สารส่องใจ Enlightenment

ของไม่ดีเกิดจากของดี



พระธรรมเทศนา โดย พระราชนิโรธรังสีคัมภีรปัญญาวิศิษฏ์ (หลวงปู่เทสก์ เทสรํสี)
วัดหินหมากเป้ง อ.ศรีเชียงใหม่ จ.หนองคาย




ของที่ไม่ดีเกิดจากของดี นี่บทเบื้องต้นหัวข้อที่จะอธิบายต่อไป
จะอธิบายถึงเรื่อง "ของดี" เสียก่อน



อะไรที่เป็นของดี ? ของดีก็ไม่มีที่อื่นที่ไกล ก็คือตัวของเราที่เกิดมานี่แหละ
เป็นของดีพร้อมบริบูรณ์หมดทุกอย่าง
เช่น แต่ละคนเกิดขึ้นมามีอวัยวะครบครันบริบูรณ์
ขันธ์ห้า อายตนะสมบูรณ์ บริบูรณ์ทุกสิ่งทุกประการ
หากว่าคนจะไปปั้นไปแต่งก็ไม่สวยสดงดงามอย่างนี้
ดังนั้นเขาถึงเรียกคนสวยสดงดงาม
ได้สัดได้ส่วนพร้อมมูลบริบูรณ์หมดทุกอย่างทีเดียว นี่ถึงเรียกว่าของดี


ของอันนี้เป็นของมีค่าหาราคาเทียบมิได้
มิใช่ของซื้อขายในตลาด มีสิทธิเสรีได้เฉพาะแต่ละคน
และจะต้องปกปักรักษาตนเองเอาไว้ ไว้ใช้ในเฉพาะตนเอง
ที่เรียกว่าของดีมันเป็นอย่างนี้
ของประกอบชิ้นส่วนแต่ละอย่างในตัวตนคนเรา ไม่มีการซื้อหาและไม่มีใครที่จะเอามาให้



ที่เป็นของดีเพราะเหตุดี คือได้ด้วยความดีที่เราได้กระทำมาแล้ว
ทางพระพุทธศาสนาเรียกว่า ปุพฺเพ กตปุญญตา
ต้องอาศัยกุศลครั้งหลังที่ได้สร้างสมมาแล้วแต่ก่อนเก่า
จึงได้ของดีครบครันบริบูรณ์อย่างนี้
ถ้าหากว่าความดีแต่ก่อนเก่าทำไว้ไม่สมบูรณ์ อาจจะวิปริตวิกลวิการ
เช่น เป็นคนหูหนวก ตาบอด ใบ้บ้า เสียจริตผิดมนุษย์
อันนี้เรียกว่าเราสร้างความดีไว้แต่ก่อนไม่พอ ไม่สมบูรณ์
ที่เราได้มานี้เรียกว่าเราสร้างความดีไว้สมบูรณ์ ซึ่งเรียกว่าของดีในที่นี้



ดังที่พระพุทธองค์ตรัสเทศนาไว้ว่า ติจฺโฉ มนุสฺส ลาโภ
การได้สภาพมาเป็นคนเป็นมนุษย์ เป็นของได้โดยยาก
ของที่ได้โดยยากเป็นของหาค่ามิได้
คือของมีราคา ทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นของหาได้ยากเป็นของมีราคา
จะเป็นอะไรก็ตาม คนต้องการแล้วเป็นของราคาสูงลิ่วทีเดียว
พระพุทธเจ้าตรัสเทศนาว่า “การเกิดมาเป็นคนเป็นมนุษย์เรานี้ เป็นของหาได้โดยยาก”
จึงว่าเป็นของดี



คราวนี้พูดแยกออกเป็นส่วน ดีเฉพาะกาย ที่อธิบายมาแล้วนั่น
ดีหมดครบครันบริบูรณ์



ดีทางวาจา คือคำพูด ซึ่งยากที่จะได้เสียงอันเป็นเสียงมนุษย์ชัดเจนแจ่มแจ้ง
รู้จักภาษากัน พูดออกมารู้จักถ้อยคำชัดเจน
ไม่ต้องใช้ถ่าน ไม่ต้องใช้เครื่องแบตเตอรี่เหมือนกับเครื่องจักรของเขา
เครื่องจักรของเขาต้องใช้ถ่าน ต้องใช้แบตเตอรี่ แล้วมันหมดเป็นนะแบตเตอรี่นั่น
อันนี้เราใช้มาตั้ง ๔๐, ๕๐ ปี ๖๐, ๗๐ ปี ก็ยังไม่หมด
แบตเตอรี่ของเราไม่ต้องซื้อด้วยซ้ำ นี่จึงว่าเป็นของดีทางวาจา



ของดีทางใจ ใจก็ไม่ใบ้บ้าเสียจริตพิกลพิการ มีความรู้สึกนึกคิดได้ทุกอย่าง
ไม่ว่าจะยืนเดินนั่งนอน ใช้ภายในเป็นความคิดนึก
คิดนึกต้องการอยากจะเอาอะไรได้หมด ที่ภาษาเขาว่า “แก้วสารพัดนึก”
ก็จิตใจเรานี่แหละ นึกอะไรได้หมด
นึกเอาชั้นฟ้าชั้นสวรรค์ก็ได้ นึกเอาสมบัติมนุษย์ก็ได้
นึกเป็นใหญ่เป็นโตก็ได้ นึกเอาบ้านเอาเรือนก็ได้ เป็นเศรษฐีมหาเศรษฐีก็ได้
นอนนึกคิดไปคนเดียวได้หมด นี่จึงเรียก “แก้วสารพัดนึก”
แต่บางทีก็มี บางทีก็ไม่มี จึงเรียกว่านึก ถ้ามีไม่ใช่นึก
อันมีบ้างไม่มีบ้าง นั่นเรียกว่า “แก้วสารพัดนึก”
มันดีอย่างนี้ ที่เรียกว่าใจเป็นของดี


อธิบายมาแล้วว่า กายเป็นของดี วาจาเป็นของดี ใจเป็นของดี


ของไม่ดีเกิดจากของดี ละคราวนี้
กาย
เป็นของดี แต่ว่าเอาของดีไปใช้ในทางที่ไม่ดี
เอากายของดีๆ นี่แหละไปทำสิ่งที่ไม่ดี
ไปฆ่าสัตว์ ไปตีหัวเขา ไปชกไปต่อยเขา
ไปขโมยของเขา ไปประพฤติผิดมิจฉาจาร ไปดื่มสุราเมรัย
ให้ตัวตนคนเรานี่แหละไม่ดี อยู่ดีๆ บางทีทำความผิด ทำของไม่ดี
เช่น ไปลักขโมยฉ้อโกงของของเขา บางทีถูกเขาฆ่าตาย
บางทีถูกเจ้าหน้าที่เขาจับกุม ถูกพิพากษาติดคุกติดตะราง
ของไม่ดีมันเกิดจากของดี อย่างนี้



เป็นที่น่าเสียดาย ของดีๆ เอาไปใช้ในทางที่ไม่ถูก
ทางที่ถูกที่ดีนั่นน่ะไม่เอาไปใช้ เอาไปใช้ในทางที่ผิด
ทางทุจริตต่างๆ นานาสารพัดร้อยแปด เหลือที่จะพรรณนา
โลกอันนี้มันวุ่นวายเพราะเอาของดีไปใช้ในทางที่ไม่ดีนั่นเอง
จึงว่าของไม่ดีเกิดจากของดี



บทเบื้องต้นพูดไว้ว่า “ของไม่ดีเกิดจากของดี”
มันเป็นการฟังยาก พูดเป็นศัพท์เป็นแสง
ถ้าพูดกันง่ายๆ ก็ว่า เอาของดีไปใช้ในทางไม่ดี
สมมติว่าเครื่องใช้ไม้สอย ผ้าผ่อนเครื่องนุ่งห่ม อะไรก็ตามเถอะ ใหม่ๆ อยู่
เอาไปถูเรือนเสีย เอาไปเช็ดเท้าเสีย
มันคนอะไรแบบนั้น ถ้าเป็นอย่างนั้นเป็นคนอะไรกัน
อันนี้ก็เช่นเดียวกันแหละ ของดิบของดีนั่นเอาไปทำความชั่ว
มันคนอะไรกัน จึงว่าเป็นที่น่าเสียดาย



ตอนท้ายที่สุดแล้วคราวนี้ เมื่อเอาของดีไปใช้ในทางที่ไม่ดี ดังอธิบายมานั้น
ตัวตนของคนเรานี้หากแตกดับไปแล้ว กายไม่รับรู้หรอก
ใจต่างหากเป็นคนรับรู้ เป็นคนรับผิดชอบคนเดียว
เพราะกายนี้แตกดับเป็น ส่วนใจนั้นมีกิเลสบาปกรรม ยังเวียนว่ายตายเกิด
มาคอยรับเอาผลของกรรม มารับผิดชอบเอาผลของกรรมที่ไปทำไว้



ไปเกิดทีหลังไม่ได้กายเก่าแล้วคราวนี้ ถ้าทำชั่วไว้ กายอันนี้ยิ่งเลวกว่าของเก่าอีก
ถ้าทำดีก็ได้รับผลดี คือกายดีขึ้นไป
จึงว่า พากันมัวเมาเอาของดีไปสร้างของที่ไม่ดี โดยความมัวเมาประมาท
สร้างแล้วกายเป็นของแตกดับไป ฉิบหายไปได้
แต่ใจเป็นคนรับผิดชอบคนเดียว กายทอดทิ้งไปแล้ว

ถ้าเรารู้เรื่องอย่างนี้แล้ว ส่วนปริยายนอกนั้น พิจารณาไปเองเถิด
กว้างขวางทีเดียวในโลกอันนี้ตลอดหมดทั้งโลก



คนที่เอาของดีไปใช้ไม่ดีนี่หมดทั้งโลกเลย ใครๆ ก็ทำกันแบบนี้ทั้งนั้น
เหตุนั้นโลกจึงต้องวุ่นวาย โลกจึงต้องเดือดร้อน
เมื่อวุ่นวายเดือดร้อนแล้ว คราวนี้ไปโทษคนอื่น ไม่โทษตนเอง
แต่ละคนๆ เอาของดีไปใช้ในทางไม่ดี มันก็เลอะเทอะหมดละซี



ถ้าแต่ละคนรู้คุณค่าของกายอันนี้ว่าเป็นของดีแล้ว
มันก็ประหยัดเอาไว้ใช้ในสิ่งที่ดี ในทางที่ดีที่ชอบ
มันก็สงบเรียบร้อยหมดทุกอย่าง ไม่ต้องโทษกัน
อันนี้ต่างคนต่างโทษซึ่งกันและกันยุ่งไปหมด ตนเองก็ไม่ทำตนเองให้ดี
คล้ายๆ กันกับนิทานปูสอนลูกปู ปูเห็นลูกเดินหงองๆ แหงงๆ มันเดินไม่ตรง
จึงถามลูก “เอ๊
! ทำไมถึงเดินอย่างนั้น ทำไมเดินให้มันตรงๆ ไม่ได้รึ?”
“เอ แม่เดินให้ฉันดูซิแม่” มันบอกให้แม่เดินให้ดู
แม่เดินก็เดินเหมือนกับลูก “แน่ะ แม่ก็ยังเดินไม่ตรงแน่ะ”


อันนี้ก็เหมือนกัน เห็นคนอื่นไม่ดี เพราะเอาของดีไปใช้ในทางที่ไม่ดี
ก็ไปโทษเขาเสีย ไปโทษคนอื่น
แต่ตนเองทั้งที่ตนเองเอาของดีไปใช้ในทางที่ไม่ถูก โดยที่ไม่รู้สึกตัว
ไปโทษคนอื่น จึงไม่มีหนทางแก้ไข



แก้คนอื่นแต่ไม่แก้ตนเอง มันจะได้ประโยชน์มาจากไหน
พ่อแม่หรือผู้ใหญ่ก็ตามเถอะ ใครๆ ก็ตามเถอะ
สอนให้ลูกเต้าหรือสอนผู้อยู่ในบังคับบัญชาให้ทำดี
แต่ตนเองเป็นพ่อเป็นแม่น่ะทำชั่วก็เท่านั้น เหลวไหลก็เท่านั้น
แล้วจะให้เขาทำดีได้อย่างไร?



วิธีสอนคนอบรมคนเราน่ะ เราทำดีแล้วไม่ต้องสอนคนอื่นเขาหรอก
มันหากมีอำนาจปาฏิหาริย์ในตัวเอง
หากสอนคนอื่นเขาไม่ทำตาม แต่เราก็ดีแล้ว ก็พอแล้ว ประโยชน์ของเราพอแล้ว
เขาทำตามไม่ได้ ก็สุดแท้แต่วิสัยของเขา เราไม่ต้องยุ่งกับเขา



อันนี้ตนของตนก็ไม่ดี แล้วจะไปสอนคนอื่นให้ดี ถ้าหากคนอื่นดี เรายิ่งไม่ดีซ้ำอีก
เราก็ไม่ดีแล้วจะไปดีได้อย่างไร เอาของดีไปใช้ในทางไม่ดีมันเป็นอย่างนี้
มันกว้างขวางพิสดารมาก เฉพาะเรื่องกายเอาไว้แค่นั้นเสียก่อน



เรื่องวาจา วาจานั้นเสียงไพเราะเสียงหวาน
วาจานั้นพูดจารู้จักภาษีภาษา รู้ถ้อยคำกัน มีความหมายดีที่สุด
ไม่ต้องใช้ถ่านใช้แบตเตอรี่ดังอธิบายมาแล้ว
แต่เอาไปใช้ในทางที่ไม่ดี เอาไปใช้ในทางโกหก ส่อเสียด เหยียดหยาม
ให้แตกร้าวสามัคคีซึ่งกันและกัน
ปากนี่เป็นของสำคัญ อาวุธของปากมันร้ายกาจกว่าอาวุธลูกระเบิดปรมาณู
ลูกระเบิดปรมาณูแตกทีเดียวแล้วมันก็หมดไป
อยู่ในรัศมีของมันที่จะถูกอันตราย จะเกิดอะไรก็เกิดในรัศมีของมัน
อาวุธที่เกิดจากลมปาก โอ๊ย
! มันกว้างขวาง
ยิ่งทุกวันนี้มีเครื่องสื่อสารได้ยินไปทั่วโลก พูดอยู่นี่ก็ได้ยินหมดทั่วโลก
มันถึงขนาดนั้นพิษร้ายของปาก


ถ้าหากเอาปากไปใช้ในทางที่ไม่ดี ไปยุแหย่ กล่าวโทษ นินทา
ให้คนนั้นเกลียดคนนี้ ให้คนนี้โกรธคนนั้น
ให้ประเทศนั้นโกรธประเทศนี้ ให้ประเทศนี้เกลียดประเทศนั้น
ความโกรธเปรียบเสมือนไฟละคราวนี้ ลุกฮือไปทั่วโลก
ทุกวันนี้มันก็เรื่องอย่างนี้แหละ ที่โลกเดือดร้อนทุกวันนี้ มันก็เกิดจากพิษคือลมปากนี่แหละ
คือปาก คือวาจานี่ นำไปใช้ในทางที่ไม่ดี



ถ้าหากไปใช้ในทางที่ดีดูซิ พูดจาปราศรัยนิ่มนวลอ่อนหวาน
สิ่งที่ผิดก็ทิ้งมันเสีย อย่าไปเอามาพูด
พูดในสิ่งที่ดีที่ชอบประกอบคุณประโยชน์ให้เกิดความสุขสงบ
มันก็ทนความดีไม่ได้เหมือนกัน
คนเราอยู่ด้วยกันน่ะ ถ้าใช้วาจาสุภาพเรียบร้อยนุ่มนวลอ่อนหวาน
สมานมิตรสมานไมตรีซึ่งกันและกัน อยู่ร่วมกันเป็นสุขสบาย



ก็คงจะรู้ดีกันแล้ว ฆราวาสอยู่ด้วยกัน นับตั้งแต่ครอบครัวสามีภรรยาเดียวกันขึ้นไป
ถ้าหากพูดคำหยาบคาย เช้าก็ด่า สายก็ด่า เย็นก็ด่า
มันสนุกที่ไหน? มันไม่มีการสนุกสบายในการกินอยู่ด้วยกัน
มันเป็นเครื่องกระทบกระเทือนเดือดร้อน กลุ้มอกกลุ้มใจ
แต่มันหมดหนทางไม่ทราบจะไปทางไหน เพราะมันติดอยู่แล้ว
อุตส่าห์กล้ำกลืนทนอยู่นั่นแหละ



คำพูดอ่อนหวานนิ่มนวลชวนให้ระลึกคิดถึงกัน
จะห่างไกลไปสักร้อยโยชน์แสนโยชน์ก็ยังระลึกนึกถึงคำพูดนั้น
เหมือนกับอยู่ใกล้เคียง เหมือนกับอยู่ติดกัน เหมือนกับเห็นหน้าเห็นตากันอยู่เสมอ
คำพูดนั้นไม่ลืม พอระลึกถึงคำพูดก็ปรากฏเห็นหน้ากันเลย คิดถึงกันเลย
มันก็สบาย มันก็สงบ มันก็เป็นสุข
นี่คือเรื่องของวาจาที่เป็นของดีเอาไปใช้ให้เกิดไร้ค่าไร้ประโยชน์
ให้เกิดโทษมากมายเหลือที่จะพรรณนา
ถ้าหากเข้าใจอย่างนี้แล้ว พิจารณาไปเถอะ วาจาที่ชั่วมีมากมายเหลือที่จะพรรณนา
นี่ว่าถึงเรื่องวาจา หมดแค่นั้นเสียก่อน



เรื่องใจ ใจนั้นเป็นของดี อย่างที่อธิบายให้ฟังมาแล้วในเบื้องต้น
คราวนี้ถ้าเอาไปใช้ในทางที่ไม่ดี คิดอิจฉาริษยา เรียกว่าอกุศล
อกุศลมูลที่เกิดขึ้นภายในใจเรียกว่ามโนกรรม
ใจทำกรรมได้เหมือนกันนะ ไม่ใช่ว่าแต่กายวาจา
ใจไม่มีตัวตนแต่ทำกรรมได้ คิดเกลียด คิดโกรธ
คิดอิจฉาริษยา ผูกอาฆาตพยาบาทกัน จองล้างจองผลาญ
หรือคิดเพลิดเพลินมัวเมาลุ่มหลงในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ
ในผลที่สุดใจไม่อยู่กับตัว มัวเมาเพลิดเพลินภายนอก
รู้จักกันดีอยู่หรอกว่าวันหนึ่งๆ ไปรอบโลก ไม่เป็นตัวของตน


เมื่อใจ มันคิดมันปรุงมันแต่งไปแล้ว มันติดพัวพันมัวเมาไปแล้ว
กายมันก็ต้องตามใจ แต่ตามไม่ทันทุกระยะนั่นซี
บางระยะบางตอนที่ใจเป็นของเลวพัวพัน มันก็ต้องทำชั่ว
ใจเป็นของดีแต่เอาไปทำชั่ว ทำโดยที่ไม่มีใครรู้ใครเห็น
รู้เห็นด้วยตนเอง เฉพาะตนเอง มันเกิดจากใจ



กายที่ทำชั่วก็เกิดจากใจ วาจาที่จะทำชั่วก็เกิดจากใจ
ถ้าหากมันมีแต่ใจ คิดจะฉ้อโกงหรือขโมยของเขา
ไปพูดให้เขาเข้าใจผิดหลอกลวงเขา มันก็บาปแล้ว
หรือไม่ถึงกับว่าไปลักขโมยของเขา หรือว่าไม่ฆ่าไม่ตีเขา
โกรธเกลียดเขาแต่ภายในเฉยๆ มันก็ไม่หนักเท่าไหร่



ถ้าพร้อมทั้งสามล่ะคราวนี้
ใจคิดโกรธ แล้ววาจาหาหลอกลวงล่อให้เขาเข้าใจผิด
เพื่อจะได้ช่องได้โอกาส เมื่อได้ช่องได้โอกาสก็ใช้วาจา
เมื่อได้ช่องได้โอกาสแล้วคราวนี้กายก็จะต้องทำ
ฆ่าฟันประหัตประหารเขาด้วยประการต่างๆ เพื่อให้เขาฉิบหาย
หากทำพร้อมกันทั้งสามประการแล้ว อาการหนักที่สุด
ถ้ามีแต่ใจเฉยๆ ค่อยยังชั่ว ถ้ามีวาจาเฉยๆ ก็ค่อยยังชั่ว
ไม่สมบูรณ์บริบูรณ์ ความชั่วนั้นไม่เท่าไร ถ้าพร้อมทั้งสามแล้วความชั่วนั้นเต็มที่เลย
นี่พูดถึงเรื่องใจ เอาใจไปทำในทางที่ชั่ว ประกอบกิจชั่ว



กาย วาจา ใจ เป็นของดี แต่เรานำไปใช้ในทางที่ชั่ว เลยเป็นของชั่วทั้งหมด
ผลที่สุดกายเป็นของดี วาจาเป็นของดี ใจเป็นของดี แต่เอาไปใช้ในทางชั่วเลยหมดคุณค่า
ตัวของเรานี่ยังเหลือแต่กาก ไม่มีแกน ไม่มีเนื้ออะไรเลย
ยังเหลือแต่กาก เอาไปใช้อะไรก็ไม่ได้



ได้อธิบายเรื่องความชั่วเกิดจากของดี นั่นพูดเป็นศัพท์เป็นแสง
ถ้าหากพูดตรงไปตรงมา พูดให้เข้าใจกันชัดๆ เป็นภาษาบ้านเราเรียกว่า
เอาของดี คือ กาย วาจา ใจ ไปใช้ในทางที่ผิด
เลยไร้ค่า คือหาค่าไม่ได้ ไม่มีผลประโยชน์

นอกจากไม่เป็นประโยชน์แล้ว ยังเป็นโทษแก่โลก พร้อมทั้งแก่ตัวของเราด้วย



เมื่อเราทำความชั่วอย่างนี้ คนอื่นเดือดร้อนเป็นทุกข์ โลกทั้งหลายก็เดือดร้อนเป็นทุกข์
ตัวเราเองก็เดือดร้อนเป็นทุกข์ เพราะเราอยู่ร่วมกับเขา อยู่ในโลกอันเดียวกัน
คิดว่าบ้านของเขาหรอกไม่ใช่บ้านของเราหรอก เอาไฟเผาให้หมดเสีย
พอไฟลุกขึ้นมา ตัวเองก็อยู่ไม่ได้เหมือนกัน ถ้าไม่หนีก็ต้องเผาตน ต้องตายเหมือนกัน



ความชั่วที่เกิดจากของดีก็ตัวทำทั้งนั้น อยู่ดีไม่ว่าดี เกิดขึ้นมาไม่ได้เกิดมาทำชั่ว
เกิดมาทำคุณงามความดี ความชั่วเป็นเหตุให้เกิดทุกข์ ความดีพาเป็นสุข
แต่เมื่อมาทำความชั่วแล้ว ทุกข์มันก็ต้องไหลมาหา เทมาหา
แล้วพากันบ่นแต่เป็นทุกข์เป็นร้อน กลุ้มอกกลุ้มใจ
ใครๆ ก็บ่นกันทั้งโลก แต่ไม่มีใครแก้ไขสักคนเดียว



เหตุนั้นพระพุทธเจ้าจึงทรงสงสารเมตตาสัตว์มนุษย์ทั้งหลาย
ปรารถนามาเกิดเป็นพระพุทธเจ้า
จะได้มาทรงชี้แจงสั่งสอนให้เข้าใจเรื่องทั้งหลายเหล่านี้แหละ
แล้วจะได้พากันแก้ไขความชั่วเหลวไหลและความทุกข์ทั้งหลายเหล่านี้
เมื่อผู้ใดเชื่อฟังคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าและปฏิบัติตามท่าน ก็พ้นจากทุกข์ไปแล้ว
ยังเหลือแต่พวกเรานี่ซี พากันยุ่งพากันวุ่นวาย
พวกเรายังไม่เข้าใจธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า และปฏิบัติไม่ถูก



ในตอนท้ายสรุปคือธรรมะที่ได้อธิบายมาในที่นี้
เมื่อพิจารณาเข้าใจตามที่ได้อธิบายแล้ว
ก็ไม่ใช่ให้เข้าใจเฉยๆ เข้าใจแล้วนำไปปฏิบัติ

คือ อย่าเอากายของดีไปใช้ในทางที่ชั่ว
วาจาเป็นของดีอย่าเอาไปใช้ในทางที่ชั่ว
ใจเป็นของดีอย่าเอาไปใช้ในทางที่ชั่ว

เป็นอันว่าเรากลัวโทษทุกข์ เป็นอันว่าเราพ้นจากทุกข์ ด้วยการเอาของดีไปใช้ในทางที่ดี
ก็เป็นอันว่าสมประสงค์ตามความมุ่งมาดปรารถนาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า



เท่าที่อธิบายมาก็พอจะเข้าใจได้
เพราะฉะนั้นทุกๆ คนก็พากันจดจำ นำเอาไปปฏิบัติฝึกหัด
โดยทุกคนต้องประมาณถึงธรรมะ ก็จะเป็นประโยชน์แก่ตน ทั้งในโลกนี้และโลกหน้า


ดังอธิบายมาด้วยประการฉะนี้ เอวํ


- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -


จาก พระธรรมเทศนา “ของไม่ดีเกิดจากของดี”
ใน พระธรรมเทศนาของพระราชนิโรธรังสีคัมภีรปัญญาวิศิษฏ์ (พระอาจารย์เทสก์ เทสรังสี)
บุญศิริการพิมพ์.,กรุงเทพฯ, ๒๕๔๓.


แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP