วรรณกรรมนำใจ Lite Literature

ระบำเวท ๖


cover rabamvej

ชลนิล




(ต่อจากฉบับที่แล้ว)



             เมื่อห้าปีก่อน หมากทำงานเป็นหมอที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่งในอเมริกา งานหนัก ใช้ความอดทนสูง แต่ช่วยสั่งสมประสบการณ์และทักษะด้านต่างๆ แก่เขามากมาย ทั้งในแผนกฉุกเฉิน จนถึงแผนกศัลยกรรม

             กลางดึกคืนหนึ่ง โรงพยาบาลเริ่มเงียบ คนไข้ฉุกเฉินถูกส่งต่อไปเรียบร้อย เขาเพิ่งมีเวลานั่งพัก ก็มีชายหนุ่มชาวเอเชียคนหนึ่ง อุ้มเด็กหญิงอเมริกันนิโกร เลือดโชกเข้ามา

             เด็กหญิงอายุราวสิบสองสิบสามปี โดนรถชน อาการภายนอกดูสาหัส สภาพร่างกายอ่อนปวกเปียก เลือดอาบเต็มร่าง คนขับชนแล้วหนี ชายที่อุ้มมาส่งเป็นผู้เห็นเหตุการณ์

             ปกติคนไข้เคสเช่นนี้ ผู้เห็นเหตุการณ์จะโทร. เรียกรถพยาบาลไม่ก็รถตำรวจให้มารับผู้บาดเจ็บ หมากไม่เคยเห็นใครกล้าอุ้มคนเจ็บมาส่งถึงโรงพยาบาล ซึ่งเป็นการเสี่ยงต่อชีวิตคนเจ็บอย่างนี้มาก่อนเลย

             หมอหมากมองชายชาวเอเชียที่อุ้มเด็กมาส่ง สะดุดตากับใบหน้าคมคาย ดูเหมือนเจ้าชายแขก พยาบาลกำลังซักถามเขา หมอหมากรับฟังคร่าวๆ แล้วรีบไปดูอาการ เร่งมือรักษาผู้บาดเจ็บให้ทันท่วงที

             ร่างกายเด็กบาดเจ็บน้อยกว่าสภาพที่เห็น เลือดโชกร่างก็จริง แต่แผลปิด เลือดหยุดไหลแล้ว ร่างกายอ่อนปวกเปียก แต่ไม่มีกระดูกชิ้นไหนแตกหักจากแรงกระแทก

             หลังจากรักษาจนอาการเด็กพ้นขีดอันตราย เขาก็เดินออกมาพบชายที่พาเด็กมาส่งซึ่งกำลังรอฟังผลการรักษา

             “เด็กพ้นขีดอันตรายแล้ว” หมอหมากบอก

             “ขอบคุณครับหมอ” ชายคนนั้นถอนใจโล่งอก “อีกเดี๋ยวญาติของเด็กคงมาถึง”

             “แล้วคุณล่ะ” คนเป็นหมอสงสัย

             “ผมแค่พามาส่ง”

             “พอจะบอกชื่อคุณได้มั้ย” หมอถามตามระเบียบ

             ชายชาวเอเชียนิ่งอยู่ครู่ใหญ่ ก่อนพูด...

             “ชามาร์...”

             หลังจากนั้นเขาก็จำอะไรไม่ได้ คล้ายความทรงจำขาดหาย “ชามาร์” น่าจะเป็นชื่อพวกแขก อาหรับ ไม่ก็อินเดีย...นึกไม่ถึงจะมาเจอกันที่นี่

             ที่น่าฉงนกว่านั้น พลูให้เข้ามาทักทาย...เพื่ออะไร?



             ทรงกลดนั่งฟังเรื่องเมื่อห้าปีก่อนราวกับเป็นเรื่องราวที่ผ่านมาแสนนาน ช่วงเวลานั้นเขากำลังหลบหนี พร้อมกับเริ่มต้นเดินทางเรียนรู้ไปกับ ฮันเตอร์ คิม

             อาจารย์พาเขามายังอเมริกาเป็นประเทศแรก สถานที่ที่มากมายด้วยผู้คน หลากหลายเชื้อชาติ สิ่งที่ต้องเรียนรู้ คือการทำตัวให้กลมกลืน กลบหายไปกับคลื่นมนุษย์ ไม่ให้ใครรู้จัก จดจำได้

             บทเรียนเฉพาะหน้าเกิดขึ้นกลางดึก ในย่านผู้คนไม่จอแจนัก

             สองศิษย์อาจารย์พบเด็กหญิงอเมริกันนิโกรถูกรถชนแล้วหนีบนถนนเปลี่ยวร้าง ข้างทางเกือบไม่มีผู้คน ทว่าบางคนที่เห็นเหตุการณ์กลับเมินเฉย แกล้งทำไม่สนใจ

             ทรงกลดกับอาจารย์รีบเข้าไปดู อาการของเธอเพียบหนัก กระดูกหัก แผลแตกเลือดโซม หายใจระรวย

             ฮันเตอร์ คิม ใช้อาคมประสานกระดูก ผสานบาดแผลทำให้เลือดหยุดไหล ทรงกลดตั้งใจโทร. เรียกรถพยาบาลหรือไม่ก็ตำรวจให้มาจัดการต่อ แต่ผู้เป็นอาจารย์ห้ามไว้ พร้อมยื่นบททดสอบสด ๆ ร้อน ๆ

             “มีโรงพยาบาลอยู่ห่างจากนี่ไปสองบล็อก...เธอสามารถอุ้มเด็กไปส่งที่นั่น รอจนหมอบอกว่าพ้นขีดอันตราย แล้วกลับมาโดยไม่ให้ใครจดจำเธอได้หรือไม่?”

             ทรงกลดนิ่งอั้น มันเป็นโจทย์สุดหินสำหรับนักเรียนใหม่อย่างเขา

             อุ้มเด็กที่สภาพร่างกายเช่นนี้ไปส่งโรงพยาบาล เสี่ยงต่อกระดูกหัก ทิ่มปอด ช้ำใน ถ้าจะทำจริง เขาต้องใช้วิชาที่อาจารย์สอน คอยประคองร่างกายเธอไม่ให้กระทบกระเทือน บอบช้ำเพิ่มกว่าเดิม รวมถึงใช้อาคมอันน้อยนิดที่มีช่วยยืดลมหายใจเธอเอาไว้ หลังจากนั้นเขาต้องสะกดจิตทุกคนในเหตุการณ์ให้ลืมเรื่องราวของเขาจนหมดสิ้น

             “ชามาร์...” เป็นหนึ่งคำสำคัญของคาถาสะกดจิต ทรงกลดใช้คาถานี้กับนายแพทย์หนุ่มที่หน้าตาเหมือนคนญี่ปุ่นเป็นรายแรก ตามด้วยพยาบาลและบุคคลที่เหลือ ตรวจสอบดูจนมั่นใจว่าไม่ทิ้งร่องรอยใด ก่อนกลับไปรายงานอาจารย์

             ตอนนั้น เขามั่นใจว่าผ่านบททดสอบนี้

             ไม่น่าเชื่อ ผ่านไปห้าปี หมอคนนั้นกลับจำเขาได้ หนำซ้ำยังคิดว่า “ชามาร์” เป็นชื่อของเขาเสียอีก

             ที่น่าขันกว่านั้น คือปัจจุบัน ทรงกลดใช้ “ชามาร์” เป็นชื่อและตัวตนปลอมในพาสปอร์ตเพื่อเดินทางไปทั่วโลกจริง ๆ...มันเป็นเรื่องที่พ้องกันอย่างไม่น่าเชื่อ

             น่าแปลกที่ทรงกลดลืมเลือนนายแพทย์เอเชียที่คล้ายชาวญี่ปุ่นคนนั้นไปแล้ว ขนาดเจอหมอหมากกับเอื้อกานต์ที่คลินิกคนยากครั้งแรกจนถึงตอนนี้ เขายังไม่นึกสะกิดใจ สะกิดความทรงจำ

             หากเป็นปกติ ทรงกลดคงหลบเลี่ยงไม่เสียเวลาคุยด้วย แต่วันที่เอื้อกานต์รักษาคนป่วยด้วยพลังพิเศษ เขาเห็นพลังบางอย่างแผ่มาจากหมอหนุ่มคนนี้ เข้าไปเสริมช่วยเอื้อกานต์

             พลังนั้นเป็นสีขาวขั้วเดียวกับหญิงสาว มันจึงผสมกลมกลืน เข้ากันได้ อีกทั้งส่งเสริมพลังขึ้นเป็นทวีคูณจนสามารถเอาชนะอาคมร้ายที่ควบคุมไวรัสได้สำเร็จ

             ทรงกลดตั้งใจใช้ช่วงเวลาที่นั่งคุยกัน ตรวจสอบหาที่มาพลังพิเศษจากตัวคุณหมอหนุ่ม แต่จนถึงบัดนี้ เขายังไม่สัมผัสหรือรู้สึกใดๆ เลยว่าชายหนุ่มคนนี้จะมีพลังแบบเดียวกับเอื้อกานต์

             หรือพลังนั้นมาจากแหล่งอื่น โดยอาศัยคุณหมอคนนี้เป็นเครื่องส่ง!

             ถ้าเช่นนั้น...พลังที่ช่วยเอื้อกานต์มาจากไหนกันแน่



             หมอหมากเล่าเรื่องราวการพบกันครั้งแรกของทั้งสองคนจบลง ทรงกลดจึงค่อยเอ่ยปากบอก

             “อ๋อ...ผมพอจะนึกได้แล้ว...เรื่องมันผ่านมานานจริง ๆ”

             “นั่นสิ ผมก็จำได้แค่ตอนคุณบอกว่าชื่อชามาร์ หลังจากนั้นก็เลือนๆ ไปเหมือนกัน ไม่คิดว่าจะเจอกันที่นี่”

             ทรงกลดรู้ว่าอีกฝ่ายตั้งใจโยงถามถึงที่มาที่ไปของเขา จึงรีบถามก่อน

             “คุณเป็นคนไทยหรือครับ...ผมเห็นหมอครั้งแรกคิดว่าเป็นคนญี่ปุ่น”

             “ใช่ครับ มีคนทักผมผิดเยอะ ผมต้องรีบบอกเลยว่า...ไม่ใช่ คนญี่ปุ่นที่ไหนจะพูดได้แค่...คอนนิจิวะ...ซาโยนาระ...ซารังเฮโย...”

             ทรงกลดอดแก้คำท้ายไม่ได้

             “คำสุดท้ายเป็นภาษาเกาหลีไม่ใช่หรือ”

             “อ้าว...นั่นสิ ผมถึงว่ามันแปร่งๆ อย่างนี้ยังอุตส่าห์มีคนหลงเชื่อว่าผมเป็นคนญี่ปุ่นอีกแน่ะ”

             ทรงกลดลุกขึ้น เห็นว่าควรยุติการสนทนาได้แล้ว

             “ผมมีธุระ ต้องขอตัวก่อน”

             “ครับ...โอกาสหน้าเจอกันใหม่คุณชามาร์” หมอหมากลุกตาม ชะงักนิดนึง ท่าทางเหมือนหยุดฟังอะไรบางอย่าง ก่อนพูดยิ้มๆ

             “ผมเป็นคนธรรมดาครับ...สบายใจได้”

             ทรงกลดอึ้งไปนิด หรี่ตามอง จิตสัมผัสพลังบางอย่างผ่านชายหนุ่มตรงหน้าชั่วแวบ

             หมอหมากรับรู้ปฏิกิริยาฝ่ายตรงข้ามเช่นกัน แต่เขายังต้องพูดประโยคต่อไป

             “คนที่เหนือธรรมดา...อันตรายนะครับ...ระวังตัวด้วย!”

             ถ้าเป็นคนทั่วไป ได้ยินหมอหมากพูดเช่นนี้คงซักถามยืดยาว ...เหตุใดถึงพูดจาแปลกๆ ไม่เกี่ยวกับเรื่องที่สนทนากันเลย

             ทว่าทรงกลดกลับนิ่ง ผงกศีรษะรับคำ ก่อนเดินจากไป

             หมากมองตามเงาหลังนั้นด้วยแววตาฉงน เขาคิดว่าคำพูดที่พลูสั่งให้บอกต่อชายคนนี้ฟังดูประหลาด พิกล คนทั่วไปได้ยินคงเกิดความสงสัย ไม่ยอมนิ่งเฉยโดยไม่ย้อนถาม...

             ชายคนนี้กลับรับฟัง ไม่ตอบโต้ มีเพียงแววตาฉายประกายกล้าขึ้นชั่วแวบ ก่อนจางหาย และจากไปเงียบๆ

             เหตุใดพลูถึงให้เขาทักทายชายคนนี้ เหตุใดพลูถึงสั่งให้เขาออกปากเตือนชายแปลกหน้า...และที่สำคัญที่สุดคือ...ชายแปลกหน้าคนนี้เป็นใคร

             มีความสำคัญอย่างไร?



             ทรงกลดออกจากโรงพยาบาลด้วยความเข้าใจสองสามเรื่อง ข้อแรก หมอหมากเป็นคนธรรมดา ไม่มีอะไรพิเศษไปกว่าอัจฉริยะด้านการแพทย์ ข้อสอง สิ่งเหนือธรรมดาที่เขาไม่รู้จัก อาศัยคุณหมอออกปากเตือนเขา เหมือนจะรู้ว่าเขาเตรียมตัวไปไหน

             สุดท้าย...ทรงกลดเชื่อว่า นอกจากตนจะต้องเผชิญกับผู้ทรงอาคมที่มีวิชากล้าแกร่งไม่น้อยกว่าอาจารย์แล้ว เขายังมีโอกาสสัมผัส รู้จักกับ “สิ่งเหนือธรรมดา” ที่ตนเองไม่คาดฝันว่าจะได้มาเจอ

             ชายหนุ่มสลัดความคิดฟุ้งซ่านทั้งมวลทิ้ง สิ่งเหล่านั้นไม่สำคัญ เวลานี้ เรื่องที่จะไปกระทำสำคัญกว่า

             ร่องรอยแรกที่ช่วยสาวไปถึงผู้ทรงอาคมนิรนามรายนั้น

             แหล่งกบดานของเหล่าภูตผี วิญญาณที่ไปรบกวนเอื้อกานต์!



             เอื้อกานต์นั่งฟังข้อมูลผู้เสียชีวิตสองรายจากหมอหมากจนจบ มองหาจุดร่วม จุดต่าง ระหว่างเหยื่อทั้งสามราย

             จุดต่างที่เห็นได้ชัด...เวลา สถานที่ เพศ แต่ถ้ามองให้ละเอียด ครอบคลุมกว้างขวางขึ้น ในจุดต่างก็มีจุดเหมือน

             เวลา...ทั้งสามโดนไวรัสคนละเวลา แต่วันเดียวกัน

             สถานที่...ทั้งสามเกิดเหตุคนละสถานที่ แต่เมื่อดูจากแผ่นที่ ลากวงกลมรอบอาณาเขตทั้งสามจุด ปรากฏว่ากินพื้นที่เพียงแค่สี่ตารางกิโลเมตร

             ที่แตกต่างจริงมีเรื่องเดียว...เพศ

             “นอกจากนี้ คุณหาจุดร่วม จุดต่างอื่น ได้อีกมั้ย” หมอหมากถาม

             “ขณะเกิดเหตุ พวกเขากำลังทำอะไรกัน” เอื้อกานต์ตั้งประเด็น

             “รายหนึ่งซุ่มอยู่บนดาดฟ้า อาวุธครบ เตรียมฆ่าคน อีกรายกำลังปล้นร้านทองและทำร้ายเจ้าทรัพย์ ส่วนรายที่สาม...” หมอหมากยกให้หญิงสาวเป็นคนตอบ

             “กำลังจะหยิบน้ำกรด สาดหน้าเมียน้อยสามี”

             คำตอบนี้เหมือนจิ๊กซอว์ต่อลงล็อค หมอหมากและเอื้อกานต์มองตากันอย่างเข้าใจ เงื่อนไขของคนที่โดนไวรัสอาคมน่าจะอยู่ตรงนี้

             การกระทำและจิตใจของพวกเขาในเวลานั้น!



             เย็นย่ำ

             โรงเรียนแห่งนี้อยู่ในซอยลึก ผู้คนไม่จอแจ มันถูกทิ้งร้างมานานสามสี่ปี ประตูหน้าคล้องกุญแจดอกใหญ่ รั้วกำแพงรอบด้านปกคลุมด้วยวัชพืช ยามเย็นไม่ปรากฏแสงไฟจากภายใน เห็นแล้วชวนวังเวง หวั่นยะเยือก

             ทรงกลดยืนหน้าประตู มองเข้าไปตามตึก อาคารเรียน สนามบาส สำรวมจิตนิ่ง แผ่กระแสสัมผัสออกกว้าง กางตาข่ายตรวจสอบถี่ยิบ ครอบคลุมทั่วโรงเรียน

             ปิศาจที่รบกวนเอื้อกานต์ทิ้งร่องรอยไว้ตามลานจอดรถ ในลิฟต์ จนถึงหน้าประตูห้อง ทำให้ทรงกลดรับรู้ ตรวจจับคลื่นเฉพาะตัวพวกมันได้ พอจิตเข้าสมาธิ ใช้คลื่นของพวกมันเหนี่ยวนำจนเกิดนิมิต...เห็นภาพโรงเรียนร้างแห่งนี้ขึ้นมา

             เขาจงใจมาที่นี่ช่วงเวลาโพล้เพล้ ย่ำค่ำ เพื่อไม่ให้คนแถวนี้สังเกตเห็นง่ายๆ และเป็นช่วงที่พวกมันสามารถแสดงตัวให้สัมผัสคลื่นได้เด่นชัดกว่าตอนกลางวัน

             ตาข่ายตรวจสอบคลื่นถูกดึงกลับคืน ชายหนุ่มเอื้อมมือจับลูกกุญแจที่คล้องประตูโรงเรียน บิดมันเพียงนิดเดียว ล็อคก็คลาย หลุดออก เขาผลักบานประตูเล็กน้อย พอแทรกร่างเข้าไปได้ ก็ดันปิดตามเดิม

             นัยน์ตามองขึ้นไปยังดาดฟ้าอาคารเรียนตรงหน้า แสงสนธยารำไรจับบริเวณนั้น เห็นเงาสีเทาไหวๆ นับสิบเงา ราวกับเป็นงานนัดชุมนุมเหล่าปิศาจ

             ทรงกลดเดินตัดสนามบาสตรงไปยังอาคารเรียนหลังนั้น สายลมเย็นชืดพัดผ่าน ปะปนด้วยกลิ่นหืน เอียน แทรกมาในอากาศ หูแว่วเสียงวู้...วู้...วู้...คล้ายเสียงเรียกขานมาไกลๆ

             รอบด้านเริ่มสลัวราง ไม่ถึงขั้นมืดมิด มองเห็นตัวอาคารข้างๆ เป็นเงาตะคุ่ม ตามระเบียงชั้นต่างๆ ของตึก มีร่างดำๆ ขยับเขยื้อนเคลื่อนไหว เหยียดตัวยืดยาว คืบคลานลงมาอย่างคุกคาม

             ทรงกลดเห็น รับรู้ทุกสิ่งที่ปรากฏรอบตัว หากไม่นึกสนใจพวกมันสักนิด สิ่งปรากฏเหล่านี้เป็นแค่เงามายา หลอกหลอนพวกขวัญอ่อนให้กระเจิดกระเจิง ก่อนตัวจริงจะโผล่มา

             เข้าไปในตัวอาคารเป้าหมาย เห็นบันไดทอดขึ้นสู่ความมืดสลัวที่ไม่แน่ใจปลายทาง ทรงกลดปล่อยตัวตามสบาย ก้าวขึ้นบันไดอย่างมั่นใจ รอบด้านมีเงาดำก่อตัวหนาแน่น คืบคลาน ติดตามมาเรื่อยๆ

             ชายหนุ่มขึ้นบันไดทีละก้าว ทีละชั้น ไม่เร็วไม่ช้า ปลายหางตาเห็นร่างคนเป็นเงารางๆ ว็อบแว็บตามจุดนั้นจุดนี้เป็นระยะ

             วู้...หวิว... ลมเย็นเสียดประสาทพัดผ่านข้างหู ก่อนหมุนวนรอบตัวทำให้อุณหภูมิลดลงฮวบฮาบ ยิ่งชั้นสูงขึ้น อากาศยิ่งหนาวเย็นลง ความมืดคลี่คลุมรวดเร็ว แทบมองไม่เห็นรายละเอียดเส้นทางข้างหน้า

             ถึงชั้นบนสุดแล้ว ทรงกลดมองบันไดที่เหลือไม่กี่ขั้นเบื้องหน้า ก่อนซุกมือล้วงกระเป๋า ผ่อนลมหายใจยาว เดินขึ้นบันไดด้วยท่าทีไม่หวาดหวั่น เสียงวี้ดๆ ประหลาดดังเสียดประสาท บอกสัญญาณฉุดรั้ง ห้ามปราม

             “ปัง!”

             บานประตูดาดฟ้าถูกผลักออกกระแทกผนัง เกิดเสียงดังท่ามกลางความเงียบสงบ

             ดาดฟ้าตรงหน้าเป็นลานโล่งว่าง มองได้ทั่วจากแสงสลัวยามต้นราตรี...ไม่มีร่องรอยเงาดำวูบไหวอย่างที่เห็นจากเบื้องล่าง ไม่มีเงาร่างรางๆ ที่โผล่มาหลอกหลอนระหว่างทางขึ้นบันได

             ทรงกลดก้าวไปหยุดยืนตรงกึ่งกลางลาน เงยหน้ามองท้องฟ้า ดึงมือจากกระเป๋า ก้มหน้าลงใช้ปลายนิ้วขีดเขียนตัวอักษรบนอากาศเหนือพื้นข้างหน้าด้วยถ้อยคำสองสามคำ

             อากาศรอบกายหนาวเหน็บในฉับพลัน สายลมเย็นจัดพัดเสียดผิวกาย มวลความมืดก่อตัวเป็นหย่อมกระจายทั่วดาดฟ้า หมอกควันสีเทาลอยขึ้นมาจากพื้น แทรกตัวกับกลุ่มความมืด แล้วแตกกระจายออกมาเป็นเงาร่างหลายร่าง มองเห็นใบหน้าซีด ดวงตาเหม่อลอย เซื่องซึม

             คราวนี้พวกมันปรากฏตัวเป็นโขยง ยืนตามจุดของตัวเอง กระจายโอบล้อมทรงกลดไว้ตรงกลาง ความหนาวเย็นทวีความรุนแรง สายลมพัดบาดร่างราวคมมีด บรรยากาศกดดันโถมทับลงมาจนคนธรรมดายากรับมือได้

             “ใครเป็นหัวหน้า” ทรงกลดเอ่ยถามเสียงเรียบเบา

             หยุด...นิ่ง...หลังคำพูดนี้ ทุกสิ่งรอบกายล้วนหยุดนิ่ง

             สายลมชะงักงัน ร่างปิศาจหยุดเคลื่อนไหว บรรยากาศอึดอัดไม่กล้าคืบคลานเข้าใกล้ ความหนาวเย็นกระจายตัวออกห่าง

             ทรงกลดกวาดสายตามองใบหน้าเหล่าปิศาจ วิญญาณที่เห็นเลือนราง เพ่งไปยังนัยน์ตาแต่ละคู่ที่เหม่อซึม ไร้ความรู้สึก ควานหาจนเจอใบหน้าหนึ่ง จากรูปเค้ามองออกว่าเป็นสตรี ผมยาว ใบหน้าซีดขาว ดวงตาทอประกายกล้ากว่าวิญญาณดวงอื่น สัมผัสได้ถึงพลังงานรุนแรง เจตจำนงชัดเจน

             “เจ้านายคุณอยู่ที่ไหน” ชายหนุ่มใช้น้ำเสียงเดิม

             ฝ่ายนั้นแสยะยิ้มแทนคำตอบ สบนัยน์ตาเขาอย่างไม่เกรง

             “คุยกันดีๆ เถอะ ผมอยากรู้จักเจ้านายคุณ ผมรู้ว่าเขาควบคุมพวกคุณอยู่ และรู้ว่าเขาใช้คุณไปทำอะไรบ้าง...ผมถึงอยากบอกให้เขาหยุด...” ชายหนุ่มพูดยาวกว่าเดิม

             “หยุดดดด...” เสียงย้อนกังวานในหัว ดังก้องทั่วลานดาดฟ้า

             “ฮึ...ฮึ...ฮึ...ฮ่า...ฮ่า...ฮ่า...”

             หลังจากคำนั้น ปิศาจที่เป็นหัวหน้าก็เริ่มหัวเราะ เสียงหัวเราะขบขันแฝงความดูหมิ่นดังรับกันเป็นทอดๆ ระบาดไปทั่วบริเวณ อื้ออึงจนฟังไม่ได้ศัพท์

             ชายหนุ่มสำรวมจิตมั่น นัยน์ตาเพ่งตรงไปยังปิศาจตัวหัวหน้า เป่าลมออกไปเบาๆ

             กริบ!เสียงหัวเราะเงียบกริบฉับพลัน

             ทรงกลดเดินตรงไปหาปิศาจสาว หยุดเท้าเมื่อระยะห่างเหลือเพียงสองก้าว รอยยิ้มเมตตาที่นานครั้งจะผุดขึ้นมาปรากฏบนใบหน้าเขา

             “ตั้งแต่ผมขึ้นมาบนนี้ พวกคุณก็น่าจะรู้ว่าไม่มีทางทำอะไรผมได้ แต่ผมไม่ได้มารังควาน หาเรื่องพวกคุณ อย่างที่คุณทำกับคุณหมอคนนั้น ผมแค่มาถามหาเจ้านายคุณดีๆ โดยไม่ใช้กำลังขู่บังคับ และคิดว่าคนที่มีความสามารถสูงอย่างเจ้านายพวกคุณไม่จำเป็นต้องหลบเร้น ซ่อนตัวหนีหน้าใคร!”

             แม้ทรงกลดพูดเช่นนั้น แต่โดยนัยความหมายต้องการส่งต่อถึงผู้เป็นเจ้านายปิศาจเหล่านี้โดยตรง

             คำตอบของพวกมันคือรอยยิ้มดูแคลน เห็นวาจาเขาไม่ต่างจากลมผ่านหู

             “เจ้านายบอกว่า...” ปิศาจสตรีเอ่ยปาก “เอาตัวเองให้รอดก่อนเถอะ อย่าคิดมีหน้าไปเจอท่านเลย”

             จบคำพูด บรรยากาศรอบกายเปลี่ยนไป เหล่าปิศาจที่หยุดนิ่งต่างเคลื่อนไหวพร้อมกัน ชั่วเวลาพริบตาเดียว ทรงกลดสัมผัสได้ถึงพลังอันเข้มข้นที่เข้ามาเติมให้พวกมันแกร่งกล้าขึ้นอีกเป็นร้อยเท่า

             ปิศาจทั้งหมดโอบล้อมชายหนุ่มเป็นวงซ้อนกันหลายชั้น เสียงนับร้อยดังประสาน กระหึ่มขึ้นมาในหัว

             “ฮืออออ...ฮืออออ...ฮืออออ...”

             เสียงลากยาว ซ้อนประสาน กดดันคนทั่วไปให้คลุ้มคลั่ง เสียสติได้

             ทรงกลดยืนนิ่ง แลเห็นสรรพเสียงเหล่านั้นเป็นเส้นคลื่นละเอียดยิบ นับพัน นับหมื่นเส้น ถูกผสานด้วยอาคมร้าย จู่โจมเข้ามาระลอกแล้วระลอกเล่า แต่ละครั้งที่คลื่นเสียงกระทบถูก บังเกิดอาการชาวาบ ร่างกายอ่อนแรง พลังในตัวลดหายลงเรื่อยๆ

             ชายหนุ่มเพ่งความว่างเบื้องหน้า ริมฝีปากสวดสาธยายมนตร์เบาๆ ปล่อยเป็นเส้นเสียงเล็ก แหลมคม รุนแรง เข้าเสียดแทง ตอบโต้ฝ่ายตรงข้ามอย่างไม่เกรง

             วิ้ว...วิ้ว...วิ้ว...

             ยิ่งนาน เสียงสาธยายมนตร์ยิ่งถี่ยิบ ราวกับเม็ดฝนคมกริบ ซัดสาด ตัดแทรกเสียงกู่ร้องผสานอาคมของเหล่าปิศาจได้

             เมื่อฝ่ายตรงข้ามเห็นว่าไม่อาจใช้เสียงกู่ผสานอาคมทำร้ายเขาได้ มันจึงหยุด เปลี่ยนกลยุทธ์ใหม่ เหล่าปิศาจขยับเคลื่อนตัวหมุนเป็นวงกลมด้วยอาการเงียบงัน สงบนิ่ง

             ทรงกลดไม่ได้มองตามความเคลื่อนไหวของพวกมัน เห็นเพียงปิศาจแต่ละตนเคลื่อนผ่านหน้า แล้วไหลไป...ไหลไป...เป็นวงกลม เสมือนสายน้ำวน ดึงดูดเขาให้จมดิ่งสู่ห้วงภวังค์ ภาวะไร้สติ

             จากนั้นมีเสียงดนตรีแทรกขึ้นมาเบาๆ เริ่มต้นด้วยเครื่องสาย ดีดบรรเลงเพลงท่วงทำนองฟังคุ้นหู ตามด้วยเครื่องเป่าเข้าสอดประสาน กลมกลืน ฟังเป็นเพลงเพลงหนึ่ง

             ท่วงทำนองดนตรีนี้ฟังคล้ายเสียงสวดอ้อนวอน มันอ่อนหวาน ไพเราะ เจือปนด้วยความเหงา เศร้าสร้อยอย่างแยกกันไม่ออก

             ...เพลงอะไรนะ...เพลงอะไร?

             ทรงกลดเผลอปล่อยให้ความสงสัยครอบคลุมใจ เขาเคยได้ยินเพลงนี้นานมาแล้ว มันเป็นเพลงเก่า ทำนองคล้ายบทสวดอ้อนวอน ดนตรีนำด้วยเครื่องสายประเภทกีตาร์ บางเวอร์ชันจะใช้เสียงเครื่องเป่านำ ฟังแล้วรู้สึกฮึกเหิม มีเสียงร้องประสานกลมกลืน แนบเนียน

             พอจิต “หลง” สงสัยในเสียงดนตรี สติก็หลุดหาย ใจวูบระลึกถึงวันเก่าๆ ตามร่องรอยความทรงจำที่ผูกพันกับเสียงดนตรีนั้น...เสียงกีตาร์

             เสียงกีตาร์จากเพลงโฟล์กซองรอบกองไฟ...มันเคยเกิดขึ้นที่ไหนกันนะ?

             ทรงกลดนึกถามตนเอง และได้คำตอบในเวลาต่อมา...



             มันเป็นการออกค่ายอาสาของนักศึกษามหาวิทยาลัย เขาเคยเป็นประธานชมรมนี้มาก่อน ถึงจะเรียนจบ ทำงานแล้ว ก็ยังตามมาช่วยน้องๆ เสมอ

             คืนสุดท้ายของวันออกค่าย ทุกคนซึ่งทำงานที่ตั้งใจเสร็จเรียบร้อย ได้ผลน่าพอใจ ต่างมานั่งล้อมวงรอบกองไฟ พูดคุย ร้องเพลง ผ่อนคลายอย่างสนุกสนาน

             เพลงที่นักศึกษาร้องกัน ไม่ใช่เพลงเดียวกับที่ทรงกลดได้ยินเวลานี้ มีเพียงเสียงกีตาร์เชื่อมโยงให้เขาระลึกถึงเหตุการณ์วันนี้เท่านั้น...

             วันที่เริ่มรู้สึกพิเศษกับผู้หญิงคนหนึ่ง

             หญิงสาวคนนั้นนั่งรวมกลุ่มกับเพื่อนนักศึกษาแพทย์ ร้องเพลงตามเพื่อนๆ ด้วยใบหน้าสดใส ยิ้มแย้ม แสงจากกองไฟจับเสี้ยวใบหน้าเธอดูสวยเด่น ผุดผาด สะดุดตากว่าเพื่อนคนอื่นทุกคน

             ทรงกลดเผลอมองใบหน้าเธอนาน จนรุ่นน้องที่เป็นประธานชมรมคนปัจจุบันหันมากระซิบถาม

             “สนใจเอื้อมันแล้วเหรอพี่กลด” เจ้าตัวพูดพลางหลิ่วตาล้อเลียน

             “อือ...เขาเป็นผู้หญิงที่น่าสนใจนะ”

             ทรงกลดไม่ได้บอกว่า ตนเองสนใจผู้หญิงรุ่นน้องคนนี้ตั้งแต่วันแรกที่เห็น คอยสังเกตการทำงาน บุคลิก นิสัยส่วนตัว เห็นรอยยิ้มที่เธอให้แก่คนป่วย คนไข้ที่มาหา แล้วรู้สึกถูกใจ ถูกชะตา

             “สนใจได้...แต่ถ้าจะจีบน่ะยากหน่อย” ประธานชมรมบอกเขา

             “ทำไม...เขามีแฟนแล้วเหรอ” พูดพลางรู้สึกใจหายวูบ

             “ยังหรอก...ที่สวยขนาดนี้แล้วยังไม่มีแฟนน่ะ เพราะแม่คุณมีน้องชายหน้าดุ ขาโหด เป็นพวกนายร้อยตำรวจ ถ้าใครไม่แน่จริงแล้วแหลมมาจีบเอื้อมันละก็...โดนตีนไอ้เกื้อ น้องชายมันเข้า เป็นกระเจิงทุกราย”

             ประธานชมรมพูดจบก็หัวเราะเบาๆ เป็นเชิงบอกว่า โดนมากับตัวเองแล้ว

             “แล้ว...ถ้าแน่จริงล่ะ” ทรงกลดถาม สายตาไม่ละจากหญิงสาว

             “พี่กลดก็ต้องเสี่ยงดู ว่าผ่านด่านไอ้เกื้อได้มั้ย...ถ้าเอาชนะตีนเบอร์สี่สิบสามของมันได้ ผมว่าทางน่าจะสะดวกละพี่”

             ทรงกลดยิ้มรับ ไม่พูดออกตัวหรือโอ้อวด ในเวลาต่อมาเขาจึงเข้าใจ “ทีเกื้อ” น้องชายเอื้อกานต์ ไม่ต้องการแค่คนที่ “แน่จริง” แต่เขาต้องการผู้ชายที่จริงใจและเข้มแข็งพอ ถึงจะยอมให้คบกับพี่สาวตนเองได้

             เขาผ่านด่านทีเกื้อ พิสูจน์ตัวเองจนเอื้อกานต์เปิดใจ ยอมรับ เส้นทางความรักสวยงาม ราบรื่น จนกระทั่งเกิดอุบัติเหตุในชีวิต...อุบัติเหตุที่ทำให้เขากลายเป็นอีกคน...ที่ไม่เหมือนเดิม ไม่กล้าพบเธออีกต่อไป



             บางสิ่งในจิตกระตุกเตือนสติให้ทำงาน หลุดออกจากมนตร์คีตาที่ชักพาเขาไหลล่วงสู่ความทรงจำในอดีต

             ทรงกลดเห็นฝูงปิศาจรุมล้อมเข้ามาใกล้ ห่างไม่ถึงคืบ หากรู้สึกตัวช้ากว่านี้อีกสักนิด พวกมันจะครอบงำสติและความรู้สึกเขาได้แล้ว

             ชายหนุ่มจ้องพวกมันด้วยนัยน์ตาเข้มคมกล้า แผ่อำนาจจิตรุนแรงออกไปเป็นเกราะคุ้มตัว ส่งผลให้พวกมันถอยร่นกระเจิดกระเจิง

             เสียงดนตรีและบทเพลงยังบรรเลงอ่อนเอื่อย ทว่าไม่อาจชักจูงจิตใจทรงกลดได้อีก เขาขยับริมฝีปาก ท่องอาคมสองสามคำ เพลงนั้นก็เงียบไป เหลือเพียงสายลมแผ่วผิว สงบงัน

             ทันใดนั้น คล้ายได้ยินเสียงสั่งพิเศษ เหล่าปิศาจที่หลงเหลือต่างเลือนหาย หลบเร้น หนีไปอย่างรวดเร็ว

             ทรงกลดหันไปทางหัวหน้าปิศาจ เพ่งสายตาสะกดมันไว้ ไม่ยอมให้หนีหาย เขาต้องเค้นถามหาร่องรอยผู้ทรงอาคมจากมันก่อน ไม่งั้นจะยากแก่การติดตาม

             ขณะเขาเพ่งสะกด ก็มีพลังอันเข้มแข็งเข้ามาต่อต้าน พยายามดึงปิศาจสาวตนนั้นออกไป ทรงกลดไม่ยอมแพ้ หักหาญพลังไร้ที่มาอย่างเต็มกำลัง!







บทที่ ๖



             แรงที่ดึงไปกับแรงรั้งกลับไม่ทำให้ปิศาจสาวตรงกลางสะทกสะท้าน หนำซ้ำใบหน้ายังปรากฏรอยยิ้มเย้ยหยัน หมิ่นแคลน

             ทรงกลดใช้ปลายนิ้ววาดลูกกรงกลางอากาศ แล้วดึงลงมาครอบปิศาจสาวตนนั้น แต่เพียงพริบตาเดียวก็มีพลังลึกลับจากภายนอกทำลายกรงอาคมของเขาจนแหลกลาญ

             “ฝีมือแค่นี้คิดหาญสู้กับเจ้านายฉันรึ” เสียงปิศาจก้องในหัว

             ชายหนุ่มเกิดโทสะขึ้นวูบหนึ่ง ดันฝ่ามือแผ่พลังร้อนเข้มข้นกดดัน กำราบปิศาจตนนั้น ทว่าพลังกลับหายวูบไร้ร่องรอย ทำให้อาคมที่ฉุดรั้งมันไว้อ่อนกำลังลง

             “ฮ่ะๆๆ...” เสียงหัวเราะขบขันดังสองสามคำ ก่อนร่างปิศาจจะเลือนหาย ไม่เหลือกลิ่นอายให้ติดตาม

             ทรงกลดยืนคว้างกลางดาดฟ้าโล่ง สายลมเย็นชืดพัดผ่านดังจะเยาะหยัน ความวังเวงส่งเสียงครอบคลุมกระจายทั่ว กู่ก้องประกาศชัย

             ไม่มีใคร...ไม่เหลือกลิ่นอาย รอยทางใดๆ ให้ติดตาม...ไม่มีกระทั่งผีสักตัว

             นับจากสำเร็จวิชา อีกทั้งเคยฝึกฝนเฉพาะตัวแบบพิเศษ เข้มข้น เคี่ยวกรำ จนมั่นใจว่าตนมีอาคมขั้นสุดยอด ทรงกลดคิดว่าโลกนี้นอกจาก ฮันเตอร์ คิม แล้ว ไม่มีใครใช้มนตราอาคมได้โดดเด่นล้ำหน้าเกินเขา

             ไม่อยากเชื่อ “เจ้านาย” ของปิศาจพวกนี้กลับมีเวทมนตร์ประหลาด สามารถสกัดกั้น หาจังหวะ ช่องว่าง จู่โจมจนเขาพลาดพลั้งหลายครั้งติดกัน

             เหตุใดเจ้านายพวกมันถึงรู้จักวิชาอาคมของเขาดีขนาดนี้...รู้จักดีจนยากทำอะไรกับสมุนของมันได้

             ทรงกลดยืนสงบนิ่ง ตั้งหลัก รวบรวมสมาธิ ก่อให้เกิดกำลังจิตกล้า เตรียมแผ่ออกเป็นวงแหวนกว้างที่สุด เพื่อตะครุบหาร่องรอย ทิศทางหลบหนีของปิศาจเหล่านั้น

             ยังไม่ทันแผ่พลังจิตระลอกแรกออกไป สัมผัสพิเศษบอกให้รู้ มีอาคันตุกะกรายมาใกล้...ใกล้จนสามารถลอบทำร้ายเขาได้โดยไม่ทันตั้งตัว

             คนที่มีความสามารถเช่นนี้มีไม่มากนัก

             ชายหนุ่มหันไปยังทิศที่รับรู้ถึงการมาเยือน มองเห็นร่างสูงใหญ่ของชายวัยกลางคน ใบหน้าเรียบ จืด ไร้ความรู้สึก จอนผมหงอกขาวโพลน ดวงตาเปล่งประกายบ่งบอกอำนาจจิตลึกซึ้ง แรงกล้า เกินหยั่งถึง

             ทรงกลดรู้ว่าชายวัยกลางคนนี้สวมหน้ากากหนังอย่างแนบเนียน หน้ากากหนังที่ไม่มีใครทำเลียนแบบได้

             ชายหนุ่มคุกเข่าลง ก้มศีรษะแสดงความเคารพต่อบุคคลผู้อยู่เบื้องหน้า

             นี่คือ ฮันเตอร์ คิม...อาจารย์ผู้ประสิทธิประสาทวิชาอาคม และผู้มีพระคุณช่วยชีวิต ให้เขารอดจากความตาย



(โปรดติดตามต่อฉบับหน้า)



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP