ดังตฤณวิสัชนา Dungtrin's Answer

ธรรมทานกับอภัยทาน ทานแบบใดได้กุศลมากกว่ากัน



ถาม - ระหว่างธรรมทานกับอภัยทานอันไหนได้บุญมากกว่ากันคะ
พอดีเคยได้ยินมาไม่ตรงกัน บ้างก็ว่าธรรมทาน บ้างก็ว่าอภัยทาน เลยสงสัยค่ะ


คำว่า ธรรมทานชนะทานทั้งปวง มาจากพระพุทธเจ้า
เป็นพุทธพจน์ เป็นถ้อยคำของผู้ที่รู้แจ้งรู้จริง รู้แจ้งแทงตลอดในธรรมทั้งปวงนะครับ
ท่านตรัสไว้อย่างนี้ เราก็ต้องเชื่อว่าอย่างนี้ไว้ก่อน
ส่วนใครจะบอกว่าเป็นอย่างอื่น อันนั้นก็เป็นความเห็นของท่านกันนะครับ
สำหรับอภัยทาน ถ้าพูดถึงกำลังใจแล้วเราก็อาจจะมองว่า
เป็นสิ่งที่ทำได้ยากกว่าธรรมทานเพราะมันต้องอาศัยกำลังใจ
มันต้องอาศัยการหักห้ามความโกรธ
แล้วก็การพยายามที่จะเผาความพยาบาททิ้งไม่ให้เหลือซาก
นี่เรียกว่าเป็นอภัยทานของแท้
แต่ว่าธรรมทาน แค่พูดๆ ไป ก็ดูเหมือนไม่ได้ใช้กำลังใจอะไรสักเท่าไร
หลายคนก็เลยเข้าใจว่าน่าจะได้บุญมากกว่า
อันนี้ก็เป็นมุมมอง อันนี้ก็เป็นความเชื่อส่วนบุคคลนะครับ


ส่วนที่ว่ารัศมีของบุญมันเกิดขึ้นแค่ไหน อะไรที่ยิ่งใหญ่กว่ากัน
ก็ขอให้เราไปพิจารณาถึงผลลัพธ์กับผู้ที่ได้ทานเป็นกำนัลจากเราก็แล้วกัน
ถ้าหากว่ามองนะ การให้อภัยทานเป็นการดับความโกรธ ดับพยาบาท
อันนี้มันได้กับตัวเราเห็นๆ
ส่วนคนที่เขาได้รับทานจากเราไป เขาจะมีความอิ่มอร่อยแค่ไหนไม่ทราบ
เพราะว่าขึ้นอยู่กับตัวเขาเองจะมีความเห็นค่าของอภัยทานจากเราหรือเปล่า
บางคนเหมือนกับ พอให้อภัยไปก็งั้นๆ ทำหน้างั้นๆ
เขาไม่ได้หวังไม่ได้คาดว่าเราจะให้อภัยเขาอยู่แล้ว
หรือว่าไม่ได้มีความรู้สึกยินดีกับการได้รับการอภัยอยู่แล้ว
ถือว่าเป็นหน้าที่ของคนอื่นที่จะต้องให้อภัยเขา
แบบนี้ก็เหมือนกับผู้รับทานไม่ได้อะไรไปสักเท่าไร
เหมือนกับผู้รับทานไม่ต้องได้รับความเดือดร้อนจากการเบียดเบียน
แต่ตัวเขา กรรมของเขา ยังเป็นตัวของเขาเหมือนเดิม
คืออยู่บนเส้นทางของความหลงผิดตามเดิม
หรือว่าอาจจะมีความหลงผิดหนักเข้าไปอีก
คือพอทำผิดแล้วเห็นคนอื่นเขาให้อภัยตัวเอง บางคนเหลิงนะ เหลิงก็มี
อันนี้ก็พูดง่ายๆ ว่าประโยชน์ที่เกิดจากการให้อภัยทาน
เราเองรับเต็มๆ ไม่ใช่คนอื่น
คนอื่นนี่อาจจะได้หรือไม่ได้ แค่ไหนก็ไม่ทราบ


ส่วนธรรมทาน ถึงแม้ว่าเราจะไม่ได้ตั้งใจหรือว่าใส่กำลังใจลงไปมากนัก
แต่ถ้าหากว่าธรรมะนั้นเป็นธรรมะที่ถูก
เป็นธรรมะที่ปลุกให้จิตสำนึกด้านสว่างของผู้รับ เขาเกิดความสว่างเจิดจ้าขึ้นมา
แทนที่เขาจะต้องหลงผิด จะต้องร่วงหล่นลงเหว
เขากลับตะเกียกตะกายขึ้นมาจากปากเหวได้ กลับขึ้นมายืน
หรือว่าสามารถได้บันไดขึ้นสู่ฟ้า
ยิ่งอันนั้นก็ยิ่งสูงส่ง แล้วก็น่าที่จะอนุโมทนาเข้าไปใหญ่
การให้ธรรมทานถึงแม้ว่าจะไม่ได้ใช้กำลังใจมาก
แต่มันเปลี่ยนชีวิตของคนๆ หนึ่งได้ หรือเปลี่ยนชีวิตของคนหลายๆ คนได้
ถ้าหากว่าเราสามารถที่จะนำธรรมะอันถูกต้องของพระพุทธเจ้ามาเผยแผ่


เพราะฉะนั้นตัวธรรมทาน ถ้าเป็นธรรมทานแท้ๆ นะ
แม้ผู้ที่ได้หยิบยื่นให้คนอื่นก็ได้รับ รับความสว่างจากการพูดเดี๋ยวนั้นแหละ
ถ้าไม่ได้พูดด้วยความหลงตัว ถ้าไม่ได้พูดด้วยความอยากจะข่มคนอื่น
ถ้าไม่ได้พูดด้วยความอยากจะได้อะไรอย่างใดอย่างหนึ่งที่เป็นของแถม
มีแต่เจตนาอนุเคราะห์ผู้อื่น อยากให้เขาได้มีความเข้าใจ
อยากให้เขาได้เห็นว่าธรรมะที่ถูกที่ควรเป็นอย่างไร
แนะนำให้เขาหันหน้าเข้าหาพระพุทธเจ้าแทนที่จะหันหน้าเข้าหากิเลส
แบบนี้ใจของคุณเองนะ ก็จะเกิดความสว่างจ้าขึ้นมา ณ ขณะที่ให้ทานนั่นแหละ
แล้วเป็นความสว่างในแบบที่จะพัฒนาเส้นทางกรรมให้สูงส่งยิ่งๆ ขึ้นไป

นี่เห็นชัดๆ เลยนะความเปลี่ยนแปลงทั้งเขาทั้งเรา
มันสามารถบอกได้ว่าเป็นไปในทางที่ประเสริฐ เป็นไปในทางกุศล
เป็นไปในทางสว่างด้วยกันทั้งคู่ทั้งสองฝ่ายนะครับ


เพราะฉะนั้นอะไรที่มันจะเกินไปกว่าการให้ธรรมะเป็นทานคงไม่มี
เปลี่ยนชีวิตของคนๆ หนึ่งให้ดีขึ้น
มันต้องเปลี่ยนกันด้วยความคิด เปลี่ยนกันด้วยความเชื่อ
ไม่ใช่เปลี่ยนกันด้วยการบังคับ ไม่ได้เปลี่ยนกันด้วยการข่มขู่
ไม่ได้เปลี่ยนกันด้วยการเอารางวัลเข้าล่อ
แต่เปลี่ยนกันด้วยการทำความเห็นของเขาให้ถูกให้ตรง
แล้วก็ทำให้เขาเกิดความเข้าใจว่าอะไรเป็นอะไร อะไรคือเหตุอะไรคือผล
นี่เรียกว่าเป็นธรรมทาน
ส่วนที่ว่าใครจะเห็นธรรมทานไม่ค่อยมีประโยชน์หรือว่าไม่ค่อยต้องใช้กำลังใจ
อันนี้ก็ย้ำนะครับเป็นความเห็นส่วนตัว เป็นความเห็นส่วนบุคคล
ส่วนถ้าหากเราจะเลือกเชื่อพระพุทธเจ้าก็คงต้องจำตรงนี้ไว้นะครับ
สพฺพทานํ ธมฺมทานํ ชินาติ ทานทั้งปวงแพ้ธรรมทานทั้งหมดเลยนะครับ



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP