จุดหมายปลายธรรม Destination@Dharmma

เปลี่ยนโลก เปลี่ยนใจ


งดงาม
This e-mail address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it


143 destination



เมื่อเดือนที่แล้ว มีอยู่วันหนึ่ง ผมได้นั่งรถแท็กซี่เพื่อไปทำงานนอกสถานที่
ในขณะนั้น ฝนก็เริ่มตกหนัก และการจราจรก็เริ่มติดขัดมากขึ้น
คนขับแท็กซี่ได้เริ่มบ่นขึ้นมาว่า เหนือเขื่อนขาดน้ำ แต่ฝนไม่ยอมไปตก
ฝนดันมาตกใต้เขื่อนในเมืองอย่างนี้ ไม่ได้ช่วยอะไร
ฝนตกในเมืองอย่างนี้แล้ว ก็มีแต่ทำให้การจราจรติดขัด
แถมฝนตกหนัก ๆ ก็จะทำให้น้ำท่วมถนนหนทางต่าง ๆ ด้วย
ทำไมฝนถึงไม่ยอมไปตกเหนือเขื่อนนะ


ผมก็เคยได้ยินหลายท่านที่บ่นทำนองนี้มาก่อนนะครับ
แม้กระทั่งผมเองก็เคยบ่นทำนองเดียวกันนี้ในเวลาที่ฝนตกเช่นกัน
แต่ในวันนั้น ผมได้แสดงความเห็นในอีกมุมมองหนึ่งกับคนขับแท็กซี่นั้นว่า
ถ้าจะมองกันจริง ๆ แล้ว ในสมัยอดีต เช่น ยกตัวอย่างว่าสักร้อยปีก่อน
พื้นที่ในกรุงเทพฯ เองก็ยังเป็นพื้นที่การเกษตรอยู่ เราก็ต้องการน้ำฝน
ถ้าในอดีตซึ่งเราทำการเกษตรในพื้นที่ตรงนี้ และฝนตกอย่างนี้ เราก็คงชอบใจ
แต่เมื่อเวลาเปลี่ยนไป เราได้เปลี่ยนพื้นที่เกษตรตรงนี้ เป็นป่าคอนกรีต
เต็มไปด้วยตึกอาคารสำนักงาน คอนโดมิเนียม ห้างสรรพสินค้า
ตึกแถว หมู่บ้าน ถนนคอนกรีต (คูคลองหายไปเยอะแล้ว) ฯลฯ
เราก็เริ่มไม่ชอบใจที่ฝนตกในพื้นที่ตรงนี้แล้ว
ทั้ง ๆ ที่ฝนก็ตกเช่นเดิมตามธรรมชาติของเขา ฝนไม่ได้เปลี่ยนอะไร
แต่มนุษย์เราต่างหากที่เปลี่ยนพื้นที่ตรงนี้ให้เป็นดังใจเรา
แล้วเราก็อยากจะให้ฝนตกดังใจของเราอีกด้วย
สรุปคือมนุษย์เรานี่แหละที่พยายามเปลี่ยนโลก เปลี่ยนสิ่งแวดล้อม
เปลี่ยนสิ่งต่าง ๆ แล้วก็อยากจะให้ธรรมชาติเปลี่ยนแปลงให้เป็นดังใจเราอีกด้วย


คนขับแท็กซี่ได้ฟังแล้ว เขาไม่ได้ไล่ผมลงจากรถโทษฐานขัดจังหวะการบ่นนะครับ
แต่เขาได้สนับสนุนความเห็นนี้ โดยบอกว่า
มันก็จริงนะ ฝนมันก็ตกตามธรรมชาติของมัน
แต่มนุษย์เราเองที่ไปเปลี่ยนพื้นที่บ้านเมือง แล้วเรายังไปตำหนิที่ฝนตกเสียอีก
ซึ่งดูเหมือนว่าพอเขายอมรับได้ว่าฝนตกตามธรรมชาติของมันแล้ว
เขาก็ไม่ได้บ่นอะไรต่อนะครับ เขาก็นั่งเฉย ๆ ไม่ได้บ่นเรื่องฝนอีก
และก็ไม่ได้บ่นเรื่องอื่น ๆ อีกด้วย
ผมเองก็รู้สึกว่า จริง ๆ แล้ว ถ้าเขาจะบ่นเรื่องอื่นใดอีกก็ตาม
มันก็เป็นอย่างเดียวกันแหละครับว่า มันก็เป็นไปตามธรรมชาติของมัน


ถ้าจะมองไปรอบ ๆ ตัวในประเทศไทย หรือในประเทศอื่น ๆ ก็ดี
เราจะเห็นได้ว่ามนุษย์เราเปลี่ยนโลกทั้งใบให้เป็นไปตามที่ตนเองต้องการ
มนุษย์เราทั้งทำถนน ขุดอุโมงค์ ขุดแม่น้ำขุดคลอง ถมคลอง ถมทะเล สร้างเขื่อน
ระเบิดภูเขา ทำลายป่า ขุดพื้นขุดใต้ดินทำเหมือง ขุดน้ำมัน ฯลฯ
สารพัดที่จะเปลี่ยนแปลงโลกเพื่อความสะดวกสบายของเราเอง


ถ้าจะมองใกล้ตัวเข้ามาอีก เราก็จะเห็นได้ว่า
แม้เราเองก็พยายามจะเปลี่ยนแปลงสิ่งต่าง ๆ ใกล้ตัวให้เป็นดังใจเรา
เช่น เปลี่ยนสิ่งต่าง ๆ ภายในบ้าน เปลี่ยนสิ่งต่าง ๆ ภายในที่ทำงาน
รวมไปจนถึงพยายามเปลี่ยนคนอื่น ๆ คนรู้จัก หรือคนใกล้ตัวให้เป็นดังใจ


การพยายามเปลี่ยนสิ่งภายนอกทั้งหลายดังกล่าว
ไม่ได้แปลว่าจะเป็นเรื่องไม่ดีเสมอไปนะครับ
เพราะในหลายเรื่อง ๆ นั้น เราก็มีหน้าที่ที่จะต้องดูแลจัดการสิ่งต่าง ๆ ตามที่สมควร
เช่น บ้านเราสกปรก เราก็ควรทำความสะอาด
ของใช้ในบ้านเสียหาย เราก็ควรทำการซ่อมแซม
ลูกหลานคนในครอบครัวประพฤติไม่ดี เราก็ควรตักเตือนสั่งสอน เป็นต้น


แต่ในเรื่องของการศึกษาและปฏิบัติเพื่อการพ้นทุกข์แล้ว
เราพึงยอมรับว่าการเปลี่ยนสิ่งทั้งหลายภายนอกไม่สามารถช่วยให้เราพ้นทุกข์ได้จริง
เพราะเราไม่สามารถเปลี่ยนสิ่งทั้งหลายภายนอกหรือคนอื่น ๆ ให้เป็นดังใจได้ตลอดและทุกอย่าง
หากเรามุ่งที่จะเปลี่ยนสิ่งภายนอกหรือคนอื่น ๆ ให้เป็นดังใจได้ตลอดและทุกอย่าง
นั่นกลับจะเป็นสิ่งที่ทำให้เราทุกข์ใจเสียอีก โดยก็ทุกข์ตั้งแต่เราอยากจะไปเปลี่ยนแล้ว


หากเรามองให้ละเอียดลงไปอีก ถ้าเราไม่เปลี่ยนสิ่งภายนอกแล้ว
เราจะหันมาเปลี่ยนสิ่งภายในได้ไหม เราจะเปลี่ยนกายใจเราเองให้เป็นดังใจเราได้ไหม
เราสามารถสั่งกายเราได้จริงไหม เวลากายป่วยด้วยโรคใด เราก็สั่งให้กายหายป่วยทันที
เราสามารถสั่งใจเราได้จริงไหม เวลาที่ทุกข์ใจในเรื่องใด ๆ เราก็สั่งให้สุขใจในทันที
โดยจะเห็นได้ว่า เราก็ไม่สามารถจะสั่งใจเราให้เปลี่ยนไปตามความชอบใจของเราได้
เพราะว่าทั้งกายและใจของเราไม่ได้เปลี่ยนไปตามที่ใจเราอยากจะให้เป็น
ไม่ได้เป็นไปตามที่ใจเราจะสั่งให้เป็น แต่กายและใจนั้นเป็นไปตามเหตุปัจจัย


เช่นนี้แล้ว ในเมื่อเราทราบว่าสิ่งทั้งหลายรวมทั้งกายและใจเป็นไปตามเหตุปัจจัย
เราก็พึงสร้างเหตุปัจจัยดี ๆ เพื่อที่จะให้เกิดผลดีตามมาในภายหลัง
ถ้าต้องการให้กายและใจเราดี
สิ่งที่เราทำได้ ไม่ใช่ว่าเราไปฝึกสั่งกายและใจให้เป็นไปตามที่เราอยากจะให้เป็น
แต่พึงฝึกฝนกายและใจโดยสร้างเหตุปัจจัยที่ดีสำหรับกายและใจ
เพื่อให้กายและใจเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีตามเหตุและปัจจัยนั้น


แต่ในเรื่องการพ้นทุกข์นั้น หากเราภาวนาและเห็นว่าจริง ๆ แล้ว สิ่งทั้งหลายทั้งปวง
มันก็เปลี่ยนแปลงของมันเองอยู่ตลอดเวลาอยู่แล้ว
เพราะว่ามันไม่เที่ยง (อนิจจัง) ทนอยู่ไม่ได้ (ทุกขัง) และเป็นไปตามเหตุปัจจัย (อนัตตา)
ในเมื่อโดยสภาพของมันไม่เที่ยงแล้ว แม้เราจะไม่ไปทำอะไรมัน หรือจะไม่ไปเปลี่ยนมันเลย
มันก็จะเปลี่ยนอยู่แล้วล่ะ เพราะว่ามันไม่เที่ยง มันเกิดและก็ดับไปของมันอยู่เสมอ
หากเราฝึกฝนหมั่นภาวนาจนเกิดความเห็นจริงดังนี้แล้ว
ก็จะทำให้เราเห็นความไร้สาระของสิ่งต่าง ๆ ที่เกิดดับอยู่ตลอดนี้
และแก้ไขความเห็นผิดหรือความยึดถือในสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ว่าเป็นตัวเราหรือของเราได้
ถ้าเรายังมีความเห็นว่ามีตัวเรา มีของเราแล้ว
เราก็จะไปเที่ยวยึดถือสิ่งต่าง ๆ ที่เกิดดับเป็นธรรมดาว่าเป็นของเรา
โดยก็เที่ยวยึดถือไปทั่ว เช่น ครอบครัวเรา เพื่อนเรา บ้านเรา ที่ทำงานเรา
ประเทศเรา แม้กระทั่งโลกเรา และจักรวาลเรา เป็นต้น
พอมีเราขึ้นมาแล้ว ของเราก็ตามมาเป็นพรวนเยอะแยะครับ


สรุปแล้วในการทำหน้าที่ในชีวิตของเรานั้น เราก็พยายามสร้างเหตุปัจจัยที่ดีครับ
เพื่อที่จะทำให้เกิดผลดี ๆ กับสิ่งทั้งหลายในชีวิต และแก่ผู้อื่น หรือสิ่งอื่น ๆ

แต่ในทางภาวนาในจิตใจเพื่อพ้นทุกข์แล้ว เราไม่ได้มุ่งที่จะไปเปลี่ยนอะไร
โดยเรามุ่งที่จะเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ ในกายใจตามจริง
เพื่อให้เห็นและเข้าใจความจริง คือความไม่เที่ยง ทนอยู่ไม่ได้
และเป็นไปตามเหตุปัจจัยของมัน



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP