วรรณกรรมนำใจ Lite Literature

ระบำเวท ๗


cover rabamvej

ชลนิล




(ต่อจากฉบับที่แล้ว)



             ตั้งแต่เจอโจรดักซุ่ม ภูตผีปิศาจตามรังควานตรงลานจอดรถ เอื้อกานต์จึงมักเกิดอาการเกร็ง เตรียมพร้อมทุกครั้งที่นำรถมาจอดที่นี่ในเวลากลางคืน

             คืนนี้ก็เช่นกัน...หญิงสาวจอดรถเสร็จ หยิบกระเป๋าก้าวลงรถอย่างมีสติ รู้สึกตัว สัมผัสทุกด้านเปิดรับสิ่งแปลกปลอมทุกประเภท ทั้งแบบมีตัวตนและไม่มีตัวตน

             เดินจนเกือบถึงลิฟต์ อาการเกร็งค่อยคลายลง ลดการตั้งท่าเตรียมพร้อม จิตใจผ่อนเบาเป็นปกติ อีกไม่กี่ก้าวจะถึงลิฟต์ก็ได้ยินเสียงเรียกมาจากเบื้องหลัง

             “หมอเอื้อ!”

             เอาแล้วไง... หญิงสาวถอนใจ ...จะให้กลับบ้านอย่างสบายใจสักวันไม่ได้หรือไงนะ

             คิดพลางหันไปตามเสียง รอยยิ้มขบขันผุดขึ้นมา จิตใจผ่อนคลายเมื่อเห็นเจ้าของเสียงก้าวยาวๆ ตามมา...ไม่ใช่ผีสางหรือโจรที่ไหน

             “เพิ่งมาถึงหรือคะหมอ” เอื้อกานต์ทักหมอหมาก

             “ผมจอดรถหลังคุณนิดเดียว แต่คุณเดินเร็วชะมัด ...กดลิฟต์รอหน่อยนะครับ” ชายหนุ่มพูดพลางส่งรอยยิ้มสว่างสดใสมาให้ ช่วยให้บรรยากาศลานจอดรถยามค่ำเปลี่ยนจากน่าหวาดเสียวเป็นรื่นรมย์ราวอยู่ในสนามเด็กเล่น

             เข้ามาในลิฟต์ด้วยกัน ชายหนุ่มก็เอ่ยปากชวนรับประทานอาหารค่ำ

             “กินข้าวเย็นด้วยกันมั้ยครับ”

             ผู้ชายอย่างหมอหมากคงไม่เคยใช้ถ้อยคำประเภท...ไปดินเนอร์กับผมมั้ยครับ...กับใคร

             “ไม่ละค่ะ เอื้อขี้เกียจออกไปไหน”

             ผู้หญิงอย่างเอื้อกานต์ก็ไม่มีนิสัยแต่งคำปฏิเสธแบบสวยงามเพื่อมารยาท รักษาน้ำใจฝ่ายตรงข้าม

             “ผมไม่ได้ชวนออกไปไหน” ชายหนุ่มอมยิ้ม ชูถุงอาหารในมือให้ดู “เมียตาพงษ์ แม่ของไอ้หนูที่ผมช่วยชีวิตไว้วันก่อน ทำกับข้าวของกินมาให้เยอะเลย...กินคนเดียวไม่หมดหรอก มากินด้วยกันดีกว่า”

             เอื้อกานต์มองถุงกับข้าว อาหารมื้อเย็นในมือชายหนุ่ม แล้วหัวเราะเบาๆ ให้แก่ความเข้าใจผิดของตัวเอง

             “เขาใส่เสน่ห์มาด้วยหรือเปล่าคะ ขืนเอื้อกินด้วยจะแย่เอา”

             หมากหัวเราะ นัยน์ตาใสพราวราวเด็กหนุ่ม

             “ถ้าหมอเอื้อทนเสน่ห์ผมได้นะ รับรองเสน่ห์จากที่อื่นก็ไม่มีความหมายหรอก”

             หญิงสาวพยักหน้ารับ นึกหาเหตุผลปฏิเสธไม่ออก หรือความจริงแล้ว เธอยอมรับคำชวนของเขาตั้งแต่แรกที่รู้ว่าไม่ต้องออกไปไหนแล้วก็ได้ เพราะมันช่วยทำให้ค่ำคืนในคอนโดฯ ของเธอ มีบรรยากาศอบอุ่นกว่าเคย



             ฮันเตอร์ คิม ยืนอยู่ริมระเบียงดาดฟ้า มีเงาตึก แสงไฟลิบๆ ตามอาคารบ้านเรือนเป็นฉากหลัง ทรงกลดยืนเยื้องอยู่ด้านข้าง แสดงกิริยาเคารพให้เกียรติ ทั้งสองเงียบงัน ไม่มีใครเอ่ยปากก่อน จนครู่ใหญ่ ผู้เป็นอาจารย์จึงหันมามองอดีตลูกศิษย์

             “ไม่ได้เจอกันนาน ทำไมฝีมือแย่ลง กระทั่งกับพวกผีปลายแถวก็ยังเกือบพลาดพลั้งได้”

             “ขออภัยครับ”

             ทรงกลดรับคำสั่งสอน ทั้งที่ครั้งหนึ่ง ฮันเตอร์ คิม เคยเอ่ย...‘จากนี้ไป เราคงต้องเดินกันคนละทางแล้ว...’ ซึ่งนั่นหมายถึงหมดความเป็นลูกศิษย์อาจารย์ต่อกัน แต่ชายหนุ่มก็ยังยึดถืออีกฝ่ายเป็นครูบาอาจารย์ที่เคารพเสมอมา ไม่เคยเปลี่ยนแปลง

             “ผมกำลังตามหาอาจารย์อยู่พอดี” ชายหนุ่มเริ่มพูดเข้าประเด็น

             กล้ามเนื้อใบหน้า ฮันเตอร์ คิม ขยับนิดนึง คล้ายจะยิ้ม เพียงแต่มันดูแปลกเมื่อไม่เห็นความรู้สึกแท้จริงบนหน้ากากหนังนั้น

             “ฉันรู้ ก็ฝากข่าวให้แล้ว”

             “ผมทราบครับ...ผมรู้ว่าอาจารย์ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องไวรัสที่โดนอาคมควบคุมพวกนี้ หนำซ้ำยังมีใจช่วยเหลือคนพวกนั้นอีก”

             “ไวรัสอาคม” ฮันเตอร์ คิม ทวนคำพลางหัวเราะหึๆ ในลำคอ ไม่ย้อนถาม...เหตุใดทรงกลดจึงคิดว่าเขาช่วยเหลือเหยื่อไวรัสพิสดารพวกนี้

             ชายหนุ่มอธิบายเอง

             “ผู้หญิงที่รอดชีวิตบอกว่า ก่อนจะเกิดอาการผิดปกติ เธอได้เห็นใบหน้าของคนคนหนึ่งซึ่งผมแน่ใจว่าเป็นอาจารย์ และช่วงเวลา วันเกิดเหตุ ผมสัมผัสพลังของอาจารย์จากที่ไกลๆ ได้ เลยคิดว่าอาจารย์คงส่งภาพนิมิตตัวเองออกไปช่วยคนเหล่านั้น ขัดขวางไม่ให้พวกเขาบังเกิดจิตที่เป็นกิเลสแรงๆ จนทำให้อาคมเข้าตัว”

             ผู้เป็นอาจารย์ไม่ตอบรับหรือปฏิเสธ ทรงกลดรับรู้บทสนทนาระหว่างผกาแก้วกับเอื้อกานต์ อีกทั้งยังสัมผัสพลังของ ฮันเตอร์ คิม ในวันเกิดเหตุได้

             เมื่อแน่ใจ อาจารย์ไม่ใช่คนปล่อยของ ก็ทำให้มั่นใจว่าต้องเป็นคนออกมาช่วยเหลือ ขัดขวาง

             “คนที่ปล่อยไวรัสอาคมเป็นใครครับ” ทรงกลดเข้าสู่คำถามสำคัญ

             “คนที่เธอไม่ควรเข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วย” ฮันเตอร์ คิม ตอบ

             “ฝีมือเขาถึงขั้นไหน” ชายหนุ่มถามต่อ

             ฮันเตอร์ คิม เงยหน้ามองฟ้า คลับคล้ายหลีกเลี่ยงคำถาม ส่วนลึกกลับประเมินบุคคลนั้นในใจ

             “ผมสามารถหยุดยั้งเขาได้มั้ย” เมื่อไม่ได้รับคำตอบ เขาจึงเปลี่ยนคำถามใหม่

             “หยุดเขา...เพื่ออะไร”

             เป็นคำถามที่ตอบง่าย ทว่าทรงกลดกลับรู้สึก...มันมีอะไรลึกซึ้งมากกว่านั้น

             “ผมไม่อยากให้เขาใช้ไวรัสอาคมไปทำร้ายใครอีก” ชายหนุ่มเลือกตอบแบบกลางๆ

             “จำได้มั้ย อาคมที่ฉันสอน มีไว้เพื่อใช้ทำอะไร” ฮันเตอร์ คิม ถามอีก

             “เพื่อ...กำจัดคนชั่ว” ทรงกลดตอบ

             “แล้ว...คนที่ตายคราวนี้เป็นใครบ้าง” คำถามแหลมคม ย้อนปักอก

             “มือปืน...โจรปล้นร้านทอง” ชายหนุ่มจำเป็นต้องตอบ

             “สิ่งที่เขาทำ...ขัดกับเจตนารมณ์การฝึกอาคมของเธอตรงไหน” คำถามยากจะตอบ

             “แต่...” เขาเริ่มอ้ำอึ้ง

             “ถ้ามือปืนคนนั้นไม่ตาย พยานผู้บริสุทธิ์คนหนึ่งก็ต้องตาย ถ้าโจรปล้นร้านทองไม่โดนอาคมไปก่อน เจ้าทรัพย์อาจบาดเจ็บสาหัสถึงขั้นเสียชีวิต...”

             ฮันเตอร์ คิม หยุดพูดชั่วขณะ จ้องตาลูกศิษย์อย่างต้องการคำตอบ

             “เธอจะทำยังไง...ถ้าผู้หญิงคนนั้นไม่โดนไวรัสอาคม แล้วสาดน้ำกรดใส่หน้าผู้หญิงอีกคนจนเธอเสียโฉม มีชีวิตรอดไปก็ไม่ต่างจากตายทั้งเป็น”

             “ผม...คงทำอะไรไม่ได้” เขาตอบอย่างยอมรับ “อาจารย์คิดว่า...คนเหล่านั้นสมควรตายจริงหรือครับ”

             “ฉันแค่จะบอกว่า คนทั้งสามกำลังคิดชั่ว เตรียมตัวกระทำในสิ่งที่ไม่ดี ไม่ถูกต้อง”

             “ถึงอย่างนั้น พวกเขาก็ไม่สมควรโดนประหารชีวิตทันที”

             “ถ้าอย่างนั้น...โทษของพวกเขาคืออะไร?”

             ทรงกลดอึ้งเมื่อถูกย้อนถาม...โทษของคนคิดชั่ว เตรียมลงมือกระทำความผิดขั้นร้ายแรงนั้น ควรเป็นเช่นไร...

             ชายหนุ่มมองหน้าอาจารย์ เห็นแววตาสงบราบเรียบ ไม่แสดงความรู้สึกทั้งด้านบวกและลบ

             ถึง ฮันเตอร์ คิม จะถามชี้นำเป็นเชิงบอกว่าผู้ถูกไวรัสอาคมมีเจตนาทำผิดจริง สมควรตาย ทรงกลดก็เชื่อว่า จิตใจอาจารย์ไม่เห็นด้วยกับคำพิพากษา ไม่เช่นนั้นคงไม่พยายามช่วยเหลือเหยื่อด้วยวิธีการของตนเองแน่นอน

             “คนอย่างผม...ไม่มีสิทธิ์ตัดสินใครได้หรอกครับ” ทรงกลดตอบ

             ฮันเตอร์ คิม ถอนใจยาว ประกายตาแปร่งแปลก ยากคาดเดาความหมาย ไม่มีคำพูดใดหลุดจากปาก อดีตลูกศิษย์ยืนนิ่งชั่วขณะ ก่อนย้อนกลับมาถามเรื่องเดิม

             “คนที่ปล่อยไวรัสอาคมเป็นใครครับ?” เขาถามเสียงอ่อนเบาเชิงขอร้อง แฝงความเคารพ

             “อาจารย์ของฉันเอง!”

             ฮันเตอร์ คิม ตอบเรียบง่าย ทรงกลดผงะสะดุ้ง

             “อาจารย์...ของอาจารย์” ชายหนุ่มพึมพำ ไม่อยากเชื่อ

             พอตั้งสติ ชายหนุ่มรีบถามต่อรัวเร็ว

             “เขา...เอ่อ...ท่าน...ทำอย่างนั้นเพื่ออะไร...ทำไมอาจารย์ไม่ห้าม”

             เสียงลมหายใจผะแผ่วแว่วมาจากผู้เป็นอาจารย์ ก่อนความเงียบงันจะครอบคลุมคนทั้งสองอีกครั้ง

             ท่ามกลางความสงบ วังเวง ทรงกลดสัมผัสถึงอารมณ์อันยากอธิบายของอาจารย์ตนเอง เป็นอารมณ์ที่เขาไม่สามารถแปลออกมาเป็นความหมายได้

             “สมมุติว่า...” ฮันเตอร์ คิม เริ่มเอ่ยปาก “ฉันเป็นคนปล่อยไวรัสอาคมเอง...แล้วเธอจะทำยังไง”

             “ผมคงพยายามห้ามปรามอาจารย์” ทรงกลดตอบ

             “ถ้าฉันไม่เชื่อ เธอจะทำยังไงต่อ...”

             ทรงกลดนิ่งอั้น ผู้ทรงอาคมระดับนี้ย่อมมีอัตตาใหญ่ แค่พูดคำเดียวว่า “ไม่” ใครก็อย่าหวังเปลี่ยนแปลงง่ายๆ

             ถ้าเป็นเช่นนั้น เขาควรทำอย่างไร จะใช้อาคมเข้าสยบ ขัดขวาง ต่อต้าน เช่นนั้นหรือ?

             มั่นใจแค่ไหนว่าจะสำเร็จ ในเมื่ออีกฝ่ายเป็นถึงอาจารย์ ผู้ถ่ายทอดอาคมให้แก่เขาเอง

             ชั่วขณะนั้นเอง ทรงกลดเริ่มเข้าใจจิตใจ ฮันเตอร์ คิม เข้าใจว่าเหตุใดอาจารย์จึงทำได้แค่แอบช่วยเหลืออยู่ห่างๆ โดยไม่อาจแสดงตัวขัดขวาง

             “แล้ว...อาจารย์...ของอาจารย์” ทรงกลดลำบากใจที่จะเอ่ยปากเรียก ‘อาจารย์ปู่’ “มีเหตุผลอะไรถึงทำแบบนี้ครับ”

             ริมฝีปาก ฮันเตอร์ คิม เหยียดยิ้ม อ่อนใจ

             “เหตุผลของเขา...คนทั่วไปคิดไม่ถึง...ยอมรับไม่ได้หรอก”

             “ตอนนี้เขาส่งพวกภูตผีไปรังควานเอื้อ...” ทรงกลดเป็นห่วงหญิงสาวที่ตนรัก

             “มันช่วยไม่ได้ คนไหนที่กล้าถอนอาคมเขา เขาก็จะยึดถือเป็นฝ่ายตรงข้าม”

             ทรงกลดหนาวเยือก การเป็น “ฝ่ายตรงข้าม” กับผู้ทรงอาคมกล้าระดับปรมาจารย์เช่นนี้ ไม่ใช่เรื่องน่ายินดีเลย

             “ผมควรทำยังไง” คำถามเช่นคนอับจนหนทาง

             “เรื่องไหนล่ะ...ถ้าเกี่ยวกับคุณหมอคนนั้น คงไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง...สร้อยอาคมของเธอน่าจะพอใช้การได้ อีกอย่าง คนที่สามารถถอนอาคมของเขา ต้องไม่ใช่คนธรรมดา แล้วคนประเภทนี้ ใครก็เล่นงานยาก”

             ทรงกลดไม่แน่ใจ ควรยินดีหรือหนักใจกับคำตอบนี้ดี

             “แล้ว...เรื่องของ...อาจารย์ใหญ่...” ทรงกลดหาสรรพนามมาเรียกอาจารย์ของอาจารย์จนได้ “ผมควรทำอย่างไรดี”

             “ตอนนี้เธอไม่ได้เป็นลูกศิษย์ฉันแล้ว” ฮันเตอร์ คิม เอ่ยเสียงเบาทว่าชัดเจน “หมายความว่า เธอไม่มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับเขา...ไม่จำเป็นต้องเรียกเขาแบบนั้นก็ได้”

             “แต่...” ทรงกลดค้าน อีกฝ่ายขัดขึ้นก่อน

             “ถ้าเธอไม่มีส่วนเกี่ยวข้องฉันศิษย์ อาจารย์...เธอจะทำอะไร มันก็เรื่องของเธอ”

             ชายหนุ่มชะงัก ฮันเตอร์ คิม พูดเช่นนี้ หมายความว่าเขาสามารถออกหน้าขัดขวาง ‘อาจารย์ใหญ่’ ท่านนี้ได้โดยไม่ต้องเกรงใจ...ใช่หรือไม่?

             ฮันเตอร์ คิม รู้ความคิดและคำถามในใจอดีตลูกศิษย์ เพียงไม่นึกอยากตอบ การพูดเท่านี้ก็มากเกินไปแล้วสำหรับคนที่มีความสามารถหยั่งรู้ใกล้เคียงกัน

             ชายหนุ่มนิ่งคิดเนิ่นนาน เล็งเห็นจิตใจ เจตนาอาจารย์เช่นกัน เขาเชื่อว่าหาก ฮันเตอร์ คิม ออกหน้าขัดขวางอาจารย์ใหญ่ ก็น่าจะทำได้

             อย่างน้อย เขาเชื่อว่าฝีมือระดับนี้ย่อมสามารถถอนอาคมได้เช่นเดียวกับเอื้อกานต์ เพียงแต่ ฮันเตอร์ คิม ไม่ต้องการเป็น “ฝ่ายตรงข้าม” กับอาจารย์ตนเอง

             ทรงกลดประเมินความสามารถของเขาเวลานี้ คิดว่าไม่ด้อยกว่าผู้เป็นอาจารย์สักเท่าไร สิ่งใดที่ ฮันเตอร์ คิม ทำได้ สำหรับเขาไม่ลำบากเกินแรง มีข้อเดียวที่ต่างกัน...ฮันเตอร์ คิม ไม่อาจออกหน้าเต็มตัว ส่วนเขาถูกตัดสัมพันธ์ศิษย์-อาจารย์มาปีกว่า จึงสามารถออกหน้า ยอมเป็นฝ่ายตรงข้ามกับอาจารย์ใหญ่ได้

             ข้อนี้น่าจะเป็นเหตุผลที่ ฮันเตอร์ คิม ยอมเดินมาหาเขาเอง

             “ผมไม่มั่นใจ จะขัดขวางอาจารย์ใหญ่ได้ยังไง” ทรงกลดเอ่ยปากถาม

             “ตอนที่เธอใช้พลังอาคมขั้นสูงสุด ฉันเองยังยอมรับว่าไม่อาจรับมือต้านทานได้” ฮันเตอร์ คิม ชี้แนะ

             ทรงกลดอึ้งเมื่อนึกถึงมนตร์ดำขั้นสูงสุดที่ตนเองก้าวไปถึง เขาเคยแสดงพลังนั้นแค่ครั้งเดียว แล้วไม่กล้าใช้มันอีกเลย

             “พลังนั้น...ผมใช้มันไม่ได้อีกแล้ว” ทรงกลดบอก

             หากใช้มนตร์ดำ อาคมขั้นสูงสุด เขาจะกลายเป็นอสูรร้าย ขาดสติ ไม่สามารถควบคุมตัวเอง มันเป็นพลังที่ยากต้านทาน แม้กระทั่งตัวเขาเองก็ไม่อาจบังคับ ขัดขืนมันได้

             “อีกไม่เกินสองวัน เขาจะปล่อยไวรัสอาคมอีกครั้ง คราวนี้มันจะมีระยะเวลานานกว่าเดิม อาคมกล้าแข็งขึ้น ชนิดที่ไม่ยอมให้มาใครถอนได้เหมือนคราวก่อน...เธอลองพิจารณาไตร่ตรองดู”

             ทรงกลดไม่ถามซ้ำ ในเมื่ออาจารย์รู้ขนาดนี้แล้ว เหตุใดไม่รีบขัดขวาง

             เขาเข้าใจความคับข้องใจนั้นดี ทำได้เพียงเอ่ยปากเพื่อกระตุ้นสำนึกอีกฝ่าย

             “อาจารย์จะปล่อยให้อาจารย์ใหญ่ทำเรื่องเลวร้ายจริงหรือครับ”

             ฮันเตอร์ คิม เบือนหน้ามองไปยังความมืดแสนไกล คำพูดที่เอ่ยออกมาคลับคล้าย...การแก้ตัว

             “ไวรัสอาคมของเขา ทำร้ายได้เฉพาะคนที่กำลังคิดชั่ว เตรียมทำเรื่องร้ายกาจ เบียดเบียนคนอื่น...ฉันมีเหตุผลอะไรจะไปขัดขวางเส้นทางกำจัดคนชั่วของเขา”

             ทรงกลดท้อใจ หมดปัญญาขอความช่วยเหลือ เท่าที่ ฮันเตอร์ คิม แนะนำ เปิดเผยความลับมาถึงขนาดนี้ ถือว่าเป็นการช่วยเหลือมากกว่าเคยแล้ว

             โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ยอมบอกกำหนดการปล่อยไวรัสอาคมครั้งที่สอง...

             อีกไม่เกินสองวัน!

             กำหนดวันฟังคลุมเครือ เนื่องเพราะอีกฝ่ายจงใจที่จะไม่ให้ความชัดเจน ถึงอย่างนั้น ทรงกลดก็เชื่อมั่นตนเอง เขาต้องตามรอยอาจารย์ใหญ่เพื่อหยุดยั้งการปล่อยอาคมครั้งนี้ให้ได้



             มันเป็นอาหารมื้อค่ำที่เรียบง่ายและอบอุ่นในรอบหลายวันที่ผ่านมาของเอื้อกานต์

             ในเมื่อหมอหมากเป็นเจ้าของอาหารค่ำ เอื้อกานต์จึงขอเป็นเจ้าภาพสถานที่ จัดโต๊ะอาหาร จานชามทั้งหมดเอง กับข้าวที่หมอหมากได้มาเป็นอาหารพื้นๆ หากคนทำตั้งใจปรุงสุดฝีมือ รสชาติจึงถูกปากคุณหมอทั้งสอง

             สองหนุ่มสาวเพิ่งรู้จักกันไม่นาน แต่หลังจากพูดคุยเปิดใจเรื่องส่วนตัวที่บอกคนอื่นไม่ได้...ความสัมพันธ์จึงไม่ต่างจากคนที่รู้จักสนิทสนมกันมาเป็นแรมปี

             หลังอาหารค่ำ หมอหมากอาสาช่วยล้างจาน เอื้อกานต์ไม่ปฏิเสธ ระหว่างล้างจาน หญิงสาวเล่าถึงเรื่องน้องชาย

             “สมัยเกื้อมันอยู่ เคยจัดเวรแบ่งวันกันล้างจาน แต่ตัวมันไม่ค่อยอยู่บ้าน ต้องไปตามคดีทีเป็นอาทิตย์ บางครั้งเดือนนึงแวะเข้าบ้านแค่ครั้งสองครั้ง มาอาบน้ำแล้วก็ไป สุดท้ายเอื้อเลยต้องเหมาล้างจานคนเดียว”

             “หมอเอื้อไม่เหงาแย่เหรอ อยู่คนเดียวแบบนี้” ชายหนุ่มถาม

             “ชินแล้วค่ะ เอื้อกับเกื้อดูแลตัวเองกันมาตั้งแต่เด็ก โตมาก็มีหน้าที่รับผิดชอบ แถมงานของแต่ละคนก็หนักๆ ทั้งนั้น ไม่มีเวลามาเหงากันเลย”

             “ถ้าสารวัตรกลับมา หมอเอื้อคงอุ่นใจกว่านี้” หมากเรียกทีเกื้อว่าสารวัตรจนติดปาก

             “ไม่หรอกค่ะ ถ้าเกื้อเสร็จงานทางนั้น กลับมาคงแต่งงาน แล้วน่าจะไปอยู่บ้านแฟน เพราะหนูดี...แฟนเกื้อน่ะ เขาเป็นลูกสาวคนเดียว อยู่กับแม่แค่สองคน หนูดีคงทิ้งมาไม่ได้” เอื้อกานต์อธิบาย

             “ผมว่าจะถามนานแล้ว สารวัตรเกื้อก็มีแฟนจนจะแต่งงานแล้ว ทำไมหมอเอื้อถึงยังไม่มีใคร”

             หมอหมากถามโพล่งแล้วรีบทำหน้ามึน ก้มหน้าก้มตาล้างจานแบบไม่รู้ไม่ชี้ ขณะที่หญิงสาวหันขวับ ตวัดสายตามองอย่างแปลกใจแกมฉิวกับคำถามที่ออกจะไร้มารยาทเช่นนี้

             “อยากรู้จริงหรือ?” เอื้อกานต์ถามเสียงเข้ม ข่มขู่นิดๆ

             ชายหนุ่มหันมาฉีกยิ้มกว้าง พยักหน้ารับไม่มีวี่แววสลดเกรงกลัว

             เอื้อกานต์อมยิ้ม อารมณ์ดีขึ้น

             “แล้วหมอล่ะ ทำไมถึงยังไม่มีใคร” หญิงสาววกกลับมาถามเขาแทน

             “ไม่มีใครเอา!” ชายหนุ่มตอบหน้าตาเฉย

             หญิงสาวเบ้หน้าไม่เชื่อคำพูด

             “จริงนะหมอเอื้อ” เขารีบยืนยัน “คิดดู...คนอายุขนาดผมนี่ ส่วนใหญ่ก็มีงานการเป็นหลักแหล่งกันแล้ว ถ้าไม่ทำงานในโรงพยาบาล ก็เปิดคลินิก ชีวิตพร้อมมีครอบครัว แต่ผมยังสนุกกับการเดินทาง ร่อนเร่ไปทั่ว ชอบทำงานในที่ที่หมอคนอื่นไม่กล้าไปกัน แล้วนิสัยผมก็หัวดื้อ ปากร้าย พูดตรง ไม่ชอบเปลี่ยนตัวเองเพื่อเอาใจใคร พูดจาหวานๆ เอาใจสาวก็ไม่เป็น เข้าที่ไหนวงแตกทุกที อย่างนี้อย่าว่าแต่จะมีใครเลย...แค่คนจะคบด้วยยังหาไม่ได้เลยด้วยซ้ำ”

             “นั่นสิ ทำไมเอื้อถึงมาคุยกับหมอได้ตั้งนานสองนานนะ” หญิงสาวบ่นแกมหยอก

             “หมอเอื้ออย่าเปลี่ยนประเด็น...ตอบคำถามผมก่อน” พอเห็นหญิงสาวอารมณ์ดี เขาจึงรีบดึงเข้าเรื่อง

             เอื้อกานต์หัวเราะเบาๆ

             “ที่เอื้อยังไม่มีใคร เพราะยังไม่เจอคนที่ “ใช่” จริง ๆ มั้ง” หญิงสาวตอบตรงไปตรงมา

             “คนแบบไหนที่หมอเอื้อเรียกว่าใช่” หมากถามจริงจังกว่าเดิม

             “ไม่มีแบบ...ไม่มีคำจำกัดความอะไรเลย หมอเคยมั้ย...เวลาที่เราเห็นใครสักคนครั้งแรก แล้วเขามีแรงดึงดูด ชวนให้เราไม่อยากละสายตา พอได้พูดคุยกัน มันก็ลงตัวราบรื่น เหมือนเจอชิ้นส่วนบางอย่างที่หายไป คุยกันได้ทุกเรื่องอย่างสบายใจแบบคนที่มีความเห็นไปในแนวทางเดียวกัน...ยิ่งได้เจอเขา ยิ่งรู้สึกว่าอยากเจออีก คล้ายมีสายใยบางๆ เชื่อมเราเอาไว้ ต่อให้อยู่ห่างกันแค่ไหน...ก็เหมือนมีเขาอยู่ใกล้ๆ”

             ขณะนิ่งฟัง ความรู้สึกอุ่นๆ วาบขึ้นมาในอกชายหนุ่ม ทุกคำพูด ทุกความรู้สึก ไม่ต่างจากถอดความต้องการของหัวใจเขาออกมาตีแผ่เช่นกัน

             “แล้ว...หมอเอื้อ...เคยเจอคนแบบนั้นหรือยัง” หมากถามด้วยความอยากรู้

             “เคยแล้ว...”

              คำตอบที่ได้พาให้ใจหล่นวูบ พูดอะไรไม่ออก ยังดีที่มีสติพอระลึกได้ว่า เวลานี้เอื้อกานต์ยังไม่มีใคร

             “เขาคนนั้นอยู่ที่ไหน” ชายหนุ่มอดถามไม่ได้

             เอื้อกานต์ถอนใจ หากคำถามเช่นนี้มาจากปากคนอื่น เธอคงเลี่ยง ไม่ตอบวาจา แต่กับผู้ชายคนนี้ เธอรู้สึกว่าต้อง “เคลียร์” ความเข้าใจระหว่างกันให้ชัดเจน จึงยอมพูดออกมา

             “เสียชีวิตแล้วค่ะ...เครื่องบินตกเมื่อหกเจ็ดปีก่อน”

             คนทั่วไปได้ยินเช่นนั้นคงต้องรีบเอ่ยปาก...แสดงความเสียใจ...ตามมารยาท... หมากกลับพูดไม่ออก เขาไม่รู้สึกเสียใจเลย...หนำซ้ำยังโล่งใจ

             “ขอโทษ...ที่ผมถาม...เรื่องที่ไม่ควรถาม”

             “นั่นสิ...เอื้อก็ดันตอบ...เรื่องที่ไม่ควรตอบ เหมือนกัน”

             สองหนุ่มสาวยิ้มให้กัน ความรู้สึกบางอย่างซึมแทรกเข้ามาในจิตใจ มันเป็นความอบอุ่น จากหัวใจหนึ่ง สู่อีกหัวใจหนึ่ง มันคือความเข้าใจ จากจิตใจสู่จิตใจ โดยไม่จำเป็นต้องมีวาจาเอื้อนเอ่ยต่อกัน



             หมอหมากกลับห้องตนเองครู่ใหญ่แล้ว เอื้อกานต์ยังนั่งปล่อยอารมณ์อยู่ริมระเบียง ยกแขนดูสร้อยข้อมือลูกปัดที่ได้มา น่าแปลกที่ตั้งแต่สวมมัน เธอเกิดความอุ่นใจ ปลอดภัยอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน คล้ายสร้อยเส้นนี้เป็นเครื่องรางที่ถูกปลุกเสกมาด้วยจิตใจอันเต็มเปี่ยมด้วยความหวังดี ห่วงใย

             เห็นสร้อยลูกปัดแล้วนึกถึงผกาแก้ว นึกถึงคนที่เสียชีวิตด้วยไวรัสอาคม

             ก่อนหมอหมากกลับห้อง เขาพูดถึงเรื่องนี้ บอกว่ามันอาจยังไม่จบ บางที นี่อาจเป็นแค่จุดเริ่มต้น เขาหวั่นใจว่าจะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้อีก

             เอื้อกานต์เห็นด้วย เธอมีลางสังหรณ์ว่าเหตุร้ายที่เกิดอาจรุนแรง ขยายวงกว้างกว่าเดิม เพียงแต่ทั้งสองไม่รู้จะสืบหาต้นตอการปล่อยไวรัสจากไหน หรือควรหาทางป้องกันอย่างไร

             ‘ถ้ามันมาแบบไหน เราก็คอยตั้งรับแล้วกัน...มีหมอเอื้ออยู่ ผมไม่กลัวหรอก’ หมากทิ้งท้ายไว้ก่อนไป

             หญิงสาวยิ้มรับ พลางนึกถึงคดีฆาตกรรมต่อเนื่องด้วยอาคมเมื่อเกือบสองปีก่อน มันอาจมีความเชื่อมโยงกันไม่มากก็น้อย คนที่ให้คำปรึกษาดีที่สุด น่าจะเป็นทีเกื้อ

             ตื้ด...ตื้ด...

             มีสายเรียกเข้าจากโทรศัพท์มือถือ หน้าจอโชว์เบอร์ทีเกื้อ เห็นแล้วนึกขันในใจ เอื้อกานต์ตั้งใจโทร. ไปหาพอดี แต่น้องชายรู้ทันรีบโทร. มาก่อน

             “เป็นไงบ้างเอื้อ” เสียงคนปลายสายติดจะเหนื่อยๆ

             “มีเรื่องอยากคุยเยอะเลย เกื้อคุยไหวมั้ย” หญิงสาวสัมผัสกระแสอ่อนล้าจากน้องชายได้

             “ไหว...ไม่งั้นจะโทร. มาเหรอ รู้อยู่เหมือนกันว่าเอื้ออยากคุยด้วย แต่จังหวะเวลามันไม่ตรงกันจริงๆ”

             “งานทางนั้นหนักมากมั้ย” เอื้อกานต์ถามด้วยความเป็นห่วง ลืมปัญหาตัวเองชั่วคราว

             “หนัก แล้วก็หินกว่าที่คิด”

             ถ้าทีเกื้อพูดเช่นนี้ แสดงว่าไม่ใช่หนักและหินแบบธรรมดา ไม่เช่นนั้นเขาคงไม่เหนื่อย อ่อนแรง จนแทบหาเวลาคุยกับพี่สาวไม่ได้แบบนี้

             เอื้อกานต์ลังเล ไม่อยากเอาปัญหาทางนี้ไปเพิ่มภาระให้น้องชายกังวลใจ

             “เอื้อล่ะ เป็นยังไงบ้าง...เล่ามาเถอะ” ทีเกื้อรู้ความในใจพี่สาว จึงเอ่ยปากบอก

             “ตอนนี้เอื้อเจอคนไข้ป่วยด้วยอาการประหลาด ตายไปสองรายแล้วด้วยซ้ำ”

             “เป็นโรคอะไร” ทีเกื้อถามแล้วฉุกใจ “ไม่ใช่โรคที่ทางการแพทย์พิสูจน์ได้ใช่มั้ย”

             ทั้งสองผ่านเรื่องแปลก เหนือธรรมชาติ มามากพอที่จะตรงเข้าประเด็น

             “อือ...มันเป็นไวรัสที่ถูกควบคุมด้วยอาคม ทำให้เอื้อคิดถึงคิม...ฆาตกรต่อเนื่องคราวก่อน ...เป็นไปได้มั้ยว่าจะเป็นฝีมือของเขาอีก”

             เอื้อกานต์เอ่ยถึงชื่อฆาตกรต่อเนื่องที่ใช้อาคมเป็นอาวุธเมื่อเกือบสองปีที่แล้ว ซึ่งครั้งนั้นทีเกื้อเป็นคนปิดคดีสำเร็จ พร้อมกับบอกเธอว่า...

             ‘นับจากวันนี้ ไม่มีคิมอีกต่อไปแล้ว...’

             ถึงน้องชายจะเคยพูดอย่างนั้น แต่พอได้พบเจอลักษณะอาการคนไข้คล้ายคลึงกัน หญิงสาวก็อดเปรียบเทียบไม่ได้

             “ไม่ใช่ฝีมือของคิมแน่นอน” ทีเกื้อตอบหนักแน่น

             ‘คิม’ เป็นชื่อปลอมของทรงกลด คนรักเก่าเอื้อกานต์ ครั้งนั้นเขาทั้งปลอมชื่อและปลอมตัวมาเพื่อล้างแค้น สังหารคนที่มีส่วนทำลายครอบครัวเขา...ด้วยอาคมอันร้ายกาจ

             ทีเกื้อกล้ายืนยันว่าไม่มี ‘คิม’ อีกต่อไป เพราะเขาอยู่กับทรงกลดในวันที่เจ้าตัวยอมสละความแค้น เปลี่ยนวิถีชีวิตตนเองกลับมาสู่เส้นทางการช่วยเหลือผู้คนแล้ว

             “ถ้าไม่ใช่คิม แล้วจะมีใครที่สามารถใช้อาคมได้เก่งขนาดนี้อีก” เอื้อกานต์ไม่สงสัยคำพูดน้องชาย...เมื่อตัดฆาตกรต่อเนื่องรายเดิมออกไป แล้วใครจะมีฝีมือถึงขั้นนั้นอีก?

             ทีเกื้อนึกถึง ฮันเตอร์ คิม...อาจารย์ของทรงกลด แต่ถ้าเป็นบุคคลนี้จริง ทรงกลดก็น่าจะขัดขวาง ยับยั้งได้

             “เกื้อไม่รู้...นึกไม่ออกจริงๆ นี่ถ้าไม่ติดว่างานทางนี้สำคัญ ทิ้งไม่ได้ ก็จะลงไปช่วยเดี๋ยวนี้แหละ”

             ชายหนุ่มพูดอย่างที่คิด

             “ไม่เป็นไรเกื้อ จัดการเรื่องที่เกื้อรับผิดชอบให้เต็มที่เถอะ เอื้อหาทางได้” หญิงสาวพูดให้น้องชายคลายใจ

             ความคิดหนึ่งวาบขึ้นมาในหัวทีเกื้อ

             “นึกได้แล้ว เอาอย่างนี้สิเอื้อ ที่ห้องเกื้อมีสมุดบันทึกของคุณตาอยู่เล่มนึง หน้าปกเขียนว่า ‘อาคม’ ในนั้นคุณตาเขียนถึงคดีประหลาดที่เกี่ยวข้องกับเรื่องเหนือธรรมชาติ พวกอาคม คุณไสย แล้วก็บันทึกวิธีแก้ไข วิธีคลี่คลายคดีไว้ด้วย เกื้อเก็บไว้ในลิ้นชักโต๊ะ ลองไปหยิบมาอ่านดูนะ เผื่อใช้ประโยชน์ได้บ้าง”

             “แจ๋วเลย” เอื้อกานต์พูดอย่างยินดี อย่างน้อยก็มองเห็นแสงสว่างในช่องทางหนึ่ง “แสดงว่าเกื้อก็ใช้บันทึกของคุณตามาช่วยปิดคดีคราวนั้นใช่มั้ย”

             “ใช่...บันทึกของคุณตามีส่วนช่วยเกื้อได้เยอะเลย หวังว่ามันคงจะช่วยเอื้อได้เหมือนกัน”

             สองพี่น้องโล่งใจไปเปลาะหนึ่ง การพูดคุยเรื่องอื่นค่อยผ่อนคลายลง ถามไถ่เรื่องทั่วไป เรื่องชีวิตประจำวันที่ไม่สำคัญนัก เพื่อเป็นการพักผ่อน บอกเล่าเรื่องราวระหว่างกัน ก่อนเตรียมกลับไปเผชิญกับปัญหาที่รออยู่ข้างหน้า



(โปรดติดตามต่อฉบับหน้า)



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP