วรรณกรรมนำใจ Lite Literature

ระบำเวท ๕


cover rabamvej

ชลนิล




(ต่อจากฉบับที่แล้ว)



             ดวงอาทิตย์โผล่พ้นขอบฟ้าทีละน้อย มองจากระเบียงคอนโดฯ ไปสุดสายตา เห็นปลายแสงระเรื่อจับขอบฟ้าไกล

             เอื้อกานต์มองจุดสว่างตรงปลายฟ้า จิตจดจ่อด้วยความรู้สึกเบาสบาย...เป็นสุข ครู่หนึ่งจึงค่อยหลับตาลง ระลึกถึงแสงสว่างนั้นเป็นอารมณ์ ส่งผลให้จิตสว่างจ้า ตั้งมั่น แน่วนิ่ง

             ครู่หนึ่ง แสงสว่างในนิมิตหรี่ลง จิตค่อยถอนจากความสงบออกมา เปลี่ยนเป็นกำหนดนิมิตภายในร่างกายตนเอง แล้วใช้จิตเข้าไปสำรวจดูอวัยวะส่วนต่างๆ อย่างชำนาญ คุ้นเคย

             การฝึกฝนเช่นนี้มีส่วนช่วยให้พลังในการรักษาโรคมีกำลังกล้าแข็งมากขึ้น จิตใจมีความสุขที่ได้ไล่ดูเส้นเอ็น เส้นเลือด อวัยวะต่างๆ ทำให้เห็นความจริงในร่างกายชัดเจน สามารถใช้มันตรวจสอบ รักษาอาการป่วยของคนไข้บางรายได้

             ดวงอาทิตย์ลอยสูง แสงสว่างจัดจ้าจนไม่อาจลืมตามองตรงๆ จิตเอื้อกานต์ถอนจากการฝึกฝนสู่ภาวะปกติ มีความคิดฟุ้งซ่านผ่านไปมาเหมือนคนทั่วไป

             ความคิดแรกที่จิตระลึกถึง เป็นเรื่องราวเมื่อคืน ตอนหมอหมากถามถึงพลังพิเศษที่เธอใช้รักษาคนป่วยรายล่าสุดวันก่อน เอื้อกานต์แทบไม่อยากเชื่อ คุณหมอคนนี้สามารถมองเห็นกระแสพลังของตน เส้นสีขาวที่เธอสัมผัสรับรู้มันด้วยใจ

             ที่แปลกใจกว่านั้น เขาบอกว่าน้องชายฝาแฝดของเขาที่เสียชีวิตไป ก็มีพลังเช่นนี้ หนำซ้ำยังล้ำหน้ากว่าเธอ แทบเทียบเท่ามือของพระเจ้าที่เป็นตำนานร่ำลือกันว่า...เพียงสัมผัสก็รักษาโรคได้ทุกโรค

             เอื้อกานต์ชวนเขามานั่งคุยตรงระเบียง จุดที่เธอกับน้องชายมักใช้เป็นที่พูดคุยปรึกษาปัญหาต่างๆ

             หมอหมากเป็นฝ่ายเริ่มต้นเล่า...ตั้งแต่พลูอายุสิบขวบก็สามารถรักษาลูกหมาถูกรถชน จากนั้นพลูก็คอยแอบช่วยเหลือรักษาคนรอบๆ ตัวโดยไม่ให้ใครรู้ แบบเดียวกับพวกฮีโร่สวมหน้ากาก วีรบุรุษของเด็กผู้ชายทั่วไป

             กระทั่งคนสุดท้ายที่เขาช่วย คือพี่ชายฝาแฝดของตัวเอง ตอนเกิดอุบัติเหตุรถตกเขาเมื่ออายุเกือบสิบห้าปีเต็ม

             หมอหมากพูดถึงความรู้สึกผิดในใจที่ยอมให้น้องชายรักษาเขาก่อน จนอีกฝ่ายไม่เหลือพลังไว้รักษาตนเอง ความรู้สึกผิดนี้ทำให้เขาตั้งใจใช้ชีวิตแทนพลู ทำทุกสิ่งที่พลูอยากทำ เรียนหมอ พยายามฝึกฝนเพื่อเป็นหมอที่เก่งที่สุด และออกไปช่วยเหลือคนเจ็บคนป่วยที่ลำบากในที่ที่ไม่มีใครกล้าเข้าไป

             เขาเชื่อว่า ถ้าพลูยังอยู่ พลูต้องทำแบบนี้ อาจทำได้ดีกว่าเขาด้วยซ้ำ

             ‘คุณมีชีวิตเพื่อน้องชาย...ทำทุกอย่างตามที่น้องชายคุณฝันไว้ แล้วความฝัน ความต้องการของคุณเองล่ะ...คุณไม่เคยคิดจะมีชีวิตอยู่เพื่อตัวเองบ้างหรือคะ’ เอื้อกานต์อดถามไม่ได้

             ‘การใช้ชีวิตแทนพลู เป็นความต้องการของผม’ หมอหมากตอบ ก่อนรีบเปลี่ยนประเด็น ‘แล้วหมอเอื้อล่ะ ทำไมคุณถึงรักษาแบบนั้นได้’

             ‘ไม่ทราบค่ะ” เอื้อกานต์ตอบง่าย “เอื้อมีพลังอย่างที่คุณเห็นมาตั้งแต่เด็ก น่าจะอายุน้อยกว่าพวกคุณตอนนั้นอีก ก็เลยไม่สนใจว่าได้มาเพราะอะไร คิดง่ายๆ แค่ว่า...เมื่อได้มาแล้ว เราควรใช้มันอย่างไรมากกว่า”

             จากนั้นเอื้อกานต์ก็เล่าถึงประสบการณ์วัยเด็กที่รู้จักพลังการรักษานี้เป็นครั้งแรก...

             ตอนนั้นทีเกื้อ น้องชายฝาแฝด ตกต้นไม้หัวเข่าหลุด เจ้าตัวไม่ยอมให้ไปบอกแม่ เพราะกลัวโดนตีซ้ำ เอื้อกานต์เห็นสภาพน้องแล้วเกิดความสงสาร อยากหาทางช่วย จู่ ๆ พลังนั้นก็เกิดขึ้นมาโดยไม่ตั้งใจ ไม่รู้สาเหตุ เธอมองทะลุเนื้อหนังของน้องได้เหมือนเครื่องเอกซเรย์ และเพียงแค่ใช้มือสัมผัส จิตใจนึกอยากช่วยเหลือ ก็มีพลังในกายไหลออกไปช่วยดึงกระดูกหัวเข่าทีเกื้อจนเข้าที่ เยียวยาเส้นประสาทที่ตีบตันให้คลี่คลาย หายจากอาการเจ็บปวด

             หลังจากนั้นสองพี่น้องต่างเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับ เหมือนซ่อนสมบัติล้ำค่าไว้ไม่ให้ใครรู้ สนุกที่ได้แอบช่วยเหลือคนอื่น เพียงแต่เส้นทางความฝันสองฝาแฝดต่างกัน เอื้อกานต์อยากเป็นหมอ ทีเกื้ออยากเป็นตำรวจ เมื่อโตขึ้นมาทั้งคู่จึงค่อยห่างกันเช่นในเวลานี้

             ช่วงเวลาค่ำคืนผ่านไปรวดเร็ว สองหนุ่มสาวมีเรื่องราวมากมายพูดคุยกัน ราวกับได้เจอเพื่อนสนิท คนคุ้นเคย ที่พลัดพรากกันมาแรมปี...

             กลุ่มก้อนความคิด ความทรงจำ เลื่อนผ่าน เอื้อกานต์ลืมตาขึ้น เห็นดวงอาทิตย์ลอยสูง แสงจัดจ้า รอยยิ้มน้อยๆ แต้มบนใบหน้าหญิงสาว ความรู้สึกอบอุ่นปรากฏในใจ คล้ายกับว่าบนเส้นทางชีวิตแสนประหลาดนี้...เธอได้พบเพื่อนร่วมทางที่พาให้อบอุ่นหัวใจ



             บนระเบียง สูงขึ้นไปอีกสองชั้น

             หมอหมากออกมายืนรับอรุณไล่เลี่ยกับเอื้อกานต์ หนำซ้ำยังมายืนตรงจุดเดียวกันโดยไม่ได้นัดหมาย

             ยามดวงอาทิตย์กำลังระเรื่อด้วยแสงแรกของตะวัน ชายหนุ่มยืนทอดสายตา มือล้วงกระเป๋าด้วยความรู้สึกปลอดโปร่ง สบาย จิตแนบกับแสงสว่างตรงหน้าอย่างมีความสุข หลับตาลง กำหนดดวงสว่างเป็นนิมิต จิตเคล้าเคลียกับแสงสว่างภายในจนเกิดความตั้งมั่น สามารถนึกกำหนดย่อ หรือขยายดวงสว่างนั้นได้ตามใจ

             การสื่อสารกับพลูต้องใช้สมาธิ โดยอาศัยแสงสว่างเหนี่ยวนำให้เกิดความสงบ มีกำลัง หมากจึงมักใช้เวลาช่วงเช้ามายืนจับจ้องแสงสว่างจากขอบฟ้า กำหนดดวงสว่างเป็นอารมณ์ ฝึกฝนโน้มนำให้จิตเกิดความสงบ ตั้งมั่นจนชำนาญ คุ้นเคย

             ไม่นานนัก กำลังสมาธิคลายตัว จิตถอนจากความสงบ เรื่องราวที่คุยกับเอื้อกานต์เมื่อคืนย้อนเข้ามาในหัว

             เป็นครั้งแรกที่หมากยอมเล่าเรื่องความสามารถของพลูต่อบุคคลที่สาม

             การรักษาคนอื่นด้วยพลังพิเศษของพลู เป็นความลับระหว่างสองฝาแฝด ซึ่งเจ้าตัวไม่เข้าใจว่าเหตุใดถึงไม่ต้องการให้คนอื่น แม้กระทั่งคนในครอบครัวอย่างพ่อแม่ พี่สาวได้รับรู้

             มันคล้ายกับว่า ถ้ามีใครรู้ความลับนี้ ความสามารถในการรักษาจะหายไป...มันเป็น ‘พร’ ที่ได้มาเฉพาะตัว รู้กันแค่สองคน...สองฝาแฝด ซึ่งเป็นเสมือนคนคนเดียวกัน

             พลังนั้นเกิดขึ้นตอนพลูอายุได้สิบขวบ...

             เริ่มจากพลูป่วยหนัก เป็นไข้นอนซม กินยาวันสองวันยังไม่หาย ต้องส่งโรงพยาบาล หมากร้องตามน้องชายไปด้วยทั้งที่พ่อแม่ห้าม

             คืนที่อาการพลูเข้าขั้นโคม่า อยู่ระหว่างความเป็นความตาย หมากนั่งเฝ้าอยู่ข้างเตียง กำมือพลูไว้แน่น พ่อแม่ พี่สาว นั่งอยู่ไม่ห่าง ช่วงเวลานั้นหมากเฝ้าอธิษฐาน ขอร้องต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์เท่าที่จะคิดได้ ขอให้มาช่วยพลู ขอให้พลูรอดชีวิต เขาจะยอมทำทุกอย่างเท่าที่ทำได้ ยอมแลกทุกอย่างเท่าที่มี เพื่อให้พลูรอดชีวิต

             หมากพร่ำภาวนาเช่นนั้นทั้งคืนโดยไม่ยอมปล่อยมือ ไม่สนใจคนอื่นรอบตัว

             กลางดึก ขณะที่คนอื่นผล็อยหลับอย่างอ่อนเพลีย หมากครึ่งหลับครึ่งตื่น รู้สึกถึงความร้อนที่เชื่อมต่อระหว่างมือเขากับพลู ความร้อนนั้นส่งกระแสอันอบอุ่นมาให้เขาและพลูอย่างช้าๆ แล้วมันก็ไหลวนเวียนไปมาระหว่างร่างกายพวกเขาทั้งสอง

            กระแสอบอุ่นเข้าไปรวมตัวที่กึ่งกลางอกของหมากจนเต็ม แล้วไหลผ่านฝ่ามือไปยังกึ่งกลางอกของพลู อีกครู่หนึ่ง พลังจากพลูก็ถูกส่งกลับมายังหมาก...ส่งกลับไปกลับมาเช่นนี้หลายรอบจนความอบอุ่นซาบซ่านไปทั่ว ร่างกายเบาหวิว เหมือนล่องลอยอยู่กลางอวกาศ

             สายธารพลังประหลาดไหลเวียนไปมาระหว่างสองฝาแฝดรอบแล้วรอบเล่า หลอมรวมทั้งสองจนกลายเป็นร่างและวิญญาณเดียวกัน สามารถรู้สึก รับรู้ในสิ่งเดียวกัน

             เวลาผ่านไปนานเท่าใดยากจะบอก ความรู้สึกหลอมรวมเป็นหนึ่งค่อยถูกแยกออกเป็นสอง พลังประหลาดปรากฏเป็นแสงสว่างสีขาวถูกเกลี่ยแบ่งมาให้ทั้งสองเท่าๆ กัน

             หมากไม่ได้ลืมตา แต่แลเห็นภายในร่างพลูชัดเจน เห็นเส้นเอ็น เส้นเลือดติดขัด ดูเป็นสีแดงด้วยพิษไข้ อวัยวะบางส่วนก็ยังมีความร้อนเกินปกติ

             ด้วยความเข้าใจของเด็กวัยนั้น เขาบอกตนเองว่า...พลูยังไม่หายป่วย หากจะช่วยรักษา เขาต้องใช้พลังพิเศษที่เพิ่งมี ถ่ายโอนไปให้พลูจนหมดสิ้น

             ...เอาสิ...ให้เลย...

             หมากไม่ลังเลสักนิดที่จะถ่ายทอดพลังอันสว่าง แสนอบอุ่นทั้งหมดนั้น ให้แก่น้องชาย

             ทันทีที่คิด ตั้งใจมั่น ความสว่างในตัวก็ถูกบีบเป็นเส้นสว่างใส ไหลออกทางฝ่ามือ พุ่งตรงไปรวมยังกึ่งกลางอกพลูจนหมดสิ้น

             หมากเห็นพลูสว่าง งดงาม ฉายรังสีเรื่อเรืองเกินอธิบาย ในใจเขามีรอยยิ้ม...ยินดี ไม่สนใจว่าตนเองได้สูญเสียอะไรไป รู้แค่พลูปลอดภัย เท่านั้นพอ...

             รุ่งเช้า อาการป่วยของพลูหายเป็นปลิดทิ้ง หมอที่รักษาถึงกับแปลกใจ จากผู้ป่วยอาการโคม่า โอกาสรอดห้าสิบ-ห้าสิบ กลับฟื้นตัวรวดเร็วภายในคืนเดียว

             ไม่มีใครรู้สาเหตุที่เด็กสิบขวบรอดตายราวปาฏิหาริย์ สองพี่น้องรู้กันแค่สองคน ไม่ยอมปริปากบอกใคร

             หลังพลูออกจากโรงพยาบาล ใช้ชีวิตปกติ ไปโรงเรียน เที่ยวเล่นตามประสาได้ไม่กี่วัน ก็เกิดเหตุที่ทำให้พบว่าตนเองไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว

             ขณะกลับจากโรงเรียน สองพี่น้องพบลูกหมาตัวน้อยถูกรถชน นอนกลิ้งอยู่ข้างทาง อาการร่อแร่ ลมหายใจรวยริน ถึงทั้งคู่จะเป็นเด็กแสบเด็กซนในสายตาผู้ใหญ่ หากเนื้อใจพวกเขาก็มีความกรุณา เมตตาต่อคนและสัตว์ที่อ่อนแอกว่า

             “ทำไงดีล่ะหมาก” พลูนั่งยองๆ ดูลูกหมาน้อยด้วยใจอยากช่วยเหลือ

             “อุ้มมันไปหาหมอที่คลินิกในตลาดมั้ย” หมากเสนอ

             “ถ้าเขาคิดค่ารักษาแพง ย่าจะยอมจ่ายเหรอ” พลูเป็นห่วง นึกถึงใบหน้าดุๆ ของคุณย่าได้

             “อุ้มมันไปก่อนเหอะ เรื่องอื่นค่อยว่ากัน” หมากตัดสินใจเร็ว รู้ว่าหากชักช้า ลูกหมาอาจไม่รอด

             พลูก้มลงไปอุ้มเจ้าหมาน้อยมากอดแนบอกอย่างไม่รังเกียจ ขณะมือสัมผัสร่างสุนัขเคราะห์ร้าย หน้าอกสัมผัสขนนุ่มๆ สายตาสบกับดวงตาใสๆ ของลูกหมาที่มองมาอย่างเว้าวอน จิตใจบังเกิดความเมตตาสงสารท่วมท้น เกิดความตั้งมั่นขึ้นกลางอกโดยไม่เจตนา

             เด็กชายใช้มือลูบศีรษะเจ้าหมาน้อยเบาๆ พลังอันอบอุ่นจากภายในใจไหลรินออกไปสู่ร่างที่หายใจรวยริน ปรากฏเป็นลำแสงสีขาวเบาบางฉายครอบคลุมร่างลูกหมาน้อย

             ความสว่างใสเช่นนี้ มีแค่สองพี่น้องมองเห็น

             หมากยืนดูพลูกับหมาน้อยในอ้อมแขนด้วยสายตาประหลาดใจแกมตื่นตะลึง จนเวลาผ่านไป แสงสว่างที่เห็นเฉพาะตัวดับหาย มีเสียงสุนัขตัวน้อยเห่าเบาๆ มาแทน

             “บ๊อก...บ๊อก...”

             หมาน้อยที่นอนหายใจรวยริน กลับมามีชีวิตอีกครั้ง มันเลียมือพลูแทนคำขอบคุณ พอเด็กชายวางมันลงกับพื้น เจ้าตัวเล็กก็วิ่งรอบสองพี่น้องอย่างร่าเริง ก่อนมานั่งกระดิกหางตรงหน้า มองตาแป๋ว

             “เกิดอะไรขึ้นน่ะพลู” หมากถาม

             “พลูรักษามันเอง...พลูทำได้ รักษามันได้จริงๆ ด้วย” พลูตอบอย่างมั่นใจ

             นั่นคือครั้งแรกในการใช้พลังพิเศษ สองพี่น้องไม่สนใจ...พลังนี้มาจากไหน ได้มาอย่างไร หมากไม่คิดอิจฉาน้องที่มีความสามารถมากกว่าตน หนำซ้ำยังคอยปกป้อง แนะนำไม่ให้พลูเปิดเผยความลับนี้ต่อใคร

             “ทำไมล่ะ” พลูสงสัย

             “ก็อย่างในทีวีไง...เวลามีใครทำอะไรที่พิเศษแบบนี้ จะมีคนแห่มาขอให้ช่วย วุ่นวายไปหมด เดี๋ยวพ่อแม่เดือดร้อน ไอ้ข้าวมันก็จะบ่นว่าพวกเราสร้างปัญหาอีก...ไม่เคยเห็นในทีวีเหรอ บางคนถึงกับต้องย้ายบ้านหนีเลย”

             “จริงสิ...งั้นเราจะทำยังไงดีล่ะ” พลูถาม

             “ก็คอยแอบช่วยเหลือคนอื่นเงียบๆ ไม่ให้ใครรู้แบบพวกฮีโร่ไง...เท่จะตาย” หมากเสนอแนะ

             “ดีเนอะ...แบบนั้นเท่จริงๆ ด้วย อย่างพวกยอดมนุษย์ที่เขาใส่หน้ากากกัน ดีจัง...เราเป็นฮีโร่ด้วยกันนะ” พลูไม่เคยลืมพี่ชาย

             หมากยิ้มรับ รู้สึกดีใจและสนุกไปกับน้องชาย โดยไม่อาจรู้เลยว่า ช่วงเวลาเป็นฮีโร่ของพวกเขาจะแสนสั้น...เพียงแค่ห้าปี

             อีกทั้ง...คนสุดท้ายที่พลูช่วยเหลือ กลับเป็นพี่ชายตนเอง



             แดดเริ่มจัด หมากระบายลมหายใจยาว ลืมตาขึ้นมา ก่อนนั่งบนเก้าอี้ เหยียดขาเพื่อคลายความเมื่อยขบ จิตใจเอิบอิ่ม เต็มสุขจากกำลังสมาธิ

             ชั่วเวลาไม่นาน ใจวกไปคิดถึงการพูดคุยกับเอื้อกานต์เมื่อคืน...

             เขาเล่าวีรกรรมทุกอย่างเกี่ยวกับพลูให้เอื้อกานต์ฟังอย่างที่ไม่เคยบอกกับใครมาก่อน ตั้งแต่วันแรก...จนถึงวันสุดท้าย

             “ถ้าเขาไม่ช่วยผม...จนตัวเองตาย โลกเราจะมีหมอเทวดาจริงๆ” หมากพูดพลางถอนใจ

             “เรื่องบางเรื่อง ความต้องการของเราเข้ามากำหนดไม่ได้หรอกค่ะ” เอื้อกานต์ตอบ “บางทีโลกนี้อาจไม่คู่ควรพอที่จะมีหมอวิเศษอย่างคุณพลูก็ได้ ถึงทำให้เขาอายุสั้นขนาดนี้”

             “โลกเราไม่คู่ควรกับคนดีๆ อย่างพลูจริงหรือหมอเอื้อ” เป็นคำถามกึ่งประชด

             “เอื้อคิดเอาเองนะ ถ้าคุณพลูยังอยู่ถึงวันนี้ ต่อให้ปกปิดความสามารถยังไงคนอื่นก็ต้องรู้...อย่างเอื้อเองถึงจะมีพลังพิเศษ ก็ยังไม่สามารถรักษาได้ทุกคน ที่ช่วยแล้วเสียชีวิตก็มี เลยพอจะปกปิดได้ แต่ถ้าหมอพลูรักษาคนไข้ทุกคนหายขาดหมด ไม่ว่าโรคอะไร อาการแบบไหน คุณไม่คิดหรือคะว่าจะต้องมีเสียงร่ำลือ บอกต่อกัน แล้วชีวิตเขาจะวุ่นวายขนาดไหน ทั้งคนมาอ้อนวอนขอให้รักษาเป็นหมื่นเป็นแสน ทั้งพวกที่หวังมาหาผลประโยชน์อีกตั้งเท่าไหร่ เอื้อว่าชีวิตเขาต้องไม่มีความสุขแน่ๆ ...ที่จริง แค่ห้าปีที่เขาได้ช่วยเหลือผู้คน โดยเฉพาะช่วยพี่ชายที่เขารัก...เอื้อว่า คุณพลูเขาต้องเห็นว่ามันคุ้มค่า...เพียงพอแล้วจริงๆ”

             “ช่วยเหลือคนอื่นจนตัวเองต้องตาย มันคุ้มค่าตรงไหน” หมากตั้งคำถามจากปมที่ค้างคาใจ

             “ตอนที่หมอหมากช่วยรักษาคนในที่ลำบาก กันดาร บางครั้งในเขตสงครามที่ไม่ค่อยมีใครกล้าไปถึง หมอเคยคิดถึงความคุ้มค่ามั้ยคะ” เอื้อกานต์ตั้งประเด็นถามคืน

             “ไม่” ชายหนุ่มตอบ “ผมแค่ช่วยรักษาอย่างดีที่สุด เท่าที่คิดว่าพลูมันจะทำ...เท่านั้นเอง”

             “นั่นสิ...ตอนที่เรารักษาใคร ก็หวังให้เขาหายเจ็บปวด พ้นจากความทุกข์ทรมาน ถึงแม้หมอจะทำแทนคุณพลู แต่เวลาที่คุณผ่าตัด รักษาคนไข้จนหาย คุณรู้สึกสุขใจ หัวใจอิ่มเต็มหรือเปล่าคะ”

             “ครับ” หมากตอบตามความรู้สึกจริง “เวลารักษาคนป่วยได้สำเร็จ ผมมีความสุขจริงๆ ยิ่งได้ไปช่วยคนในพื้นที่ห่างไกล ทุรกันดาร อันตราย ที่ที่ไม่มีใครยอมเข้าไป ยิ่งรู้สึกว่าเรามีคุณค่า แต่การที่จะรักษาคนอื่นได้ หมออย่างเราก็ควรป้องกัน รักษาตัวเองให้ดีก่อนไม่ใช่หรือครับ”

             ชายหนุ่มวกกลับมายังประเด็นที่ติดค้างในใจ

             เอื้อกานต์จ้องเข้าไปในดวงตาของเขา มองลึกถึงหัวใจที่ถูกพันธนาการด้วยความคิด ความต้องการลงโทษตัวเอง ดวงตาของเธอฉายแววอ่อนโยน ทอประกายอบอุ่น จนคนอยู่ใกล้สัมผัสได้

             เธอรู้ว่าผู้ชายคนนี้มีปมอยู่ตรงไหน และหากจะช่วยเขา ควรชี้ทางคลี่คลาย

             “หมอคะ...คนที่จะมีพลังพิเศษอย่างคุณพลูได้ เขาย่อมต้องมีจิตใจที่พิเศษกว่าใคร มีความรัก ความเมตตากรุณากว้างขวางกว่าคนอื่น ถ้าเขารู้ว่ามีทางใดสามารถช่วยเหลือผู้อื่นให้พ้นทุกข์ เขาก็จะทำโดยไม่รั้งรอเลย”

             คำพูดหญิงสาวทะลุกลางใจชายหนุ่ม ช่วยเปิดม่านบางๆ ที่ปกคลุมใจมานานให้คลี่คลาย ถึงกระนั้น...สิ่งที่ติดค้างก็ยังมี

             มันเป็นคำถามที่เขาพยายามหาคำตอบมาเกือบยี่สิบปี

             “แม้ว่า...การช่วยเหลือผู้อื่นนั้น...” ถ้อยคำขาดหาย ก่อนเจ้าตัวจะเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงเข้มชัด “จะต้อง...เอาชีวิตตัวเองเข้าแลก...อย่างนั้นหรือ?”

             เอื้อกานต์ยิ้ม เป็นรอยยิ้มสว่างไสวอย่างยิ่ง สว่างจนสามารถเข้าไปขับไล่หมอกมัวในใจชายหนุ่มตรงหน้าให้กระจ่างใส ไม่มีขุ่นฝ้า

             “หากใครสักคนได้สัมผัสความสุขจากการเป็น ‘ผู้ให้’ อย่างแท้จริง ความสุขเช่นนั้น...มันคุ้มค่าอย่างยิ่ง...แม้จะต้องเอาชีวิตตัวเองเข้าแลกก็ตาม!”

             หมอหมากนิ่งอั้น พูดอะไรไม่ออก ดวงตาคมที่สานสบดวงตาของหญิงสาวตรงหน้าฉายชัดถึงความเข้าใจ

             หากเป็นคนอื่นพูดเช่นนี้ เขาอาจไม่เชื่อสนิทใจ แต่ผู้หญิงคนนี้มีพลังพิเศษใกล้เคียงน้องชายเขา ทั้งยามอยู่ใกล้ชิดกัน จิตใจเขายังซึมซับความอบอุ่นอ่อนโยนจากพลังความรัก ความเมตตาของเธอ ได้ชัดเจนจับใจ...

             หมอหมากเงยหน้ามองท้องฟ้าที่กระจ่างใสในเวลารุ่งอรุณเช่นนี้ จิตใจระลึกถึงเธอ...

             เอื้อกานต์...ผู้หญิงคนนี้ไม่ได้มีดีแค่ความสวย มันสมอง หรือกระทั่งพลังวิเศษ เธอยังมีหัวใจอันกว้างขวาง อบอุ่นเป็นพิเศษกว่าใคร เป็นผู้หญิงที่เมื่อได้อยู่ใกล้...ทำให้เขาไม่อยากหนีไปไหน...ให้ไกลจากเธอ



             เอื้อกานต์มองสร้อยข้อมือลูกปัดที่ผกาแก้ว คนป่วยของเธอยื่นให้ ด้วยอาการลังเล ไม่แน่ใจ ไม่รู้ควรทำอย่างไรดี

             “อย่าเกรงใจไปเลยค่ะคุณหมอ ถือเสียว่าแทนคำขอบคุณที่หมอช่วยชีวิตฉันไว้”

             “การรักษาคนป่วยเป็นหน้าที่ของหมออยู่แล้วนะคะ” คุณหมอพยายามบอกปัด

             “ขอร้องล่ะค่ะคุณหมอ อย่าให้เสียน้ำใจเลย ดิฉันตั้งใจให้คุณหมอจริง ๆ” ผกาแก้วคะยั้นคะยอ

             วันนี้ ผกาแก้ว คนป่วยอาการหนักเมื่อสองสามวันก่อน หายป่วย ออกจากโรงพยาบาลได้แล้ว เธอบอกพยาบาลว่าอยากพบคุณหมอที่ช่วยชีวิตเธอไว้ พยาบาลจึงตามเอื้อกานต์มาให้ พอพบหน้ากัน ผกาแก้วก็เอ่ยขอบคุณ แล้วยื่นสร้อยข้อมือลูกปัดใสมาให้ ขอร้องให้เธอรับไว้แทนคำขอบคุณ

             เอื้อกานต์รักษาคนป่วยไม่ได้หวังสิ่งตอบแทนอยู่แล้ว แต่ก็ไม่รู้จะปฏิเสธอย่างไรในเมื่อคนไข้มีความตั้งใจแรงกล้าขนาดนี้

             “หมอรับแค่น้ำใจดีกว่านะคะ...ขอบคุณมากจริงๆ” เอื้อกานต์หาทางเลี่ยง

             “นะคะคุณหมอ...คุณหมอไม่ได้ช่วยชีวิตฉันอย่างเดียว คุณหมอยังช่วยรับฟังเรื่องของฉันอีก...แถมยังช่วยปกปิด ‘เรื่องนั้น’ ไม่ให้คนอื่นรู้ด้วย”

             ‘เรื่องนั้น’ ของผกาแก้ว คือน้ำกรดร้ายแรงในกระเป๋าถือซึ่งเตรียมไว้สาดใส่หน้าเมียน้อยสามี เอื้อกานต์เห็นว่าเธอยังไม่ได้ทำผิดอะไร อีกทั้งป่วยหนักขนาดนี้ จึงไม่นำเรื่องไปบอกตำรวจ ไม่อยากให้ปัญหาลุกลามใหญ่โต

             “ถ้าคุณผกาแก้วอยากตอบแทนหมอ...หมอขอเป็นอย่างอื่นได้มั้ยคะ” เอื้อกานต์นึกหาทางออกได้

             “คุณหมออยากได้อะไรคะ”

             “หมออยากให้คุณ ‘อภัย’ สามีกับผู้หญิงคนนั้น อย่าคิดทำร้ายเขาอีก”

             ผกาแก้วอึ้ง ตอบกลับด้วยเสียงสั่นเครือ

             “ทั้งๆ ที่...พวกมัน...ทำร้ายฉัน...ขนาดนี้...”

             เอื้อกานต์กุมมือหญิงสาวผู้ถูกทำร้ายเบาๆ ถ่ายทอดความเมตตาให้อย่างอ่อนโยน

             “ค่ะ...ที่ผ่านมาพวกเขาทำร้ายคุณจริง แต่ถ้าคุณทำสิ่งร้ายๆ ตอบแทนเขา...ก็เท่ากับคุณกำลังทำร้ายตัวเองเหมือนกัน”

             คำพูดนี้ทำให้คนเป็นเมียหลวงต้องเอ่ยถามอย่างสงสัย

             “คุณหมอหมายความว่ายังไงคะ”

             เอื้อกานต์อธิบาย

             “คิดง่ายๆ ถ้าคุณสาดน้ำกรดใส่หน้าผู้หญิงคนนั้นจนเสียโฉม คุณได้รับความสะใจก็จริง แต่ก็แค่แป๊บเดียว หลังจากนั้นคุณก็ต้องโดนจับ ติดคุก สามีคุณคงได้โอกาสขอหย่า เขาอาจไปอยู่กับผู้หญิงคนนั้นอย่างเปิดเผยด้วยความสงสาร หรือไม่ก็อาจไปมีผู้หญิงคนอื่นอีก คราวนี้ลูกคุณจะลำบาก พ่อไปมีแม่ใหม่ แม่จริงๆ ก็ติดคุก อย่างนี้ไม่เรียกว่าทำร้ายตัวเองหรือคะ”

             พอพูดถึงเรื่องลูก ผกาแก้วก็ก้มหน้านิ่ง สะอึกสะอื้นชั่วครู่ ก่อนเงยหน้าปาดน้ำตา

             “ขอบคุณสำหรับคำแนะนำนะคะหมอ ดิฉันคงไม่กล้ารับปากว่าจะ ‘ให้อภัย’ คนคู่นั้นได้ทันที แต่ฉันสัญญากับคุณหมอได้ว่า...ต่อจากนี้ไป ถ้าจะทำอะไร ฉันจะคิดถึงความสุขของลูกเป็นอันดับแรกก่อน”

             “หมอดีใจที่คุณเข้าใจค่ะ” เอื้อกานต์เบาใจ

             “ถ้าอย่างนั้นหมอยิ่งต้องรับของชิ้นนี้ไว้เลยค่ะ” สุดท้ายเจ้าหล่อนก็ยังยื่นสร้อยข้อมือมาให้อยู่ดี

             “หมอบอกแล้วไงคะ...”

             เอื้อกานต์พูดไม่ทันจบ อีกฝ่ายก็รีบแทรกขึ้นมาก่อน

             “ถือว่าเป็นข้อแลกเปลี่ยนก็ได้ค่ะหมอ...ฉันจะทำตามคำแนะนำของหมอ หมอก็ช่วยรับของชิ้นนี้ไว้แทนคำขอบคุณของดิฉันด้วยนะคะ”

             ถึงตอนนี้คุณหมอสาวก็หาข้ออ้างหลบเลี่ยงไม่ได้แล้ว

             “ค่ะ...งั้นหมอก็ขอบคุณแล้วกัน”

             เอื้อกานต์ยอมรับของไว้ในที่สุด ผกาแก้วยิ้มยินดี รีบสวมสร้อยลูกปัดให้ที่ข้อมือคุณหมออย่างดีใจ

             เมื่อสร้อยลูกปัดใสคล้องอยู่บนข้อมือ เอื้อกานต์สัมผัสได้ถึงพลังงานบางอย่างที่ปรากฏอยู่ในนั้นชั่วแวบ ทว่าพอใช้จิตเข้าไปสัมผัสตรงๆ พลังงานนั้นกลับหายไป ไม่รู้สึกได้อีก

             หญิงสาวไม่อาจรู้ว่า...นอกห้องคนป่วย บริเวณเก้าอี้ยาวหน้าเคาน์เตอร์รอรับยา มีชายหนุ่มคนหนึ่งนั่งก้มหน้า นัยน์ตาเพ่งตรงไปยังความว่างเบื้องหน้าแน่วนิ่ง

             จนกระทั่งเธอยอมรับสร้อยข้อมือเส้นนั้น เขาค่อยระบายลมหายใจออกช้าๆ เงยหน้าขึ้นมา...ราวกับเห็นเหตุการณ์ที่เกิดในห้องคนป่วยทั้งหมดชัดเจน...



             ทรงกลดขยับตัวจากท่านั่งเพ่งอากาศว่างเปล่าตรงหน้า ใช้สมาธิตามดูผลงานของตน เมื่อเห็นว่าผกาแก้ว หญิงสาวคนป่วย สามารถทำงานตามที่เขา ‘สะกดสั่ง’ ได้สำเร็จอย่างแนบเนียน เรียบร้อยไม่มีพิรุธ จึงโล่งอก ถอนสมาธิออกมา

             สร้อยลูกปัดเส้นนั้นเป็นเครื่องรางที่เขาใช้อาคมแบบซ่อนเร้นปลุกเสก เพื่อคุ้มครองเอื้อกานต์จากภัยร้ายที่เริ่มแสดงตัว

             เครื่องรางนี้ จิตสัมผัสเอื้อกานต์ไม่อาจตรวจสอบได้ตราบเท่าที่มันยังไม่สำแดงพลังต่อต้านเหล่าภูตร้ายที่ถูกส่งมารังควานเธอ...เหมือนเช่นเมื่อคืน

             ทรงกลดเขียนยันต์คุ้มครองไว้หน้าห้องเอื้อกานต์ทัน แต่ไม่อาจสกัดพวกมันไม่ให้ตามรังควานเธอตอนอยู่ที่ลานจอดรถและในลิฟต์ได้

             ยังดีที่หญิงสาวมีสติมั่นคง จิตใจกอปรด้วยเมตตา ภูตร้ายเหล่านั้นจึงไม่สามารถทำอะไรเธอได้ ยกเว้นผู้สั่งการจะออกคำสั่งรุนแรง

             นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ทำให้ทรงกลดต้องหาทางนำเครื่องรางมาให้เธอผ่านทางหญิงสาวคนป่วยที่กำลังจะออกจากโรงพยาบาลวันนี้

             ชายหนุ่มลุกขึ้นยืน...งานนี้สำเร็จแล้ว งานต่อไปลำบากกว่านี้

             งานตามล่า หาร่องรอยผู้ทรงอาคม!

             คนคนนั้นไม่ใช่ ฮันเตอร์ คิม แต่เป็นบุคคลที่มีอาคมลึกล้ำ ร่องรอยเร้นลับยิ่งกว่า

             อาคมที่ปล่อยออกมาครั้งแรก เป็นอาคมที่ไม่ทิ้งเส้นทางให้สืบสาวเลย มันเป็นอาคมประเภทหว่านแห...ทว่าก็มีเป้าหมายเจาะจง

             อาคมเช่นนี้เขาไม่เคยพบเห็นมาก่อน

             ทรงกลดถอนใจ ขยับจะเดินออกจากโรงพยาบาล ถึงเขาไม่อาจตามรอยจากอาคมนั้น แต่เหล่าภูตผีที่มารบกวนเอื้อกานต์เมื่อวาน ย่อมมีที่สิงสถิต

             เขาตั้งใจบุกเข้าไปยังแหล่งกบดานของเหล่าปิศาจพวกนั้น!

             พอรู้ว่าเอื้อกานต์ยอมรับสร้อยข้อมือปลุกเสกเรียบร้อย เขาก็ตั้งใจจะรีบไป แต่เพียงก้าวออกจากจุดที่นั่งอยู่ไม่เกินสามก้าว สายตากลับปะทะกับชายหนุ่มคนหนึ่งซึ่งมองตรงมาอย่างเจาะจง

             ชายคนนั้นร่างสูงพอกับเขา หุ่นเพรียวอย่างนายแบบฝรั่ง ใบหน้าเรียว ข้างแก้มจนถึงคางมีไรเคราเขียว นัยน์ตาเรียวรี คิ้วเข้มเป็นเส้นสวย สายตาที่มองมาบอกความเป็นมิตร

             ทรงกลดไม่เข้าใจ เหตุใดชายคนนี้ถึงมองเห็นเขาชัดเจน จนให้ความสนใจขนาดนี้ ทั้งที่ปกติเขาจะใช้อาคมอำพราง ทำให้คนรอบข้างมองผ่าน ไม่เป็นที่สังเกตอยู่แล้ว

             ชายคนนี้ไม่เพียงมองตรงมาเท่านั้น หากยังเดินมาหา เปิดรอยยิ้มกว้างราวกับเจอเพื่อนสนิทก็ไม่ปาน!




บทที่ ๕



             วันนี้หมอหมากไม่ได้ไปคลินิกคนยาก

             นับจากพบผู้ป่วยโดนไวรัสอาคม และรู้จากอาจารย์หมอว่าผู้ป่วยที่เขากับเอื้อกานต์พบไม่ใช่รายเดียว ยังมีอีกสองรายที่อาการเหมือนกัน ผลเลือดเหมือนกัน ชายหนุ่มจึงแน่ใจว่านี่ไม่ใช่เรื่องเล็ก ไม่อาจมองข้ามได้แล้ว

             อาจารย์หมอลงความเห็นว่าอาจเป็นไวรัสชนิดใหม่ ซึ่งมีโอกาสเป็นโรคระบาด จึงพยายามศึกษาเจ้าไวรัสตัวนี้อย่างละเอียด แม้ตอนหลังมันจะกลายพันธุ์เป็นแค่เชื้อไข้เลือดออกก็ตาม

             ไวรัสตัวนี้ไม่ธรรมดา หมากมั่นใจต้องเป็นการกระทำของ ‘ใคร’ บางคน หากกลายเป็นโรคระบาดจริง ก็เป็นการระบาดด้วยความจงใจ อย่างพวกสงครามเคมี สงครามชีวภาพ ที่นักวิทยาศาสตร์ทั่วโลกหวาดกลัวกัน

             ทว่าเมื่อสังเกตอาการคนป่วย เห็นการรักษาของเอื้อกานต์ จนกระทั่งพูดคุยกับพลูทางสมาธิ จึงทำให้เขาเชื่อว่ามันไม่ใช่สงครามเคมีหรือสงครามชีวภาพ คนธรรมดาทั่วไป ต่อให้มีสมองเป็นเลิศ ก็ไม่สามารถสร้างและปล่อยไวรัสอาคมชนิดนี้ได้

             ต้องเป็นคนที่มี อาคม” คนที่พลูเคยบอกเป็นนัยว่าเป็นพวก “เล่นของ

             ปัญหาสำคัญคือ...คนนั้นเป็นใคร มีจุดประสงค์อะไร...ทำอย่างนี้เพื่ออะไร?

             หมากขอข้อมูล รายละเอียดเกี่ยวกับผู้ตายทั้งสองรายจากทางโรงพยาบาลศูนย์ฯ เพื่อนำมาสรุป วิเคราะห์ หาจุดร่วมกับคนไข้ที่รอดชีวิตจากโรงพยาบาลแห่งนี้

             และคนเดียวที่เขาพอจะปรึกษา ขอความเห็นได้ คงมีแค่เอื้อกานต์...คนที่มีพลังพิเศษ อีกทั้งมีแนวคิด ความเข้าใจ ไปในทิศทางเดียวกันกับเขา

             ชายหนุ่มนำเอกสาร ข้อมูลที่ได้ ใส่กระเป๋าสะพายเดินเข้าโรงพยาบาล คิดว่าเอื้อกานต์น่าจะพอมีเวลาพูดคุย แสดงความเห็นได้บ้าง

             พอมาถึงบริเวณหน้าเคาน์เตอร์รับ–จ่ายยา เสียงของพลูก็แว่วเข้ามาในหัว

            “เจอคนรู้จักว่ะหมาก!”

             หมากชะงักเท้า กวาดสายตามองไปตามแถวแนวเก้าอี้ยาวที่คนป่วยและญาตินั่งรอรับยา ระยะห่างไม่มากนัก มองเห็นใบหน้าคนเหล่านั้นได้ชัดเจน แต่มองไปมองมาสองสามรอบ ยังไม่คุ้นตาใครสักคน

             อยู่ไหนวะ” หมากถามในใจ

             “ดูดีๆ อย่าสักแต่กวาดตามองไปเรื่อย...ใช้ใจสังเกตด้วย”พลูตอบ

             คราวนี้หมากสูดลมหายใจลึก แล้วระบายออกช้า ๆ ใช้ลมหายใจเหนี่ยวนำสติให้อยู่กับตัว มองไปยังแถวเก้าอี้ยาวอีกรอบ ใช้จิตสัมผัสเบาๆ สะดุดตากับชายหนุ่มร่างสูง ขนาดนั่งบนเก้าอี้ ศีรษะเขายังสูงเด่นกว่าใคร

             หมากแปลกใจว่าทำไมตนเองถึงมองไม่เห็นชายคนนี้ตั้งแต่แรก

             ขยับขึ้นมาอีกหน่อยเพื่อมองหน้าชายคนนั้นให้ถนัด พอเห็นใบหน้าเด่นชัดก็ยิ่งนึกสะดุดใจ เพราะหากใครได้พบชายคนนี้คงยากจะลืมเลือนง่ายๆ รูปหน้าเขาเรียว คม ผิวขาวจนดูซีด นัยน์ตาโตกลมลึก จมูกเป็นสันชัดเหมือนพวกแขกอาหรับ เป็นผู้ชายที่รูปลักษณ์สะดุดตา เห็นครั้งเดียวจำติดใจ

             พอนึกทบทวน เคยเห็นชายคนนี้ที่ไหน ความทรงจำกลับเลือนราง นึกไม่ออก ในชีวิตเขาเดินทางไปทั่ว พบคนมากมาย มีไม่กี่คนที่จำได้ขึ้นใจ คนเหล่านั้นส่วนใหญ่จะเป็นเพื่อนร่วมงาน ร่วมเป็นร่วมตายกัน

             “เคยเจอที่ไหนวะ” หมากพึมพำ ...คนหน้าตาดีขนาดนี้ เขาไม่น่าลืมง่ายๆ

             “ห้าปีก่อน ที่โรงพยาบาล เขาพาคนป่วยมาส่ง” พลูตอบแบบตัดรำคาญ

             อ๋อ...นึกได้แล้ว...

             ความทรงจำแวบกลับมา นึกด่าน้องชายในใจ ...คนเจอกันครั้งเดียว พูดจาด้วยไม่กี่คำ ต่อให้หล่อแค่ไหน กูจะไปจำได้ยังไงวะ!

            “ไปทักเขาหน่อย” พลูสั่ง

             “เฮ้ย...เขาจะจำกูได้เหรอ ตั้งห้าปีแล้ว ถ้ามึงไม่บอก กูยังจำไม่ได้เลยนะเนี่ย” หมากตอบโต้ในใจ

             ไม่มีเสียงตอบจากพลู แสดงชัด...เขาต้องทำตามคำสั่ง ห้ามบิดพลิ้ว!

             ชายคนนั้นลุกขึ้นยืนพอดี หมากเดินเข้าไปหา เปิดรอยยิ้มกว้าง พยายามทบทวนความจำ รายละเอียดในการพบกันครั้งนั้นจนมั่นใจไม่ผิดพลาด จึงเอ่ยปากทักทายเมื่อก้าวมายืนต่อหน้า

             “ไฮ...ไม่เจอกันนานเลยนะครับ” หมากทักทายเป็นภาษาอังกฤษ

             “เราเคยเจอกันมาก่อนหรือครับ” ทรงกลดหรี่ตาถามด้วยภาษาเดียวกัน นึกแปลกใจ คนที่เขาลอบติดตามกลับเป็นฝ่ายเดินเข้ามาหา ทักทายตรงๆ

             “เมื่อห้าปีก่อน ที่โรงพยาบาล... คุณนำคนไข้ฉุกเฉินมาส่งหมอไง ลืมแล้วเหรอ” หมอหมากบอกยิ้มๆ

             “ห้าปีก่อน...” ทรงกลดทบทวนความจำ มองใบหน้าหมอหนุ่มให้ชัด

             แน่นอน...เขาพบหมอหมากหลายครั้งตั้งแต่ชายคนนี้เข้ามาในชีวิตเอื้อกานต์ แต่ถ้าบอกว่าพวกเขาเคยเจอกันก่อนหน้านี้ ทรงกลดยังนึกไม่ออก

             “คุณมาทำอะไรที่เมืองไทยน่ะ” หมากถามเรื่อยเปื่อย คิดว่าอีกฝ่ายจำตนเองไม่ได้แน่...พลูสั่งให้มาทักทาย ก็ทักทายสักสองสามคำ พอฝ่ายนั้นบอกว่าจำไม่ได้ก็ต่างคนต่างไป

             “ห้าปีที่แล้ว ผมเคยพบคุณ...จริง ๆ หรือ?” ทรงกลดสงสัย อยากเคลียร์ปัญหาจะได้ไม่คาใจ

             “นั่งคุยกันดีมั้ย ผมจะทบทวนความจำให้” หมากชักชวน

             “โอเค” อีกฝ่ายรับคำอย่างคาดไม่ถึง



(โปรดติดตามต่อฉบับหน้า)



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP