่น ไม่จำเป็นต้องใช้สัมผัสพิเศษสแกนก็รู้ว่าทุกคนในห้องนี้ไม่ใช่มนุษย์ปกติ พวกเขาถูกเหล่าปิศาจบังคับให้ทำงาน จัดเตรียมพิธีกลางห้องส่งอย่างแข็งขัน

             พิธีปล่อยไวรัสอาคมถูกจัดเตรียมเรียบร้อยแล้ว เหล่าสมุนปิศาจยืนเป็นวง ห้อมล้อมจุดกึ่งกลางสตูดิโอเอาไว้

            ส่วนทีมงานมนุษย์ที่ถูกควบคุม ใช้งาน ต่างประจำที่ตนเอง ไม่ว่าจะเป็นช่างกล้อง ช่างไฟ คนตัดต่อ คนควบคุมการส่งสัญญาณ

             มองดูแล้วอาจน่าขัน รายการที่จะถ่ายทอดออกอากาศต่อไปนี้น่าจะนับเป็นรายการแรกที่มี ‘ผี’ จริงๆ มาร่วมรายการ เป็นฝูงภูตผีร่วมพิธีกรรมอันน่าสะพรึง

             หากจะมีมนุษย์ ก็คงเป็นคนเดียวที่ยืนโดดเด่นท่ามกลางปิศาจเหล่านั้น

             มนุษย์ผู้นี้น่ากลัวกว่าเหล่าภูตผีปิศาจทั้งห้องนี้รวมกัน

             ทรงกลดมั่นใจว่า...นี่คืออาจารย์ใหญ่

             แต่...เป็นอาจารย์ใหญ่ที่เกินคาดคิด เกินกว่าที่เขาจินตนาการถึงเหลือเกิน







บทที่ ๑๐



             หลังได้ยินคำว่า “ระวัง!” ทุกอย่างเกิดขึ้นรวดเร็วจนตั้งสติไม่ทัน

             เอื้อกานต์มองเห็นบันไดโครงเหล็กกำลังล้มฟาดมาทางตนเอง เธอพยายามกระโจนหลบ แต่แข้งขากลับไม่ยอมทำตามคำสั่ง พาลให้ร่างกายเสียการทรงตัว ล้มฟาดลงกับพื้น สติดับวูบไม่รู้สึกตัว...

             เวลาผ่านไปนานแค่ไหนตอบไม่ถูก รู้สึกตัวอีกทีตอนได้กลิ่นฉุนของแอมโมเนียที่ปลายจมูก ศีรษะปวดหนึบ ร่างกายเปลี้ย อ่อนเพลีย เรี่ยวแรงเหือดหาย ลืมตามองเห็นเพดานสีขาว แสงสว่างจากหลอดไฟ พยายามตั้งสติก่อนขยับตัวลุกขึ้นนั่ง

             “ฟื้นแล้วเหรอหมอเอื้อ”

             เสียงทุ้มนุ่มดังใกล้ หญิงสาวรู้สึกได้ถึงวงแขนที่โอบประคองเธออยู่ ช่วยให้เธอขยับตัวนั่งสบายขึ้น

             “หมอ...” เอื้อกานต์ยิ้มให้เจ้าของวงแขนนั้น

             “เป็นยังไงบ้าง” หมากถามอย่างเป็นห่วง หลังดึงมือตนเองออกมา

             “ไม่เป็นไร...” หญิงสาวตอบตามความเคยชิน สายตาสะดุดที่ข้อมือของเขา “มือหมอไปโดนอะไรมาคะ”

             หมากยกข้อมือที่ถูกผ้าพันเอาไว้แล้วยิ้มไม่ใส่ใจ

             “อุบัติเหตุนิดหน่อย”

             “นิดหน่อย?” เอื้อกานต์ทวนคำ พลางจับมือเขามาดูใกล้ๆ มันถูกพันด้วยผ้าก๊อซ เห็นรอยแดงของเลือดที่ซึมออกมาชัดเจน ดูแล้วไม่นิดหน่อยอย่างเจ้าตัวบอกเลย

             “โดนอะไรมาคะ” เอื้อกานต์ถามขณะวางมือเขาลงเบาๆ

             “หมอเอื้อจำไม่ได้เหรอ” เขาย้อนถาม

             “จำได้แค่เสียงตะโกนเตือนให้ระวัง แล้วก็เห็นบันไดเหล็กล้มลงมา เอื้อพยายามหนีจนหกล้ม จากนั้นก็ไม่รู้สึกตัวอีกเลย”

             “เจ็บตรงไหนบ้างหรือเปล่า”

             “ปวดหนึบๆ ที่หัวนิดเดียว”

             “ตรงไหน” คุณหมอหนุ่มถาม

             เอื้อกานต์ใช้มือคลำบริเวณนั้นเบาๆ หมากขยับตัว ใช้ปลายนิ้วเกลี่ยเส้นผมหญิงสาวออกแล้วตรวจหารอยช้ำ รอยกระแทก

             “มีรอยช้ำนิดเดียว ดูแล้วไม่เป็นไร หมอเอื้อกระแทกไม่แรงเท่าไหร่ ที่สลบไปน่าจะเป็นเพราะเครียดกับเหนื่อยที่ต้องมาผจญภัยกันมากกว่า”

             ชายหนุ่มสรุป

             “แล้วตะกี้เกิดอะไรขึ้นคะ” หญิงสาวซัก

             “ผมว่าพวกเราคงยังไม่หมดเรื่องซวย พอออกจากบันไดหนีไฟ เดินมาหน่อย ผ่านตรงจุดที่เขากำลังซ่อมไฟพอดี ไม่ทันเห็น ไม่ทันระวัง จู่ๆ บันไดเหล็กมันก็ล้มมาทับซะอย่างนั้น”

            หมากเล่าแบบธรรมดาไม่ชวนให้ตื่นเต้น

             “แค่นั้นหรือคะ” เอื้อกานต์ไม่แน่ใจ ...เท่านี้ไม่น่าทำให้เขาบาดเจ็บได้

            “มีอีกนิดนึง” ชายหนุ่มชูปลายก้อยเป็นเชิงยืนยันคำพูด

             “พอดีบนบันไดมันมีกล่องเหล็กเครื่องมือช่างอยู่ด้วย”

             “แล้วยังไง...” หญิงสาวอยากรู้

             “กล่องนั่นทั้งใหญ่ เปิดอ้า เครื่องมือเต็ม เทกระจาดลงมาแบบนั้น ผมก็แค่ช่วยปัดให้เท่านั้นเอง”

             เอื้อกานต์หรี่ตามองมือที่ถูกพันแผลของชายหนุ่ม รู้ดีว่าการ ‘ปัด’ ของเขาคงไม่ใช่เรื่องเบาๆ ง่ายๆ อย่างปัดยุงไล่แมลงวันแน่

             กล่องเหล็กเครื่องมือช่างพร้อมทั้งสารพัดข้าวของในนั้น คงทำให้มือของเขาเกิดบาดแผล ฟกช้ำพอสมควร

             “มือของหมอเป็นแผลมากหรือเปล่า” ถามด้วยใจเป็นห่วง อยากแกะผ้านั่นออกมาดูด้วยซ้ำ

            “นิดหน่อยเอง” เขาย้ำ เอื้อกานต์กลับไม่นึกอยากเชื่อ “หมอเอื้อล่ะ นอกจากเจ็บที่หัวแล้วยังมีอาการอย่างอื่นหรือเปล่า”

            ชายหนุ่มเป็นห่วงหญิงสาวตรงหน้ามากกว่าตนเอง

             “ไม่มีค่ะ” เอื้อกานต์ตอบแล้วนึกได้ “จริงสิ นี่เราอยู่ที่ไหนกันน่ะ”

            “ก็...ศูนย์บริการการแพทย์ที่ตั้งใจขึ้นมานั่นแหละ” หมากตอบ

            “แล้ว...”เอื้อกานต์ตั้งใจถามว่าพบสิ่งใดผิดปกติหรือไม่

            “ไม่มีครับ” หมากตอบอย่างรู้ใจ “ที่นี่ไม่มีห้องเพาะเชื้อ เท่าที่เห็น ผมว่าเจ้าหน้าที่แถวนี้ก็ปกติดี ไม่เห็นมีใครถูกผีเข้าด้วยซ้ำ”

             “งั้นเราคงมาเสียเที่ยว” เอื้อกานต์บ่น

            “ครับ” น้ำเสียงตอบชัด สะกิดใจหญิงสาว

            “นี่เอื้อสลบไปนานมั้ย”

            “เกือบชั่วโมงได้” หมากตอบ เอื้อกานต์ใจหายวูบ

            “เป็นไปได้ยังไง” เธอพึมพำ

            “ผมว่าร่างกายหมอเอื้อน่าจะอ่อนเพลียมาก เมื่อคืนนอนน้อย มานี่ก็ต้องขึ้นบันไดมาหลายชั้น แถมมาเจอเรื่องแปลกๆ เข้าอีก ร่างกายมันเลยสับสวิตช์ตัวเอง ผมอยากให้หมอเอื้อพักผ่อนเต็มที่เลยไม่ได้รีบปลุก”

            หมากอธิบายยาวเหยียด เอื้อกานต์นึกสังหรณ์ใจ ตั้งแต่ออกจากทางหนีไฟ มาเจอบันไดล้มทับใส่...มันไม่น่าเกิดจากเหตุบังเอิญ

            หากฝ่ายตรงข้ามต้องการยื้อเวลา ไม่ให้พวกเธอตามพบ ตอนนี้มันน่าจะสำเร็จแล้ว!

             “แล้ว...หมอคิดว่า...พวกนั้นเขา...” เอื้อกานต์ไม่กล้าเอ่ยปากถามความเห็นชายหนุ่ม

             “ผมไม่รู้ว่าเขาปล่อยไวรัสหรือยัง...” หมากตอบอย่างเข้าใจคำถาม “แค่...สังหรณ์ลึกๆ ว่า...เราคงทำอะไรไม่ทันแล้ว”

             คำพูดนี้ยิ่งตอกย้ำสังหรณ์ ความรู้สึกในใจเอื้อกานต์ให้หนักแน่นกว่าเดิม...พวกเธอทำอะไรไม่ทัน ย่อมหมายความว่า...ผู้ทรงอาคมคนนั้น...ได้เริ่มพิธีแล้ว...



(โปรดติดตามต่อฉบับหน้า)



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP