จากใจ บ.ก.ใกล้ตัว Lite Talk

ฉบับที่ ๑๔๖ ไม่มีใครเข้าใจคุณเลยหรือ?



เมื่อรู้สึกว่าไม่มีใครเข้าใจ

เหมือนอยู่ตัวคนเดียวในโลก
ปัญหาจริงๆอาจจะเป็นว่า
คุณยังไม่เข้าใจตัวเองชัดพอ
มีแต่ความอยากให้คนทั้งโลกเข้าใจคุณ
กับทั้งไม่ ‘เห็นใจ’ ว่าคนอื่นรู้สึกอย่างไรอยู่
เขาจึงไม่พร้อมจะเข้าใจคุณ เท่าที่คุณอยากให้เข้าใจ


เพื่อจะมีตนเป็นผู้เข้าใจตนเอง
คุณต้องเริ่มต้นจากการมองใหม่ แตกต่างจากเดิม
เริ่มจากการบอกตัวเองว่า
อย่ากังวลให้มาก อย่าคาดหวังเกินไป
ที่จะให้ใครต่อใครมาเข้าใจเรา
เพราะความกังวลและความคาดหวังเช่นนั้น
แท้จริงแล้ว ทำให้เราเสียเวลาหมกมุ่นครุ่นคิด
หาทาง ‘เปลี่ยนใจ’ คนอื่น
กระทั่งไม่เหลือเวลา ‘เข้าใจ’ ตัวเองเสียที


เมื่อมีเวลาทำความเข้าใจตนเองมากขึ้น
มีเวลาย้อนกลับมาเห็นว่า ตัวเองคิดอะไร
รู้สึกอย่างไรกับใครได้แค่ไหน
คุณจะพบความจริงที่สำคัญประการหนึ่ง คือ
คุณเองก็ไม่มีเวลา และไม่พร้อมจะความทำเข้าใจคนอื่นเช่นกัน


จากการรู้ใจตนเองดีพอ
เห็น ‘ความไม่พร้อม’ ของตัวเองที่จะทำความเข้าใจคนอื่น
ก็จะช่วยส่องให้คุณมองออกไปเห็น
ว่าโลกนี้ คนที่พร้อมจะไม่เข้าใจคุณมีอยู่สองพวก


พวกแรกหมั่นไส้คุณ
และเมื่อเขานึกหมั่นไส้อยู่ก็ต้องมีอคติไปกว่าครึ่ง
พอมีเรื่องให้เข้าใจผิดหรือไม่เข้าใจกัน
คุณจะไปพูดขอความเห็นใจไม่ได้
ถ้าจะทำให้มองคุณดีๆ 
การพูดจาอธิบายหรือแสดงข้อเท็จจริงยังไม่พอ
คุณจำเป็นต้องเจือจางหรือละลายความหมั่นไส้
ด้วยการผูกมิตร แสดงสีหน้าและคำพูด
ให้เขารู้สึกดีมากพอจะนึกอยากฟังคำอธิบายด้วย
อย่าเร่งรัด เผลอทำสีหน้าหรือน้ำเสียงคาดคั้น
กระทั่งกระตุ้นให้รู้สึกว่า กำแพงความหมั่นไส้มีอยู่
มันเรื่องอะไรที่เขาต้องออกแรงข้ามกำแพงมาหาคุณ?


พวกที่สองเกลียดคุณ
และเมื่อเขาใส่แว่นแห่งความเกลียด อคติย่อมบังตามิด
ทุกคำและทุกการกระทำด้านดีของคุณ
จะถูกฉาบดำ มองดูเหมือนเป็นการเสแสร้งแกล้งทำ
เป็นฉากบังหน้าหวังหาประโยชน์เข้าตัว
หรืออีกทีถึงพยายามพูดอธิบายให้ตาย
ก็กลายเป็นการแก้ตัวน้ำขุ่นๆไปทั้งหมด
แบบนี้ต้องรอให้มีสถานการณ์ใดสถานการณ์หนึ่ง
ที่ทำให้เขานึกเอ็นดูมากพอจะหายเกลียดเสียก่อน
เขาถึงจะยอมมองคุณ
ด้วยความรู้สึกกลางๆหรือดีๆขึ้นมาได้
พูดง่ายๆว่า ถ้าไม่ใช่เพราะ ‘ดวง’
ก็ไม่มีอะไรไปถอดแว่นแห่งความเกลียดที่บังตาเขาได้หรอก


และจากการรู้ใจตนเองดีพอเช่นกัน
เห็น ‘ความพร้อม’ ของตัวเอง ที่จะทำความเข้าใจคนอื่น
ก็จะช่วยส่องให้คุณมองออกไปเห็นว่าโลกนี้
คนที่พร้อมจะเข้าใจคุณมีอยู่สองพวก


พวกแรกยังไม่ได้รักหรือเกลียดคุณ
เมื่อไม่รักไม่เกลียด ก็เท่ากับยังไม่มีอคติ
หากเกิดเหตุให้เข้าใจผิดกัน
คุณจึงใช้เหตุผลและข้อเท็จจริงอธิบายได้
เปลี่ยนความเข้าใจที่ผิดให้เป็นถูกได้
แถมคุณยังมีสิทธิ์พลิกร้ายให้กลายเป็นดี
หลอกให้เขาเชื่อ ลวงให้เขาชื่นชมด้วยการโกหกคำโตได้
แต่ถ้าเมื่อไรอาถรรพณ์ของคำโกหกแผลงฤทธิ์
เขาจับได้ด้วยทางใดทางหนึ่ง
ซึ่งเกินกว่าที่คุณจะคาดเดาว่าเป็นทางไหน
เขาจะเปลี่ยนความรู้สึกจากไม่รักไม่เกลียด 
เป็นค่อนข้างเกลียด หรือเกลียดเข้าไส้ไปเลย
และหลังจากนั้น คุณก็จะทำให้เขาเข้าใจเป็นอื่นไม่ได้อีก
เขามีแนวโน้มจะมองว่าคุณ ‘เลว’ หรือ ‘โคตรเลว’ เท่านั้น


พวกที่สองรักคุณ
เมื่อรักกันย่อมมีอคติในแบบลำเอียงเข้าข้าง
คุณจึงพูดขอความเห็นใจได้ง่ายๆ
หรือกระทั่งขอร้องให้แกล้งหรี่ตาข้างหนึ่ง
เพื่อเห็นแต่สีขาวที่ระบายอยู่บนตัวคุณได้สบายๆ
ยิ่งถ้าหากเขารักคุณมากพอ ต่อให้คุณไม่พูดอะไรเลย
เขาก็คิดเข้าข้างให้เองอยู่แล้ว กระทั่งคุณอาจประหลาดใจ
เพราะแม้แต่ตัวเองยังอาจคิดหาคำอธิบาย
ไม่บรรเจิดแจ่มเท่าที่เขาช่วยคิดให้ด้วยซ้ำ


โดยย่นย่อ สรุปได้ว่า
ถ้าอัตตาประเภท ‘เธอต้องเข้าใจฉัน’ มันเล็กลง
เพราะคุณ ‘เข้าใจตัวเองชัด’ อยู่ก่อน
คุณจะลดระดับความรู้สึกเหมือนอยู่ตัวคนเดียวในโลก
ไม่มีใครเข้าใจคุณเลย ลงไปเกินครึ่ง


และถ้าหากเกิดเหตุการณ์ที่ทำให้เข้าใจผิดกันกับใคร
คุณพูดอย่าง เขาฟังแล้วคิดไปอีกอย่าง
หรือคุณตั้งใจแบบหนึ่ง ผู้คนกลับมองไปอีกแบบ
อย่างนี้ เมื่อจะต้องพยายามพูดแก้ความเข้าใจให้ถูก
ก็ควรดูด้วยว่า ความรู้สึกของเขาพร้อมรับแค่ไหน
เขาจัดอยู่ในพวกที่หมั่นไส้ เกลียด กลางๆ หรือว่ารักคุณ
ความคาดหวังของคุณจะได้พอดีกับ ‘ระดับสายตา’ ของเขา
แล้วไม่ต้องรู้สึกเหนื่อยกับความพยายามที่สูญเปล่า
จะได้เหลือเรี่ยวแรง เอาเวลาไปพยายามทำชีวิตให้ดีขึ้น
ไม่ใช่ใช้เวลาส่วนใหญ่ในชีวิต
ไปกับการหมกมุ่นครุ่นคิด หาทางทำให้คนทั้งโลกมองคุณดีขึ้น!



ดังตฤณ
ธันวาคม ๕๗



review


การพูดของบุคคลอาจแบ่งออกได้เป็น ๓ ลักษณะ
ได้แก่ คูถภาณี ปุปผภาณี และมธุภาณี
แต่ละแบบมีลักษณะอย่างไรและให้ผลอย่างไรกับผู้พูด
ติดตามได้จาก "ธรรมะจากพระสูตร"
ตอน "คูถภาณีสูตร ว่าด้วยผู้พูด ๓ จำพวก"


เมื่อวันเวลาล่วงไป ชีวิตของแต่ละคนก็เหลือน้อยลงไปทุกทีๆ
จึงควรใช้เวลาให้คุ้มค่าด้วยการปฏิบัติธรรม
ดังความส่วนหนึ่งของพระธรรมเทศนา โดย หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม
เรื่อง "เวลาของชีวิต" จากคอลัมน์ "สารส่องใจ" ค่ะ (^/\^)


"เจ้าที่" คือใคร มีอยู่จริงหรือไม่
และสามารถบันดาลให้เกิดเรื่องดีร้ายได้จริงไหม
หาคำตอบได้ใน "ดังตฤณวิสัชนา"
ตอน "มีคนบอกว่าที่บ้านเจ้าที่แรง หมายความว่าอย่างไร"


แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP