ดังตฤณวิสัชนา Dungtrin's Answer

สร้างเหตุอย่างไรให้เจ้านายเอ็นดู



ถาม - สร้างเหตุอย่างไรจึงจะทำให้ผู้ใหญ่และเจ้านายที่ต้องมีปฏิสัมพันธ์ด้วย
เกิดความเมตตาและเอ็นดูเราคะ



ความเมตตาที่จะมาจากผู้ใหญ่
หรือว่าผู้เกี่ยวข้องที่จะให้คุณให้โทษกับเรานะครับ
โดยมากแล้ว ต้องยอมรับอย่างนี้นะว่ามาจากกรรมสัมพันธ์ส่วนหนึ่ง
คือพูดง่ายๆ ว่าถ้าหากเรามีกรรมสัมพันธ์อันดีร่วมกับพวกท่านมา
จะจากในอดีตชาติหรืออะไรก็แล้วแต่ ที่เราจะนึกไม่ถึงนะ
อย่างเช่นบางที อาจจะเกี่ยวโยงกับพ่อแม่เราหรือว่าตระกูลเรา
หรือว่าหน้าตาของเราอาจจะไปพ้องเข้ากับคนที่ท่านชอบหรือไม่ชอบ อะไรทำนองนั้น
ตามหลักจิตวิทยาก็มีอยู่ว่าเห็นปุ๊บ แล้วนึกถึงอะไร
ก็จะมีท่าทีมีปฏิกิริยาโต้ตอบออกมาแบบนั้น
เป็นชอบ เป็นชัง เป็นรู้สึกสนิท หรือว่ารู้สึกห่างเหิน



เอาละ เมื่อเราพูดถึงสิ่งที่มันจับต้องไม่ได้ มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า
แล้วก็ไม่สามารถใช้ใจของคนธรรมดาๆ ที่คิดๆ นึกๆ
หรือว่าคาดเดาคาดหมายอย่างที่เห็นๆ กันอยู่ในโลกประจำวัน
ไปหยั่งรู้เอาว่าในอดีตเราเคยมีกรรมสัมพันธ์อะไรกับท่านมายังไง
เราพูดถึงสิ่งที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้เป็นกลางๆ
ในกรรมปัจจุบัน ถ้าหากว่าพิจารณานะว่า
ทำอย่างไรแล้วจึงจะเป็นที่รักของมนุษย์และเทวดา
พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ชัดเจนว่า ประการแรกต้องเป็นคนมีน้ำใจ
คือมีความคิดอยากเกื้อกูล คิดอยากที่จะเผื่อแผ่
คิดอยากที่จะช่วยเหลือใครต่อใครที่ตกทุกข์ได้ยากลำบากกว่าเรานะครับ
แล้วก็เป็นคนที่มีศีล มีสัตย์
พูดง่ายๆ คือว่านอกจากมีน้ำใจแล้ว
น้ำใจที่รินออกมาต้องสะอาดด้วย สะอาดด้วยศีล
สะอาดด้วยการรักษาหรือว่าสังวรระวัง
ไม่ให้ทำผิดคิดร้ายหรือไปเบียดเบียนใครเขา
คือไม่ใช่ว่าเราจะไปมีความเมตตาหรือว่าไปรักษาศีล
เฉพาะกับผู้ใหญ่ที่จะให้คุณให้โทษกับเรา
แต่ว่าจิตของเราต้องมีธรรมชาติเป็นความมีน้ำใจ
แล้วก็ความสะอาดจากการให้ทานและรักษาศีลเป็นปกติ



มันแกล้งกันไม่ได้จะไปให้ทานหรือว่าจะไปรักษาศีล
เฉพาะกับคนที่เราอยากให้เขาพึงพอใจกับเรา
มันไม่ออกมา มันไม่จริง มันไม่แท้
มันไม่ใช่ของที่จะเป็นต้นเหตุ เป็นต้นตอของความเป็นที่รักอันแท้จริง
ความเป็นที่รักอันแท้จริงทั้งสำหรับมนุษย์และเทวดา
ต้องเป็นจิตที่มีเมตตา จิตที่มันเกิดจากการรินน้ำใจอันสะอาด

ผู้ที่ให้ทานแล้วก็รักษาศีลเป็นประจำจะมีกระแสของเมตตาออกมาเอง
โดยที่คนอื่นเขามองเข้ามาที่เรากี่ทีๆ เขาก็รู้สึกเหมือนเดิมว่านี่ของจริง
ของที่มันเป็นความชุ่มชื่น ชุ่มเย็น แล้วก็ของที่มันเป็นความสะอาดไม่มีมลทิน



ถ้าหากว่ายิ่งเรามาเจริญสติหรือปฏิบัติธรรมภาวนา
จนกระทั่งมีความสามารถที่จะตั้งมั่นนะ เอาน้ำใจแล้วก็ความสะอาด
ที่เกิดจากทานและศีลซึ่งบำเพ็ญมาดีแล้ว ไปแผ่เมตตา
ก็จะยิ่งได้ผลใหญ่ขึ้นไปอีก พระพุทธเจ้าท่านตรัสนะครับว่า
ผู้ที่เจริญเมตตาเป็นประจำจนกระทั่งได้อัปปมัญญาสมาบัติ
พูดง่ายๆ คือได้ฌานอันเกิดจากการแผ่เมตตา
อันนี้นอกจากจะเป็นที่รักของมนุษย์และเทวดาทั้งหลายแล้วนะ
ต่อให้ภัยอันเกิดจากไฟก็ไม่สามารถทำอะไรได้
อันนี้ต้องฟังดีๆ นะ คือไม่ใช่แค่มีเมตตาธรรมดาแล้วไฟไม่ไหม้ตัวนะครับ
คือต้องมีเมตตาระดับที่เป็นอัปปมัญญาด้วย
อัปปมัญญานี่ก็เข้าใจง่ายๆ ก็แล้วกันว่า จิตมีความตั้งมั่นอยู่
แล้วก็สามารถที่จะให้ความเมตตา ให้ความรู้สึกปรารถนาดีกับทุกคน
ไม่เว้นแม้กระทั่งศัตรู ต้องทำได้เป็นปกติ



ถ้าหากว่าทำได้ ก็จะไม่ต้องไปพึ่งกรรมสัมพันธ์ในอดีตชาติ
มาสนับสนุนหรือว่าส่งเสริมให้เป็นที่รัก
ได้กรรมในปัจจุบัน ที่ทำให้เราเกิดความเป็นที่เอ็นดู เป็นที่รักใคร่
แล้วก็กระแสที่ออกมาชัดเจนเลยว่า
คนที่มีเมตตามากๆ ก็จะเป็นคนที่มีความสุขมากๆ
แล้วคนที่มีความสุขมากๆ นะ ใครอยู่ใกล้ก็จะรู้สึกมีความสุขตาม

แล้วความสุขกับความรัก คนธรรมดาแยกไม่ออก
คือเขาไม่สามารถจะบอกได้ว่า ที่เขานึกรักเรา นึกเอ็นดูเรา
นึกอยากจะช่วยเหลือ นึกอยากจะสงเคราะห์ มันมาจากไหน
จริงๆ แล้วมันก็มาจากการได้สัมผัสความสุขจากเรานั่นแหละ
ความสุขทำให้เกิดความรู้สึกเอ็นดู ทำให้เกิดความรู้สึกว่า
อยากจะให้สภาพความสุขแบบนี้ในเรา มันตั้งอยู่นานๆ
เพราะฉะนั้นเขาจะแห่กันเข้ามานะ อยากจะช่วยเหลือ อยากจะประคอง
ไอ้ความสุขแบบนี้ที่มันเผื่อแผ่มาถึงเขาด้วยให้ยั่งยืนต่อไป
นี่เป็นหลักธรรมชาติธรรมดาเลย



ถ้าหากว่าเราสังเกตนะ คนในที่ทำงานหรือว่าคนที่เรารู้จัก
สักคนหนึ่งในชีวิตนี่จะต้องมี ที่เขาเหมือนกับมีความสุขอยู่ตลอดเวลา
แล้วความสุขนั้นเป็นอะไรที่เรานึกถึงยามที่เราเกิดความทุกข์
ยามที่เราเกิดความรู้สึกว่าอึดอัด ยามที่เราเกิดความรู้สึกว่ามันหาทางออกไม่เจอ
พอไปอยู่ใกล้เขาแล้วมันได้ทางออก ได้ทางออกทางใจ
ถ้าหากว่าเราเป็นที่ตั้งของความสุขอันเกิดจากความเมตตานะ
ขอให้จำไว้เลยไม่ใช่เฉพาะเจ้านายหรอก เทวดาก็ยังช่วยเลย






แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP