วรรณกรรมนำใจ Lite Literature

ระบำเวท ๑


cover rabamvej

นวนิยายเรื่องนี้ เขียนขึ้นเพื่อความบันเทิง
หากมีชื่อ-สกุล เรื่องราวใดพ้องกับบุคคลจริง ต้องกราบขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย



ชลนิล



บทนำ



             เที่ยงตรง แดดแผดจ้า กลางท้องฟ้าปราศจากหมู่เมฆ

             ดาดฟ้าบนอาคารสำนักงานสูงแปดชั้น ตรงมุมอับสายตา แลเห็นจุดดำเล็กๆ ไม่เป็นที่น่าสังเกตสนใจ หากใครสามารถเข้าใกล้จะพบว่ามันคือปากกระบอกปืนสีดำสนิท ลำกล้องยาว ติดกล้องขยายแบบมืออาชีพ

             แก้มมือปืนแนบกับพานท้าย นัยน์ตาเล็งผ่านกล้องตรงไปยังพื้นเบื้องล่าง เก็บรายละเอียดทุกซอกทุกมุม รอเวลาเหยื่อมาถึง นิ้วสอดในโกร่งไก สัมผัสไกปืนอย่างนุ่มนวล ใจเย็น

             สติ สมาธิ จดจ่อกับการเฝ้ารอคอยเหยื่อ

             เป้าหมายของเขายังไม่ออกมาจากตัวตึกฝั่งตรงข้าม แต่เมื่อออกมาก็จะมีกลุ่มตำรวจคุ้มกันล้อมหน้าล้อมหลังไม่ต่ำกว่าห้าหกคน

             งานนี้สำคัญ เหยื่อรายนี้ต้องตาย คำสั่งเด็ดขาด...งานนี้ห้ามพลาด!

             มือปืนซ่อนร่างในหลืบเงาบนดาดฟ้า ยากมีใครสังเกตเห็น ทั้งคนทั้งปืนซ่อนพรางแนบเนียน รอคอยเวลา...เวลา...ที่ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ

             รถยุโรปคันใหญ่แล่นมาจอดหน้าตึกฝั่งตรงข้าม ตำรวจนอกเครื่องแบบสองสามนายเดินนำหน้า กวาดสายตาซ้ายขวาบนล่างตามตึกที่อยู่รายรอบ ก่อนหันไปพยักหน้าให้สัญญาณปลอดภัย

             ไม่นาน ตำรวจนอกเครื่องแบบอีกกลุ่มก็เดินนำหน้าหญิงวัยกลางคนแต่งกายเรียบๆ ดวงตาเหลือบมองรอบตัวอย่างระแวง เธอกำลังจะไปเป็นพยานปากสำคัญเพื่อเอาผิดผู้มีอิทธิพลรายใหญ่รายหนึ่ง

             เธอถูกเก็บตัวอยู่ในเซฟเฮาส์พร้อมตำรวจอารักขาอีกกลุ่มหนึ่ง รอเวลาสำคัญเพื่อเดินทางไปขึ้นศาลเอาผิดคนร้ายที่ใครก็หวาดกลัวอิทธิพล

             มือปืนเห็นเธอตั้งแต่ก้าวพ้นประตูตึก กล้องที่ติดอยู่กับกระบอกปืนขยายให้เห็นใบหน้าและแววตาหญิงคนนั้นชัดเจน

             วูบหนึ่งของความรู้สึก เขาอยากหยุดปลายนิ้วตนเองไว้ ไม่ให้เหนี่ยวไก งานสังหารที่ผ่านมามากมาย เขาไม่เคยฆ่าผู้หญิง นี่เป็นรายแรก และเป็นรายเดียวที่ ‘นาย’ เจาะจงเลือกเขาเป็นเพชฌฆาต

             ‘มึงฝีมือดีที่สุด ไม่เคยทำให้กูผิดหวัง’

             เขาไม่เคยพลาด ไม่เคยทำให้นายผิดหวัง เพราะเขาไม่เคยทำงานโดยปราศจากความรอบคอบ มั่นใจ

             ทว่าครั้งนี้ ใจเขาเริ่มลังเลตั้งแต่รู้ว่าเหยื่อเป็นผู้หญิง และยิ่งมองเห็นสีหน้าแววตาตื่นกลัวของเธอ ก็ยิ่งทำให้หมดความคิดอยากสังหาร

             ...ไม่ได้!...

             เสียงหนึ่งก้องในหัว

             เมื่อตกปากรับงานมาแล้ว หากไม่ทำหรือทำไม่สำเร็จ เขาจะโดนเก็บเสียเอง

             มือปืนรู้...เพราะฉะนั้น เขาต้องปลุกวิญญาณนักฆ่าขึ้นมา มองหญิงวัยกลางคนเบื้องล่างเป็นแค่เหยื่อรับคมกระสุน ไม่ใช่สิ่งมีชีวิต ที่คิดได้ มีความรู้สึก และกำลังกลัวความตาย!

             ปลายนิ้วแตะไกปืนมั่นคงขึ้น แววตามือปืนเป็นประกายจัดจ้า อีกไม่กี่ก้าว เหยื่อจะเดินถึงรถ เป็นช่วงเวลาที่ตำรวจนอกเครื่องแบบเหล่านั้นเปิดช่องโหว่ จุดตาย ให้มือปืนเช่นเขาได้ปล่อยกระสุน

             ความอำมหิตถูกปลุกขึ้นในใจมือปืน มโนธรรมความเมตตาอันเป็นสมบัติของมนุษย์ถูกพล่าผลาญ ความอำมหิตเช่นนี้ถูกสะสมเนิ่นนานจากการเข่นฆ่าผู้คนมากมาย ด้วยมองเห็นว่ามันเป็นแค่งาน

             คลื่นอำมหิตแผ่จากใจมือปืน สายตาเพ่งผ่านกล้อง เหยื่อเดินมาถึงจุดสังหาร เขาเพิ่มแรงที่ปลายนิ้วเพื่อเหนี่ยวไก

             ทว่า...ก่อนไกปืนจะถูกเหนี่ยว กระสุนจะวิ่งออกจากรังเพลิง สิ่งประหลาดก็บังเกิดแก่มือปืนโดยไม่คาดหมาย

             สายตาที่มองผ่านกล้องไม่เห็นเหยื่ออยู่ในนั้นอีกแล้ว ภาพซึ่งปรากฏแทนที่ คือใบหน้าเรียบๆ จืดๆ ของชายวัยกลางคนจอนผมหงอกขาว ดวงตาจ้องตรงมายังมือปืนหนุ่มด้วยประกายกล้า แฝงความลึกลับน่าขนลุก

             ใบหน้ามือปืนผงะหงายคล้ายโดนแรงปะทะที่มองไม่เห็น มือสองข้างแข็งเกร็งค้าง แก้มที่แนบพานท้ายปืนปรากฏจุดแดงขึ้นมาเป็นปื้น เหงื่อเม็ดใหญ่ ๆ ผุดเต็มหน้าผาก ก่อนร่างจะสั่นสะท้านหงิกเกร็ง

             มันไม่ได้สะท้านเนื่องจากความหนาวเย็นใดๆ หากแต่สะท้านด้วยความรู้สึกราวกับมีสัตว์ตัวเล็กๆ นับหมื่นนับแสนเข้าไปชอนไชทั่วร่างด้วยความอาฆาตแค้น...อำมหิต...ไม่ต่างจากจิตใจเขายามเหนี่ยวไกสังหารผู้คน







บทที่ ๑



             เย็นย่ำ แดดอ่อนๆ โรยตัวรอบชุมชนคนหาเช้ากินค่ำ แสงสีเหลืองอมส้มอ่อนทาทาบหลังคาสังกะสีของบ้านแต่ละหลังที่แทบจะเกยกันชนิดไก่บินไม่ตก

             ริมถนนมีตึกเก่าสองคูหา ติดป้าย ‘คลินิกคนยาก’

             อุปกรณ์ เครื่องมือแพทย์ภายในคลินิกแห่งนี้ไม่แตกต่างจากคลินิกเก่าล้าสมัยทั่วไป ที่พอดูได้เห็นจะเป็นความสะอาด มีระเบียบ ยาในตู้ยังใหม่ เครื่องมือแพทย์ยังใช้งานได้ ไม่ขึ้นสนิม

             นายแพทย์หนุ่มนั่งเอนตัวพิงพนักเก้าอี้ในห้องพัก เหยียดขายาวบนเก้าอี้อีกตัวที่น่าจะเป็นเก้าอี้คนไข้ ในมือถือการ์ตูนเล่มหนา ก้มหน้าก้มตาอ่าน ไม่สนใจสิ่งรอบตัว

             ครู่ใหญ่มีเสียงเคาะเบาๆ ประตูเปิดแง้ม ลุงไม้ ชายวัยกลางคนผู้ดูแลคลินิก โผล่หน้าเข้ามา

             “อาจารย์หมอโทร. มาบอกว่าอีกชั่วโมงจะมาถึง ถ้าคุณหมอมีธุระ จะกลับก่อนก็ได้เลยครับ”

             ‘คุณหมอ’ เงยหน้าขึ้น เผยนัยน์ตาเรียวรีสีน้ำตาลอ่อนใต้คิ้วคมเข้ม หนวดเคราเป็นไรเขียว ริมฝีปากสีสดแย้มรอยยิ้มสดใส

             “ไม่เป็นไร หมอยังอ่านการ์ตูนไม่จบ จะเฝ้าคลินิกให้” เขาพูดเหมือนเห็นว่าการนั่งอ่านการ์ตูนเป็นงานสำคัญนักหนา

             “ครับ หมอหมาก” ลุงไม้รับคำก่อนแอบส่ายหน้าระอาใจ พร้อมงับประตูลง

             ‘หมอหมาก’ หรือที่คนแถวนี้แอบเรียกว่า ‘หมอเคราเขียว’ เพิ่งมานั่งประจำที่คลินิกคนยากได้แค่สองสามสัปดาห์ ช่วงอาจารย์หมอเจ้าของคลินิกคนยากติดงานประจำที่โรงพยาบาล

             สองสามสัปดาห์ที่ผ่านมา หมอเคราเขียวทำให้คนแถวนี้ลืมภาพหมอเคร่งขรึม น่าไว้ใจ ในโรงพยาบาลไปเสียสิ้น

             วันทั้งวัน ถ้าไม่มีคนไข้ แกก็นั่งอ่านหนังสือการ์ตูน ไม่ก็เล่นเกมในมือถือ ตกเย็นวันไหนขี้เกียจกลับบ้าน แกก็ไปร่วมวงเตะตะกร้อกับพวกหนุ่มๆ ในชุมชน ผมเผ้าไม่ค่อยสนใจจะตัดหรือหวีให้เรียบร้อย หนวดเคราปล่อยเขียวครึ้ม ไม่ค่อยโกน จนได้สมญาหมอเคราเขียว

             ลุงไม้ไม่ค่อยศรัทธาความสามารถของหมอหนุ่มคนนี้สักเท่าไร คนไม่สนใจดูแลตัวเองแบบนี้จะดูแลรักษาคนป่วยได้อย่างไร

             คนดูแลคลินิกมาเป็นสิบปีอย่างลุงไม้จับสังเกตได้ว่าเวลามีคนป่วยมาหา หมอเคราเขียวมักจ่ายแค่ยาแก้ปวดลดไข้ ถ้ามีคนเจ็บอาการหนักหน่อยหามมาถึง หมอก็จะไม่รักษา สั่งให้รีบนำตัวส่งโรงพยาบาลทันที อย่างนี้จะไปมีความสามารถอะไร ลุงไม้คิดว่าตัวเองน่าจะรักษาหรือให้ยาคนป่วยได้ดีกว่าแพทย์หนุ่มที่วันๆ เอาแต่นั่งอ่านการ์ตูนคนนี้ด้วยซ้ำไป

             ลุงไม้แอบนินทาหมอเคราเขียวอยู่ในใจ หารู้ไม่ว่าทันทีที่ประตูห้องปิด คุณหมอก็ปิดหนังสือการ์ตูนในมือ วางลงบนโต๊ะ ขยับตัวบิดขี้เกียจ อ้าปากหาวหวอดใหญ่ ลุกขึ้นยืน สะบัดแข้งสะบัดขาไล่ความเมื่อยขบ นัยน์ตาเรียวรีที่มักทอประกายรื่นรมย์ไม่ใส่ใจเรื่องราวใดกลับแปรเปลี่ยนเป็นจริงจัง

             เขาเดินไปตรวจดูความเรียบร้อยของเตียงคนไข้ เปิดตู้ หยิบเครื่องมือและอุปกรณ์การผ่าตัดมาตระเตรียมไว้ให้พร้อม ตรวจเช็คยาต่างๆ แล้วนำมาวางเรียงเป็นระเบียบ จากนั้นก็ถอยมายืนดูสิ่งที่ตนตระเตรียม พอเห็นบางอย่างขาด บกพร่องไป ก็หยิบมาวางไว้ให้สะดวกแก่การหยิบใช้ จนทุกอย่างเรียบร้อยค่อยยิ้มออก

             เปิดประตูห้องไปยังริมถนนหน้าคลินิก ระบายลมหายใจแผ่ว ขยับไม้ขยับมือให้ร่างกายผ่อนคลาย ก่อนเดินช้าๆ ไปด้านข้างตึก มองไปยังชุมชนที่อยู่ในซอยด้านหลัง แววตาบอกถึงการรอคอยเรื่องราวบางอย่าง

             ไม่นานเขาก็ได้ยินเสียงเอะอะดังลั่นมาจากในซอย จากนั้นจึงเห็นคนหนุ่มสองคนช่วยกันยกเปลที่มีร่างเด็กชายคนหนึ่งในชุมชน ใบหน้าเขียว ปากคล้ำ กำลังนอนบิดตัวอย่างเจ็บปวดทรมานเข้ามา

             “หมอ...หมอคร้าบ...ช่วยด้วย” เสียงคนแบกเปลดังมาก่อนตัว

             หมอหมากเห็นเด็กชายบนเปลก็จำได้ว่าเคยเตะตะกร้อตอนเย็นด้วยกัน ลักษณะอาการเช่นนั้นพอคาดเดาสมมุติฐานของโรคได้สองสามส่วน

             “พาไปที่เตียงในห้องหมอเลย” แพทย์หนุ่มสั่ง ทุกคนทำตามโดยไม่ไถ่ถาม



             พอคนป่วยถูกวางบนเตียงเรียบร้อย คุณหมอก็หันไปถามคนที่หามเด็กมาส่ง

             “ไอ้หนูนี่ไปโดนอะไรมา”

             “ไม่รู้ครับ เห็นมันเล่นบอลกับเพื่อนอยู่ดีๆ จู่ๆ ก็ล้มลงบิดตัวร้องไม่ออก พูดอะไรไม่ได้แบบนี้”

             คนเป็นหมอมองดูผู้ป่วยอีกครั้ง

             “เด็กกินอะไรระหว่างเล่นบอลหรือเปล่า”

             “เอ...ไม่ทราบครับ” คนหามมาไม่แน่ใจ

             “กินๆ ที่ข้างสนามเห็นเปลือกเงาะกองเต็มเลย” คนที่มาด้วยช่างสังเกตกว่า

             “เรียกรถพยาบาลดีมั้ยหมอ” ลุงไม้ถาม เพราะถ้าหมอหมากเจอคนป่วยประเภทนี้ก็จะสั่งเรียกรถพยาบาลอย่างเดียว

             “พวกคุณออกไปโทร. เรียกรถพยาบาลให้ที” หมอบอกกับพวกที่หามเด็กมาส่ง

             “ครับ” คนกลุ่มนั้นรับคำแล้วรีบพากันออกไปโทรศัพท์โดยไม่ลังเล ซักถาม

             ลุงไม้แอบเบ้หน้า แกแกล้งถามประชดแท้ๆ หมอเคราเขียวกลับสั่งให้ทำจริง เด็กหายใจไม่ออกจนหน้าเขียวปากคล้ำแบบนี้ ทำไมไม่คิดทำอะไรที่ดีกว่าโทร. เรียกรถโรงพยาบาล

             “ลุงอยู่ช่วยหมอก่อน” หมอหมากพูดเมื่อเห็นลุงไม้ขยับตัวจะออกจากห้อง

             “หมอจะให้ผมทำอะไรล่ะ” แกถามเสียงแข็ง

             “เม็ดเงาะน่าจะไหลไปอุดทางเดินหายใจเด็ก ผมต้องรีบเจาะคอให้แก ไม่งั้นเด็กตายแน่ ลุงช่วยผมจับเด็กไว้ที อย่าให้แกดิ้น เดี๋ยวจะเป็นอันตราย”

             ลุงไม้ฟังอย่างไม่เชื่อหู หมอหมากแค่มองดูอาการเด็ก ซักถามคนที่หามมาสองสามคำ ก็สามารถวินิจฉัยโรคได้ทันที อีกทั้งยังไม่แสดงท่าทางให้ญาติของเด็กวิตกในอาการอันตรายขั้นนี้

             “เร็วสิลุง” หมอหมากพูดขึ้นเมื่อตนเองเตรียมพร้อม สวมถุงมือ ใส่หน้ากาก ถือมีดแล้ว แต่ลุงไม้ยังยืนทื่อ ไม่ได้สติ

             ลุงไม้รีบเข้าไปจับตัวเด็ก ด้วยความที่แกยังไม่เคยเจอเคสแบบนี้ จึงทำได้ไม่ดีนัก

             “ไม่ใช่อย่างนั้น...จับท่านี้ พลิกตัวเด็กขึ้นมา หมอจะได้เจาะคอได้”

             หมอหมากแนะนำเสียงอ่อนโยน แฝงด้วยพลังบางอย่างที่โน้มนำให้แกทำตามอย่างผ่อนคลาย

             “พร้อมนะลุง” เจ้าของใบหน้าใต้หน้ากากพูดกับแก

             “ครับ”

             ลุงไม้ไม่รู้ตัวเลยว่า เหตุใดตนเองถึงเชื่อมั่นในตัวหมอหมากขนาดนี้ เชื่อมั่นในหมอที่เคยนึกดูแคลนความสามารถ เชื่อมั่นในหมอที่แกเคยเบ้หน้าอย่างระอาเสมอ

             บัดนี้ หมอหมากไม่เหมือนหมอที่แกเห็นอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน กิริยาท่าทางราวกับเป็นคนละคน โดยเฉพาะดวงตาคู่นั้นมันมีประกายจัดจ้า เข้มข้นด้วยพลังแห่งการช่วยเหลือผู้คนอย่างที่แกไม่เคยเห็นจากใครมาก่อน

             ปลายมีดถูกเจาะลงไปตรงลำคออย่างแม่นยำ เลือดฉีดพุ่งขึ้นมากระทบหน้ากากของหมอ นัยน์ตาคู่นั้นไม่กะพริบสักนิด มือทั้งสองข้างยังมั่นคง เสียงดังฟู่ของลมที่อุดตันถูกปล่อยออกมาจากรอยเจาะ ร่างแข็งเกร็งของเด็กชายค่อยผ่อนคลายลง



             การช่วยชีวิตเด็กชายผ่านไปอย่างเรียบร้อยโดยใช้เวลาไม่มากเลย กระนั้นลุงไม้ก็แทบทรุดลงกับพื้น ชั่วเวลาสั้นๆ นี้ทำให้แกตื่นเต้น เหน็ดเหนื่อยอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน

             “เรียบร้อยแล้ว” หมอหมากถอดหน้ากาก ถุงมือออก ยิ้มให้ลุงไม้ด้วยแววตาไม่ผิดจากหมอเคราเขียวคนเดิม

             “แล้วเอายังไงต่อ” ลุงไม้ถามอย่างคนสติไม่อยู่กับตัว

             “เดี๋ยวเราก็รอให้รถพยาบาลมารับ จะได้ให้หมอทางนั้นใช้เครื่องมือตรวจดู แล้วเอาสิ่งที่อุดตันออกมา ตอนนี้หมอจะออกไปบอกพวกที่พาเด็กมาส่งก่อน จะได้สบายใจ ฝากลุงดูเด็กแป๊บนึง แต่ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงแล้วล่ะ”

             หมอหมากเดินออกจากห้อง ลุงไม้ค่อยได้สติ หันกลับไปมองคนป่วยที่นอนสงบอยู่บนเตียง การเจาะคอช่วยชีวิตเด็กเมื่อครู่ผ่านไปเหมือนความฝัน ไม่น่าเชื่อว่าทุกอย่างจะเรียบร้อย เสร็จสมบูรณ์ขนาดนี้

             ทั้งหมดคือฝีมือของหมอที่แกเคยนึกดูถูกมาก่อน



             หลังจากรถพยาบาลมาถึง หมอหมากก็ขึ้นรถไปกับคนเจ็บด้วย และอีกไม่ถึงสิบนาทีต่อมา อาจารย์หมอเจ้าของคลินิกก็กลับเข้าคลินิก ลุงไม้เอ่ยปากทักทาย

             “มาถึงแล้วหรือครับอาจารย์หมอ” กับ ‘หมอใหญ่’ คนนี้ ลุงไม้ให้ความเคารพนับถือมาตลอด

             “อือ...ที่คลินิกคงสนุกกันใหญ่สินะ แค่หมอจอดรถลงมาก็มีชาวบ้านมารายงานเรื่องไอ้หนูลูกตาพงษ์มันเกือบตายน่ะ” หมอใหญ่พูดอย่างคนรู้จักคุ้นเคยกับผู้คนในละแวกชุมชนนี้เป็นอย่างดี

             “ครับ วุ่นวายกันจริง ๆ ...ดีที่หมอหมากแกอยู่ด้วย” ลุงไม้เล่าด้วยน้ำเสียงแปลกจากเดิม

             อาจารย์หมอหัวเราะหึๆ ก่อนเข้าไปดูสภาพเตียงคนป่วย พร้อมกวาดตาสังเกตการจัดวางเครื่องไม้เครื่องมือ อุปกรณ์การแพทย์ และยาต่างๆ ฝีมือหมอหมากอย่างละเอียด

             “ไง...ไม่เรียกเขาว่าหมอเคราเขียวแล้วเหรอ” หมอใหญ่แกล้งถาม

             ลุงไม้หัวเราะแหะๆ ไม่ตอบคำถาม

             “ไอ้หนูนี่มันโชคดีนะที่หมอหมากเขาอยู่ที่นี่” อาจารย์หมอพูดจริงจัง

             “โชคดีอะไรครับ ตอนแรกผมกลัวหมอเคราเขียวจะเจาะคอลูกไอ้พงษ์ผิดจนมันเลือดไหลไม่หยุดตายไปน่ะสิไม่ว่า” ลุงไม้หาเรื่องค้านจนได้

             อาจารย์หมอหัวเราะเบาๆ เมื่อได้ยินสรรพนามของคุณหมอหนุ่มอีกครั้ง

             “ไม้รู้อะไรมั้ย...หมอเคราเขียวที่คนแถวนี้เขาแอบเรียกกันน่ะ เป็นถึงศัลยแพทย์มือหนึ่งเชียวนะ ขนาดศัลยแพทย์ชื่อดังในอเมริกาหลายคนยังยอมรับในฝีมือเลย รู้มั้ย...ค่าผ่าตัดของหมอหมากที่นั่นครั้งละเท่าไหร่ แค่เจาะคอไอ้หนูน่ะมันเรื่องเล็ก”

             “ถ้าเก่งขนาดนั้น แล้วทำไมถึงมาอยู่คลินิกเล็กๆ ของเราล่ะ” ลุงไม้สงสัย

             “แกคงอยากพักผ่อน” อาจารย์หมอตอบยิ้ม ๆ

             “อ้าว...อยากพักผ่อน ทำไมไม่ไปเที่ยวตากอากาศ หรือไม่ก็นอนเล่นอยู่กับบ้านล่ะ”

             “หมอหมากเขาคิดอะไรไม่ค่อยเหมือนคนอื่นหรอก หลังจากสร้างชื่อเสียงจนเป็นศัลยแพทย์มือหนึ่งที่อเมริกาแล้ว แกก็ไม่คิดกอบโกยเงินทองชื่อเสียงอะไรต่อ กลับไปทำงานให้มูลนิธิแห่งหนึ่งซึ่งจัดทีมแพทย์ไปช่วยเหลือคนในประเทศด้อยพัฒนาแถวแอฟริกา แล้วประเทศแถบนั้นน่ะมันก็มีสงครามกันบ่อยๆ หมอหมากเขาเจอมาทุกรูปแบบ งานรักษาหินๆ แบบไหนก็ผ่านมาหมดแล้ว”

             “หา...” คราวนี้ลุงไม้อ้าปากค้าง คาดไม่ถึง

             อาจารย์หมอยิ้มอารมณ์ดี

             “การพักผ่อนของเขาคือได้มานั่งอ่านการ์ตูนสบายๆ เจอคนป่วยธรรมดา แค่จ่ายยาลดไข้ แก้ปวด นานๆ ค่อยเจอเคสยากๆ สักที คนแถวนี้โชคดีที่มีหมอระดับนี้มาอยู่ด้วย แต่แกคงอยู่ไม่นานหรอก ถ้าเจอจุดหมายใหม่ของตัวเองเมื่อไหร่ หมอหมากก็คงเดินทางต่อไป”

             ลุงไม้พูดอะไรไม่ออก ได้แต่นึกเสียใจที่แอบค่อนแคะ เหน็บแนม ปรามาสหมอหนุ่มคนนี้อยู่เสมอ แกตั้งปณิธานกับตัวเองว่า ต่อไปจะทำตัวดีกับหมอเคราเขียวคนนี้ให้มากกว่าเดิม

             อ้อ...ถ้าคุณหมอไม่ชอบ แกจะเลิกแอบเรียกหมอว่า ‘หมอเคราเขียว’ ลับหลังเลยก็ได้



             หัวค่ำ

             แพทย์หญิงเอื้อกานต์ขับรถขึ้นมาจอดในช่องจอดรถของคอนโดฯ ด้วยอาการอ่อนล้า ผู้ป่วยฉุกเฉินที่มาโรงพยาบาลหลายรายวันนี้อาการหนัก ทำเอาหมอและพยาบาลวุ่นวายเหน็ดเหนื่อยจนเย็นค่ำ

             คนไข้ฉุกเฉินรายหนึ่ง อุณหภูมิร่างกายสูง มีไข้ เป็นผื่นแดง มีอาการเจ็บปวดทรมานรุนแรง เอื้อกานต์จำเป็นต้องช่วยเหลือด้วยการแอบใช้ ‘พลังพิเศษ’ ของตนบรรเทาความเจ็บปวด จนคนไข้อาการดีขึ้น ไม่ทุรนทุราย กระสับกระส่าย

             พลังพิเศษที่ช่วยรักษาคนป่วยได้เช่นนี้ เป็นความลับส่วนตัวซึ่งมีแค่น้องชายฝาแฝดของเธอเท่านั้นที่รู้...

             จอดรถเรียบร้อย คุณหมอสาวก็ตั้งสติ ระบายลมหายใจยาว กำหนดเหนี่ยวนำความอ่อนล้า เหน็ดเหนื่อย ออกมาทางลมหายใจ ร่างกายยังอ่อนเพลีย ทว่าจิตใจค่อยกระปรี้กระเปร่ามีกำลังขึ้น

             หญิงสาวหยิบของจุกจิกใส่กระเป๋า เตรียมเปิดประตูลงจากรถ ชั่วขณะนั้นจิตก็สัมผัสกระแสหนักๆ แน่นๆ กระจายเป็นกลุ่มอยู่เบื้องนอก

             มือที่จะผลักประตูรถกลับวางบนตัก สูดลมหายใจเข้าและปล่อยออกมายาว ลึก สติ สมาธิ มั่นคงกว่าเดิม พอที่จะรับผัสสะแปลกปลอมชัดเจน

             นอกจากพลังพิเศษแล้ว เอื้อกานต์ยังมี ‘สัมผัสพิเศษแห่งจิต’ สัมผัสนั้นเตือนถึงอันตรายใกล้ตัว สายตากวาดมองรอบลานจอดรถไม่พบสิ่งผิดปกติ แต่สัมผัสในใจบอกให้รู้ถึงกลุ่มก้อนหนักมืดตรงต้นเสาไม่ห่างจากรถที่เธอจอดนัก

             กลุ่มก้อนดำมืดนั้นมาจากจิตใจใครบางคนที่มีเจตนาร้าย คอยซุ่มดักรอเหยื่อแบบพวกมิจฉาชีพ

             หญิงสาวไม่แน่ใจว่ากลุ่มก้อนเจตนาร้ายเช่นนี้เป็นก้อนความโลภที่หวังปล้นชิงทรัพย์ หรือก้อนราคะ หื่นกระหาย ที่หวังปล้นและข่มขืน

             หยิบโทรศัพท์มือถือออกมา ตั้งใจโทร. เรียกยามให้ขึ้นมาบนนี้ แต่ปรากฏว่าแบตเตอรี่หมด คุณหมอระบายลมหายใจยาวอย่างขัดใจ คิดหาวิธีอื่น แต่ทบทวนดูแล้วไม่น่ามีทางไหนที่จะหาคนมาช่วยเหลือได้ภายในสองสามนาทีนี้เลย

             เอื้อกานต์รู้...มิจฉาชีพรายนี้ไม่มีทางปล่อยให้หล่อนหลบอยู่ในรถนานขนาดนั้นแน่!

             เมื่อไม่มีทางเลือกอื่น หญิงสาวจึงล้วงมือเข้าไปในกระเป๋า หยิบเครื่องช็อตไฟฟ้าออกมา เธอสามารถใช้มันได้คล่องมือ แต่ไม่ชอบใช้มันทำร้ายใคร

             ลงจากรถด้วยอาการปกติ ปิดประตู สะพายกระเป๋าโดยมือยังไม่ปล่อยจากเครื่องช็อตไฟฟ้า ก้าวห่างจากรถสองสามก้าว หญิงสาวก็รู้ว่ากลุ่มก้อนมืดดำนั้นกำลังเคลื่อนตัวอ้อมมาทางด้านหลัง

             หญิงสาวใช้แรงสะท้อนจากฝีเท้าที่กระทบพื้นเรียกสติ สมาธิพร้อม มองเห็นประตูที่จะไปขึ้นลิฟต์อยู่ไม่ไกล หวังว่าเจ้าผู้ร้ายที่ลอบตามหลังจะเปลี่ยนใจ ไม่คิดทำอะไรตามอำนาจฝ่ายต่ำบัญชา

             คราวนี้เอื้อกานต์ได้ยินเสียงฝีเท้ามันชัดเจน กะระยะได้ว่าอยู่ห่างจากเธอไม่เกินสี่ห้าก้าว และกำลังร่นระยะเข้ามาอย่างรวดเร็ว

             เมื่อสัมผัสล่วงหน้าได้ถึงแรงปะทะที่จะเข้ามา หญิงสาวก็เบี่ยงกายหลบ ชายร่างผอมดำตะครุบวืด ห่างจากตัวเธอเพียงฝ่ามือเดียว จากนั้นมันก็รีบพลิกตัว กระโจนเข้ามาอีกครั้ง

             เอื้อกานต์เอี้ยวตัวนิดเดียวก่อนจี้เครื่องช็อตไฟฟ้าเข้าไปยังจุดที่เล็งไว้แต่แรกพอเหมาะพอดี

             มิจฉาชีพยามวิกาลส่งเสียงร้องอ๊าก ร่างกระตุกเกร็ง ก่อนทรุดฮวบลงกองกับพื้น เอื้อกานต์ถอยหลัง ยังไม่กล้าเข้าไปตรวจดูอาการคนร้าย ถึงจะมั่นใจว่าอีกฝ่ายไม่น่าลุกได้ในเวลาอันสั้น แต่เพื่อความไม่ประมาท เธอจึงค่อยๆ ถอยหลังไปทางลิฟต์คอนโดฯ หวังจะใช้โทรศัพท์ภายในเรียกยามให้ขึ้นมาจัดการต่อ

             ด้วยสายตายังมองคนร้าย จึงไม่ทันสังเกตด้านหลังว่ามีใครยืนดักอยู่บ้าง รู้สึกตัวอีกทีเธอก็ถอยไปชนร่างสูงแข็งแรงเข้าเต็มที่

             ...พลั่ก...

             “อุ๊ย” หญิงสาวอุทาน

             “เอื้อเอ๋ย...จะเก่งทั้งทีก็ทำไม่ได้ตลอด เกือบได้คะแนนเต็มแล้วเชียว ดันมาตายตอนจบซะได้” เสียงห้าวๆ กลั้วหัวเราะดังขึ้น

             “เกื้อ...” คุณหมออุทานโล่งอก เมื่อเห็น ‘ทีเกื้อ’ นายตำรวจหนุ่มน้องชายฝาแฝดของตนยืนอยู่

             “ไม่ต้องรีบเข้าไปตามยามหรอก เกื้อโทร. เรียกทั้งยามทั้งตำรวจท้องที่แล้ว เดี๋ยวคงมาถึง”

             ได้ยินอย่างนั้นหญิงสาวก็ชะงัก มองหน้าน้องชายแล้วหันไปดูมิจฉาชีพที่ยังไม่ฟื้น

             “อย่าบอกนะว่าไอ้หมอนั่นเป็นคนของเกื้อ ส่งมาทดสอบเอื้อ” คุณหมอตั้งข้อสงสัยเสียงเขียว

             นายตำรวจหนุ่มส่ายหน้า นัยน์ตาพราวรอยยิ้ม

             “ใครเขาจะทำเรื่องเล่นพิเรนทร์อย่างนั้นเล่า เกื้อกลับมาถึงก่อนเอื้อได้สักพักแล้ว เห็นไอ้หมอนี่มันทำลับๆ ล่อๆ อยู่แถวลานจอดรถ เลยตั้งใจจับมันมาคุยด้วยสักหน่อย แต่มันก็ไวทายาด หายตัวไปเฉยเลย”

             ทั้งสองพูดพลางเดินเข้าไปยังร่างคนร้าย เมื่อมีน้องชายอยู่ใกล้ เอื้อกานต์ก็กล้าเข้าไปตรวจดูอาการคนร้าย ไม่อยากให้ตนเองทำอะไรผิดพลาดจนเกิดเหตุน่าเสียใจทีหลัง

             “เป็นยังไง ไม่ตายใช่มั้ย” ทีเกื้อถามขณะพี่สาวก้มลงตรวจชีพจร

             “ฮื่อ...แค่สลบไปน่ะ” ตอบเสร็จก็ลุกขึ้นมาถามน้องชายต่อ “แล้วเป็นยังไง พอเกื้อจับมันไม่ได้ ก็เลยซุ่มรอมันอยู่แถวนี้เหรอ”

             “ไม่ถึงขนาดนั้นหรอก เกื้อตั้งใจกลับขึ้นไปบนห้องแล้ว พอดีรู้สึกได้ว่าเอื้อกำลังกลับมาถึงเหมือนกัน เลยอยู่รอรับ”

             สองพี่น้องสบตากันอย่างเข้าใจ ทั้งคู่มีสัมผัสพิเศษเชื่อมโยงกันจนรับรู้ความเป็นไปของอีกฝ่ายได้ไม่ยาก

             “แล้วทำไมปล่อยให้เอื้อบู๊กับมันอยู่คนเดียวล่ะ” หญิงสาวถาม

             “ก็อยากรู้...” คนเป็นน้องชายเสมองไปทางอื่น ไม่สบตาด้วย “ถ้าเกื้อไม่อยู่...เอื้อจะดูแลตัวเองได้มั้ย”

             “ได้อยู่แล้วล่ะย่ะ...ท่านสารวัตร!” คุณหมอกระแทกคำ ประชดกึ่งขบขัน

             ตั้งแต่โตมาด้วยกัน ทีเกื้อมักทำตัวเป็นบอดี้การ์ดของเธอ คอยไปไหนมาไหนในที่เสี่ยงต่อความปลอดภัยด้วยเสมอ จนเขาสอบเข้าโรงเรียนเตรียมนายร้อยฯ ไม่ค่อยมีเวลาติดตามดูแล จึงพาเธอไปเรียนศิลปะการป้องกันตัว พาไปหัดยิงปืนจนคล่อง กระทั่งคนเป็นพี่สาวต้องถามด้วยความหมั่นไส้

             ‘ให้เอื้อฝึกซะขนาดนี้ ตั้งใจส่งไปออกรบเลยหรือเปล่า!’

             “แค่นี้ไปสู้กับใครเขาไม่ได้หรอก แต่พอใช้ป้องกัน เอาตัวรอดได้สบาย ครูของเกื้อเคยสอนว่า...ถ้าต้องการปกป้องคนที่เรารัก...ก็ต้องสอนให้เขาดูแล ปกป้องตัวเองให้ได้”

             เพราะเหตุผลนี้ คนเป็นพี่สาวจึงเลิกบ่นน้องชาย ยอมให้ลากตัวไปยิงปืน ออกกำลังแบบผู้ชาย โดยไม่อิดเอื้อน

             “ยังไม่ต้องเรียกสารวัตรตอนนี้หรอก” เสียงทีเกื้อปลุกหญิงสาวจากความคิด “พรุ่งนี้ถึงจะไปรับตำแหน่ง”

             “เกื้อต้องไปขึ้นเครื่องแต่เช้าเลยใช่มั้ย” เอื้อกานต์ชวนคุยระหว่างรอตำรวจและยาม

             “ใช่ ไปไฟลท์เช้า เอื้อไม่ต้องไปส่งหรอก”

             “เสร็จภารกิจทางเหนือคราวนี้แล้ว กลับมาจะแต่งงานเลยหรือเปล่า”

             “ก็น่าจะเป็นอย่างนั้นนะ” ชายหนุ่มยิ้ม ประกายตามีความสุข

             คนเป็นพี่สาวมองรอยยิ้มของน้องชาย รู้สึกได้ถึงความอบอุ่นใจ อีกไม่นาน...น้องชายฝาแฝดที่อยู่ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมาตลอดชีวิตจะมีครอบครัวเป็นของตนเองแล้ว

             เพียงแต่ก่อนหน้านั้นเขาต้องขึ้นไปรับตำแหน่งใหม่ทางภาคเหนือ ทำงานชิ้นสำคัญให้เรียบร้อยเสียก่อน ทำให้ต้องจากบ้านเป็นเวลาหลายเดือน

             ยืนคุยกันไม่นาน ยามและตำรวจก็มาถึง สองพี่น้องเสียเวลาให้ปากคำอยู่พักใหญ่ โชคดีที่ผู้ร้ายรายนี้เคยก่อคดีประเภทเดียวกันหลายครั้ง มีเจ้าทุกข์แจ้งความหลายราย ทั้งยังมีหมายจับ เอื้อกานต์เลยกลายเป็นฮีโร่จับโจรโดยไม่เจตนา



             กว่าจะขึ้นมาบนห้องก็ดึกพอสมควร

             “เกื้อจัดกระเป๋าเสร็จหรือยัง” พี่สาวถาม

             “เสร็จแล้ว ไม่มีอะไรมากหรอก” ทีเกื้อตอบแล้วนึกถึงอีกเรื่องได้ “เอ่อ...แล้วทำไมไม่ยักถามถึงไอ้นภมันบ้างล่ะ...มันก็ขึ้นเครื่องพรุ่งนี้เหมือนกัน แต่มันลงใต้ ไม่ได้ขึ้นเหนือเหมือนเกื้อ”

             นภเป็นตำรวจเพื่อนสนิททีเกื้อ ติดพันชอบพอเอื้อกานต์มาเป็นปีๆ ทั้งที่หญิงสาวไม่เคยแสดงท่าทีว่ามีใจให้

             “อือ...คุยกันแล้ว เขามาหาที่โรงพยาบาล บอกว่าจะไปรับตำแหน่งใหม่ทางใต้” พี่สาวพูดอย่างเห็นเป็นเรื่องธรรมดา

             “แล้วไง” ทีเกื้อถาม

             “แล้วไง” เอื้อกานต์ย้อน ทั้งที่เข้าใจความหมายของเขา

             “ไอ้นภมันมาขอสัญญาอะไรหรือเปล่า”

             “ไม่หรอก เอื้อบอกเขาชัดเจนไปแล้วว่าไม่มีทางคิดกับเขาเป็นอย่างอื่นเกินเพื่อนของน้องชายได้”

             “ชัดขนาดนั้นเชียว”

             “ชัดที่สุดเท่าที่เคยพูดเรื่องนี้กันมา” น้ำเสียงหญิงสาวหนักแน่น “เอื้อไม่อยากให้เขามาเสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์”

             ทีเกื้อพยักหน้า ‘เห็น’ ความรู้สึกในใจบางอย่างของพี่สาว

             “ที่พูดได้ชัดเจนอย่างนี้กับไอ้นภ เพราะหมอเคราเขียวคนนั้นหรือเปล่า”

             “เกี่ยวอะไรกับหมอหมากล่ะเกื้อ” หญิงสาวเอ็ดน้องชาย

             หมอหมากเป็นศัลยแพทย์คนดังที่มีนิสัยไม่เหมือนใคร เอื้อกานต์รู้จักเขาในช่วงที่ดูแลคลินิกคนยากแทนอาจารย์หมอ ตอนนั้นหลานสาวเขาเคยเป็นคนไข้ของเธอ แม่หนูน้อยติดเอื้อกานต์มาก ร่ำร้องให้น้าชายพามาหาถึงที่คลินิก เปิดโอกาสให้สองคนได้พูดคุยกันจนเขาสนใจ สมัครมาช่วยงานที่คลินิกคนยากในเวลาต่อมา

             ทีเกื้อพบหมอหมากที่คลินิกสองสามครั้งตอนไปหาพี่สาว ความที่ ‘รู้จิตใจ’ เอื้อกานต์ดี เขาจึงรู้สึกได้ว่า ความสนใจที่เธอมีต่อหมอหมาก ไม่เหมือนความรู้สึกที่มีต่อนภเพื่อนของเขา

             “ก็ไม่มีอะไร...ถ้าเอื้อไม่เล่าโพรไฟล์ของหมอเคราเขียวให้ฟังก่อน เกื้อยังคิดว่าเขาเป็นหมอกิ๊กก๊อก ที่เรียนแบบเกาะเพื่อนจนจบมาได้น่ะ”

             เอื้อกานต์หัวเราะ “จะบ้าเหรอเกื้อ หมอที่ไหนเขาเรียนเกาะเพื่อนแล้วจบมาได้ แล้วอย่าไปเรียกเขาว่าหมอเคราเขียวให้ได้ยินนะ”

             “ทำไม? เขาไม่ชอบเหรอ” น้องชายแกล้งกวนหาเรื่อง

             “ไม่หรอก เอื้อไม่เคยเห็นเขาสนใจซักทีว่าใครจะเรียกยังไง แต่คนเก่งระดับนี้ แถมมีจิตใจไม่ธรรมดา เราน่าจะให้เกียรติเขาบ้าง”

             น่าแปลก ขณะที่พูดถึงหมอหมาก จิตใจเอื้อกานต์กลับอ่อนโยนเหมือนมีสายน้ำชุ่มเย็นไหลรินผ่าน ชวนให้รู้สึกสดชื่น

             ความสดชื่นอุ่นใจของพี่สาว กระทบใจทีเกื้อ ชวนให้หวนคิดถึง ‘ใครบางคน’ ใบหน้านายตำรวจหนุ่มหม่นลง ก่อนหลุดคำถามที่ตนไม่คิดว่าจะออกจากปากเวลานี้ได้

             “สมมุตินะเอื้อ...สมมุติว่าเอื้อได้เจอคนรักที่พลัดพรากมานานหลายปี แต่เขาไม่เหมือนคนเดิมที่เรารู้จักแล้ว...เอื้อคิดว่าตัวเองจะยังรักเขาได้อยู่มั้ย”

             คำถามแปลกๆ ของน้องชายสะดุดใจหญิงสาว เธอจ้องตาเขาเพื่อค้นหาบางสิ่งที่ซ่อนเร้นอยู่ในใจ

             “คนรักที่พลัดพรากกันมานานหลายปี...” เอื้อกานต์ทวนคำ หวนนึกถึงคนคนหนึ่งซึ่งยังอยู่ในหัวใจ

             “พี่กลด!” ทีเกื้อเป็นฝ่ายเอ่ยชื่อนี้ขึ้น “สมมุติว่าพี่กลดยังไม่ตาย แต่นิสัย บุคลิกเขา เปลี่ยนไปจากเดิมจนแทบเป็นคนละคน...เอื้อคิดว่า...จะยังรักเขาได้อีกมั้ย”

             ทรงกลดเป็นชายคนรักที่เสียชีวิตจากเหตุเครื่องบินตกเมื่อหลายปีก่อน เขายังอยู่ในใจเอื้อกานต์เสมอ ยากจะมีใครทดแทนได้

             “ไม่รู้สิ” เอื้อกานต์นิ่งคิดอยู่นาน หลังจากมองไม่เห็นสิ่งซ่อนเร้นเบื้องหลังคำถามน้องชาย

             “สำหรับเอื้อ...คิดว่าคนเรามันก็เปลี่ยนแปลงไปทุกวัน ทั้งเอื้อ ทั้งเกื้อ ก็ไม่ใช่คนเดิมของเมื่อวานแล้ว...แต่การที่คนสองคนได้อยู่ร่วมกัน ค่อยๆ ยอมรับความเปลี่ยนแปลงของกันและกันทีละน้อย อย่างนั้นเอื้อว่าความรักมันจะสามารถยืนยาวได้”

             หญิงสาวหยุดพูดชั่วขณะ จ้องตาน้องชาย รู้ว่าอีกฝ่ายต้องการคำพูดที่ชัดเจนกว่านี้

             “เอื้อยอมรับว่ายังรัก ‘พี่กลดในวันก่อน’ แต่ถ้าได้เจอพี่เขาในวันนี้ แล้วเขาแตกต่างจากเดิมมากเกินไป เอื้อก็ไม่รู้เหมือนกันว่าใจตัวเองจะเป็นอย่างไร...จะยังหลงรักเงาในอดีตของเขา...หรือสามารถเกิดความรักครั้งใหม่กับตัวจริงในปัจจุบันได้”

             ทีเกื้อถอนใจ แววตาหดหู่ชั่วขณะ ก่อนรีบสลัดออก เกรงพี่สาวจับความในใจได้

             “เกื้อถามคำถามที่เป็นไปไม่ได้พวกนี้ไปทำไม” หญิงสาวย้อนถาม

             “นั่นสิ” ทีเกื้อยอมรับ “มันเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้จริงๆ นั่นแหละ แต่บางครั้งเกื้อก็คิดว่า...ถ้าเมื่อไหร่เอื้อสามารถหลุดจาก ‘เงา’ ความรักในอดีตได้ เอื้อก็น่าจะรักผู้ชายคนใหม่ได้ไม่ยาก อย่างไอ้หมอเคราเขียวคนนี้ก็ไม่เลวเหมือนกันนะ”

             “เกื้อไปแอบสกรีนหมอหมากเขาตั้งแต่เมื่อไหร่ ถึงรู้ว่าเขาไม่เลว” พี่สาวหมั่นไส้

             “รายนี้ไม่ต้อง...เอื้ออายุขนาดนี้แล้ว...ใครมาจีบก็รีบ ๆ ตกลงยอมไปเถอะ”

             “นี่...ไอ้เกื้อ...พอตัวเองจะแต่งงาน ก็รีบคิดเลหลังพี่สาวเลยเหรอ”

             เอื้อกานต์แกล้งขึ้นเสียง ทุบไหล่น้องชายด้วยความโมโหปนขัน ทีเกื้อหัวเราะเสียงดัง อารมณ์ในใจแปรเปลี่ยนเป็นสดใส จนคนเป็นพี่สาวไม่อาจรู้ว่า...น้องชายมีความลับบางอย่างซุกซ่อนอยู่ในใจ



             ดึกสงัด เวลาล่วงเข้าวันใหม่

             ทีเกื้อยังไม่นอน เขาออกมายืนรับลมที่ระเบียง มองแสงไฟหลากสีของเมืองหลวงเบื้องล่าง ระบายลมหายใจผะแผ่ว สายตาทอดไกลไปยังฟ้ามืดที่ถูกฉาบด้วยแสงไฟราตรี

             “ผมฝากดูแลเอื้อด้วยนะครับพี่กลด” นายตำรวจหนุ่มส่งเสียงผ่านสายลม จิตใจพุ่งตรงยังใครบางคนที่เขาเชื่อว่าอยู่ไม่ไกล ไม่เคยห่างจากพวกเขาสองพี่น้องเลย

             ตลอดชีวิตที่ผ่านมา ทีเกื้อมีความลับเรื่องเดียวที่จงใจปิดบังต่อพี่สาวฝาแฝด...ความลับที่เขาไม่รู้ว่าจะรักษาได้นานแค่ไหน

             ความลับนั้น...คือ...ทรงกลด คนรักของเอื้อกานต์ยังมีชีวิตอยู่!



(โปรดติดตามต่อฉบับหน้า)



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP