จุดหมายปลายธรรม Destination@Dharmma

มองโลกแง่ลบและแง่บวก


 งดงาม
This e-mail address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it

 

140 destination

 

หลายท่านอาจจะเคยพบว่าบางคนมีปัญหาเรื่องการมองโลกแต่ในแง่ลบ
โดยเวลามองคนอื่นก็มองแต่ข้อเสีย หรือมองเรื่องอื่น ๆ ก็มองแต่ในแง่ลบ
ไม่ได้มองในข้อดีของคนอื่น หรือมองเรื่องอื่น ๆ ในแง่บวกบ้าง
เห็นทุกคนและทุกเรื่องมีแต่ข้อเสียทั้งนั้น
แต่กลับไม่เห็นข้อเสียของตนเองที่มองคนอื่น ๆ และสิ่งต่าง ๆ ในแง่ลบนั้น

ผลเสียของการมองแต่ในแง่ลบนั้นมีมากมาย เช่น
ทำให้มีโทสะได้ง่ายหรือบ่อย เพราะไม่พอใจในเรื่องนั้นเรื่องนี้ คนโน้นคนนี้
โดยอาจจะถึงกับทำให้ทะเลาะกับคนอื่น หรือมีศัตรูเยอะก็ได้

หรือทำให้มิตรดี ๆ ตีตัวออกห่าง ด้วยความที่ไม่ต้องการอยู่ใกล้
หรือทำให้เราสร้างสัมพันธ์กับคนอื่นได้ยาก
เพราะว่าไม่เห็นมีใครดีพอสักคน โดยแต่ละคนก็มีข้อเสียมากมาย

นอกจากนี้ ยังทำให้เราวิตกกังวลในเรื่องต่าง ๆ เกินเหตุหรือเกินสมควร
ซึ่งในบางทีก็อาจจะถึงกับทำให้นอนไม่หลับ หรือทำให้เครียดจนเสียสุขภาพก็ได้
ซึ่งไม่ว่าจะมีความไม่พอใจ หรือมีความวิตกกังวลก็ตาม
แต่โดยรวมแล้วก็คือทำให้เราทุกข์ใจนั่นเอง

ด้วยเหตุที่การมองโลกในแง่ลบมีข้อเสียมากมาย
ก็ทำให้หลายท่านแนะนำว่าเราควรจะมองโลกในแง่บวก
อย่างผมเองก็เคยได้รับบทความที่ส่งต่อ ๆ กันในโซเชียลมีเดียหลายเรื่อง
ที่แนะนำเรื่องวิธีการมองโลกในแง่บวก

โดยไม่ว่าชีวิตจะประสบกับเรื่องเลวร้ายหรือเรื่องไม่ดีอย่างไร
ก็แนะนำให้เรามองในแง่บวกเอาไว้ก่อน อย่างเช่น
เราตากผ้าไว้นอกบ้าน แล้วฝนตกขึ้นมา ทำให้ผ้าเปียก และต้องตากผ้านานขึ้น
ก็มองในแง่บวกได้ว่าเป็นการฝึกความอดทนที่เราจะต้องรอนานขึ้น
หรือเราโดนไล่ออกจากงาน

ก็มองในแง่บวกได้ว่าเป็นการเปิดโอกาสให้เราได้หางานใหม่ที่ดีกว่าเดิม
หรือเราขับรถออกจากมาบ้านสาย ทำให้พบการจราจรติดขัด
ก็มองในแง่บวกได้ว่าเป็นโอกาสที่ดีที่คนในครอบครัวจะได้คุยกันบนรถ
หรือญาติสนิทของเราถึงแก่กรรม

ก็มองในแง่บวกได้ว่าญาติที่ตายเขาสอนเราให้รู้จักความเสียใจ
และให้หมั่นทำดีกับคนที่ยังมีชีวิตอยู่  
หรือเราเกิดเจ็บป่วยขึ้นมา
ก็มองในแง่บวกได้ว่าเป็นการเตือนให้เราได้มีเวลาพักและรู้จักรักษาสุขภาพ
หรือมีคนอื่นมาพูดจาไม่ดีกับเรา
ก็มองในแง่บวกได้ว่าเป็นการเปิดโอกาสให้เราได้ฝึกเจริญเมตตา เป็นต้น

การมองในแง่บวกดังที่กล่าวนี้ก็มีประโยชน์อยู่นะครับ
เพราะว่าในเมื่อเราต้องเผชิญกับสิ่งที่เกิดขึ้นเหล่านั้น โดยเลี่ยงไม่ได้แล้ว
การมองในแง่บวกก็ทำให้เราสบายใจ และไม่วิตกกังวลใจจนเกินสมควร
ซึ่งดีกว่าการมองแต่เฉพาะแง่ลบที่จะทำให้เราต้องทุกข์มาก หรือเครียดเกิน
กลายเป็นว่าไม่ว่าจะประสบเรื่องอะไรก็หยิบมาทำให้เราทุกข์และเครียดได้หมด

แต่ทั้งนี้ ถ้าเราจะมุ่งหาทางเลือกที่ดีกว่านั้น
การมองในแง่บวกยังไม่ใช่ทางเลือกที่ดีที่สุดสำหรับเรานะครับ

เพราะที่ดีกว่าการมองในแง่บวกก็คือ การมองตามความเป็นจริง
การมองตามความเป็นจริงนี้ไม่ใช่ว่ามองอย่างเป็นกลาง
โดยมองทั้งแง่ลบและแง่บวกมาผสมกันแล้วกลายเป็นศูนย์นะครับ
เปรียบเสมือนกับว่ามีน้ำเปล่า และเหล้าอยู่อย่างละแก้ว
แล้วบางท่านจะมองว่า ถ้าดื่มน้ำเปล่าอย่างเดียว คือแง่บวก
แต่ถ้าดื่มเหล้าอย่างเดียวคือแง่ลบ
ดังนั้น จึงควรดื่มเหล้าผสมน้ำเปล่า ให้เป็นตรงกลาง ไม่ใช่อย่างนั้นนะครับ

ในทำนองเดียวกัน การมองตามความเป็นจริง
ก็ไม่ใช่มองในแง่ลบอย่างเดียว ไม่ใช่มองในแง่บวกอย่างเดียว
แล้วก็ไม่ใช่การมองโดยนำแง่ลบมาผสมกับแง่บวกนะครับ
แต่การมองตามความเป็นจริงเป็นการมองเหตุปัจจัยและผล
โดยเห็นสิ่งต่าง ๆ ตามความเป็นจริงของโลก

ยกตัวอย่างเช่น เราตากผ้าไว้นอกบ้าน แล้วฝนตกขึ้นมา
ทำให้ผ้าเปียก และต้องตากผ้านานขึ้น
ถ้าเรามองที่เหตุปัจจัยแล้ว ก็ต้องพิจารณาว่าเหตุปัจจัยมาจากอะไร
เช่น เราตากผ้าแล้วเราออกไปนอกบ้าน
โดยที่เราไม่นำผ้าเข้าไปตากในที่ร่มก่อนที่เราจะออกไปนอกบ้าน
ต่อมาฝนตกก็ทำให้ผ้าเปียก เหตุก็คือเราประมาท ไม่นำผ้าเข้าไปตากในที่ร่ม
ดังนั้นแล้ว หากเราจะแก้ไขปัญหานี้ เราก็พึงไม่ประมาทในคราวหน้า

ส่วนที่ผลที่เกิดขึ้นแล้วในคราวนี้ เราก็ยอมรับ เพราะเราสร้างเหตุให้เกิดผลเช่นนี้

หรือกรณีเราโดนไล่ออกจากงาน
เราก็พึงพิจารณาว่าเหตุปัจจัยคืออะไร
เช่น สมมุติว่าเหตุเกิดจากเราทำงานไม่เรียบร้อย ไม่รับผิดชอบ ทำงานเสียหาย
หากเราจะแก้ไขปัญหานี้ เราก็พึงแก้ไขปรับปรุงตนเอง
เพื่อให้เราเป็นบุคลากรที่มีคุณค่าและมีประโยชน์ต่อองค์กร
และไม่โดนไล่ออกอีกในอนาคต
ส่วนที่ผลที่เกิดขึ้นแล้วในคราวนี้ เราก็ยอมรับ เพราะเราสร้างเหตุให้เกิดผลเช่นนี้


หรือเราขับรถออกจากมาบ้านสาย ทำให้พบการจราจรติดขัด
เราก็พึงพิจารณาว่าเหตุปัจจัยคืออะไร

เช่น สมมุติว่าเหตุเกิดจากเราเข้านอนดึก ทำให้ตื่นสาย
หากเราจะแก้ไขปัญหานี้ เราก็พึงเข้านอนให้เช้าขึ้น และตื่นเช้าขึ้น
แล้วออกจากบ้านให้เช้าขึ้น เราก็จะไม่พบการจราจรติดขัดในอนาคต
ส่วนที่ผลที่เกิดขึ้นแล้วในคราวนี้ เราก็ยอมรับ เพราะเราสร้างเหตุให้เกิดผลเช่นนี้

หรือกรณีที่ญาติสนิทเราถึงแก่กรรม หรือเราเกิดเจ็บป่วยขึ้นมา
เราก็อาจพิจารณาว่าเหตุปัจจัยอะไรทำให้เขาตาย และทำให้เราเจ็บ

เช่น ญาติขับรถโดยประมาททำให้ถึงแก่ความตาย
หรือเราทานอาหารมากเกินไป อาหารไม่ย่อย หรือพักผ่อนไม่เพียงพอ ทำให้เจ็บป่วย
โดยเราก็พึงพิจารณาเหตุปัจจัยเหล่านั้น และพึงหลีกเลี่ยง
แต่หากจะมองไปที่ความเป็นจริงของโลกที่ลึกลงไปแล้ว
เราก็มองเหตุปัจจัยได้ว่า การตายและการเจ็บเป็นเรื่องธรรมดาโลก
เมื่อมีเกิด ก็ต้องมีเจ็บ มีตาย โดยถ้าไม่อยากให้เจ็บหรือตาย ก็ต้องไม่เกิด
และคนเราจะเจ็บหรือตายเมื่อไร ก็ไม่สามารถทราบล่วงหน้าได้แน่นอน
ดังนั้นเราก็ไม่พึงประมาทต่อความเจ็บและความตาย
โดยถ้าไม่อยากเจ็บและไม่อยากตาย
ก็พึงศึกษาและปฏิบัติไปเพื่อมุ่งไปสู่การไม่เกิด

หรือกรณีที่มีคนอื่นมาพูดจาไม่ดีกับเรา
เราก็สามารถพิจารณาเหตุปัจจัยได้ว่า ทำไมเขาถึงมาพูดจาไม่ดีกับเรา
เพราะเราไปทำอะไรไม่ดีกับเขาหรือเปล่า หรือเราไปเข้าใกล้เขาซึ่งเป็นคนพาล
หากเราเห็นเหตุปัจจัยแล้ว เราก็พึงหลีกเลี่ยงเหตุปัจจัยที่จะทำให้เกิดผล
หรือเราอาจจะมองได้ว่าเป็นธรรมดาโลกที่มีสรรเสริญ ก็มีนินทา
มีการพูดดีกับเรา ก็ย่อมมีการพูดไม่ดีกับเรา ซึ่งเป็นธรรมดาโลก
ถ้าไม่อยากจะประสบกับสิ่งเหล่านี้
ก็พึงศึกษาและปฏิบัติไปสู่การพ้นจากโลก คือการไม่เกิดนั่นแหละ

ในการที่เรามองโลกตามความเป็นจริงเหล่านี้
ย่อมช่วยให้เราสามารถหลีกเลี่ยงไม่สร้างเหตุปัจจัยที่จะทำให้เกิดผลไม่ดี

และมุ่งทำเหตุปัจจัยที่จะทำให้เกิดผลดี
และเป็นการมองโลกอย่างเข้าใจ และยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นธรรมดาโลก
ก็จะเป็นประโยชน์มากกว่าการมองโลกแต่ในแง่ลบ หรือมองแต่ในแง่บวกครับ

 



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP